สาระน่ารู้ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2565

เปิด’ต่างชาติ’ ซื้อที่ดิน 1 ไร่ บ้านลักชัวรีตลาดแตก หวั่นราคาแพงขึ้น 20%

เปิด’ชาวต่างชาติ’ มั่งคั่ง – ศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ลงทุน 40 ล้าน อยู่ไทย ซื้ออสังหาฯครองที่ดิน กทม. ,พัทยา ได้ 1 ไร่ ดีเวลลอปเปอร์ดัง ชี้ มีประโยชน์ เปิดตลาด บ้านลักชัวรี แพง 30-100 ล้าน แต่หวั่น บ้าน-ที่ดินแพงยกแผง 20% แนะ60ล้านอัพเหมาะกว่า

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (25 ต.ค.) มีมติเห็นชอบ การดึงนักลงทุนต่างชาติศักยภาพสูง 4 ประเภท ครอบคลุม กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง ,กลุ่มผู้เกษียณอายุ ,กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น

กำหนดเงื่อนไขเงินลงทุน 40 ล้านบาท คงไว้ต่อเนื่องระยะ 3 ปี  โดยให้สิทธิการขอใช้ที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย หรือการถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ไม่เกิน 1 ไร่ ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอไว้ก่อนหน้า

ขยายดีมานด์แนวราบ

ทั้งนี้ รัฐบาลประเมินว่า จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ หลังจากไทยเปิดประเทศ เนื่องด้วยไทยเป็นหนึ่งประเทศท่องเที่ยว ที่เป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ ที่สนใจเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ ทั้งเพื่อการลงทุนและซื้อเพื่ออยู่อาศัย

โดยการปลดล็อกต่างชาติจากประกาศดังกล่าว จะทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และขยายวงกว้างสู่สินค้าแนวราบ ขณะผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์มากสุด เห็นจะเป็นกลุ่มที่มีพอร์ตสินค้าระดับบน ราคาบ้าน เกิน 20 ล้านบาท ขึ้นไป

หากประเมินความสนใจอสังหาฯไทย ในหมู่ชาวต่างชาติ ย้อนกลับไปก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19  พบช่วง ปี 2561 ไทยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของลูกค้าต่างชาติ อยู่ที่ 5.72 หมื่นล้านบาท มากถึง 16% ของมูลค่าโอนฯ ทั้งประเทศ แต่หลังจากโควิด-19 ทำให้ดีมานด์ชาวต่างชาติหายไป

ส่งผลให้มูลค่าโอนฯ ของลูกค้าต่างชาติลดลง 11.6% ในปี 2562 และ 25% ในปี 2563 อยู่ที่ 5.06 หมื่นล้านบาท และ 3.77 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ก่อนเริ่มกลับมามีอัตราขยายตัว 5% สู่ระดับ 3.96 หมื่นล้านบาทปี 2564 ที่ผ่านมา

ขณะ ม.ค.- มิ.ย. ปี 2565 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงาน (REIC) รายงานตัวเลขการโอนฯของต่างชาติ  มีจำนวน 4,433 ยูนิต มูลค่า 22,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  9.1% โดย จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา เยอรมัน และ อินเดีย เป็น 5 ชาติที่ครอบครองคอนโดไทยสูงสุด

จับตา ลักชัวรีเฮ้าส์ 30-100 ล.ทะลัก

‘ฐานเศรษฐกิจ’ ตรวจสอบความเคลื่อนไหวและมุมมองในภาคอสังหาฯไทย โดยดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ระดับบน อย่าง นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประกาศดังกล่าว จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดอสังหาฯไทย ค่อนข้างมาก ต่อเนื่องจากทิศทางในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่ดีเวลลอปเปอร์หลายราย พยายามจับลูกค้าต่างชาติระดับบนมาก่อนหน้า จากดีมานด์ความสนใจแนวราบของต่างชาติที่เห็นได้ชัดเจน

ตามเงื่อนไขระบุ การลงทุนในไทย 40 ล้านบาท เท่ากับ กลุ่มคนดังกล่าว ต้องค่อนข้างมีฐานะความมั่งคั่งระดับนึง กลายเป็นการเปิดตลาด ‘ลักชัวรีเฮ้าส์’ อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในระดับราคา 30-100 ล้านบาท ที่คาดว่าหลังจากนี้จะมีซัพพลายเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับกฎหมายดังกล่าว

” ทำเลที่น่าจับตามองมากสุด  อยู่ตรงบริเวณ โดยรอบของสนามบินสุวรรณภูมิ พื้นที่เป้าหมายของชาวจีน พบขณะนี้มีอสังหาฯบางราย พัฒนาโครงการขึ้นมา รองรับชาวจีนกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะ ออกแบบสถาปัตยกรรม และทำฟังก์ชั่นต่างๆ เพื่อจับกลุ่มชาวจีนเทียร์ 1 ( ปักกิ่ง เซียงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น) อย่างชัดเจนทั้งโครงการ ไม่มีการทำการตลาดในไทย แต่มีการส่งเอเยนต์ไปโรดโชว์ในเมืองเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว หวังขายยกโครงการ เป็นคอมมูนิตี้ปิด ถ้ากฎหมายเปิดช่อง “

กระจุกโซน หวั่นทำบ้านไทยราคาพุ่ง 20%

ทั้งนี้ นายวงศกรณ์ ห่วงว่า หากกฎกระทรวงดังกล่าว ไม่มีเงื่อนไขรัดกุม โดยเฉพาะการกำหนดสัดส่วนหรือโควต้าต่อโครงการ เช่น 49% ดั่งเช่น ในโครงการคอนโดมิเนียม อาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา รวมไปถึงข้อห่วงใย เรื่อง โซนนิ่ง ที่จำกัดให้มีการครอบครองแค่ในพื้นที่ กทม. และ พัทยาเท่านั้น ว่าจะส่งผลให้ ปีหน้า บ้านแนวราบระดับบน อาจมีราคาแพงขึ้นอย่างต่ำ 20%

คล้ายกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ตลาดคอนโดฯกลางเมือง ทองหล่อ สุขุมวิท เพลินจิต เมื่อ 4-5ปีก่อน จากการเข้ามาของดีมานด์ต่างชาติจำนวนมาก ที่ทำให้เดิมคอนโดฯขายตร.ม.ละ 1.2 แสนบาท ขยับไปสูงถึง 3 แสนบาทต่อตร.ม.ในเวลารวดเร็ว เนื่องจาก เจ้าของที่ดินขายแพงขึ้น ขณะสเปกบ้านใหม่ๆ หรือ วัสดุอุปกรณ์มาตรฐานก็คงสูงขึ้นไปด้วย หากจะพัฒนาโครงการขึ้นมา เพื่อหวังกำลังซื้อต่างชาติ

นั่นอาจทำให้คนไทยบางส่วนจับต้องราคาบ้านไม่ได้ จึงอยากเสนอให้รัฐ ขยายโซนนิ่ง ครอบคลุมปริมณฑลด้วย เนื่องจาก พื้นที่สมุทรปราการ ก็เป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ กลุ่มใหญ่ อย่างชาวจีน เช่นกัน ช่วยกระจายพื้นที่และทำเลที่หลากหลายขึ้น

” เบื้องต้นเห็นว่า กฎหมายยังมีช่องโหว่อยู่หลายจุด เช่น การกำหนดพื้นที่ แค่ กทม. ทำให้การพัฒนาโครงการกระจุกตัว ราคาที่ดินแพง คนที่อยากซื้อบ้านในโฉนดที่ดิน กทม. น่าจะต้องซื้อกันแพงขึ้นอย่างต่ำ 20% ซึ่งรัฐแก้ได้ โดยการขยายโซนนิ่งเพิ่ม และ กำหนดการครอบครองให้จบที่ 49%ต่อโครงการเท่านั้น  “

นอกจากนี้ ยังกังวลว่า ปัจจุบัน ชาวจีน ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ซื้อเท่านั้น แต่บางส่วนเป็นนักลงทุน เป็นผู้พัฒนาโครงการ มีเครือข่ายและขายเองอย่างเบ็ดเสร็จ ถ้ารัฐไม่ออกกฎเกณฑ์ดูแลครอบคลุมมาถึงเรื่องนี้ด้วย ก็อาจมีผลกระทบตามมาเช่นกัน 

คอลลิเออร์ส แนะรัฐขยายเงินลงทุน 60 ล.

สอดคล้อง มุมมอง นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย จำกัด ที่ให้ความเห็นว่า มองในฐานะบริษัท เรียลเอสเตท เอเจนซี่ ว่าจากปัจจัยดังกล่าว อาจเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับภาคอสังหาฯ – กลุ่มธุรกิจเชื่อมโยง และเศรษฐกิจไทย ผ่านการใช้กำลังซื้อต่างชาติ เข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างหนัก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากแรงซื้อในอสังหาฯแล้ว ยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ และกระตุ้นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอีกเป็นจำนวนมาก

อีกทั้ง ถือเป็นการแก้ปัญหาใต้พรม การถือครองผ่านระบบบริษัท หรือ ผ่านนอมินีที่เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย พัทยา  รวมถึงใน กทม.และปริมณฑล อีกด้วย 

อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีข้อบังคับ ขอบเขตหรือเงื่อนไขอื่นๆ ของกำลังซื้อเหล่านี้อย่างชัดเจนเข้มงวด เช่น ควรกำหนดขอบเขตพื้นที่อย่างชัดเจน รวมถึงขยายวงเงินลงทุนจาก  40 ล้านบาท เป็น  60 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อไม่ให้กระทบกับกำลังซื้อในประเทศที่อาจจะส่งผลให้ราคาอสังหาฯ ในบางพื้นที่อาจปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประชาชนในชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาฯ กทม.ฟื้นแรง คาดเปิดใหม่ทะลัก 1.05 แสนหน่วย หวั่นฟองสบู่ ‘ปี 2567’

บทความ : ดร.โสภณ พรโชคชัย … อสังหาฯ กทม.ฟื้นแรง คาดเปิดใหม่ทะลัก 1.05 แสนหน่วย เทียบก่อนโควิด-19 หวั่นฟองสบู่ ‘ปี 2567’

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) เปิดเผย ภาพรวม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวม 9 เดือนแรก ของปี 2565 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระบุ ตลาดกำลังฟื้นตัวอย่างแรง โอกาสที่จะเกิดฟองสบู่มีให้เห็นอย่างชัดเจน เทียบปริมาณการเปิดตัวโครงการใหม่เกือบเท่ากับปี 2562ก่อนโควิด-19


โดย ผลการสำรวจพบว่า ใน 9 เดือนแรกของปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ทั้งมด 77,398 หน่วย ทั้งนี้รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว ห้องชุดและที่ดินจัดสรร แต่คาดว่าทั้งปี น่าจะมีจำนวนเปิดใหม่ถึง 105,648 หน่วย รวมมูลค่า 451,520 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 จะพบว่า

  • มูลค่าการพัฒนาโครงการเกิดเพิ่มขึ้นถึง 64% จาก 277,626 ล้านบาท เพิ่มเป็น 451,520 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงลิ่ว
  • จำนวนหน่วยเปิดใหม่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นถึง 75% หรือเกือบเท่าตัว คือเพิ่มขึ้นจาก 60,489 หน่วย เป็น 105,648 หน่วย
  • ทั้งนี้ ยกเว้น ราคาเฉลี่ยที่ต่ำกว่าเก่า คือราคาลดลง 7% จากราคาเฉลี่ย 4.590 ล้านบาทในปี 2564 ลดลงเหลือ 4.274 ล้านบาททั้งนี้เพราะสินค้าที่เปิดในปี 2564 โดยเฉพาะโครงการ The Forestias มีมูลค่าสูงมาก จึงทำให้ราคาเฉลี่ยในปี 2564 สูงเป็นพิเศษ

” ที่อยู่อาศัยจำนวน 77,398 หน่วยใน 9 เดือนแรกของปี 2565 นั้น เป็นห้องชุดถึง 40,473  หน่วย หรือ 52% รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ 19,333 หน่วย หรือ 25% และตามด้วยบ้านเดี่ยว 11,495 หน่วย หรือ 15% ทั้งนี้บ้านเดี่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดมีราคา 5-10 ล้านบาท (5,644 หน่วย) ทาวน์เฮาส์ กลุ่มใหญ่ที่สุดราคา 2-3  ล้านบาท จำนวน 9,699 หน่วย และห้องชุดกลุ่มใหญ่ที่สุดคือห้องชุดราคา 1-2 ล้านบาท จำนวนถึง 22,896 ล้านบาท”

หวั่นปี 2566 รอขายทะลัก 2.5แสนหน่วย 

ทั้งนี้ ประเมินว่า ตาม “แรงเหวี่ยง” ของการเปิดตัวโครงการในลักษณะนี้ ปี 2566 จำนวนโครงการเปิดใหม่น่าจะเพิ่มขึ้นอีก เป็น 130,000 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ราว 23% นับว่าจะเป็นจำนวนหน่วยที่สูงที่สุดกว่าปี 2561-2562 ก่อนเกิดโควิด-19 เสียอีก และสูงรองจากปี 2546 ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแรงเท่านั้น ส่วนมูลค่าการพัฒนาน่าจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ลดลงเหลือ 16% คือในปี 2566 โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 523,763 ล้านบาท ซึ่งเป็นรองเฉพาะโครงการเปิดใหม่ในปี 2561 ณ มูลค่า 565,811 ล้านบาท
 

” การที่จะมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นมากเท่านี้ก็อาจทำให้เกิดภาวะล้นตลาดได้ ในขณะนี้มีจำนวนหน่วยขายที่รอผู้ซื้ออยู่ในมือผู้ประกอบการประมาณ 200,000 หน่วย ถ้ามีการระดมเปิดตัวใหม่ในปี 2565 ทั้งปี อยู่ที่ 105,648  หน่วย และในปี 2566 อีก 130,000 หน่วย ก็คาดว่าจำนวนหน่วยรอผู้ซื้ออาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 หน่วย ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะที่เกิดฟองสบู่ได้  และถ้าการระบายสินค้าติดขัด ไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะเกิดภาวะ “ฟองสบู่แตก” ในปี 2567 ได้เช่นกัน “
 

เสนอ 4 แนวทางคุมตลาดอสังหาฯ 

มาตรการอย่างหนึ่งที่ควรดำเนินการก็คือ การควบคุมการเปิดตัวใหม่ของโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในพื้นที่ทำเลที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่ขณะเดียวกันยอดขายก็ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้

  1. สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องควรที่จะตรวจสอบข้อมูลทางด้านนี้เพื่อให้ไม่เปิดตัวมากจากเกิดภาวะ “เฟ้อ” ขึ้นมาได้  
  2.  หน่วยภาครัฐโดยเฉพาะการไฟฟ้าฯ การประปา หน่วยงานด้านโทรคมนาคม ก็ควรจัดโซนการพัฒนาที่ดิน ในเขตชานเมืองไกลๆ ก็ควรค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการสูงขึ้นเพื่อไม่ให้ไปบุกรุกที่ชนบทหรือที่เกษตรกรรม 
  3.  ในขณะเดียวกันหน่วยงานด้านภาษีหรือหน่วยงานท้องถิ่นก็ควรเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทที่ดินว่างเปล่าและที่ดินที่ใช้เพื่อการเกษตร (แอบแฝง) สูงๆ เพื่อให้เจ้าของที่ดินคายที่ดินออกมา จะได้มีที่ดินในใจกลางเมืองมาพัฒนา
  4. ยิ่งกว่านั้นหน่วยงานด้านผังเมืองและการใช้ที่ดินก็ควรเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ก่อสร้างต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio) สูงขึ้น จาก 10 ต่อ 1 เป็น 20 ต่อ 1 เช่น ตึก Wall Street Tower สีลม หรืออาคาร State Tower สีลม ที่มีค่า FAR ถึงราว 30:1 เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ  37.90 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้ม Sideways ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ กับค่าเงินบาท รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.90 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 37.92 บาทต่อดอลลาร์
 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า สัปปดาห์ที่ผ่านมา ความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่าเฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยยังคงหนุนให้ตลาดอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)
 

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญที่ต้องจับตาและระมัดระวังความผันผวนในตลาด คือ การประชุม FOMC ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน ก็ยังคงมีผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
 
ฝั่งสหรัฐฯ – 
ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมเฟด (FOMC meeting) โดยเราคาดว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +75bps สู่ระดับ 4.00% ตามที่ตลาดได้คาดการณ์และรับรู้ไปมากแล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยรวมยังคงตึงตัวและแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของเฟดจากถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference ซึ่งต้องระวังความผันผวนในตลาดการเงิน (ตลาดอาจปิดรับความเสี่ยง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้น) หากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดอาจพิจารณาปรับลดอัตราการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป หรือไม่ได้ส่งสัญญาณว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างกังวลผลกระทบจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเศรษฐกิจมากขึ้น  
 

ขณะเดียวกัน ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนตุลาคมก็อาจลดลงเหลือ 1.9-2.0 แสนราย ซึ่งจะสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน (Unemployment) สู่ระดับ 3.6% ทว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้างรายชั่วโมง (Average Hourly Earnings) จะยังอยู่ในระดับสูง +4.7%y/y แม้ว่าจะชะลอลงมาบ้าง แต่ก็ยังสะท้อนว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจากตลาดแรงงานนั้นยังคงมีอยู่ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
 

โดยหากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด (คาดการณ์แนวโน้มผลกำไรก็ควรดีกว่าคาดเช่นกัน) ก็อาจพอช่วยพยุงบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินให้อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่องได้

อนึ่ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อาจสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ โดย ISM (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนตุลาคม อาจลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 50 จุด และ 55.1 จุด ตามลำดับ (ดัชนีมากกว่า 50 หมายถึง ภาวะขยายตัว) ส่วนข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็อาจเริ่มเห็นการชะลอลงของการเปิดรับสมัครงาน โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) อาจลดลงสู่ระดับ 9.6 ล้านคน จาก 10 ล้านคน
 

ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญในฝั่งยุโรป คือ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า BOE จะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย +75bps สู่ระดับ 3.00% หลังเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่า 10% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตามุมมองของ BOE ต่อการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หลังเศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวลงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการที่ลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำกว่า 50 จุด พอสมควร (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
 

ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่าการทยอยเปิดประเทศของญี่ปุ่นจะช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกันยายนโตราว +0.8%m/m หนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ส่วนในฝั่งจีน แนวโน้มเศรษฐกิจยังดูไม่สดใสนัก ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบาย Zero COVID ซึ่งจะส่งผลให้ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนตุลาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.1 จุด ส่วนภาคการผลิตก็จะได้รับผลกระทบจากความต้องการสินค้าจากต่างประเทศที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจลดลงสู่ระดับ 49.8 จุด ในฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) จะยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง +25bps สู่ระดับ 2.85% และ 2.75% ตามลำดับ เพื่อลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและค่าเงิน ท่ามกลางแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
 

ฝั่งไทย – การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาทำให้ตลาดประเมินว่า ภาคการผลิตของไทยอาจขยายตัวในอัตราชะลอลง สอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนตุลาคมที่จะลดลงสู่ระดับ 55.5 จุด ทั้งนี้ เราคาดว่าระดับฐานราคาที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้าจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนตุลาคม ชะลอลงสู่ระดับ 6.1% อนึ่ง ผลกระทบจากอุทกภัยในหลายพื้นที่จะหนุนราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็มีการปรับตัวขึ้นราว +0.7% จากเดือนก่อนหน้า
 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้ม Sideways และอาจอ่อนค่าลงทะลุระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (Correlation กับค่าเงินบาทเกือบ 80%) รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และทิศทางของเงินหยวนจีนที่จะส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินบาทได้ในสัปดาห์นี้
 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ (และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ) มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงปลายปี หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานไม่ได้แย่ลงมาก อนึ่ง หากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ไม่ได้แย่กว่าคาด ก็อาจพอช่วยพยุงบรรยากาศในตลาดการเงิน ซึ่งอาจชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ได้บ้าง
 

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 37.75-38.40 บาท/ดอลลาร์
 
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.80-38.00 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 38.00 มาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 38.05-38.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 37.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทอ่อนค่าลง เช่นเดียวกับเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียบางส่วน 


ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 4% อีกครั้ง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี โดยอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวขึ้น 

ทั้งนี้แม้ PCE Price Index ทรงตัวอยู่ที่ 6.2% YoY เดือนก.ย. เท่ากับ ในเดือนส.ค. แต่ Core PCE Price Index ยังคงขยับขึ้นไปที่ 5.1% YoY .ในเดือนก.ย. จาก 4.9% YoY ในเดือนส.ค. ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 59.9 ในเดือนต.ค. สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่รายงานก่อนหน้านี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 37.90-38.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจและการเงินไทยเดือนก.ย. ทิศทางฟันด์โฟลว์ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค (โดยเฉพาะค่าเงินหยวนและเงินเยน) PMI ภาคการผลิตเดือนต.ค.ของจีน รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/65 และอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของยุโรป

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สองนัดกด 10 ประตู! เมืองทองฯ ยังแรงบุกถล่ม ลำพูน 5-0 ขยับรั้งที่ 9

การแข่งขัน ฟุตบอล ไทยลีก คู่ระหว่าง “ราชันโคขาว” ลำพูน วอริเออร์ เปิดบ้านพบกับ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2565

เริ่มเกมมา 20 นาที ทีมเยือนได้โอกาสจากจังหวะที่ พิชา อุทรา ได้บอลในเขตโทษก่อนเปิดให้ เฮนรี่ อานิเยร์ พักอกแล้วยิงบอลโดน ชนภัช บัวพันธุ์ เปลี่ยนทางเข้าประตูไปให้ เมืองทองฯ นำ 1-0

นาทีที่ 33 “กิเลนผยอง” เปิดเกมได้สวย วงศกร ชัยกุลเทวินทร์ จ่ายบอลขึ้นหน้าให้ เฮนรี่ อานิเยร์ สปีดเข้าเขตโทษก่อนยิงผ่านตัว นนท์ ม่วงงาม ซุกก้นตาข่าย เมืองทองฯ นำห่าง 2-0 พร้อมหมดครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

กลับมาเล่นครึ่งหลังนาทีที่ 48 ทีมเยือนยังเหนือกว่า เฮนรี่ อานิเยร์ พาบอลเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนเปิดไปเสาสองให้ ปรเมศย์ อาจวิไล วิ่งมาแปตุงตาข่าย เมืองทอง ยูไนเต็ด ทิ้ง 3-0

นาทีที่ 65 ยังเป็นทีมเยือนที่ครองบอลบุกเข้าใส่ เอกนิษฐ์ ปัญญา พาบอลไปสุดเส้นหลังฝั่งซ้ายก่อนเปิดเข้าหัว ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ วิ่งเข้ามาโหม่งจ่อๆ ไม่เหลือ เมืองทอง ยูไนเต็ด ทิ้งห่าง 4-0

เท่านั้นยังไม่พอนาทีที่ 82 เอกนิษฐ์ ปัญญา ผ่านบอลทะลุช่องไปให้กับ เอริค โจฮาน่า กระดกบอลข้ามตัว นนท์ ม่วงงาม เข้าประตูไปอย่างเหนือชั้น เมืองทองฯ นำห่าง 5-0

จบเกม “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ฟอร์มสวยบุกถล่ม ลำพูน วอริเออร์ 5-0 คว้าชัยสองเกมติดต่อกัน แถมยังเป็นการยิงคู่แข่งได้ถึง 10 ประตูจาก 2 นัดหลังสุด

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
ลำพูน วอริเออร์ : นนท์ ม่วงงาม (ผู้รักษาประตู), ทศพล ลาเทศ, อัครพงษ์ พุ่มวิเศษ, เจฟเฟรน ซัวเรซ, หมอง หมอง ลวิน, อาลี ซิสโซโก้, วิธวินทร์ คลอวุฒิวัฒน์, สันติภาพ ราษฏร์นิยม, ชนภัช บัวพันธุ์, อนันต์ ยอดสังวาลย์, อ็อกเยน มูดรินสกี้
เมืองทอง ยูไนเต็ด : สมพร ยศ (ผู้รักษาประตู), ลูคัส โฮช่า, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์, ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ , วีระเทพ ป้อมพันธุ์, วงศกร ชัยกุลเทวินทร์, ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ, วัฒนากรณ์ สวัสดิ์ละคร, พิชา อุทรา, ปรเมศย์ อาจวิไล, เฮนรี่ อานิเยร์
ผู้ตัดสิน : วินัด โพธิ์พัฒน์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


นอนกี่ชั่วโมง ถึงจะ “พอดี” กับ “อายุ”

เป็นเหมือนกันไหมคะ ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งนอนน้อย แต่วันไหนที่นอนมาก ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกสดชื่นแจ่มใสร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป เป็นเพราะเมื่อเราโตขึ้น ระยะเวลาในการนอนหลับของเราก็เปลี่ยนไปตามอายุของเราด้วย อายุเท่าไร ควรนอนกี่ชั่วโมงถึงจะเรียกได้ว่านอนอย่างเพียงพอ มาดูกัน 

มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกา ระบุระยะเวลาในการนอนหลับที่เหมาะสม โดยแบ่งตามอายุ ดังนี้

  • เด็กแรกเกิด (อายุ 0-3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมงต่อวัน
  • เด็กทารก (อายุ 4-11เดือน) ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
  • เด็ก (อายุ 1-2 ปปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
  • วัยอนุบาล (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
  • วัยประถม (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
  • วัยมัธยม (14-17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
  • วัยรุ่น (18-25 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
  • วัยทำงาน (26-64 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง เท่ากับตอนวัยรุ่น
  • วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7-8 ชั่วโมง

ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือระยะเวลาที่แนะนำว่าดีต่อร่างกายมากที่สุด สามารถ บวกลบ 1 ชั่วโมงได้บ้างในบางกรณีค่ะ เช่น วัยรุ่น วัยทำงาน สามารถนอนได้ 6 หรือ 10 ชั่วโมง โดยที่ไม่ได้แปลว่านอนน้อย หรือมากจนเกินไป

จะเห็นได้ว่า ที่เราอาจจะเคยเรียนกันมาแต่ก่อนว่า นอน 6-8 ชั่วโมงจะเพียงพอ จริงๆ แล้วใครที่นอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมงอยู่บ่อยๆ อาจจะกลายเป็นว่ากำลังจะนอนไม่เพียงพอ ยิ่งนอนไม่เพียงพอติดต่อกันนานๆ อาจส่งผลถึงสุขภาพในระยะยาวได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


หากต้องการจะสอนที่ Wall Street English คุณจำเป็นต้องมีสิ่งใด ?

อยากจะสอนภาษาอังกฤษที่ Wall Street English คุณจำเป็นต้องมี:

  • ใบประกอบวิชาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ (CELTA)หรือเทียบเท่า การรับรอง TEFL
  • สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
  • มีความรู้ภาษาอังกฤษระดับ native speaker หรือใกล้เคียง native Speaker

ใบรับรอง TEFL

TEFL คืออะไร

TEFL คือตัวย่อของมาตรฐานการสอนภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติ (Teaching English as a Foreign Language) และโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรมของธุรกิจ

ปัจจุบันมีการรับรอง TEFL มากมาย แต่อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ 2 การรับรองที่มีได้รับยอมรับในระดับสากล ได้แก่

  • CELTA (Certificate of English Language Teaching to Adults) รับรองโดย University of Cambridge ESOL
  • Trinity CERT TESOL (Certificate in Teaching English to Speakers of Other Languages) รับรองโดย Trinity College London

ใบรับรอง TEFL ใดที่ Wall Street English  แนะนำ ?

Wall Street English แนะนำผู้สอนที่มีใบรับรอง Cambridge ESOL CELTA หรือเทียบเท่า ที่สอดคล้องกับการรับรองของ IATEFL (International Association for Teachers in English as a Foreign Language) ซึ่งการที่มีใบรับรองจาก CELTA หรือเทียบเท่าที่ทำให้มันใจได้ว่า:

  1. คุณจะรู้สึกมั่นใจและผ่อนคลายกับงาน โดยรู้ว่าคุณได้รับการฝึกฝนและพร้อมที่จะสอนนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ใบรับรองจะเป็นหลักประกันเพื่อให้คุณได้พบโอกาสกับงานที่คุณฝัน
  3. คุณจะเป็นส่วนหนึ่ง ในสังคมของผู้สอนภาษาอังกฤษระดับมืออาชีพ ที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่มีประโยชน์มากมาย

เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงหลักสูตร TEFL ที่ไม่ได้รับการรับรองจากภายนอก หรือหลักสูตรที่อ้างว่าทักษะ TEFL สามารถเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น (วันหยุดสุดสัปดาห์ หรือเพียงแค่อาทิตย์เดียว)

องค์กรชื่อดังที่สามารถออกใบรับรอง TEFL ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

  • Cambridge ESOL CELTA
  • Trinity CERT TESOL
  • SIT TESOL
  • ACELS CELT
  • TESL Canada หลักสูตรที่ได้รับการรับรองซึ่งเป็นไปตามหลัก Professional Certificate Standard One Guidelines
  • โปรแกรม TEFL ของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรอง

ประโยชน์ของ Cambridge ESOL CELTA และ Trinity CERT TESOL คือใบรับรองเหล่านี้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และเป็นเพียงแค่สองการรับรองในตลาดที่ได้รับการรับรองจากภายนอกและมีการตรวจสอบจากภายนอก ซึ่งใบรับรองเหล่านี้สามารถใช้เป็นหน่วยกิจในบางโปรแกรมของมหาวิทยาลัย

แนวทางเบื้องต้นสำหรับคอร์ส TEFL ที่มีคุณภาพ ที่ได้ระบุโดย TEFL Board Accreditation ได้แก่

  • โปรแกรม 120 ชั่วโมงหรือมากกว่า อย่างน้อยภายใน 4 สัปดาห์
  • ขนาดของกลุ่มเรียนไม่ใหญ่กว่า 6:1 (ผู้ข้ารับการฝึกอบรม : ผู้ฝึกอบรม)
  • ได้รับการสังเกตุการณ์และประเมินระหว่างการฝึกสอนนักเรียนจริง อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
  • ผู้ที่สามารถเข้าฝึกอบรมต้องมีวุฒิที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและมีใบรับรอง TEFL รวมถึงมีประสบการณ์ ในการสอนระดับนานาชาติอย่างน้อย  8 ปี รวม 2 ประเทศเป็นอย่างน้อย
  • งานเขียนและการประเมินการสอนของผู้เข้ารับการฝึกอบรม

หลักสูตรควรประกอบไปด้วย

  • ไวยากรณ์ (Grammar)
  • ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
  • สัทวิทยา (Phonology)
  • การจัดการห้องเรียน (Classroom management)
  • กิจกรรม (Activities)
  • การฝึกหัดกับหนังสือ ESL ที่ต่างกัน 3 ชุด
  • การฝึกการทำงานกับสื่อเสียงและสื่อการสอนของ ESL
  • ความรู้เบื้องต้นชุดการสอบระดับสากลหรือชุดตำราภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ

ฉันเป็นผู้สอนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว แล้วฉันจะได้ประโยชน์จากการทำ CELTA หรือ Trinity CERT TESOL อย่างไร ?

คอร์ส CELTA และ Trinity CERT TESOL จัดขึ้นอย่างบ่อยครั้งและเป็นผลทำให้มีการปรับปรุงและแก้ไขใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยระเบียบวิธีวิจัยและเทคนิคการสอนล่าสุด CELTA และ Trinity จะสามารถยกระดับ, รวบรวม หรือต่อยอดเทคนิคที่ได้ผลจริงที่คุณอาจได้เรียนรู้จากงาน

“ผมได้สอน ESL มา 6 ปีก่อนที่จะได้ CELTA ในระหว่าง 6 ปีนั้นผมเรียนรู้การดำเนินงานที่ดีเยี่ยมจากการลองผิดลองถูกและได้เป็นครูที่รอบรู้ในที่สุด แต่คอร์ส CELTA ทำให้ผมรู้ถึงส่งที่ผมยังขาดทั้งทฤษฎีและเทคนิคในทางปฏิบัติ โดยปราศจากการมุ่งประเด็น, เนื้อหาสาระ และวิธิการที่เป็นระบบ ที่คอร์ส CELTA นั้นมีให้ งั้นก็เท่ากับว่าการเรียนการสอนภาษาได้ดำเนินความเสี่ยงแบบสุ่มๆ ไร้ประสิทธิภาพ และถึงขั้นเป็นภัยต่อนักเรียนงั้นหรือ?

ก่อนที่จะเข้าคอร์ส CELTA ผมสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่หลังจากที่ได้ CELTA แล้วผมสามารถเรียกตัวว่าเป็นมืออาชีพ การมีประกาศนียบัตรที่เป็นมืออาชีพทให้ผมกลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด ESL ราวกับประเทศจีน ซึ่งมันยังหมายถึงความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงานของผม โอกาสทางการงานในบริษัทที่ดีที่สุด และแน่นอนเงินเดือนที่สูงขึ้น ดังนั้น CELTA ถือว่าเป็นเส้นทางที่ยังไงเราก็ต้องมุ่งไป”

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


ภาพคันจริง Toyota bZ4X ใหม่ รถไฟฟ้า 100% ก่อนเปิดตัวในไทยเร็วๆ นี้

 ภาพคันจริง Toyota bZ4X ใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่กำลังจะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเร็วๆ นี้ คาดราคาจำหน่ายเริ่มต้นใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ราว 1.6 – 1.8 ล้านบาท

แม้ว่าโตโยต้าประเทศไทยจะเคยนำเอารถยนต์ไฟฟ้า bZ4X มาจัดแสดงครั้งหนึ่งแล้วที่งาน Bangkok International Motor Show 2022 เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่คราวนี้ Sanook Auto ได้มีโอกาสเก็บภาพเพิ่มเติมของรถรุ่นดังกล่าวที่ถูกนำมาจัดแสดงภายใน Toyota Alive Space ย่านบางนา ก่อนการเปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นภายในปี 2565 นี้ โดยคาดว่าจะมีราคาจำหน่ายใกล้เคียงกับที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีราคารุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าอยู่ที่ 6,000,000 เยน หรือประมาณ 1,600,000 บาท และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้ออยู่ที่ 6,500,000 เยน หรือประมาณ 1,730,000 บาท ซึ่งเป็นราคาหลังหักเงินสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นแล้ว

     อย่างไรก็ดี Toyota bZ4X ในประเทศญี่ปุ่นถูกวางจำหน่ายในรูปแบบเช่าระยะยาวผ่านบริการ KINTO เท่านั้น โดยสามารถครอบครองได้สูงสุดนาน 10 ปี และสามารถยกเลิกสัญญาโดยไม่มีค่าธรรมเนียมตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป พร้อมการรับประกันแบตเตอรี่นาน 10 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร

Toyota bZ4X ในตลาดญี่ปุ่นมีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) และขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) โดยรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 266 นิวตัน-เมตร ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดรวม 218 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดรวม 338 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนความจุ 71.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 559 กิโลเมตรในรุ่น FWD และ 540 กิโลเมตรในรุ่น AWD

     สำหรับตัวถังของ Toyota bZ4X ในตลาดญี่ปุ่นมีให้เลือกทั้งหมดถึง 6 สี โดยทุกสีสามารถเลือกตัวถังสีทูโทนหลังคาดำได้ (ยกเว้นสีดำ) ประกอบด้วย สีขาว Platinum White Pearl Mica, สีเงิน Precious Silver, สีเทา Precious Metal (สีที่ปรากฏในภาพ), สีดำ Black, สีแดง Emotional Red II และสีน้ำเงิน Dark Blue Mica

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กาแฟ vs ชาเขียว อยากได้คาเฟอีน ดื่มอะไรดีต่อสุขภาพมากกว่า

สำหรับใครที่อยากได้คาเฟอีนกระตุ้นให้ตื่นตัวตอนเช้า กาแฟกับชาเขียว อะไรที่ดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน

คาเฟอีนในกาแฟ vs ชาเขียว

หากดูกันที่ปริมาณของคาเฟอีนในกาแฟและชาเขียว ในปริมาณเครื่องดื่มที่เท่ากัน กาแฟมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า กาแฟ 240 มิลลิกรัม มีคาเฟอีนราว 96 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาเขียวในปริมาณเท่ากัน จะมีคาเฟอีนราว 29 มิลลิกรัม

ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวันในวัยผู้ใหญ่ 100 มิลลิกรัมสำหรับวัยรุ่น และ 2.5 มิลลิกรัมสำหรับเด็ก 

นั่นหมายความว่า หากอยากดื่มกาแฟ ก็ไม่ควรดื่มเกิน 4 แก้วต่อวัน ในขณะที่เราสามารถดื่มชาเขียวได้มากถึง 13 แก้วเลยทีเดียว (แต่เราไม่ควรดื่มมากขนาดนั้น)

ด้วยความที่กาแฟมีคาเฟอีนเข้มข้นมากกว่า การดื่มกาแฟจึงอาจทำให้ร่างกายของเราตื่นตัวได้ในทันที ในเวลาอันรวดเร็ว แต่การดื่มชาเขียว หากจิบทีละเล็กละน้อยไปตลอดทั้งวัน ก็จะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวได้ตลอดทั้งวันได้เช่นกัน

ประโยชน์ของคาเฟอีน

  • เพิ่มพลังงาน กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว
  • ลดความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
  • เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ หรือตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มความสามารถในการเผาผลาญพลังงานขณะออกกำลังกาย
  • เพิ่มความสามารถในการจดจำและปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น

ประโยชน์และโทษต่อสุขภาพของกาแฟ vs ชาเขียว

ทั้งกาแฟและชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก และสารแอล-ธีอะนีนในชาเขียวยังช่วยผ่อนคลายจิตใจ ลดความเครียดได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟหรือชาเขียว โดยเฉพาะการดื่มกาแฟหรือชาเขียวที่มีส่วนผสมของครีมเทียม น้ำตาล น้ำเชื่อม หรือสารให้ความหวานต่างๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน หลอดเลือดหัวใจ ไขมันในเลือด หรือเบาหวานประเภท 2 รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะ “ติดคาเฟอีน” ที่หากไม่ได้ดื่มจะเกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ หงุดหงิดงุ่นง่าน ไปจนถึงซึมเศร้า หดหู่ ไม่มีสมาธิ และนอนไม่หลับได้

กาแฟ vs ชาเขียว อยากได้คาเฟอีน ดื่มอะไรดีต่อสุขภาพมากกว่า

ทั้งกาแฟ และชาเขียว ต่างมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยกันทั้งคู่หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม การเตรียมเครื่องดื่มด้วยวิธีที่ถูกต้อง อาจสามารถทำให้เราได้ดื่มกาแฟหรือชาเขียวแก้วโปรดอย่างปลอดภัยและได้ประโยชน์มากกว่าเดิม ดังนี้

  • ใช้กระดาษกรองกาแฟในการชง ช่วยลดปริมาณของสารคาเฟสตอล (cafestol) ในกาแฟได้ ซึ่งเป็นสารที่เพิ่มความเสี่ยงของคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ดื่มกาแฟและชาเขียวที่ไม่ใส่วัตถุดิบอื่นๆ เพิ่ม เช่น นม น้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม ครีม สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ฯลฯ หากอยากได้รสหรือกลิ่นหอมหวาน สามารถใส่อบเชย หรือจันทน์เทศแทนได้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคอ้วนได้ด้วย
  • หากอยากใส่นมจริงๆ เปลี่ยนจากนมปกติเป็นนมไขมันต่ำ
  • ใส่น้ำมะนาวลงไปในชาเขียวเล็กน้อย ช่วยให้สารต้านอนุมูลอิสระในชาดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายได้มากยิ่งขึ้น
  • ไม่ดื่มกาแฟเกิน 4 แก้วต่อวัน และไม่ดื่มหลัง 16.00 น.
  • ดื่มชาเขียวได้มากกว่า 4 แก้วต่อวันก็จริง แต่ไม่ควรดื่มแต่ชาเขียวทั้งวัน และควรดื่มน้ำเปล่าด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/10/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,500.0029,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,911.0028,970.7630,100.00
ทองรูปพรรณ 90%1,719.9026,073.68n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,528.8023,176.61n/a
ทองรูปพรรณ 50%860.0013,037.60n/a
ทองรูปพรรณ 40%669.0010,142.04n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,980.0030,016.80n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/10/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.3535.3535.7535.6535.6535.3535.3535.3535.6535.35
แก๊สโซฮอล์ 9135.0835.0835.4835.3835.3835.0835.0835.0835.3835.08
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.6434.5434.5434.2434.2434.5434.24
แก๊สโซฮอล์ E8532.8432.8432.84
เบนซิน 9542.7643.5143.2643.2142.76
ดีเซล B734.9434.9435.8435.4435.4434.9434.9434.9435.4434.94
ดีเซล34.9434.9435.8435.4435.4434.9434.9434.9435.4434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.8435.4434.9434.9434.5434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6646.0645.5645.5634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า