เจาะเกมบุก เฟรเซอร์ส โฮม เติบโตบนน่านน้ำเดิม – เปิดแนวรบสมรภูมิใหม่
เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม สู่การเติบโตบนสมรภูมิใหม่
ธีมการทำธุรกิจที่อยู่อาศัยปี 2566 ของบริษัทยักษ์อีกรายในวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ในนาม “บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด”
2566 เป้ารายได้โต 14%
นำโดย “แสนผิน สุขี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “เฟรเซอร์สฯ โฮม” ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งทั่วไปภายในกลางปีนี้ การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะมาเยือนเมืองไทย 20-22 ล้านคน ทำให้มีความคาดหวังว่าภาคท่องเที่ยวจะผลักดันให้จีดีพีประเทศไทยขยายตัวที่ 3.0-3.5%
“แผนธุรกิจปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เติบโต 14% เทียบกับปี 2565 โดยเฟรเซอร์สฯ โฮมเดินหน้านโยบายทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจ ให้องค์กรก้าวสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน”
จากเป้าตัวเลขรายได้ ทอนออกมาเป็นแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 7 โครงการ, ทาวน์โฮม 2 โครงการ, บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ
วิสัยทัศน์ย้ำเจ้าตลาด
ถอดรหัสธีมธุรกิจจะพบ 2 กุญแจสำคัญ ประกอบด้วย 1.เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม กับ 2.สู่การเติบโตบนสมรภูมิใหม่
“แสนผิน” จั่วหัวภายใต้วิสัยทัศน์ “คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ” เพื่อต้องการสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ มีคำอธิบาย ดังนี้
1.“เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม” ด้วยการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำลังซื้อมีศักยภาพสูง นำเสนอสินค้าคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
กับ 2.“เติบโตบนสมรภูมิใหม่” กับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ครบทุกความต้องการ
ที่สำคัญ บริษัทต้องการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่างจากที่เคยได้รับจากโครงการของคู่แข่งขัน
รักษาฐานบ้านแนวราบ
เมื่อลงลึกรายละเอียดธีมธุรกิจ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ นำมาสู่การแปลงแผนภาพใหญ่ให้เป็น 4 กลยุทธ์หลัก คือ
1.กลยุทธ์เดินหน้าเปิดตัวบ้านแนวราบทุกระดับราคา ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านเดี่ยวในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่ โฟกัสเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงาน
ขณะเดียวกันยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูง ดีไซน์สินค้าให้โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นที่ครองใจลูกค้า
รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่เน้นการออกแบบและฟังก์ชั่นเทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองและแหล่งอำนวยความสะดวก จุดโฟกัสอยู่ที่นำเสนอราคาที่จับต้องได้
2.กลยุทธ์เดินหน้าจัด Big Campaign กระตุ้นยอดขายตลอดปี 2566 ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณอย่างเป็นทางการในการเปิดสงครามแคมเปญโปรโมชั่นพิเศษตลอดทั้งปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ควบคู่กับต้องการสร้างการรับรู้ และจดจำแบรนด์สินค้าของเฟรเซอร์สฯ โฮมอีกด้วย
บุกคอนโดฯ 3-5 ล้าน
3.กลยุทธ์บุกตลาดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์นี้ “แสนผิน” เล็งขยายฐานรายได้จากตลาดโครงการแนวสูงในยุคโควิด ล่าสุดในปีนี้คาดว่าแผนธุรกิจคอนโดฯ สุกงอมพอดิบพอดีในปีนี้
ถึงแม้ในภาพรวมตลาดคอนโดฯ ยังก้ำกึ่งว่าฟื้นตัวแล้วจริงหรือไม่ แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ
มุมมองที่ซีอีโอเฟรเซอร์สฯ โฮม มองเห็นโอกาสทางการตลาดหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายก็คือ ตลาดคอนโดฯ เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในปีนี้
จุดเน้นอยู่ที่การพัฒนาโครงการโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วในปี 2565 ว่ามีดีมานด์เพิ่มมากที่สุด ในขณะที่ซัพพลายในตลาดเริ่มพร่องลงไป
นำมาสู่เรื่องใหม่ของเฟรเซอร์สฯ โฮม สำหรับแผนธุรกิจปี 2566 ด้วยการประกาศพัฒนาคอนโดฯ ภายใต้โมเดล “Inorganic” ในความหมายคือการทำ M&A โครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้ปีนี้สามารถรับรู้รายได้สินค้าคอนโดฯ ได้ทันที
ตามแผนคาดว่าสินค้าคอนโดฯ จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 20-30% เพื่อมาเติมรายได้บ้านแนวราบที่ตั้งเป้าไว้ 13,500 ล้านบาทอยู่แล้วในปีนี้
“คอนโดฯ 3-5 ล้านบาท บังคับโลเคชั่นตั้งอยู่ในเมือง และใกล้แนวรถไฟฟ้า จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ภายใต้แบรนด์ใหม่ ซึ่งการทำ M&A จะต้องเป็นดีลระหว่างแบรนด์ใหญ่กับแบรนด์ใหญ่ด้วยกัน”
มัดแน่น 3 แบรนด์บ้านหรู
กลยุทธ์สุดท้ายต้องบอกว่า เป็นความเชี่ยวชาญอย่างเป็นพิเศษของเฟรเซอร์สฯ โฮม 4.ขยายพอร์ตบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่และซูเปอร์ลักเซอรี่ ราคา 60-120 ล้านบาท
ประกอบด้วย 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ “The Royal Residence-เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์” ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัท
ที่เหลืออีก 2 แบรนด์ คือ “Alpina-อัลพีน่า” กับ “The GRAND-เดอะ แกรนด์” ที่มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น เน้นเจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง
ไฮไลต์ตามแบบฉบับบ้านเฟรเซอร์สฯ โฮม ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ปรารถนา
สู้ด้วย “กลยุทธ์ที่ถูกต้อง”
ไฮไลต์การแข่งขัน อธิบายผ่าน 4 กลยุทธ์การดำเนินงานที่น่าสนใจ อาทิ พัฒนาโครงการบนแลนด์แบงก์เดิม โดยเปิดตัวโครงการใหม่บนที่ดินเดิม 11 โครงการด้วยกัน
นั่นหมายความว่า สร้างความได้เปรียบการแข่งขัน เพราะแลนด์แบงก์เดิม = ต้นทุนเดิมนั่นเอง
ถัดมา การขยายตลาดบ้านเดี่ยวลักเซอรี่+ซูเปอร์ลักเซอรี่ ซึ่งบิ๊กดาต้าของบริษัทยืนยันว่า บ้านราคาเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้ามีพฤติกรรมซื้อด้วยเงินสดสูงถึง 67%
อีกตัวอย่างที่เป็นการ “ทำใหม่” ก็คือ ผู้นำต้องกล้าทดลองทำสิ่งใหม่ วิธีใหม่, มุ่งมั่นจริงจัง มุ่งเน้นผลลัพธ์, รู้หน้าที่ ทำโดยอัตโนมัติ และทำให้ถูกหน้าที่ ไม่แย่งหน้าที่ลูกน้อง
“ปี 2566 วิกฤตเศรษฐกิจยังอยู่กับเรา ดังนั้นการฝ่าวิกฤตทำได้หนทางเดียวคือ แข่งขันด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ปีนี้จึงต่อยอดกลยุทธ์เป็นปีที่คิดใหม่ ทำใหม่ ให้ใหม่เสมอ” คำกล่าวของ “แสนผิน สุขี” ซีอีโอ เฟรเซอร์สฯ โฮม
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ได้เวลา “อรสิริน” เชียงใหม่ บุกลงทุนบ้าน-คอนโดฯ 4,600 ล้าน
1 ในท็อปแบรนด์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองเชียงใหม่ ค่าย “อรสิริน”
หลังยุคโควิด เตรียมสรรพกำลังพร้อมบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังในปี 2566
ฟื้นตัวตามธุรกิจท่องเที่ยว
“ปรีดิกร บูรณุปกรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิรินโฮลดิ้ง จํากัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น มีสัญญาณการฟื้นตัวตามภาคธุรกิจท่องเที่ยวหลังจากจีนเปิดประเทศ ส่งผลให้กำลังซื้อต่างชาติจะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่โดยตรง
“ปัจจุบันชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ มากกว่าครึ่งเป็นชาวจีน โดยหลังจากจีนเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ถือเป็นปัจจัยบวกและโอกาสในการขายของอรสิริน”
ทั้งนี้ การฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสในการเข้าเยี่ยมชมโครงการของลูกค้าต่างชาติประเทศอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา ญี่ปุ่น เกาหลี และลูกค้าจากโซนยุโรป
ลงทุนใหม่ 4,600 ล้าน
แผนลงทุนปี 2566 อรสิรินวางแผนเปิดตัวใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 2,800 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 1,800 ล้านบาท
สำหรับปีนี้ กลยุทธ์การแข่งขันยังคงเน้นพัฒนาสินค้าซื้อทดแทน เช่น การพัฒนาบ้านแฝดเพื่อให้ลูกค้าซื้อทดแทนบ้านเดี่ยว เนื่องจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อปีนี้มองว่าจะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนตลาดคอนโดฯ ซึ่งชะลอตัวในยุคโควิด คาดว่าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ดีในปีนี้
อรสิรินจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใหม่ 3 โครงการ เน้นออกแบบให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น นำเสนอราคาที่ผู้บริโภคเอื้อมถึงหรือกลุ่ม affordable รวมถึงเลือกทำเลแข่งขันที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดและมีดีมานด์รองรับ
โปรดักต์ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม
“ปรีดิกร” เฉลยโจทย์การเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ลูกค้าคนในพื้นที่ กับลูกค้าต่างพื้นที่
โดยพฤติกรรมผู้บริโภคลูกค้าคนในพื้นที่หรือคนเชียงใหม่ พบว่า นิยมซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาพเดียวกับตลาดฐานใหญ่ (mass market) ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล
สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างพื้นที่ มีหลายกลุ่มคละกัน ไม่ว่าจะเป็นคนต่างจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนบน, กลุ่มผู้ซื้อเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทน, ลูกค้าต่างชาติที่มีโควตาซื้อคอนโดฯ 49%
โดยพบว่ากลุ่มลูกค้าต่างพื้นที่ มีดีมานด์ซื้อที่อยู่อาศัยราคาเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากคำนึงถึงทำเลที่ตั้งโครงการ ต้องการพื้นที่ใช้สอยและขนาดพื้นที่บ้านขยายใหญ่มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทไม่ได้แข็งค่ามากจากการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24ม.ค.2566)ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้ในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ เราประเมินว่า แรงกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่บ้าง ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป โดยหากดัชนี PMI ในฝั่งยุโรปออกมาดีกว่าคาด
สวนทางกับรายงานดัชนี PMI ฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ในกรณีดังกล่าว เงินดอลลาร์ก็อาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ทั้งนี้ หากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น
เรายังคงมองแนวรับสำคัญในช่วง 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนต่างก็รอทยอยซื้อเงินดอลลาร์และทยอยขายทำกำไร Short USDTHB
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
ความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่ต่างปรับตัวขึ้นแรง (Tesla +7.7%, Nvidia +7.6%, Apple +2.4%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.01% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.19%
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Microsoft, Tesla, ASML ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสพลิกกลับมาย่อตัวลงได้ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า +0.52% หนุนโดยความหวังว่าเศรษฐกิจยุโรปอาจไม่ได้เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงอย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า
หลังจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรปในช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ภาพเศรษฐกิจยุโรปยังได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีน ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยช่วยให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นยุโรปยังคงเป็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังประธาน ECB รวมถึงเจ้าหน้าที่ ECB ท่านอื่นๆ ต่างก็ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย จนกว่า ECB จะสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
ในส่วนของตลาดบอนด์นั้น แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะมั่นใจว่า เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงใกล้ระดับ 3.30%
แต่ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มขายทำกำไรการถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3.51% อีกครั้ง
ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวลงชัดเจน ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักที่จะลดความเข้มงวดลง แต่นักลงทุนก็ควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเพิ่มสถานะการลงทุน (Buy on Dip) มากกว่าที่จะไล่ซื้อในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับ 102 จุด อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
.
ซึ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 130 เยนต่อดอลลาร์ ส่วนค่าเงินยูโร (EUR) แม้ว่าจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 1.091 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB แต่ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรสถานะ Long EUR
ทำให้เงินยูโรย่อตัวลงมาสู่ระดับ 1.087 ดอลลาร์ต่อยูโร อย่างไรก็ดี แม้ว่า เงินดอลลาร์ รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น ทว่า ความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างแน่นอน ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับ สู่ระดับ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมาก ตามการรีบาวด์ของเงินดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจหลักผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Global Manufacturing & Services PMIs) โดยในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดประเมินว่า ภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัวจะช่วยหนุนการใช้จ่ายในภาคการบริการ ซึ่งจะสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (S&P Global Services PMI) ในเดือนมกราคมที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45 จุด
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดมองว่า ดัชนี PMI ภาคการบริการของยูโรโซน ในเดือนมกราคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.2 จุด อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงอาจกระทบต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซนทำให้ ดัชนี PMI ในภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 48 จุด สะท้อนภาวะหดตัวต่อเนื่องในภาคการผลิตอุตสาหกรรม
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป อาทิ Microsoft, 3M เป็นต้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงระดับปิดตลาดวันก่อนหน้า แต่อาจมีแรงหนุนในระหว่างวันจากการคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 bps. ในการประชุม FOMC รอบแรกของปีนี้ในสัปดาห์หน้า (31 ม.ค.-1 ก.พ.) นอกจากนี้ตลาดยังกำลังประเมินความเป็นไปได้ของการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมรอบถัดๆ ไป ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนธ.ค. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย และตัวเลขดัชนี PMI ขั้นต้นเดือนม.ค. ของสหรัฐฯ ยูโรโซนและอังกฤษ
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามจุดสนใจเพิ่มเติมของปัจจัยในประเทศจากการประชุม กนง. ในวันพรุ่งนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“มิ้งค์ สระบุรี” ฟอร์มโหด ล้ม เวนดี้ แยนส์ 4-1 เฟรม คว้าแชมป์ เบลเจี้ยน วีเมนส์ โอเพ่น
สนุกเกอร์อาชีพหญิงสะสมคะแนน รายการ เบลเจี้ยน วีเมนส์ โอเพ่น ที่เดอะ ทริกช็อต ในเมืองบรูช ประเทศเบลเยียม เมื่อวานที่ผ่านมาเป็นการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยมี “มิ้งค์ สระบุรี” ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย แชมป์โลกชาวไทย เข้าร่วมการแข่งขัน
ในรอบก่อนรองชนะเลิศระบบ 3 ใน 5 เฟรม “มิ้งค์ สระบุรี” ทำผลงานยอดเยี่ยมเอาชนะ เอ็มม่า พาร์เกอร์ มือวางอันดับ 6 ของโลกชาวอังกฤษ 3-0 เฟรม ก่อนจะเอาชนะ รีแอนน์ อีแวนส์ มือ 1 ของโลกชาวอังกฤษ 4-0 เฟรมในรอบตัดเชือกที่ใช้ระบบ 4 ใน 7 เฟรม
ส่วนรอบชิง “มิ้งค์ สระบุรี” รีแมตช์ศึกชิงแชมป์โลกกับ เวนดี้ แยนส์ สอยคิวเจ้าถิ่น ซึ่งแม้จะเสียเฟรมแรกไปก่อนแต่ “มิ้งค์ สระบุรี” กลับมากด 4 เฟรมรวด ย้ำแค้นคว้าชัยชนะไปได้ 4-1 เฟรม 5-61, 79-33, 73-29, 59-17, 69-30 คว้าแชมป์รายการสะสมคะแนนเป็นรายการที่ 5 ในอาชีพ และเป็นรายการที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากได้แชมป์ เอเดน มาสเตอร์ส เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังเตรียมขึ้นเป็นมือ 2 ของโลกซึ่งเป็นอันดับสูงสุดของตัวเองแทนที่ อึ้ง ออน ยี สอยคิวชาวฮ่องกงอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 สัญญาณอันตราย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล
ภาควิชาอายุรศาสตร์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
มะเร็งนั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย เพราะอวัยวะของเรานั้นประกอบไปด้วยเซลล์มากมายรวมกันขึ้นเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ และการเจริญเติบโตของมะเร็งก็จะเป็นแบบเซลล์ที่ผิดปกติ คือการเจริญเติบโตที่เร็วเกินไปจนกลายเป็นก้อนเนื้อ นอกจากนั้นโรคมะเร็งยังเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ โรคมะเร็งยังสามารถเกิดขึ้นในเม็ดเลือดที่อยู่ในร่างกายของเราได้อีกด้วย และท่านก็คงได้ยินในเรื่องของมะเร็งเม็ดเลือดขาวกันบ้างแล้วนะ ซึ่งเม็ดเลือดขาวของเรานั้นก็จะมีหน้าที่ช่วยทำลายเชื้อโรคและสารแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายหรือกล่าวง่าย ๆ ว่า เม็ดเลือดขาวจะช่วยสร้างความต้านทานให้กับร่างกายของเราแต่ถ้าเม็ดเลือดขาวไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ของตนเองได้ก็จะเกิดผลกระทบต่อร่างกายของเราได้อย่างแน่นอน
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหมายถึงโรคอะไร
ก็เป็นกลุ่มโรคที่เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีการแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้สะสมอยู่ในไขกระดูกแล้วก็ออกมาในการแตกเลือดก็ไปเบียดยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติไปเกิดจากการที่มีเม็ดเลือดขาวมากเกินไป
โรคนี้เป็นมาตั้งแต่เกิดหรือไม่ หรือเกิดภายหลังที่เราเกิดขึ้นแล้ว
โรคนี้มักจะมาเป็นภายหลัง หลังจากที่เราคลอดออกมาแล้ว แต่เราสามารถจะพบได้ในบางรายที่เป็นตั้งแต่คลอดออกมา แต่โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายหลัง
สาเหตุที่สำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นมีสาเหตุอะไร หรือมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นมา
ในปัจจุบันสาเหตุที่แท้จริงเรายังไม่ทราบ แต่มีปัจจัยส่งเสริมบางอย่าง เช่น โรคทางพันธุ์กรรมบางโรค เช่น ดาวซินโดรม Down’s syndrome การแพร่รังสีเพราะเราเจอคนไข้มากขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีระเบิดปรมาณู นอกจากนั้นยังมีสารเบนซินพวกนี้ก็จะมีกลุ่มปัจจัยเสริมทำให้พบได้ง่ายขึ้น และมีการติดเชื้อบางอย่างด้วย เช่น เชื้อไวรัสบางอย่าง
ในเรื่องถ่ายทอดทางพันธุกรรมจะมีส่วนด้วยไหม
เราพบว่าโรคพันธุกรรมบางอย่างการมีอุบัติการณ์ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปนั่น คือ สาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวไม่ว่าในเรื่องของรังสี สารพิษต่าง ๆ
ในปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยมาพบหมอมากน้อยแค่ไหน และมีผู้ป่วยมารักษามากน้อยแค่ไหน และมีจำนวนมากขึ้นไหม
ในปัจจุบันนี้เราพบว่ามีผู้ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากขึ้น เฉพาะที่ศิริราชเราปีที่แล้วมีผู้ป่วยใหม่ 200 รายในรอบ 1 ปี และมะเร็งเม็ดเลือดขาวจัดได้ว่าพบได้บ่อยใน 10 อันดับแรกของมะเร็ง
ในกลุ่มที่ป่วยจะมีเพศใด วัยใดมากที่สุด
อันนี้ไม่เลือกเพศมีทั้งเพศหญิงชาย มีสิทธิเท่า ๆ กัน และเรื่องของวัยผู้ป่วยที่เราดูแลก็จะพบตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป ถึง 60 ปี โดยที่ไม่มีช่วงใดช่วงหนึ่งเป็นได้พิเศษ
วิธีการสังเกตลักษณะอาการผิดปกติ ถ้าผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของโรคมะเร็งจะมีลักษณะอาการผิดปกติอย่างไรบ้างที่บ่งบอกอาการ
เราคงแบ่งอาการง่าย ๆ ได้ 4 อย่าง หรือ 4 กลุ่ม ดังนี้
1. อาการแรกที่เป็น คือ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลียง่าย อันนี้เป็นลักษณะเดิมทั่วไปทั้งหลาย
2. มีเลือดออกง่าย เพราะมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีเกร็ดเลือดต่ำ จึงทำให้เลือดออกง่าย เช่น ออกตามไรฟัน มีจ่ำเขียวขึ้นบนตามตัว หรือมีประจำเดือนมากผิดปกติ
3. มีเม็ดเลือดขาวปริมาณมากแต่ทำหน้าที่ไม่ได้ตามเท่าที่จะเป็น เฉพาะเม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ต่อ สู้กับเชื้อโรค แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต่อสู้เชื้อโรคไม่ได้ ก็มีการติดเชื้อง่ายมีไข้ มีการติดเชื้อในตำแหน่งต่าง ๆ
4. เม็ดเลือดขาวไปบีบบังอวัยวะต่าง ๆ หรือสะสมอยู่ ก็ทำให้มีก้อนขึ้นที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลือง ขา คอ หรือมีตับ ม้ามโต
เราจะมีการตรวจ และวินิจฉัยโรคอย่างไรบ้างให้เราทราบอย่างชัดเจนว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ขั้นแรก เราต้องเจาะเลือดตรวจว่ามีความผิดปกติ แล้วก็พบเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวต่อไปเราก็จะทำการยืนยันโดยการเจาะไขกระดูก เพื่อดูให้ชัดเจนอีกครั้งว่ามีการขยายตัวในไขกระดูกจริง
วิธีการรักษาในปัจจุบันว่าถ้าเราเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้วจะมีวิธีการรักษาอย่างไร
วิธีแรกที่เราจะรักษา คือ การให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งจะให้เป็นชุด ๆ ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร บางทีอาจจะใช้เวลา 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย ในปัจจุบันก็จะมีวิธีใหม่มารักษา
วิธีที่ 2 คือการปลูกถ่ายในไขกระดูก เราก็ทำได้แล้วแต่วิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากอยู่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีโรคแทรกซ้อนสูงพอสมควร และต้องใช้ไขกระดูกของพี่น้องที่เข้ากันได้อีก ฉะนั้นการรักษาวิธีที่ 2 ต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ซึ่งหลักใหญ่ในการรักษาก็จะมี 2 วิธีที่กล่าวมาแล้ว
ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีการรักษาให้หายขาดได้ไหม
ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าของยาเคมีบำบัด และการปลูกถ่ายไขกระดูกมีความก้าวหน้า เพราะฉะนั้นจัดได้ว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวมีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ อัดราการรักษาให้หายขาดค่อนข้างสูง คงขึ้นอยู่กับการมาพบแพทย์รักษาอย่างรวดเร็วและมาพบตั้งแต่เริ่มต้น มีบางกลุ่มที่ไม่ทราบและปล่อยปละละเลยให้อาการเป็นมากขึ้น
อันตรายจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีมากน้อยแค่ไหนหรือจะทำให้ผู้ป่วยถึงตายได้
ถ้าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวอย่างเฉียบพลันแล้วไม่ได้รักษาโดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตใน 3-4 เดือน ในการเสียชีวิตนั้นมีการติดเชื้อง่าย และการติดเชื้อนั้นมีการลุกลามไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อีกกรณีหนึ่งก็คือมีเลือดออก เช่น มีเลือดออกจากสมองอาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่กรรมได้ย่างรวดเร็ว
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง พวกนี้อาการจะค่อยดำเนิน ค่อยเป็นค่อยไป อาจจะเริ่มจาก 6-8 เดือน หลังจากนั้นอวัยวะต่าง ๆ ก็จะเริ่มเสื่อมลง ก็จะเกิดปัญหารุนแรงตามมาอีก เพราะฉะนั้นเราควรดูแลรักษากัน เพราะโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นโรคหนึ่งที่ร้ายแรงและอันตราย
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นจะมีวิธีดูแลหรือปฏิบัติตัวเองอย่างไร
เรื่องแรกคือ การดูแลสุขอนามัยส่วนตัว เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการติดเชื้อได้ง่าย และการดูแลรักษาความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราพบบ่อยคือสุขภาพปาก ฟัน อันนี้เป็นช่องทางทำให้ติดเชื้อกันง่าย ควรใช้แปรงขนอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ซึ่งพวกนี้จะราคาแพงแต่จะทำให้มีแผลในปากน้อย และจะช่วยลดการติดเชื้อเป็นอย่างดี
การรับประทานอาหาร ผัก ผลไม้ มาก ๆ จะช่วยในการขับถ่ายอุจจาระไปได้ด้วยดีไม่ท้องผูกอาจจะมีแผลที่ทวารเป็นที่หนึ่งของการติดเชื้อได้ง่าย
การดื่มน้ำมาก ๆ ก็จะช่วยได้มากเพราะพวกนี้จะมีการแตกสลายในเม็ดเลือดเป็นจำนวนมากและมีการสะสมสารบางอย่างในร่างกายทำให้เกิดการอุดตันเพราะฉะนั้นทานน้ำมาก ๆ ก็จะช่วยขับถ่ายได้เป้นอย่างดี
อีกอย่างคือการซื้อยาแก้ปวดแก้ไข้ทานเอง อันนี้จะเป็นอันตรายเสริมในกรณีที่ได้ยาผิดประเภทไป คนไข้กลุ่มนี้ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์
การดูแลให้เหมาะสม สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
2. ดื่มน้ำมากๆ
3. รักษาความสะอาดของร่างกาย
4. รับประทานอาหารทีมีประโยชน์ คุณค่าต่อร่างกาย
5. รักษาสุขภาพร่างกายอย่าให้มีโรคแทรกซ้อนมาภายหลัง
แนวทางการป้องกันโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีการป้องกันได้หรือไม่อย่างไรบ้าง
เนื่องจากเรายังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง แต่เราทราบว่ามีปัจจัยส่งเสริมว่าคือพวกสารเคมีบางอย่างหรือพวกอาหารที่มีสารปรุงแต่งมากเกินไป ช่วงนี้คนส่วนมากนิยมอาหารพวก Fast Food หรืออาหารทีมีการดัดแปลงมีสารเคมี และอันนี้ก็มีการศึกษาและพบว่ามีอุบัติการของมะเร็งไม่ใช้เฉพาะของมะเร็งเม็ดเลือดขาวอย่างเดียว มะเร็งชนิดอื่น ๆ ก็มีอุบัติการณ์สูงขึ้น ถ้าเราลดของพวกนี้ได้ก็จะลดปัจจัยการส่งเสริมมะเร็ง
ข้อแนะนำ
ในปัจจุบันสมาคมโรคมะเร็งแห่งอเมริกาได้แนะนำว่า คนทั่วไปควรทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ อย่างน้อยวันละ 5 สุ่ม ซึ่งจะช่วยลดอุบัติการการเกิดมะเร็งไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใดก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
30 คําคมภาษาอังกฤษอกหัก แทงใจคนช้ำรัก พร้อมคำแปลเจ็บจี๊ด
ออสการ์ ไวลด์ นักเขียนและกวีชื่อดังของโลก เคยกล่าวไว้ว่า “The heart was made to be broken” หรือ “หัวใจถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแตกสลาย” กลายเป็นคำคมภาษาอังกฤษสั้นๆ ที่ปลอบใจคนอกหักได้ดี แต่ทั้งนี้ยังมีคำคมภาษาอังกฤษอกหักอีกมากมาย ที่สามารถช่วยปลอบประโลมหัวใจ และความรู้สึกของใครหลายๆ คน ในช่วงเวลาที่รู้สึกเศร้าเสียใจได้
30 คําคมภาษาอังกฤษอกหัก สั้นๆ แทงใจคนช้ำรัก พร้อมคำแปล
คำคมภาษาอังกฤษอกหัก มักเป็นข้อความสั้นๆ ที่มีความหมายโดนใจ ใช้ปลอบใจคนช้ำรัก หรือกำลังผิดหวังในความรักได้เป็นอย่างดี เพราะคำคมอกหักเหล่านี้ แฝงไปด้วยข้อคิดเตือนใจให้เรามีกำลังใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ยกตัวอย่างต่อไปนี้
1. Sadness flies away on the wings of time
คำแปล : ความเศร้าโบยบินผ่านปีกของกาลเวลา
2. Don’t cry when the sun is gone, because the tears won’t let you see the stars.
คำแปล : อย่าร้องไห้เมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า เพราะน้ำตาจะบดบังดวงดาว
3. My smiles are as fake as your promises.
คำแปล : รอยยิ้มของฉันก็ปลอมพอๆ กับคำสัญญาของเธอ
4. You know, a heart can be broken, but it keeps on beating, just the same.
คำแปล : รู้ใช่ไหม แม้จะอกหัก แต่หัวใจก็ยังคงเต้นต่อไปเหมือนเดิม
5. I know, but I was not ready to accept the fact.
คำแปล : ฉันรู้แหละ แต่แค่ยังไม่พร้อมยอมรับความจริง
6. It’s hard asking someone with a broken heart to fall in love again.
คำแปล : มันยากที่จะขอให้คนอกหัก กลับมาตกหลุมรักอีกครั้ง
7. I’ll keep the stories that you inspire in my memories.
คำแปล : จะเก็บเรื่องราวแรงที่เป็นบันดาลใจจากคุณ ไว้ในความทรงจำของฉัน
8. Grief is the price we pay for love.
คำแปล : ความเศร้าคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความรัก
9. Every time your heart is broken, a doorway cracks open to a world full of new beginnings, new opportunities.
คำแปล : ทุกครั้งที่คุณอกหัก จงเปิดประตูไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยการเริ่มต้นใหม่ และโอกาสใหม่ๆ อีกมากมาย
10. Love is the most beautiful of dreams and the worst of nightmares.
คำแปล : ความรักคือความฝันที่สวยงามที่สุด และเป็นความฝันที่เลวร้ายที่สุดได้เช่นกัน
11. I know my heart will never be the same but I’m telling myself I’ll be okay.
คำแปล : ฉันรู้ว่าหัวใจจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ฉันคอยบอกตัวเองเสมอว่าจะไม่เป็นไร
12. Never allow someone to be your priority while allowing yourself to be their option.
คำแปล : อย่าปล่อยให้ใครสักคนเป็นความสำคัญอันดับแรกของคุณ ในขณะที่ตัวคุณเองเป็นแค่ตัวเลือกของเขา
13. Sometimes you have to unfollow people in real life.
คำแปล : บางครั้งคุณก็ต้องเลิกติดตามผู้คนในชีวิตจริงเสียบ้าง
14. A girl doesn’t need anyone who doesn’t need her.
คำแปล : ผู้หญิงไม่ต้องการคนที่ไม่ต้องการเธอหรอก
15. Anything you can’t control is teaching you how to let go.
คำแปล : ใครก็ตามที่เราควบคุมไม่ได้ จะเป็นคนสอนให้เรารู้จักปล่อยวาง
16. Pain makes you stronger, fear makes you braver, heartbreak makes you wiser.
คำแปล : ความเจ็บปวดทำให้คุณเข้มแข็ง ความกลัวทำให้คุณกล้าหาญ การอกหักทำให้คุณเป็นคนที่ฉลาดขึ้น
17. Once again, I’m left alone
คำแปล : เป็นอีกครั้งที่ฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
18. The greatest pain that comes from love is loving someone you can never have
คำแปล : ความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการรักคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้
19. I didn’t lose you. You lost me.
คำแปล : ฉันไม่ได้สูญเสียคุณไป คุณต่างหากที่สูญเสียฉัน
20. Sometimes we don’t need advice. We just need somebody to listen.
คำแปล : บางครั้งเราไม่ได้ต้องการคำแนะนำ เราแค่ต้องการใครสักคนที่รับฟัง
21. Loving you was like going to war; I never came back the same.
คำแปล : การรักเธอก็เหมือนกับออกไปทำสงคราม ฉันไม่เคยกลับมาเป็นคนเดิมอีกเลย
22. Stop trying so hard for people who don’t care.
คำแปล : เลิกทุ่มเทให้กับคนที่เขาไม่แคร์
23. Love can sometimes be magic. But magic can sometimes just be an illusion.
คำแปล : บางครั้งความรักก็เป็นดั่งเวทมนตร์ แต่บางครั้งเวทมนตร์นั้นก็เป็นเพียงภาพลวงตา
24. No reason to stay is a good reason to go
คำแปล : ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ นั่นแหละคือเหตุผลดีๆ ที่จะไป
25. If another girl steals your man, there’s no better revenge than letting her keep him. Real men can’t be stolen.
คำแปล : หากมีคนมาแย่งแฟน อย่าไปแก้แค้นเลย ปล่อยให้เธอพาเขาไป เพราะถ้าเป็นคนที่ใช่จริงๆ เขาจะไม่โดนแย่งไปหรอก
26. Don’t waste your time looking back at what you lost.
คำแปล : อย่าเสียเวลามองกลับไปในสิ่งที่คุณสูญเสียไปแล้ว
27. There is an ocean of silence between us… and I am drowning in it
คำแปล : ราวกับมหาสมุทรแห่งความเงียบงันระหว่างเราทั้งสอง และฉันกำลังจมอยู่ในนั้น
28. Thinking of you is a poison I drink often.
คำแปล : การคิดถึงคุณ คือยาพิษที่ฉันดื่มเป็นประจำ
29. If love is like driving a car, then I must be the worst driver in the world.
คำแปล : หากเปรียบความรักเป็นการขับรถ ฉันก็คงเป็นคนที่ขับรถได้แย่ที่สุดในโลก
30. Has someone made you heartbroken? Then, why are you still thinking of him?
คำแปล : เคยมีใครทำคุณอกหักไหม? ถ้ามี แล้วทำไมยังต้องไปคิดถึงเขาอยู่อีกล่ะ?
คําคมภาษาอังกฤษอกหัก สั้นๆ ที่ยกตัวอย่างมาทั้ง 30 ข้อความนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่หากชื่นชอบข้อความไหน ก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม หรือนำคำคมภาษาอังกฤษอกหักเหล่านี้ ไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter, Facebook หรือ Instagram ก็ได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
รู้จัก “Digital Forensics” เครื่องมือจับโจรไซเบอร์ ที่ไทยไม่ได้ใช้
รู้จัก “Digital Forensics” นิติวิทยาศาสตร์ทางดิจิตอล เครื่องมือแกะรอย ตามจับโจรไซเบอร์ กระบวนการแบบสากล ที่ไทยไม่ได้ใช้
ภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชน ในหลากหลายรูปแบบ นับเป็นปัญหาซ้ำซากสำหรับประเทศไทย โดยผู้เสียหายมักตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ก็มักไม่สามารถตามจับตัวโจรไซเบอร์เหล่านั้นได้
อ.ฝน นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล อุปนายกสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) ได้เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจ ถึงกระบวนการเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับกระบวนการด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามปกติ แต่ปัจจุบัน อาชญากรรมต่างๆ มักมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์เป็นระบบดิจิตอลเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงเป็นที่มาของนิติวิทยาศาสตร์ทางดิจิตอล หรือ Digital Forensics
Digital Forensics คือ การจัดเก็บรวบรวม และวิเคราะห์หลักฐานทางดิจิตอล ด้วยกระบวนการที่น่าเชื่อถือเพื่อให้สามารถนำข้อเท็จจริงจากการวิเคราะห์หลักฐานนำไปใช้เป็นหลักฐานที่ศาลยอมรับฟังได้ โดยหน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
องค์ประกอบของกระบวนการ Digital Forensics
- ด้านบุคลากร
ต้องมีการฝึกอบรมเพื่อให้บุคลากร มีทักษะ และความรู้ความเข้าใจ โดยปัจจุบันในต่างประเทศมีหลักสูตรและการสอบรับรองคุณวุฒิของหลายสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ เช่น GCFA (GIAC Certified Forensic Analyst) ของสถาบัน SANS, CCFE (Certified Computer Forensics Examiner) ของ IACRB และ CCE (Certified Computer Examiner) ของ ISFCE เป็นต้น
- ด้านกระบวนการ
กระบวนการต่างๆต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับโดยสากล และมีการทำบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตลอดกระบวนการ ต้องสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ต้องมีการบวนการควบคุมเพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยต่อหลักฐาน เพื่อมิให้หลักฐานถูกทำลาย เปลี่ยนแปลง หรือหลุดรั่วออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เครื่องมือช่วยในการเก็บรวบรวมหลักฐาน
ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือภาคสนามขนาดพกพา (portable) เช่นอุปกรณ์จัดเก็บ Volatile Data หรือข้อมูลที่อยู่ใน RAM อุปกรณ์ต่อพ่วง อุปกรณ์ทำสำเนา hard disk ที่ต้องมีคุณลักษณะป้องกันการเขียนทับข้อมูลลงไปบนหลักฐานหรือ writer-blocker ถุงป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (Static Bag) และ ถุงป้องกันคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Faraday Bag) เป็นต้น เพื่อให้สามารถจัดเก็บ และรักษาสภาพของหลักฐานไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมให้ได้มากที่สุด
- เครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์หลักฐาน
เพื่อหาความเชื่อมโยงของคน กิจกรรม วัน เวลา หรือเรียกง่ายๆ ว่า ใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร โดยใช้ทั้ง hardware และ software ในการการกู้คืนข้อมูลที่ถูกลบ การประมวลผล file system รูปแบบต่างๆ การทำแผนผังลำดับเหตุการณ์ (timeline) และการค้นหาด้วยคำค้นต่างๆ (keyword search)
- ห้องปฏิบัติการ
ห้องปฏิบัติการด้านนิติวิทยาศาสตร์นั้นจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการควบคุมในระดับสูงเป็นไปตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับสากล ซึ่งมักจะอ้างอิงถึง ASCLD/LAB (The American Society of Crime Laboratory Directors/Laboratory Accreditation Board) เป็นหลัก
ขั้นตอนดำเนินการ
การเก็บรวบรวมหลักฐานจากที่เกิดเหตุ
ต้องพยายามจัดเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานที่เป็น volatile และที่เป็น non-volatile ซึ่งมีขั้นตอนในรายละเอียดมาก จากนั้นจะมาเน้นที่ขั้นตอนการหุ้มห่อลงในถุงหรือหีบห่อที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในกรณีที่หลักฐานมีความไวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ขั้นตอนการทำงาน ของกระบวนการ Digital Forensics
- การนำส่ง การจัดเก็บ และการเบิกหลักฐาน
ต้องมีหนังสือ หรือแบบฟอร์มกำกับเพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าในแต่ละช่วงเวลามีใครเป็นถือครองหรือรับผิดชอบต่อหลักฐานนั้นๆ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าถึง เปลี่ยนแปลงหรือทำลายหลักฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต
- การทำสำเนาหลักฐาน
ต้องทำด้วยอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อใช้ในงานด้าน Digital Forensic โดยเฉพาะโดยต้องมีอุปกรณ์ write-blocker เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้มีการเขียนทับข้อมูลลงไปในสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นหลักฐานต้นฉบับ และไม่สามารถทำโดยการ copy file ตามปกติได้ แต่ต้องใช้วิธีการทำ bit-by-bit imaging และเมื่อทำการสำเนาแล้วต้องมีการทำเอกลักษณ์ทางดิจิตอลเพื่อเป็นการรับรองสำเนา ด้วยเทคนิค data hashing จะทำให้ทราบได้ว่าหลักฐานที่ได้ทำสำเนาขึ้นใหม่นี้มีความคงเดิมและไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่ bit เดียว ซึ่ง algorithm ที่เป็นที่นิยมคือ MD5 และ SHA-1
- การวิเคราะห์หลักฐาน
เพื่อค้นหาข้อมูลนำไปสู่ความเชื่อมโยงของบุคคล กับเวลา และเหตุการณ์
- ขั้นตอนสิ้นสุดการดำเนินการ
เป็นการเขียนรายงานสรุปสิ่งที่ตรวจพบ และบทวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อนำไปประกอบสำนวน โดยต้องเขียนแยกให้เห็นเด่นชัดว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริงที่ค้นพบจากหลักฐาน และส่วนใดเป็นข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้งานด้าน digital forensic ยังสามารถแยกแตกแขนงความเชี่ยวชาญออกไปเป็นสาขาย่อยๆ ได้อีก เช่น computer forensic
- network forensic
- mobile forensic
- cloud-computing forensic
- live-system forensic
- audio forensic
- video forensic
- image forensic
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
10 อาหารดีต่อใจ บำรุง “หัวใจ” ให้แข็งแรง
หัวใจคนเรามี 4 ห้อง แบ่งซ้าย-ขวา โดยผนังของกล้ามเนื้อหัวใจ และแบ่งเป็นห้องบน–ล่างโดยลิ้นหัวใจ ในทุกๆ วัน หัวใจคนเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง และสูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,000 แกลลอน เปรียบเสมือนการทำงานปกติของ “หัวใจ” แต่ถ้าวันหนึ่งหัวใจเราเกิดอาการผิดปกติขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร?
โรคหัวใจ สามารถป้องกันได้ เพียงให้ความสำคัญกับการเลือกอาหารการกิน เน้นเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย รวมถึงระวังไม่ให้เครียดจนเกินไป นอกจากนี้ เรายังสามารถเลือกกิน อาหารบำรุงหัวใจ เพื่อให้หลอดเลือด และหัวใจของเราแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งได้ด้วย อาหารบำรุงหัวใจ จะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามต่อกันได้เลย
- เมนูปลาโดยเฉพาะปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ควรกินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะน้ำมันจากปลาทะเล สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้
- ผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัดไม่ว่าจะเป็น ส้มเขียวหวาน ฝรั่ง กีวี แก้วมังกร กล้วย แอปเปิ้ล องุ่น มะละกอ สัปปะรด เนื่องจากผลไม้เหล่านี้มีเส้นใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุสูง ช่วยบำรุงร่างกาย และช่วยลดไขมันในเลือด อีกทั้งปริมาณน้ำตาลก็ไม่สูงมาก
- พืชตระกูลถั่วพืชตระกูลถั่ว สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอล และป้องกันโรคหัวใจได้ดี จะกินเป็นของว่างแทนขนมเลยก็ได้
- มะเขือเทศมะเขือเทศจะช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล และความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
- ผักใบเขียวผักคะน้า ผักโขม บร็อกโคลี่ รวมถึงผักใบเขียวอื่นๆ ต่างก็มีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงหัวใจ
- ทับทิมในทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณมาก จึงลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้
- อาหารไขมันต่ำเนื่องจากอาหารไขมันสูง สามารถเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดไขมันสะสมในกระแสเลือด จนไปเกาะอยู่ตามผลังหลอดเลือด และทำให้มีความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ คุณจึงควรเลือกกินอาหารไขมันต่ำอย่างเช่น เนื้อปลา และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนังติดมันจะดีกว่า
- น้ำมันจากพืช (ในปริมาณน้อย)หากต้องการใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร ควรเลือกใช้น้ำมันที่ทำมาจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วลิสง และควรใช้ในปริมาณที่น้อยมากๆ
- ข้าว ขนมปัง ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีใยอาหารชนิดละลายน้ำ ที่พบได้ในธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต รำข้าว ถั่วเมล็ดแห้ง ผัก ผลไม้ จะช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังช่วยดูดซึมน้ำไว้ในกากใยอาหาร ช่วยให้การทำงานของระบบลำไส้และการย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระแหล่งสำคัญของอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินเอ (แคโรทีน) วิตามินอี วิตามินซี ซึ่งสามารถพบได้ในแครอท แอพริคอท ฟักทอง มะม่วง ผักโขม แคนตาลูป ปวยเล้ง ลูกพีช บรอกโคลี ผักบุ้ง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอก คำฝอย น้ำมันเมล็ดดอก ทานตะวัน อัลมอนด์ จมูกข้าวสาลี ส้มเขียวหวาน มะเขือเทศ ส้มเช้ง ฝรั่ง กีวี่ ส้มโอ ถั่วงอก กะหล่ำปลี บรอกโคลี พริก มะนาว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/01/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,850.00 | 29,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,934.00 | 29,319.44 | 30,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,740.60 | 26,387.50 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,547.20 | 23,455.55 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 870.00 | 13,189.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 677.00 | 10,263.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,004.00 | 30,380.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/01/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.05 | 37.05 | 37.55 | 37.15 | 37.15 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.15 | 37.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.78 | 36.78 | 37.28 | 36.88 | 36.88 | 36.78 | 36.78 | 36.78 | 36.88 | 36.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.14 | 35.14 | 35.64 | 35.24 | 35.24 | – | 35.14 | 35.14 | 35.24 | 35.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.59 | 35.59 | – | – | – | – | – | – | – | 35.59 |
เบนซิน 95 | 44.46 | – | – | – | 45.01 | – | 44.96 | 44.91 | – | 44.46 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.24 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.24 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | – | 35.24 | – | 34.94 | – | 35.24 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.26 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |