จีนเปิดประเทศ -อสังหาฟื้นCPANEL เพิ่มกำลังผลิต -ขยายฐานลูกค้า
จีนเปิดประเทศ -อสังหาฟื้น CPANEL เพิ่มกำลังผลิต -ขยายฐานลูกค้า ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น
จากตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตอบสนองต่อเนื่องตามความต้องการผู้บริโภค สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี2566มีแนวโน้มฟื้นตัว จากกำลังซื้อที่เริ่มกลับมา หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ประกอบกับจีนเปิดประเทศ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจประเทศให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่าเศรษฐกิจและอสังหาฯไทยเริ่มฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดี เช่นเดียวกับข้อมูลของศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ ที่คาดการณ์ ว่าจะมีอัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ประมาณ 3.4% เป็นผลมาจากการประเทศ ทำให้เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางมาเพิ่มมากขึ้น
โดย ปีนี้ คาดการณ์ว่า ปริมาณนักท่องเทียวจะเดินทางมา อยู่ที่ประมาณ 22 ล้านคน เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 10.3 ล้านคน และสร้างโอกาสในการซื้อสังหาริมทรัพย์ในไทยโดยเฉพาะชาวจีน ส่งผลให้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องขยับตัวตามความเคลื่อนไหวของดีเวลลอปเปอร์ และการลงทุนภาครัฐ
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ประเมินว่า จากทิศทาง ตลาดอสังหา ที่เริ่มฟื้นตัว และ การเปิดประเทศของปี ส่งผล บวกต่อภาคก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง
ตลอดจนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง มีแนวโน้มเติบโตตาม ซึ่งภาพรวมประเมินว่า มีสัญญาณที่ดี ปริมาณบ้านจัดสรรก่อสร้างใหม่ในเขตกรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑลยังคงเติบโต โดยเฉพาะบ้านระดับกลาง – บน ส่วนคอนโดมิเนียม คาดว่าจะได้รับอานิสงส์อย่างมากจากการที่ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน กลับมาเปิดประเทศเต็มตัว ฯลฯ
รวมถึงแผนขับเคลื่อน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเคลื่อนตัวของนักลงทุนต่างชาติและแรงงานทำให้มีประชากรที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่อีอีซี ส่งผลต่อความต้องการอุปโภค บริโภค และที่อยู่อาศัย และกระจายตัวไปตามความต้องการในจังหวัดหัวเมืองใหญ่
อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ จากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในแถบยุโรปบางประเทศ ทำให้ไทยได้อานิสงค์ ที่จะเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนตลอดจนที่อยู่อาศัย
ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ ปีนี้ CPANEL มีแผนขยายฐานลูกค้าภาคอสังหาฯ หัวเมืองใหญ่ ทั้งแนวราบ แนวสูง รวมถึงลูกค้ากลุ่มโรงแรม และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ และภาคท่องเที่ยว และลงทุนเครื่องจักร ขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิตอีก 25% จาก7.5แสนตารางเมตร ต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวเศรษฐกิจและอสังหาฯในระยะยาว
โดยปีนี้ มุ่งเน้นกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า พร้อมเพิ่มกำลังการผลิต ตั้งเป้าหมายผลประกอบการทำนิวไฮต่อเนื่อง โดยปี2565 เป็นปีที่ 3 มีรายได้เติบโต 10-15% พร้อมรักษาความสามารถการทำกำไรจากการดำเนินงาน
สำหรับปัจจุบันยัง มีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,295 ล้านบาท ทยอยรับรู้ภายในปี 2566- 2567 (ภายใน 2 ปี) และมีลูกค้าให้การตอบรับต่อเนื่อง
“จากการเปิด ปีนี้ไทยได้รับปัจจัยเชิงบวกจากจีนค่อนข้างมากโดยเฉพาะภาคอสังหาฯ และการท่องเที่ยว ประกอบกับความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลัง ชะลอการตัดสินใจมา 3ปี นับจากเกิดสถานการณ์โควิด ส่งผลให้การแข่งขันของผู้ประกอบการมีสูง เพื่อเร่งงานก่อสร้างเพื่อส่งมอบได้ทันเวลา ลดต้นทุนการก่อสร้าง และแรงงาน เพิ่มทันหมดเวียนได้มากขึ้น นั่นหมายถึงความต้องการ ”
“ฐานเศรษฐกิจ” ย้อนดู ผลประกอบการปี 2564 CPANEL มีรายได้รวม 312.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน( 2563) ที่มีรายได้รวม 221.15 ล้านบาท จำนวน 91.29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.27% และมีกำไรสุทธิ 31.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น18.68 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.12 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทำเลทองไชน่าทาวน์เมืองไทย มีที่ไหนบ้าง
ทำเลทองไชน่าทาวน์เมืองไทย มีที่ไหนบ้าง จีน แผ่อาณาจักร เยาวราช ห้วยขวาง บางนา สุวรรณภูมิ บางพลี ที่ดินราคาพุ่ง
เทศกาลปีใหม่จีนปีนี้ สร้างความคึกคักและคาดการณ์ว่ามีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 4หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นปีแรกที่ กลับมาจัดงานยิ่งใหญ่ หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด แต่ทั้งนี้ กลุ่มคนจีน นิยม ใช้ชีวิตอยู่ย่านไหนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ”ฐานเศรษฐกิจ” จะพาไปดู
เริ่มจาก “ เยาวราช” ไชน่าทาวน์ เมืองไทย เส้นเลือดใหญ่ ย่านการค้าเก่าแก่ ของคนจีน พื้นที่เล็กๆ แต่มากไปด้วยคุณค่า เนื่องจาก ตั้งอยู่บนเกาะรัตนโกสินทร์ เขตชั้นในกรุงเทพมหานคร มีกฎห้ามดัดแปลงอาคารห้ามก่อสร้างอาคารสูง ทำให้ กลายเป็นเสน่ห์ สร้างมูลค่าทางสถาปัตยกรรมชุมชนจีนโบราณ
มีถนนเยาวราช หัวใจสำคัญ ระยะทางสั้นๆ เพียง 1,510 เมตร แต่สร้างความมั่งคั่งให้กับชาวจีน มีฮวงจุ้ยดี จุดเริ่มต้นของหัวมังกร ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาบริเวณวงเวียนโอเดียน ท้องมังกรอยู่ที่บริเวณตลาดเก่าเยาวราชและสิ้นสุดปลายหางมังกรที่บริเวณปลายสุดของถนน จึงถูกขนานนามว่า ถนนมังกร
ปัจจุบันพลิกโฉมเป็น สตรีทฟู้ด กินดื่มช็อปยามราตรี มีร้านอาหารอร่อยบุคคลสำคัญของโลกการันตี ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลก อีกทั้งมีศูนย์รวมจิตใจ คือวัดมังกรกมลาวาส ( วัดเล่งเน่ยยี่ ) วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ดึงดูดคนเข้าท่องเที่ยว ไม่เพียงเฉพาะเทศกาลตรุษจีน มี MRTสีน้ำเงิน เป็นแม่เหล็กอีกแรง
ขณะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มองเห็นโอกาส โดยเฉพาะเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ซื้อที่ดินผืนงามเวิ้งนาครเขษมที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ต่อจาก ราชสกุลบริพัตร 14-1-91.0 ไร่ เตรียมพัฒนามิกซ์ยูส มูลค่า1.6 หมื่นล้านบาทพลิกโฉม ย่านเจริญกรุงให้มีกลิ่นอายไชน่าทาวน์ในปีนี้
นอกจากนี้มีค่ายแสนสิริ เข้าไปปักหมุดพัฒนาบ้านหรูทำเลเสือป่าขาย หลังละกว่า30 ล้านบาท ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนคนรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับค่ายพฤกษาพัฒนาบ้านหรูสถาปัตยกรรมจีนมีคนให้คนสนใจอย่างมากในรายแรกๆรวมถึง บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY ซื้อที่ดินแปลงงามย่านสำเพ็งพัฒนาบ้านหรูขายราคา20ล้านบาทอัพ
จากการบอกเล่าของ เจ้าของอาคารบริเวณแยกแปลงนาม ระบุว่า วันนี้เยาวราชเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจาก ชุมชนเก่ากลายเป็นโครงการใหม่ ที่ดินและอาคารหลายแปลง ถูกเปลี่ยนมือ เป็นของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาซื้อตั้งแต่ช่วงกำลังสร้างส่วนต่อขยายMRTใต้ดินสายสีน้ำเงิน ดังนั้นร้านค้าร้านรวงโรงแรม จึงเต็มไปด้วยนักลงทุนจีนเป็นเจ้าของ
ส่วนราคาที่ดิน แพงหูฉี่ ราคาประเมินที่ดินกรมธนารักษ์รอบปี2566-2569 อยู่ที่7แสนบาทต่อตารางวา ขณะราคาซื้อขายตลาดอยู่ที่1.75-1.8ล้านบาทต่อตารางวา ที่ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (area.co.th)ประเมินไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ‘เยาวราช’ เป็นหนึ่งในไชนาทาวน์หรือชุมชนจีนนอกประเทศจีนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2325 พร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 1 และเพิ่มความยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน
ห้วยขวาง รัชดาฯ ขุมทองจีน
ห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก อีกทำเลที่มีชาวจีนอยู่อาศัยทำกิจการการค้าสร้างตำนานบทใหม่ และขยายวงไปตามถนนรัชดาฯ ศูนย์วัฒนธรรม ถนนพระราม9 ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ “ฐานเศรษฐกิจ”ลงพื้นที่สำรวจพบว่า ตามตรอกซอกซอย เต็มไปด้วยสังคมชาวจีน ป้ายหน้าร้านอาคารพาณิชย์ เป็นภาษาจีน
บ่งบอกถึงความเป็นมหานครจีน เพราะทั้งโรงแรม ร้านรวง ร้านอาหาร ร้านทอง ล้วนคนจีนเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ รวมถึงอาคารสำนักงาน มีชาวจีนซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุน เพราะทำเลนี้ ใกล้สถานทูตจีน แนวเส้นทางรถไฟฟ้า เดินทางสะดวกทั้งเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองและ สนามบินสุวรรณภูมิ
สุวรรณภูมิ –บางพลี ดงบ้านหรู
ขยับออกชานเมือง ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงของชาวจีนได้แก่ โซนตะวันออกของกรุงเทพมหานคร อย่าง บางนา ยกระดับให้เป็นนิวซีบีดีใหม่ในอนาคตที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด อีกหมุดหมายที่คนจีนที่ตั้งบริษัทประกอบธุรกิจในไทย ซื้อบ้านหรูเพื่ออยู่อาศัย
ฮอตที่สุดได้แก่รอบสนามบินสุวรรณภูมิ ย่านบางพลีจังหวัดสมุทรปราการ เพราะ1.ใกล้สนามบิน 2.ใกล้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี3.ใกล้โรงเรียนนานาชาติ 4.ใกล้โรงพยาบาล 5.การเดินทางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน6.อยู่ได้ทั้งครอบครัว
จากการบอกเล่าของ นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาบ้านหรูในย่าน บางพลี สุวรรณภูมิ ระบุว่า ปัจจุบันชาวจีน ไม่มองเรื่องการลงทุนคอนโดฯ เหมือนที่ผ่านมา กลับให้ความนิยมซื้อที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ราคา ตั้งแต่50ล้านบาทขึ้นไปในทำเลบางนา สุวรรณภูมิ บางพลี
เนื่องจากเป็นทำเลที่สงบ ครบทั้งโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ สะดวกต่อการเดินทางเพราะใกล้สนามบิน ที่สำคัญเป็นทำเลที่ค่ายใหญ่เข้ามาพัฒนาโครงการบ้านหรู ที่มีทุกอย่างตามที่เขาต้องการ จึงกลายเป็นที่ชื่นชอบ
อนาคต เราอาจเห็น ไชน่าทาวน์ทำเลใหม่ๆ จะเป็นที่ไหนต้องจับตา !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้น ทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่พร้อมยผันผวนยังคงมีแนวต้านสำคัญในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (23ม.ค.2566)ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 32.82 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียปรับตัวขึ้นได้ดี จากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและรายงานผลประกอบการโดยรวมออกมาแย่กว่าคาด
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวัง รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง
ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของสหรัฐฯ, ยูโรโซน และญี่ปุ่น รวมถึงรอลุ้นรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ Microsoft, ASML และ Tesla เป็นต้น
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดประเมินว่า ภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัวจะช่วยหนุนการใช้จ่ายในภาคการบริการ ซึ่งจะสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (S&P Global Services PMI) ในเดือนมกราคมที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45 จุด
นอกจากนี้ ภาคการบริการจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญที่ทำให้ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวได้ +2.6% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่ก็เป็นการชะลอลงของเศรษฐกิจจากที่โตได้กว่า +3.2% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด
รวมถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมกราคม อาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 46 จุด
อย่างไรก็ดี ไฮไลท์สำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตาม โดยตลาดคาดว่า การปรับตัวลงของราคาพลังงานและโปรโมชั่นลดราคาสินค้า เพื่อระบายสต็อกในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จะกดดันให้ อัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนธันวาคม ชะลอลงสู่ระดับ 5.0%
อย่างไรก็ดี แม้ว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อาจจะชะลอลงสู่ระดับ 4.4% ตามภาพการชะลอลงของเศรษฐกิจโดยรวม ทว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับภาคการบริการและไม่รวมค่าเช่าบ้าน Core PCE Services ex. Housing Rents อาจไม่ได้ชะลอลงไปมากนัก
ทำให้เฟดอาจยังคงกังวลว่าเงินเฟ้อชะลอลงช้าและจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปีนี้ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Microsoft, Tesla และ Chevron ซึ่งหากผลประกอบการบริษัทโดยรวมแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงต่อ (Risk-Off) ได้
▪ ฝั่งยุโรป – ตลาดคาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ของยูโรโซน เดือนมกราคมอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -20 จุด สะท้อนความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจยูโรโซนที่ดีขึ้น
ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากฤดูหนาวของยุโรปที่อุ่นกว่าปกติ ทำให้ยูโรโซนผ่านพ้นวิกฤตพลังงานไปได้ นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้น อาจช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการได้เช่นกัน
ตลาดมองว่า ดัชนี PMI ภาคการบริการของยูโรโซน ในเดือนมกราคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.2 จุด อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงอาจกระทบต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซนทำให้ ดัชนี PMI ในภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 48 จุด
สะท้อนภาวะหดตัวต่อเนื่องในภาคการผลิตอุตสาหกรรม นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB
รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ ASML และบรรดาบริษัทสินค้าแบรนด์เนม
▪ ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นอาจยังคงหดตัวอยู่จากผลกระทบของการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตเดือนมกราคมที่ระดับ 49 จุด
อย่างไรก็ดี ภาคการบริการของญี่ปุ่นมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักมากขึ้น หลังการเปิดประเทศ โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52 จุดได้ในเดือนมกราคม
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่าระดับอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะยิ่งได้แรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 1.50%
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตามุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคตอย่างใกล้ชิด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มประเมินว่า กนง. อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงได้
อนึ่งในภาพเศรษฐกิจ ตลาดมองว่ายอดการส่งออก (Exports) เดือนธันวาคม อาจหดตัว -11%y/y ตามการชะลอลงของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) จะหดตัวราว -8.5%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจยังคงขาดดุลถึง -1.6 พันล้านดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า แม้ว่าเงินบาทจะมีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง (แข็งค่าขึ้น ทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์) แต่ก็พร้อมผันผวนอ่อนค่าลง หากตลาดปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้จริง
ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติก็รอจังหวะเพิ่มสถานะ Short USDTHB ตามความหวังการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ควรระวังเงินดอลลาร์อาจรีบาวด์ขึ้นได้ หากตลาดเดินหน้าปิดรับความเสี่ยงต่อ (รายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด) หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด อาทิ อัตราเงินเฟ้อ PCE ไม่ได้ชะลอลงตามคาด ทำให้ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.20 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.90 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแข็งค่าไปที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 10 เดือนครั้งใหม่ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อนที่ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงมีแรงหนุนต่อเนื่อง ขณะที่ highlight สำคัญของตลาดในประเทศจะอยู่ที่ผลการประชุมกนง. ในช่วงกลางสัปดาห์ ส่วน sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มชะลอขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และสัญญาณอ่อนแอจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (อาทิ การปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของยอดขายบ้านมือสองในเดือนธ.ค.)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผล ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย และมุมมองการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กระหึ่มโลก! “วิว กุลวุฒิ” ฟอร์มสวยเอาชนะ แอ็กเซลเซ่น หยิบแชมป์ขนไก่อินเดีย
การแข่งขัน แบดมินตัน รายการ “โยเน็กซ์ ซันไรท์ อินเดีย โอเพ่น 2023” ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 900,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 30,600,000 บาท) ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2566
ประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ เป็นการพบกันระหว่าง “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวาง 8 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลกชาวไทย กับ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น มือวาง 1 ของรายการ มืออันดับ 1 ของโลกจากเดนมาร์ก
สำหรับสถิติก่อนเกมของคู่นี้พบกันทั้งหมด 6 ครั้ง เป็นทางด้าน วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น ที่ทำผลงานได้เหนือกว่ามากเก็บชัยได้หมดทุกครั้ง โดยหนล่าสุดคือรายการ เดนมาร์ก โอเพ่น 2022 วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-0 เกม
เกมนี้ นักตบลูกขนไก่ชาวไทยวัย 21 ปี ทุ่มสุดตัวเบียดเอาชนะไปได้ก่อนในเกมแรก 22-20 อย่างไรก็ตามในเกมสอง วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น ทำได้เหนือกว่ามากเอาชนะไปได้แบบสบายๆ 21-8 ทำให้เสมอกัน 1-1 เกม ต้องไปตัดสินกันในเกมสุดท้ายและเป็น กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่ทำได้ดีเอามากๆ ชนะไปได้ 21-12 ใช้เวลาแข่งขัน 64 นาที เอาชนะไปได้ 2-1 เกม
จากชัยชนะในเกมนี้ทำให้ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ รับเงินรางวัล 59,500 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,933,000 บาท) นับเป็นการคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 750 เป็นครั้งแรก และเป็นการปลดล๊อคเอาชนะ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น มือ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรก
ด้าน คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และ นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “ต้องขอปรบมือและชื่มชม กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่เริ่มต้นฤดูกาลแข่งขันในปี 2023 ได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ”
“ต้องชื่นชมในการวางแผนของโค้ชเป้ ภัททพล รวมไปถึงหัวจิตหัวใจของ กุลวุฒิ ที่ต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม กับการคว้าแชมป์ “โยเน็กซ์ ซันไรท์ อินเดีย โอเพ่น 2023″ นับเป็นการคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 750 เป็นครั้งแรก และเป็นการปลดล๊อคเอาชนะ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น มือ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรก”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 วิธีแก้อาการ “บ้านหมุน”
อาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน (Vertigo) หรือ อาการบ้านหมุน เป็นความรู้สึกเวียนศีรษะ ซึ่งทำให้ผู้ที่มีอาการไม่สามารถทำงานหรือเรียนหนังสือได้ตามปกติ Helloคุณหมอ ขอแนะนำข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการ แก้อาการบ้านหมุน ที่จะช่วยให้คุณอาการดีขึ้น
ความหมายของอาการบ้านหมุน
อาการบ้านหมุนเป็นภาวะหนึ่งที่มีความรู้สึกว่า โลกโดยรอบตัวของเรากำลังหมุน ปัญหาเกี่ยวกับหูชั้นในเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุน
สาเหตุอาการบ้านหมุน
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ปัญหาเกี่ยวกับหูชั้นในทำให้เกิดอาการบ้านหมุน ซึ่งปัญหาดังกล่าว ได้แก่
หินปูนในหูชั้นในเคลื่อน
เมื่ออาการหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) เกิดขึ้น แคลเซียมจำนวนหนึ่งจะเกิดการสะสมตัว หรือมีอนุภาคหลุดเข้าไปอยู่ในช่องหูชั้นใน แล้วหูส่งสัญญาณที่ผิดไปยังสมอง ซึ่งทำให้เสียสมดุลของร่างกาย ไม่มีเหตุผลที่แน่ชัดสำหรับ BPPV อาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับอายุที่มากขึ้น
น้ำในหูไม่เท่ากัน
เป็นที่เชื่อกันว่าภาวะน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) เกิดขึ้นเมื่อของเหลวสะสมตัวในหู ซึ่งส่งผลต่อความดันปกติในหู
เส้นประสาทการทรงตัวในหูอักเสบ
การติดเชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของปัญหาเส้นประสาทการทรงตัวในหูอักเสบ (Vestibular Neuritis) เมื่ออาการนี้เกิดขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบที่ส่งผลต่อเส้นประสาทของหูชั้นใน ซึ่งทำหน้าที่ในการคงความสมดุลของร่างกาย
แก้อาการบ้านหมุน วิธีนี้ช่วยคุณได้
ในบางครั้ง อาการบ้านหมุนจะหายไปเอง โดยไม่ต้องมีการรักษาเฉพาะใดๆ ในทางกลับกัน ในหลายกรณี อาการบ้านหมุนจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
การฟื้นฟูเส้นประสาทการทรงตัว
ระบบประสาทการทรงตัวทำหน้าที่ส่งสัญญาณต่างๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายไปยังสมอง ส่งผลดีให้สมองทราบและปรับเพื่อทำให้ทรงตัวได้ การฟื้นฟูเส้นประสาทการทรงตัว (Vestibular rehabilitation) เป็นการบำบัดประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ระบบประสาทการทรงตัวแข็งแรงมากขึ้น
การทำให้หินปูนในหูชั้นในกลับเข้าที่เดิม
การบำบัดด้วยการทำให้หินปูนในหูชั้นในกลับเข้าที่เดิม (Canalith repositioning maneuvers) วิธีนี้ใช้เพื่อจัดการภาวะ BPPV ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวศีรษะและร่างกาย เพื่อทำให้อนุภาคแคลเซียมออกจากช่องหูชั้นใน แล้วอนุภาคดังกล่าวมีการดูดซึมโดยร่างกาย การบำบัดด้วยวิธีนี้ต้องได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลที่ปลอดภัยที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การใช้ยา
หากอาการบ้านหมุนเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะได้รับยาปฏิชีวนะ (antibiotics) หรือสเตียรอยด์ (steroids) สารเหล่านี้สามารถจัดการอาการบวมและต้านการติดเชื้อ
หากมีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน แพทย์อาจให้ยาขับปัสสาวะ (diuretics) แก่ผู้ป่วยเพื่อจัดการการสะสมตัวของของเหลว
การผ่าตัด
ในกรณีอื่นๆ บางประการ ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการรู้สึกหมุน
เนื่องจากในบางครั้งอาการบ้านหมุนเกิดจากความผิดปกติประจำตัว เช่น เนื้องอกหรืออาการบาดเจ็บที่คอหรือสมอง ในกรณีนี้ การผ่าตัดเพื่อกำจัดสาเหตุดังกล่าวจึงจะสามารถช่วยผู้ป่วยได้เท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
บทความภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเทคโนโลยี How Internet Change the standards of studying?
How Internet or technology did change the standards of studying?
บทความภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเทคโนโลยี เรื่อง อินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีเปลี่ยนมาตรฐานการศึกษาอย่างไร
A long time ago when the internet wasn’t born yet the only technology that humans were able to use is abacus, old-fashioned cameras and etc.
As we’ve all know INTERNET the most modern way to communicate with the people around the world. The INTERNET began to operate in the 1960’s. In this way, a single signal can be sent to multiple users. The old fashion way in sending mails had been thrown out in some people. Mostly now uses E-MAIL for sending mails to different parts of the country or sending it to other countries.
An e-mail was developed through ARPANET as did the bulletin-board system.
It has now different qualities; here are some of them; yahoo.com, yehey.com, mail.com, hotmail.com and more. People knew that it was a modern way in sending their mails to their families, friends, loved ones, and other relatives.
In 1991, was introduced to the people of what we call now as the WORLD WIDE WEB.WORLD WIDE WEB is the part of the Internet that most users see and use and which has made it so popular. This gave birth to a big boom in web usage. The web continuous its growth in a very incredible way. There are now a billion of pages of the web and thousands more.
And now that INTERNET has come to be my way of learning, discovering and seeing new things. I feel that I’m very lucky to have my internet to hold on to. For my projects, assignments research and etc. but of course, I am not forgetting to study by book, to research from libraries and etc. because I know that internet does really help a lot, but I also know that I should also help myself to relate my studies to my own learning. Because I will bring everything, I have been studying until my college until I work until I grow up and need to live my life with my own budget. Which probably so-called SALARY.
ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
กองทุนวิจัยฯ อนุมัติทุนสนับสนุนการทดสอบ “ผลึกเหลวอวกาศ” 23.5 ล้านบาท
กสว.หนุนตั้ง “ทีมไทยแลนด์” สนับสนุนการทำวิจัยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ พร้อมสร้างกำลังคนเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคต รวมถึงสนับสนุนโครงการวิจัย “ผลึกเหลวอวกาศ” ร่วมกับนาซาและธนาคารโลก เพื่อขับเคลื่อน ววน. สู่การพัฒนาประเทศ
ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีวาระสำคัญ เช่น การติดตามประเมินผลว่าตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ และอาจตั้ง “ทีมไทยแลนด์”
เพื่อสนับสนุนการทำวิจัยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนต่าง ๆ ต้องเห็นภาพเชิงระบบของประเด็นที่ขับเคลื่อนเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย เช่น การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและระบบราง ทั้งการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน ความก้าวหน้าและความต่อเนื่องของการดำเนินงาน ความต้องการลงทุนร่วมของภาคเอกชน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังพิจารณาอนุมัติการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญ ของแผนงานพัฒนาระบบโลจิสติกส์และระบบรางของประเทศให้ทันสมัยได้มาตรฐานสากลแข่งขันได้ และเชื่อมต่อกับเครือข่ายรองรับระบบเศรษฐกิจนวัตกรรมในภูมิภาคอาเซียน ในแผนด้าน ววน. ของประเทศ พ.ศ. 2566-2570
ซึ่งทำงานเพื่อปิดช่องว่างในการสร้างคนและเครือข่าย รวมถึงการนำความรู้เทคโนโลยีต่างประเทศมาใช้หรือการถ่ายทอด และต่อยอดเทคโนโลยีที่จะต้องทำงานแบบทีมไทยแลนด์เช่นกัน
พร้อมทั้งอาจต้องพิจารณาการสร้างกำลังคนในภาคอุดมศึกษาที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) อาจต้องพิจารณาสนับสนุนการสร้างนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ในเชิงลึก
ควบคู่กันไปกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ที่รับผิดชอบด้านการผลิตกำลังคนในระดับอุดมศึกษา
โดยอาจปรับเปลี่ยนหลักสูตรในระบบวิศวกรรมให้ตอบโจทย์เชิงประเด็นมากขึ้น เช่น วิศวกรรมไฟฟ้าระบบราง ฟิสิกส์ระบบราง และสาขาที่ขาดแคลนอื่น ๆ ซึ่งจะต้องกระจายให้เห็นภาพรวมและทันต่อความต้องการกำลังคนของประเทศ
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบให้สนับสนุนงประมาณเพิ่มเติมแผนงานย่อย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้า ล้ำยุคสู่อนาคตฯ เพื่อการประยุกต์ใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาประเทศด้านภูมิสารสนเทศ และต่อยอดสู่อุตสาหกรรมอวกาศในอนาคต
เพื่อสนับสนุนโครงการการออกแบบและสร้างเพย์โหลดสำหรับการทดลองผลึกเหลวบนสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นเงิน 23.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การนาซากับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อต่อยอดร่วมสร้างองค์ความรู้ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านต่าง ๆ ในด้านระบบโลกและอวกาศ
โดย กสว.ให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม อาทิ อิสระในการดำเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อจะได้ดำเนินการได้ถูกต้อง การต่อยอดสู่อุตสาหกรรม การทดแทนการนำเข้า
นักวิจัยต้องคิดกระบวนการและหาความร่วมมือตั้งแต่ต้น เพื่อจะได้ดำเนินการตามเจตนารมณ์ เน้นผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ เนื่องจากเป็นงานสำคัญระดับประเทศและระดับโลก
ส่วนความคืบหน้าหลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้าน ววน.ของประเทศ ปี 2567 จำนวน 3.11 หมี่นล้านบาท ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ รวมถึงผลักดันและส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น
ที่ประชุมเห็นควรให้เร่งตั้งเป้างบประมาณด้าน ววน. เป็นร้อยละ 2 ของ GDP ภายในปี 2570 แต่ขอให้สำรวจตัวเลขสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงและมีความแม่นยำ
ซึ่งปัจจุบันมการรายงานว่าเอกชนลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 80 และภาครัฐลงทุนร้อยละ 20 ทั้งนี้ วิธีการได้มาซึ่งตัวเลขสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนจะต้องมีกลไกหรือระบบการเก็บข้อมูลที่แม่นยำและมีการติดตามที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
นอกจากนี้ กสว. ยังได้รับทราบการทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สกสว. และธนาคารโลก ว่าด้วยการวิเคราะห์และพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของไทย
โดยธนาคารโลกจะนำเครื่องมือ Policy Effectiveness Review (PER) มาใช้ในการวิเคราะห์ และเทียบเคียงกับประเทศอื่น ๆ เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะในการปรับนโยบายของ กสว. ให้มีความเหมาะสมต่อไป
สกสว.จะทำความร่วมมือระยะยาว 5 ปี ทั้งเชิงนโยบายและการขับเคลื่อนในประเด็นสำคัญ รวมถึงความเหมาะสมในการใช้ ววน. ในกิจการของภาคเอกชน การวิเคราะห์ความต้องการและมิติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับ ววน. ในกระทรวงอื่น ๆ อีกด้วย.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/01/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,750.00 | 29,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,927.00 | 29,213.32 | 30,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,734.30 | 26,291.99 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,541.60 | 23,370.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 867.00 | 13,143.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 674.00 | 10,217.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,997.00 | 30,274.52 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/01/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.75 | 36.75 | 37.25 | 37.15 | 37.15 | 36.75 | 36.75 | 36.75 | 37.15 | 36.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.48 | 36.48 | 36.98 | 36.88 | 36.88 | 36.48 | 36.48 | 36.48 | 36.88 | 36.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.84 | 34.84 | 35.34 | 35.24 | 35.24 | – | 34.84 | 34.84 | 35.24 | 34.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.29 | 35.29 | – | – | – | – | – | – | – | 35.29 |
เบนซิน 95 | 44.16 | – | – | – | 45.01 | – | 44.66 | 44.61 | – | 44.16 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.44 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.44 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | – | 35.44 | – | 34.94 | – | 35.24 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.26 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |