สาระน่ารู้ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” คัมแบค ลุยเปิดบ้าน-คอนโดใหม่ สูงสุดรอบ 24ปี

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” คัมแบค ลุยเปิดบ้าน-คอนโดใหม่ สูงสุดรอบ 24ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หลังประเมิน เศรษฐกิจไทยฟื้นดี ชูจุดแข็ง ที่อยู่อาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้แข่งตลาด ปั้นยอดขายใหม่ 5,000 ล้าน ในปีนี้

15 ก.พ.2566  นับเป็นการขยับที่น่าจับตามองอีก 1 บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย สำหรับ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” หลังจากประกาศพลิกโฉมการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งปีนี้ จะลุยเปิดโครงการบ้าน – คอนโดมิเนียม สูงที่สุดในรอบ 24 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา  ด้วยมูลค่า 14,700 ล้านบาท ซึ่งนั่นจะเป็นส่วนที่จะช่วยกอบกู้ยอดขายและรายได้ที่หายไปในช่วงโควิด-19 และ การผ่าตัดองค์กรหลายๆด้านอีกด้วย โดยกลยุทธ์ การเป็นแบรนด์เบอร์ 1 ที่อยู่อาศัย ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ ถูกมองจะเป็นความต่างที่เอาชนะตลาดได้ 

ลุยสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน 

นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรีและโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly Residences) กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรให้เปลี่ยนสถานะจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer) สู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (LifeScape Developer) อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกมิติ 

ล่าสุด ในปี 2566 บริษัทจะเดินหน้าแผนธุรกิจ “LifeScape at a New Height” ผลักดันความแข็งแกร่งและศักยภาพ เพื่อการเติบโตสู่อีกขั้น โดยมี 3 ด้านหลักที่มุ่งผลักดัน ได้แก่ 1.Solidify Residential-Scape ผลักดันความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจหลัก 2.Fortify LifeScape & PetScape ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้จุดเด่นของแบรนด์ และ 3.Diversify Revenue ปรับสัดส่วนประเภทของธุรกิจหลัก พร้อมผลักดันความแข็งแกร่งธุรกิจใหม่ 

เปิดโครงการใหม่มากสุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้ง 24 ปี 

สำหรับด้าน Solidify Residential-Scape ผลักดันความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจหลักในหลากหลายมิติ ได้แก่ All Time High เปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้ง 24 ปี จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,700 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม Super Luxury High-rise 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,800 ล้านบาท บ้านจัดสรร 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 5,900 ล้านบาท 

เพื่อให้พร้อมรองรับความต้องการผู้บริโภค ในภาวะความต้องการและเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิด-19 New Brand and Segment เปิดตัว 5 แบรนด์ใหม่ เจาะหลากเซ็กเมนท์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น อาทิ 

  • แบรนด์Marquis (มาร์ควิส) แบรนด์คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซูรีที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์ด้านการมีชีวิตที่ดี (Wellness) 
  • แบรนด์ Mayfield (เมย์ฟิลด์) พรีเมียมทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบให้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ 
  • แบรนด์ Mayfield Lane (เมย์ฟิลด์ เลน) แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชูรีทำเลใจกลางเมือง แบรนด์ Milford (มิลฟอร์ด) แบรนด์ทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ 
  • แบรนด์ใหม่อีก 1 แบรนด์ เป็น Super Luxury Limited Edition ที่จะเปิดเผยชื่อแบรนด์ในอนาคต 

” เรื่องที่ตั้งโครงการ จะเน้นขยายอาณาจักรที่อยู่อาศัยสะสมของบริษัทให้ครอบคลุมตั้งแต่พื้นที่ใจกลางย่านธุรกิจ (CBD) ไปจนถึงพื้นที่ใจกลางธุรกิจส่วนต่อขยาย (Extended CBD) และพื้นที่กรุงเทพฯรอบนอก (Greater Bangkok) โดยโครงการใหม่ในปีนี้จะเกาะทำเลที่มีความต้องการสูง ตั้งแต่ สุขุมวิท-พร้อมพงษ์ พญาไท พัฒนาการ ลาดพร้าว และรามคำแหง ” 

 
มั่นใจแผนธุรกิจ สร้างการเติบโต

หัวเรือใหญ่ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ยังเผยว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมา เราจะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ลงไป แต่เราไม่ได้อยู่เฉยๆ เราผ่าตัดองค์กรหลายๆ ด้าน เพื่อให้พร้อมรองรับการพลิกโฉมการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง มาดูแลด้านการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าหรือ Customer Experience โดยตรง 

การปรับวิธีคิดของพนักงานให้เป็น Warrior Mindset มีวิธีคิดแบบนักสู้ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ รวมถึงได้ทยอยลงทุนด้าน Digital Transformation พัฒนา Future Platform วางรากฐานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ปีนี้และปีหลังจากนี้ เรามั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตสู่อีกระดับ 

“เรามุ่งมั่นสรรสร้างอนาคตที่ดีให้ผู้บริโภค ควบคู่กับการเติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง โรดแมประยะยาวของเราจะเห็นการกระจายพอร์ตฟอลิโอที่อยู่อาศัยระหว่างคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ให้พร้อมรองรับทุกสภาวะเศรษฐกิจ เราจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็จะค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนขึ้นมาเป็น 20% ในอีก 5 ปีข้างหน้า” 

จุดแข็ง ที่อยู่อาศัยสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ 

สำหรับยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” คือ ด้าน  Fortify LifeScape & PetScape ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้จุดเด่นของแบรนด์ จับมือพันธมิตร พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก บริการ กิจกรรม สิทธิพิเศษต่างๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งในและนอกที่อยู่อาศัยของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง 

ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 โครงการที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ (No.1 Pet-Friendly Residences) รวมถึงจับมือพันธมิตรด้านคุณภาพการออกแบบ การก่อสร้าง วัสดุ เพื่อสร้างสรรค์งาน Craft & Quality พร้อมทั้งเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมผ่านโครงการ Care-Share-Change ทั้งการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ตามไซต์ก่อสร้าง รวมถึงการจัดถังขยะสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ การช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงผ่านมูลนิธิต่างๆ 

ตั้งเป้ารายได้ 5,000 ล้านบาท 

นางสาวเพชรลดา ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า  สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยว ที่จะช่วยสร้างเม็ดเงินสะพัด เพิ่มบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อให้แก่ตลาด เมื่อประกอบกับแผนธุรกิจ LifeScape at a New Height การเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

การฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานมาช่วยสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ตลอดจนการเดินหน้าลุยธุรกิจใหม่ บริษัทมั่นใจว่า ภาพรวมธุรกิจของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง สร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยตลอดปี 2566 ที่ 7,000 ล้านบาท และสร้างรายได้รวมที่ 5,000 ล้านบาท 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ซื้อ-ขาย “โรงแรม” คึกคัก ทุนใหญ่ รอช้อป มูลค่าแตะ 1.2 หมื่นล.

JLL เผย ตลาดโรงแรมไทย เนื้อหอม ขึ้นแท่นเบอร์ 3 เอเชียแปซิฟิก ที่นักลงทุนอยากช้อปมากที่สุด คาดมูลค่าเปลี่ยนมือ ซื้อ-ขาย โรงแรม ปีนี้ อาจแตะ 12,000 ล้านบาท ขณะขาใหญ่ทุนไทยกินรวบ 80%

12 ก.พ.2566 – ข้อมูลงานวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนเกิดขึ้นในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 14 รายการ ด้วยมูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 12,300 ล้านบาท เนื่องจากมีการซื้อขายบางรายการที่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปี 

คาดตลาดลงทุน โรงแรมไทย คึกคัก แตะ 1.2หมื่นล้าน

ส่วนในปี 2566 นี้ เจแอลแอลคาดว่า การลงทุนซื้อขายจะมีมูลค่าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ล้านบาท จากการที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจต่อเนื่องในขณะที่มีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมเสนอขายในตลาด
 

นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา  รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมในประเทศไทย

เกือบทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์โควิด แต่เนื่องจากมีการซื้อขายบางรายการที่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปีถึงแม้จะทำสัญญาซื้อขายแล้ว โดยรายการซื้อขายเหล่านี้ มีมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท และจะดำเนินธุรกรรมเสร็จในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้

“แม้ปี 2565 มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมจะปรับลดลง 10.6% จากปี 2564 แต่ยังคงนับได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่ภาคการท่องเที่ยวของไทยเริ่มได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติการณ์โควิด โดยในปีนั้นมีการซื้อขายโรงแรมรวมมูลค่าเพียง 1,900 ล้านบาท” 
 

กรุงเทพ ตลาดเบอร์ 1 ทุนใหญ่แห่ช้อป

รายงานของเจแอลแอลระบุว่า โรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 เป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย เกาะพะงัน กระบี่ หัวหิน และเชียงใหม่ โดยกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุยยังคงเป็นทำเลยังคงเป็นทำเลยอดนิยมของนักลงทุน มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา

กรุงเทพฯ เป็นตลาดการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด คิดเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าทั้งหมด โดยมีการซื้อขายสองรายการสำคัญ ได้แก่ Oakwood Studios Sukhumvit Bangkok ขายให้กับ Worldwide Hotels Pte Ltd (WWH) จากสิงคโปร์ และ Grand Mercure Bangkok Windsor ขายให้กับ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย โดยเจแอลแอลเป็นตัวแทนผู้ขายสำหรับทั้งสองรายการนี้

นายจักรกริช ยังกล่าวว่า สำหรับโรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 ผู้ขายทั้งหมดเป็นบริษัทหรือธุรกิจครอบครัวชาวไทย ใกล้เคียงกับในฝั่งของผู้ซื้อ ที่พบว่า 80% เป็นการซื้อโดยนักลงทุนไทย ซึ่งต่างจากปี 2564 ที่ราว 60% ของมูลค่าการซื้อขาย เป็นการซื้อโดยนักลงทุนต่างชาติ

เจแอลแอลระบุว่า AWC เป็นบริษัทที่ซื้อโรงแรมมากที่สุดในปีที่ผ่าน ทั้งนี้ นอกเหนือจาก Grand Mercure Bangkok Windsor แล้ว บริษัทยังได้เข้าซื้อ Westin Siray Bay ที่ภูเก็ต มูลค่าราว 2,500 ล้านบาท และ dusitD2 Chiang Mai ซึ่งได้ทำการตกลงซื้อขายในปี 2564 แต่ธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565

“คาดว่า ปี 2566 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่คึกคักสำหรับตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทย จากการที่นักลงทุนมีการแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีรายการเจรจาซื้อขายหลายรายการเกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้เชื่อได้ว่า มูลค่าการลงทุนซื้อขายในปีนี้จะขยับขึ้นไปถึงที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยรายปีของมูลค่าการซื้อขายในช่วง 10 ปีระหว่างปี 2553-2562 ก่อนเกิดวิกฤติการณ์โควิด” 

แนวโน้ม ซื้อ-ขาย โรงแรมมากขึ้น 

สอดคล้องกับความเห็นของ นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า มีปัจจัยต่างๆ ที่จะเอื้อให้มีการซื้อขายโรงแรมมากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ การที่เจ้าของโรงแรมหลายรายได้พยายามรักษาโรงแรมของตนไว้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของเหล่านี้บางรายกำลังพบกับความท้าทายมากขึ้น 

จากการที่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ เริ่มลดนโยบายการประนอมหนี้ ประกอบกับภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากจีนกลับมาเปิดประเทศ ทำให้เจ้าของโรงแรมเหล่านี้ มีความมั่นใจมากขึ้นว่า ตนเองเริ่มอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นในการเจรจาการขายกับนักลงทุนที่สนใจจะซื้อ

“ในด้านนักลงทุน เราพบว่า ยังมีทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติที่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในการเข้าซื้อโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนในประเทศไทย โดยผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่เจแอลแอลจัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นตลาดโรงแรมที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากญี่ปุ่น และออสเตรเลีย+นิวซีแลนด์” 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยัง “อ่อนค่า” ถ้าทะลุแนวต้านแถว 34บาทผู้ส่งออกบางส่วนอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ที่ ระดับ 34.20บาท นักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสุทธิ ทั้งหุ้นและบอนด์ต่อ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้( 15 ม.ค.2566) ที่ระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์
 

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยเฉพาะในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เราประเมินว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อค่าเงินบาทจะยังคงมีอยู่ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงิน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเดินหน้าขายสุทธิสินทรัพย์ไทย ทั้งหุ้นและบอนด์ อย่างต่อเนื่องได้

 กอปรกับในเชิงเทคนิคัล เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (สัญญาณ RSI และ MACD ต่างก็ชี้โอกาสอ่อนค่าต่อ) ทำให้ในระยะสั้น ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าต่อจนทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราเคยประเมินไว้ได้ 

ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะหากเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องทะลุระดับดังกล่าวได้จริง ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ผู้ส่งออก มีการปรับแผนไม่รีบขายเงินดอลลาร์และอาจไปรอทยอยขายดอลลาร์ในช่วงสูงกว่า 34.00 บาทต่อดอลลาร์ เช่น 34.20 บาทต่อดอลลาร์
 
อนึ่ง ความผันผวนของตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยดัชนี Dowjones ปรับตัวลงราว -0.46% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.03% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดอาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม กลับไม่ได้ชะลอลงตามที่ผู้เล่นในตลาดคาดหวัง โดย อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 6.4% (ตลาดคาด 6.2%)

 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน Core CPI ก็ชะลอลงไม่มากสู่ระดับ 5.6% (ตลาดคาด 5.5%) ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.50% ในการประชุมเดือนมิถุนายน สูงขึ้นจากโอกาสเพียง 36% ในสัปดาห์ก่อนหน้า (ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool)
 
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เคลื่อนไหวผันผวนเช่นกัน ก่อนที่จะปิดตลาด +0.08% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักอยู่ 

โดยเฉพาะหลังจาก รายงานข้อมูลการจ้างงานในฝั่งอังกฤษ และฝั่งยูโรโซนได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว รวมถึงภาพอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ชะลอลงอย่างที่ตลาดคาดหวัง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด
 
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับมุมมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจต้องดำเนินต่อไปจนอาจแตะจุดสูงสุดที่ 5.50% หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนอย่างที่คาดหวัง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.75%

 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัว ทำให้การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ได้รุนแรงมาก หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดและหนุนโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน ก่อนที่จะปรับตัวแข็งค่าขึ้นเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอลงอย่างที่ตลาดคาดหวัง 

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) แกว่งตัวผันผวนหนัก ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,864 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

เรามองว่า ในจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับแถว 1,850-1,860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้ามาซื้ออยู่บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้างเช่นกัน
 
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมกราคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดค้าปลีกอาจขยายตัวราว +1.8% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงแนวโน้มการบริโภคในฝั่งสหรัฐฯ ที่ยังคงดีอยู่ 

สอดคล้องกับสภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว อนึ่ง เราคงมองว่า ธีมของตลาดอาจยังเป็น “Very good economic data = Bad news for the market” หรือ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดมาก ก็อาจทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดยังไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือ หยุดขึ้นดอกเบี้ยได้ง่ายๆ ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็อาจกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินได้
 
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา อัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนมกราคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ของอังกฤษ ในเดือนมกราคม อาจชะลอลงสู่ระดับ 10.2% 

อย่างไรก็ดี แม้ว่า อัตราเงินเฟ้ออาจชะลอลงได้บ้าง แต่รายงานข้อมูลการจ้างงานอังกฤษในวันก่อนหน้าที่ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว ก็อาจชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษมีโอกาสชะลอตัวช้ากว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดหวัง 

ทำให้ BOE อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง
 และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธาน ECB Christine Lagarde เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าไปที่ 33.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนครั้งใหม่ในช่วงเช้าวันนี้ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค หลังเงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่แม้จะยังมีแนวโน้มชะลอลง แต่ก็อาจจะเป็นไปอย่างช้าๆ นอกจากนี้ถ้อยแถลงของเฟดที่มีท่าทีคุมเข้มต่อเนื่อง (ซึ่งอาจจะมากว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้) ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.80-34.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินเอเชีย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดนิวยอร์กและดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ.  
 ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แบดมินตันไทย ประเดิมสวย ถล่มซีเรียขาดลอย 5-0 คู่ ศึกทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย

การแข่งขันแบดมินตันประเภททีมผสมชิงแชมป์เอเชีย รายการ Badminton Asia Mixed Team Championship 2023 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นรายการชิงแชมป์ที่แข่งขันพร้อมกันทุกทวีป จะเปิดฉากเป็นวันแรก โดยทีมชาติไทย มีโปรแกรมลงสนามนัดแรกพบซีเรีย

ทีมนักตบลูกขนไก่ไทยประเดิมสนามเอาชนะซีเรียไปขาดลอย 5-0 คู่ ในศึกแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย 2023 รายการ “เอเชีย มิกซ์ ทีม แชมเปี้ยนชิพ 2023” รอบแบ่งกลุ่ม(กลุ่มซี) นัดแรก เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  

ประเภทคู่ผสม รัชพล มรรคศศิธร-ชาสินี โกรีภาพ ชนะ อัมจาด อัล ฟาสซีห์-รานิม อัลฮัสบานี 2-0 เกม 21-3, 21-2 / ชายเดี่ยว สิทธิคมน์ ธรรมศิลป์ ชนะ อัลจาลลัด อาห์หมัด 2-0 เกม 21-11, 21-5 / หญิงเดี่ยว บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ ชนะ ซานา มาห์มุด 2-0 เกม 21-7, 21-2 / หญิงคู่ ลักษิกา กัลละหะ-ผไทมาส เหมือนวงศ์ ชนะ ซานา มาห์มุด-รานิม อัลฮัสบานี 2-0 เกม 21-3, 21-2 และชายคู่ พีรัชชัย สุขพันธ์-พรรคพล ธีระรัตน์สกุล ชนะ อัลจาลลัด อาห์หมัด-อัมจาด อัล ฟาสซีห์ 2-0 เกม 21-4 ,21-9

สำหรับในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ทีมไทยจะลงสนามสองนัด โดยช่วงเช้าจะพบกับเลบานอน และช่วงเย็นจะพบกับบาห์เรน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจ

โรคหัวใจ ไม่ได้มีแต่ในละครนะคะ เห็นตัวละครรุ่นคราวพ่อคราวแม่เจ็บหน้าอก แล้วสุดท้ายก็เสียชีวิตเนี่ยไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด เพราะใครๆ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคหัวใจกันได้ทั้งนั้น แถมไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้นนะ เราทุกคน ทุกเพศทุกวัย สามารถเป็นโรคหัวใจได้ หากยังไม่ยอมหยุดพฤติกรรมเหล่านี้

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า หัวใจ เป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของร่างกาย มีหน้าที่สูบฉีดโลหิตเพื่อนำเอาออกซิเจน และธาตุอาหารหลากหลายชนิดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจของคนเราแบ่งออกได้เป็น 4 ห้อง ประกอบด้วย 2 ห้องบนและ 2 ห้องล่าง หัวใจซีกขวารับโลหิตที่ใช้แล้วจากร่างกาย แล้วสูบฉีดไปยังปอดเพื่อรับออกซิเจน เมื่อโลหิตได้รับออกซิเจนแล้วก็จะไหลกลับไปยังหัวใจซีกซ้ายเพื่อถูกสูบฉีดผ่านไปยังเส้นเลือดใหญ่ จากนั้นจึงจะถูกนำไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ในขณะที่ร่างกายของเราได้พักผ่อนนอนหลับ หัวใจจะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ประมาณ 60 – 100 ครั้งต่อนาที การเต้น หรือการบีบตัวในแต่ละครั้งเกิดขึ้นจากตัวกระตุ้นกระแสไฟฟ้าที่ถูกกระตุ้นด้วยเซลล์พิเศษอีกชั้นที่ชื่อ SA Node โดยกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเดินทางผ่านชุดเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ทั่วทั้งห้องหัวใจ จึงเป็นสาเหตุการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ

โรคหัวใจ นั้นเป็นคำกว้างๆ ที่หมายความครอบคลุมโรค ภาวะ และอาการหลากหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ซึ่งอาจรวมถึงความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ ลิ้นหัวใจ และตัวที่คอยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมออีกด้วย

สาเหตุของ โรคหัวใจ คืออะไร ?

สาเหตุของการเกิด โรคหัวใจ นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเด็น ไม่มีสาเหตุที่ตายตัวแน่นอน แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจบ่งชี้ว่าน่าจะมีส่วนในการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหัวใจได้ ในกรณีนี้ ขอพูดถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเภทของโรคหัวใจ โดยแบ่งออกได้เป็นดังนี้

ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้

หากภายในครอบครัวมีประวัติที่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือมีพี่น้องที่เคยเป็นโรคหัวใจ เมื่อตกมาถึงเราก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจวายได้ ซึ่งพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเดียวกับเรื่องของพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมา

อายุที่เพิ่มมากขึ้นก็อาจมีส่วนให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ไม่ว่าจะในผู้หญิง หรือผู้ชาย ยิ่งมีอายุที่เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดไขมันในผนังหลอดเลือดก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เรื่องเพศก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราไม่ควรมองข้ามและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งจากงานวิจัยต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศหญิงที่ช่วยควบคุมปริมาณไขมันให้อยู่ในระดับที่พอดี อีกทั้งผู้หญิงที่อยู่ในวัยหลังหมดประจำเดือนแล้วก็อาจความเสี่ยงการเป็นโรคได้

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้

การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ อีกทั้งยังทำให้เกิดถุงลมโป่งพอ ซึ่งคนที่สูบบุหรี่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะหัวใจวายได้มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึงสองเท่า และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างกะทันหัน ฉะนั้น การเลิกสูบบุหรี่จึงจะดีที่สุด

ความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง นั้น สามารถกระตุ้นให้กระบวนการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือดเกิดขึ้นได้เร็ว อีกทั้งยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เนื่องจากต้องสูบฉีดโลหิตแรงขึ้นสำหรับไปหล่อเลี้ยงให้ทั่วร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

คอเลสเตอรอลสูง

คอเลสเตอรอล คือ ไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราสามารถผลิตขึ้นได้ อีกทั้งยังพบได้ในอาหารบางชนิด เมื่อมีภาวะของโรคหลอดเลือดหัวใจเกิดขึ้นขึ้น ก็จะพบว่าจะมีการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดหัวใจ ยิ่งมีในปริมาณที่มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสพัฒนา และเติบโตของโรคหัวใจมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องวางแผนการรับประทานอาหาร ควรเลือกแต่อาหารที่มีไขมัน และคอเลสเตอรอลต่ำเท่านั้น

เบาหวาน

โรคเบาหวาน คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือด มีสาเหตุมาจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ซึ่ง อินซูลิน เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่เป็นตัวนำน้ำตาลออกจากเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เมื่อผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการทำลายผนังภายในของหลอดเลือด อีกทั้งยังไปกระตุ้นให้เกิดคราบสะสมเกาะภายในผนังหลอดเลือดอีกด้วย

ไลฟ์สไตล์แบบนั่งอยู่กับที่ (Sedentary lifestyle)

การที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก อาทิ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ช่วยให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญ ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำหนักตัว และยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย การนั่งอยู่กับที่นานๆ โดยที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนก็ยิ่งทำให้ร่างกายและสุขภาพยิ่งแย่ ดังนั้น จึงควรจึงขยับ หรือเดินไปเดินมาบ้าง จะช่วยทำให้ร่างกายผ่อยคลายมากขึ้น

ชนิดของโรคหัวใจ

  1. โรคหลอดเลือดหัวใจ
  2. โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่เกิดจากไวรัส
  3. โรคลิ้นหัวใจพิการจากไข้รูมาติก
  4. โรคลิ้นหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ
  5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
  6. โรค หรือความพิการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ

5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจ

1. ทานอาหารไขมันสูง

เช่น ขาหมู หมูสามชั้น หนังสัตว์ทอด แกงกะทิมันๆ ต่างๆ หากบริโภคมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด ทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้

2. สูบบุหรี่

หลายคนอาจจะคิดว่าการสูบบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งที่ปอดเท่านั้น จริงๆ แล้วบุหรี่เป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคหัวใจเช่นเดียว เพราะบุหรี่ทำให้หัวใจขาดเลือด และเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้

3. เครียด

ที่เคยเห็นกันในละครว่าเหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลายทำงานหนัก เครียด ต้องแบกรับภาระหนัก และมีความกดดันอยู่ตลอดเวลา จนเป็นโรคหัวใจนั้น เป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อไรที่เราเครียด หัวใจเราจะทำงานหนักขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น จนอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จนกระตุ้นอาการของโรคหัวใจให้เป็นหนักขึ้นได้ (ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงอยู่แล้ว)

4. ไม่เคยออกกำลังกาย

การวิ่ง เต้นแอโรบิค หรือออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออื่นๆ เป็นเหมือนกันช่วยให้หัวใจได้ออกกำลัง เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ พร้อมใช้งานหนักได้มากขึ้น หากหัวใจไม่เคยได้ออกกำลัง ก็จะทนต่อการทำงานหนักไม่ไหว เมื่อใดที่เราอยู่ในภาวะหัวใจต้องทำงานหนักแต่หัวใจรับไม่ไหว ก็จะทำให้หัวใจล้มเหลวได้

5. เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน

หากคุณป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรืออ้วนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคัวใจเพิ่มมากขึ้น เพราะมีโอกาสสูงที่คุณจะมีไขมันในเลือดสูง ทำให้เลือดข้น อุดตันเส้นเลือดที่จะส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักเพิ่มขึ้น จนหัวใจทำงานไม่ไหว และล้มเหลวในที่สุด

ภาวะแทรกซ้อนจากการเกิดโรคหัวใจ

โรคหัวใจชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็อาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนที่แตกต่างกัน โดยที่พบได้บ่อยที่สุด คือ หัวใจล้มเหลว ซึ่งเกิดขึ้นได้กับโรคหัวใจทุกชนิด ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ นั้นอาจขึ้นอยู่กับโรคหัวใจที่ผู้ป่วยเป็น อาทิ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ส่วนกลุ่มผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ก็อาจตามมาด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, โรคหลอดเลือดในสมองขาดเลือด, โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ และโรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันได้

รู้อย่างนี้แล้ว หมั่นออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ ลดอาหารไขมันสูง และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เท่านี้คุณก็ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้มากแล้วล่ะค่ะ

ข้อบ่งชี้อาจเป็นสัญญาณว่ามีความเสี่ยงเป็น ‘โรคหัวใจ’

1. มีอาการหอบจนตัวโยน

เมื่ออาการในลักษณะอย่างนี้แล้วไม่รีบไปพบแพทย์อย่างทันท่วงที หรือไม่ได้รับการรักษาก็อาจทำให้ถึงตายได้

2. ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ

โดยปกติแล้วอัตราการเต้นของหัวใจคนเราจะมีความสม่ำเสมอ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 60 – 100 ครั้ง/นาที แต่ในผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อัตราการเต้นของหัวใจก็พุ่งไปถึง 150 – 250 ครั้ง/นาที

3. มีอาการเหนื่อยตอนที่ออกกำลังกาย

ในคราวที่ต้องขยับร่างกายอย่างต่อเนื่อง หรือต้องทำกิจกรรมที่ใช้แรงแล้วเกิดอาการเหนื่อยมากกว่าปกติ เป็นเพราะว่าหัวใจกำลังทำงานหนักขึ้น เพราะต้องสูบฉีดเอาโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ถึงแม้จะทำอะไรที่ใช้แรงแค่เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

4. มักเป็นลมหมดสติอยู่บ่อยๆ

จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ได้อยู่ในระดับที่สม่ำเสมอ เนื่องจากเซลล์ที่ให้จังหวะไฟฟ้าภายในหัวใจเสื่อมสภาพ ทำให้การเต้นของหัวใจช้าลงและส่งเลือดไปเลี้ยงที่สมองได้ไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้เป็นลมหมดสติไปชั่วคราวได้

5. เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก

อาการลักษณะเช่นนี้มักพบได้ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งมีไขมันอุดตันอยู่ภายในหลอดเลือดหัวใจ อาการที่เกิดขึ้นจะทำให้รู้สึกเหมือนหายใจติดขัด อึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอกเหมือนมีของหนักทับอยู่ ส่วนมากอาการนี้จะแสดงออกให้เห็นเมื่อหัวใจกำลังทำงานหนัก

6. ขา หรือเท้าบวม

อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการบวมขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกดดู เนื้อจะมีลักษณะบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป

7. ปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ

เมื่อลักษณะเช่นนี้ปรากฏ จะแสดงให้เห็นว่าทางเดินของเลือดภายในหัวใจที่ห้องขวาและห้องซ้ายมีการเชื่อมต่อกันอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดการผสมกันของเลือดแดงและเลือดดำ

8. หัวหยุดเต้นกะทันหัน

อาการหัวใจหยุดเต้นโดยทันทีนี้เกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง ทั้งยังมักเกิดกับผู้ที่ปกติ ไม่มีอาการของคนที่เป็นโรคหัวใจมาก่อน

ต้องดูแลตัวเองยังไงเมื่อเป็นโรคหัวใจ ?

  • ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รับประทานยาชนิดต่างๆ ที่แพทย์แนะนำอย่างถูกต้อง ครบถ้วน 
  • หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกที่มีไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่ได้จากสัตว์
  • ควบคุมอาหาร รับประทานแต่อาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแร็ง ไม่เป็นโรคอ้วน
  • รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตด้วยสุขอนามัยพื้นฐาน ลดความเครียดลง
  • ดูแลและควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้โรคหัวใจกำเริบ หรือเป็นหนักขึ้น
  • เดินทางไปพบแพทย์ตามวันและเวลานัดเสมอ
  • เมื่อมีอาการเหล่านี้ จะต้องเดินทางไปพบแพทย์ฉุกเฉินทันที
    • มีอาการเหนื่อย หายใจติดขัด
    • แน่น หรือเจ็บหน้าอก อาจมีอาการเจ็บร้าวตั้งแต่บริเวณขากรรไกรลงไปยังหัวไหล่ หรือแขน
    • ชีพจรเต้นอ่อน เต้นเร็ว มีเหงื่อออกมาก หรือมีอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม
    • หยุดหายใจ หรือมีอาการโคม่า

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มารู้จัก คำศัพท์หน้าฝน สนุกๆคุยเล่นแก้เบื่อตอนฝนตกกันดีกว่า

ฝนมาช้าแต่ก็มานะ !! ปีนี้หน้าฝนอาจไม่ตรงตามฤดูกาลที่ควรจะตกตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ก็ยังได้สัมผัสบรรยากาศของหน้าฝนที่ชุ่มช้ำ  แต่บางวันที่พายุเข้าและฝนตกหนักนานหลายชั่วโมง ทำให้เด็กๆ อดวิ่งสนุกข้างนอกและต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน หากคุณพ่อคุณแม่กลัวลูกน้อยจะเบื่อ ลองหากิจกรรมที่ทำได้ทั้งครอบครัวมาเล่นด้วยกัน อย่างเกมส์ทาย คำศัพท์หน้าฝน ที่นอกจากสนุกแล้วยังเติมความรู้ให้เด็ก ๆ ไปในตัวด้วย

มาเรียนรู้ คำศัพท์หน้าฝน สนุกๆ แก้เบื่อช่วงฝนตกหนักกันดีกว่า 

ช่วงนี้พอตกเย็นมักจะเห็นเมฆตั้งเคล้ามาแต่ไกล เป็นสัญญาณบอกให้เด็ก ๆ รู้ว่า “เย็นนี้ฝนตกหนักอีกแล้ว”  ถึงน้ำฝนจะช่วยให้อากาศที่ร้อนระอุตอนกลางวันคลายลง รู้สึกเย็นสบาย สดชื่นขึ้น แต่ถ้าเด็กๆอาจโดนฝนระหว่างทางกลับบ้าน จนทำให้เป็นหวัด หรือมีอาการคัดจมูกเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เด็กๆ ต้องรู้จักเตรียมตัวเองให้พร้อมรับมือกับหน้าฝน ด้วยการพกอุปกรณ์ป้องกันฝน ซึ่งมีหลายชนิดและมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษแตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมารวมเป็นหมวด คำศัพท์หน้าฝน ให้เด็กๆ เรียนรู้ได้

รายการ KidTalks ช่วง DaddyTalks กับอาจารย์คริส คริสโตเฟอร์ ไรท์ พร้อมพี่น้องวินสตันกับวิลล์เบิร์ตจะพาทุกคนไปรู้จักกับ คำศัพท์หน้าฝน ภาษาอังกฤษ ที่สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหลักๆ ดังต่อไปนี้

  1.  หมวดสภาพอากาศ
  2. หมวดอุปกรณ์ป้องกันฝน
  3. หมวดอาการป่วยเมื่อโดนฝน

ตามมาดูกันว่าน้องวิน น้องวิลล์ และลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่รู้จักคำศัพท์ วิธีออกเสียง และความหมายของคำศัพท์มากแค่ไป ลองมาติดตามกันเลย

คำศัพท์หน้าฝน รู้จักหรือยังจ๊ะเด็กๆ  

hot season  หน้าร้อน

rainy season  หน้าฝน

cool season  หน้าหวาน

drought  ภัยแล้ง

flood       อุทกภัย

It’s drizzling /spotting    ฝนตกปรอยๆ

It’s raining   ฝนตกหนักขึ้น

it’s poring down/ reain hard /reaining cat and dogs ฝนตกหนักมาก

thunder  ฟ้าร้อง

lightning   ฟ้าผ่า ฟ้าแล๊บ

storm     พายุุ

open / put up your umbrella  กางร่มออก

stay under your umbrella     ยืนอยู่ใต้ร่ม

rain jacket/ reain coat    เสื้อกันฝน

windshield  wiper/windscream wiper  ที่ปัดน้ำฝน (หน้ารถยนต์)

Catch a cold   ไปติดหวัดมา

sore throat      เจ็บคอ

Have phlegme  มีเสมหะ

Have a cogh     ไอ

ประโยคหน้าฝน รู้จักหรือยังจ๊ะเด็กๆ 

It’s raining outside    ข้างนอกฝนตก

It’s still reaining hard outside    ข้างนอกฝนยังตกหนักอยู่เลย

Your heard is damp  หัวชื้น

Take a warm shower   อาบน้ำอุ่น

Have a glass of warm milk   ดื่มนมอุ่น ๆ

Go to bed early    เข้านอนเร็ว ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก amarinbabyandkids.com


รู้จัก Ernie Bot มันคือ ChatGPT ที่ช่วยคุณค้นหาอะไรก็ได้ จาก Baidu

Baidu เตรียมเผยโฉมบริการ ChatGPT ต่อสาธารณชนในเดือนมีนาคม ซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทนี้พุ่งขึ้นเป็น 15% ทันที ถือว่าเป็นอีกแรงกระตุ้นที่ทำให้มีการแข่งขันในการสร้างบอต AI เข้าไปอีก

โดยบริการดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า “Wenin Yiyan” หรือชื่อที่เข้าใจง่ายในภาษาอังกฤษคือ “Ernie Bot” ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบเพื่อเปิดในเดือนหน้า ซึ่งพัฒนามาแล้ว 8 เดือนด้วยกัน นับเป็นอีกกระแสที่ตอนนี้มีหลายที่เริ่มลงทุนกับระบบ ChatGPT อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Microsoft ที่กำลังพัฒนาอยู่และรวมถึง Startup กลุ่ม AI ที่กำลังเปิดให้บริการ โดยมีการลงทุนมากถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะเปิดตัวอีกไม่นานหลังจากนี้

ทั้งนี้ Badu มีแผนจะรวมบริการ Ernie ไว้ที่บริการค้นหา เพื่อให้สามารถช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถพูดคุยกับบอต Open AI ได้ โดยการใช้เงินพัฒนากว่า พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในการคิดค้น AI โดยคาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงของ AI นอกจากนี้ Ernie มีระบบ Machine Learning  สามารถเรียนรู้การทานและเป็นรากฐานของเครื่องมือ ChatGPT ที่กำลังจะมีขึ้น

และเป็นสัญญาณที่ดี เพราะมีบริษัทหลายที่เริ่มจ้างงานของเทคโนโลยีนี้ โดยบางที่สามารถระดมทุนสูงสุดถึง 920 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตามข้อมูลของ PitchBook มีการเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนถึง 35%

ดังนั้นปีนี้ถ้ามีหลายบริษัทที่จะลงทุนในกลุ่มนี้มากขึ้น คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่าจะมีอะไรออกมาดีๆ ให้เราได้ลองใช้งานกันมากน้อยแค่ไหน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การออกแบบเพื่อดีไซน์อนาคตภายใต้กรอบของความยั่งยืน

โลกที่ไม่หยุดหมุนเดินทางคู่กันมากับเทคโนโลยีและการออกแบบที่ก่อร่างจากความคิดสร้างสรรค์อันไม่มีจุดสิ้นสุดของมนุษย์ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทำให้มนุษย์ละเลยสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดำรงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโลก จนเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับออกมาในรูปแบบของสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ที่กระทบไปถึงอนาคต ซึ่งมนุษย์ต้องหาทางรับมือตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน

“วงการก่อสร้าง” ตัวละครหลักผู้ผลักดันกระแสความยั่งยืน

เมื่อโลกส่งปฏิกิริยาสะท้อนกลับมาเป็นสภาวะโลกร้อน เป็นเหตุให้วงการก่อสร้างหรือกลุ่มสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์ (Built Environment) ซึ่งเป็นตัวละครหลักที่มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จากการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 40% ต่อปี (อ้างอิงข้อมูลจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) ในปี 2020) ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

สถาปนิกและนักออกแบบมีโอกาสสร้างสรรค์ไอเดียเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับการให้ความสำคัญกับกระแสความยั่งยืน (Sustainability) ที่เน้นการพัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของประชากรในอนาคต

Natural Resources · Materials · Spaces: สูตรสำเร็จแห่งความยั่งยืน

การออกแบบที่ตอบโจทย์สำหรับอนาคตได้หันเหไปที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญในประเด็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดสรรพื้นที่ และพิมพ์เขียวสิ่งแวดล้อม (Environmental Footprint) ที่พูดถึงการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงกระบวนการออกแบบ ผลิต และการบริโภคที่ต้องใส่ใจในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อย่างไรก็ดี โลกแห่งความยั่งยืนจะคงอยู่ได้ก็ต้องคงไว้ซึ่งความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมซึ่งเกี่ยวโยงถึงกันในทุก ๆ ความเคลื่อนไหว

สร้างสมดุลแห่งความยั่งยืนด้วยการรวมตัวของทุกวัตถุดิบ
ในตำถาดที่งานสถาปนิก’66

ในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างล้ำหน้า บางครั้งก็สร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับประชากรโลกถ้าหากมนุษย์มีพื้นฐานทางความคิดที่แข็งแกร่ง เช่นเดียวกันกับงานสถาปนิก’66 ที่จะกลายเป็นแหล่งรวบรวมนวัตกรรม ความรู้ และงานออกแบบจากนักสร้างสรรค์ทุกสาขา พร้อมกับการเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ พูดคุย แบ่งปัน และเข้าใจเรื่องความยั่งยืนที่ทุกคนก็สามารถร่วมกันสร้างได้เพียงแค่รับฟัง สื่อสาร แลกเปลี่ยน และทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

งานสถาปนิก’66 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 30 เมษายน 2566 ที่ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับผู้สนใจจองพื้นที่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://architectexpo.com/2023/en/about-the-expo/#space-reservation หรือ โทร. 02-717-2477 อีเมล info@TTFintl.com

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/02/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,750.0029,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,927.0029,213.3230,350.00
ทองรูปพรรณ 90%1,734.3026,291.99n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,541.6023,370.66n/a
ทองรูปพรรณ 50%867.0013,143.72n/a
ทองรูปพรรณ 40%674.0010,217.84n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,997.0030,274.52n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/02/2566


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.2536.2536.5536.2536.2536.2536.2536.2536.2536.25
แก๊สโซฮอล์ 9135.9835.9836.2835.9835.9835.9835.9835.9835.9835.98
แก๊สโซฮอล์ E2033.9433.9434.6433.9433.9433.9433.9433.9433.94
แก๊สโซฮอล์ E8534.3934.3934.39
เบนซิน 9544.0644.1144.5644.2144.06
ดีเซล B734.4434.4434.7434.4434.4434.4434.4434.4434.4434.44
ดีเซล34.4434.4434.7434.4434.4434.4434.4434.4434.4434.44
ดีเซล B2034.4434.4434.7434.4434.4434.44
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.1644.8444.2644.2643.66
แก๊ส NGV17.5917.5917.59


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า