ผ่าทางตัน คดีแอชตัน อโศก หาที่ดินทำถนนเข้า-ออกสุดหิน ชงครม.ใหม่อุ้มลูกบ้าน
อนันดา-กทม.-กูรูผ่าทางตัน กู้วิกฤตลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ไม่ต้องทุบทิ้ง หากซื้อที่ดินทำทางเข้าออกได้ตามกฎหมาย ชงรัฐบาลใหม่ผ่อนปรน ใช้ที่ดิน รฟม.เพื่อสาธารณะ
มหากาพย์ “คดีแอชตัน อโศก” คอนโดมิเนียมหรูกลางใจเมืองมูลค่า 6,481 ล้านบาท ถูกปิดฉากลง ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ยืนตามศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง เพราะออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
กรณีอนุญาตให้ บริษัทอนันดา เอ็มเอฟ เอเชียอโศก จำกัด ดำเนินการก่อสร้างโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยแอชตัน อโศก โครงการอาคารสูงขนาดใหญ่พิเศษ ขนาดความสูง 50 ชั้น ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ในพื้นที่ขนาด 2 ไร่ 3 งาน 47.6 ตารางวาในซอยสุขุมวิท 19 แยก2 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมีด้านที่ดินถนนสาธารณะเพียง 6.40 เมตรเท่านั้น ไม่ถึง12 เมตรตามที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนด แม้จะขอเช่าจาก รฟม.เพิ่มอีก 6.60 เมตร แต่ ที่ดินดังกล่าว ไม่ใช่ที่สาธารณะ
สำหรับทางออก เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง ผลกระทบจากคำพิพากษาของคดีโครงการแอชตัน อโศก และแนวทางการแก้ไขโดยระบุว่าเบื้องต้นขอพบกับหน่วยงานที่ถูกฟ้องร้องในคดีเดียวกัน ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ภายใน 14 วันทำการนับถัดจากวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ทั้งนี้ หน่วยงานของ กรุงเทพมหานครจะเป็นผู้สั่งการให้บริษัทดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวจากกรุงเทพ มหานครระบุว่า กทม.สามารถ พิจารณาแก้ไขหรือออกใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ได้ แต่โครงการแอชตันอโศกต้องทำทางเข้า-ออกให้ถูกต้องก่อน ปัญหาใหญ่ คือ การซื้อที่ดิน เพื่อทำทางเข้า-ออกติดถนนอโศกมนตรี เป็นไปได้ยาก เพราะที่ผ่านมา อนันดาฯ เคยเจรจาซื้อที่ดินต่อจากสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่ยืนยันไม่ขาย|มาตั้งแต่ต้น
ขณะที่ดินของสมาคมอีกแห่งของชาวซิกข์ สามารถทำทางเข้าออกได้ แต่ หน้ากว้างไม่ได้ตาม เกณฑ์กฎหมายควบคุมอาคาร และหากทำได้ต้องซื้อตึกแถวบริเวณด้านหน้าสมาคมฯ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะราคา ตกคูหาละกว่า 200 ล้านบาท เนื่องจากเป็นที่ดินทำเลทอง ราคาที่ดิน ราคา 2.6 ล้านบาทต่อตารางวา
ทางออกอีกทาง ซื้อที่ดินบริเวณด้านหลัง ซอยสุขุมวิท 19 คู่ กรณี ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากไม่ขายแล้ว ยังต้องซื้อตึกแถวอีกจำนวนมากไม่ต่ำกว่า16คูหา เพื่อทะลุถนนสายหลักแต่ ขนาดถนน ความกว้างไม่ถึง 18 เมตร
สอดคล้องกับ นาย สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ประเมินทางทางออกของเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า แนวทางแรกทุบทิ้ง ซึ่งคงเป็นเรื่องที่รุนแรงและสร้างความเสียหายในหลายๆ เรื่องตามมาและใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการรื้อถอน
แนวทางที่ 2 ซื้อที่ดินเพื่อเป็นทางเข้า-ออกเพิ่มเติม กรณี ฝั่งถนนอโศกมนตรี หากของเดิมมีทางเข้า-ออกติดถนนอโศกอยู่แล้วกว้าง 6.4 เมตร ก็หาซื้อที่ดินที่ติดกับทางเข้า-ออกนี้เพิ่มเติมให้ได้ไม่น้อยกว่า 12 เมตรตามกฎหมาย โดยการเจรจากับทางสยามสมาคมฯ ที่ตั้งอยู่ติดกับที่ดินที่เป็นทางเข้า-ออกปัจจุบัน แต่ก็คงไม่ง่าย เพราะสยามสมาคมฯ เป็นหนึ่งในผู้ฟ้องร้องโครงการนี้เช่นกัน หรือหากเกิดการตกลงจะซื้อ-ขายกันได้ขึ้นมาราคาก็คงมหาศาลมาก แต่ก็คงไม่สูง เพราะต้องการที่ดินอีกประมาณ 100 ตารางวา จะไปจบที่ตารางวาละเท่าใดก็ว่ากันไป แต่คงไม่ง่ายขนาดนั้น
เช่นเดียวกับ ฝั่งซอยสุขุมวิท 19 ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่า และมีหลายคนพูดถึงกันมาก เพราะซอยสุขุมวิท 19 แยก 2 ที่เชื่อมต่อกับที่ดินของโครงการนี้มีความกว้าง 4 เมตร สามารถหาซื้ออาคารพาณิชย์ที่อยู่ทั้ง สอง ฝั่งของซอยนี้เพิ่มเติมเพื่อให้มีทางเข้า-ออกถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าอาจจะต้องซื้อที่ดินเพื่อเปิดทางรวมแล้วประมาณ 291.3 ตารางวาตามที่คำนวณไว้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 873.9 ล้านบาท หรือตารางวาละ 3 ล้านบาทไปเลย ซึ่งอาจจะมองว่าสูงแล้วแต่อาจจะสูงกว่านี้ได้อีก หากไม่อยากขายจริงๆ และต้องซื้อให้ได้ทั้งหมดแบบ 100%
ทั้งสอง ทางออกที่ต้องมีการซื้อที่ดินเพื่อเปิดทางเข้า-ออกนี้ล้วนต้องใช้เงิน แต่อย่างไรก็ตาม มูลค่าของเงินที่ต้องจ่ายออกไป ถึงอย่างไรก็น้อยกว่าการเสียโครงการนี้ไป
แนวทางที่3 การนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อขอให้มีการพิจารณาเรื่องการขออนุมัติธุรกรรมเจ้าปัญหาของทางเจ้าของโครงการและทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือรฟม. โดยเป็นการพิจารณาและอนุมัติย้อนหลังซึ่งไม่แน่ชัด ว่าเป็นไปได้หรือไม่ และจะทำได้เมื่อใด
อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ 2 เป็นแนวทางในการแก้ไขที่ทางเจ้าของโครงการสามารถทำได้เลย และมูลค่าของเงินที่ต้องจ่ายออกไปไม่สูงมาก และเมื่อทางเจ้าของโครงการยังมียูนิตเหลือขายอยู่ในโครงการอีกประมาณ 13% ของมูลค่าโครงการ 6,481 ล้านบาท ดังนั้น เจ้าของโครงการมีความเป็นไปได้ที่จะขายได้เงินกลับมาประมาณ 842.5 ล้านบาท เมื่อหักกลบกับส่วนที่ต้องจ่ายค่าที่ดินก็ยังพอเป็นไปได้
กรณีดำเนินการแบบนี้ได้จะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง และส่วนที่เหลือของโครงการน่าจะขายได้หมดตามที่ตั้งใจ เพราะปัญหาเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ขณะกรุงเทพมหานครเองได้เปิดทางให้แล้วว่าสามารถออกใบอนุญาตก่อสร้างให้ถูกต้องได้ ถ้าปัญหาเรื่องของทางเข้า-ออกได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายไม่ว่าจะด้วยแนวทางใด
เรื่องนี้นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า แม้ว่าโครงการแอชตัน อโศกจะถูกศาลให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง แต่ก็สามารถไปแก้ไขให้ถูกต้องได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คดี แอชตัน อโศก กับ บรรทัดฐานทางกฎหมาย …
คดี แอชตัน อโศก กับ บรรทัดฐานทางกฎหมาย : คอลัมน์เศรษฐกิจ…อีกนิดก็หลักสี่ (.ศูนย์) โดย… รศ.ดร.ศรายุทธ เรืองสุวรรณ ภาควิชาการบัญชี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3910
วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 นับเป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เมื่อศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอาคารที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียมชื่อว่า “แอชตัน อโศก” ของ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งโปรยคำหรูในเว็บไซด์ของตนเองว่า
“บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านการพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลศักยภาพสูง ติดรถไฟฟ้า พร้อมทั้งด้านสไตล์ ความทันสมัย และคุณภาพที่โดดเด่น”
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง โดยมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างของ แอชตัน อโศก โดยมีรายละเอียดของคำสั่งว่า ให้เพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ เคลื่อนย้ายอาคาร หรือ เปลี่ยนการใช้อาคาร โดยไม่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต ตามมาตรา 39 ทวิ ตามแบบ กทม. 6 เลขที่ 18/2558 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 และเลขที่ 69/2558 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2558
และใบรับแจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 39 ตรี ตามแบบ ยผ.4 เลขที่ 48/2559 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 ฉบับแก้ไข และเลขที่ 129/2560 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ที่ออกให้แก่บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกหนังสือฉบับดังกล่าว
หากอ่านกฎหมายกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ผลลัพธ์ของคำพิพากษาฉบับนี้ คือ ศาลสั่งเพิกถอนการก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม แอชตัน อโศก หรือ การก่อสร้างอาคารดังกล่าวนั้นกระทำไม่ได้ด้วยผลของกฎหมาย
ความหวั่นใจ หรือ ความไม่แน่นอน มิเพียงแต่เกิดขึ้นกับเจ้าของโครงการอย่าง “อนันดา” ไม่ แต่ย่อมนำมาซึ่งความเดือดเนื้อร้อนใจแก่บรรดาผู้พักอาศัยในห้องชุดใจกลางเมืองหลายร้อยครัวเรือน
หากกล่าวว่า ศาลไม่เห็นใจชาวบ้านที่เดือดร้อน หรือ ผู้เขียนคิดว่าไม่ใช่ แต่ผู้เขียนเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คำพิพากษาคดี “แอชตัน อโศก” จะเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่จักต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด มิใช่เพียงหาช่องว่างเมื่อสบโอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้นผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทางกฎหมาย
ความน่าสนใจของคดีข้างต้นสำหรับคนจำนวนมาก คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า แล้วลูกค้าที่ซื้อห้องชุดคอนโดมิเนียมดังกล่าว ยังคงเป็นเจ้าของห้องชุดอยู่หรือไม่ หากไล่เรียงกันโดยลำดับแล้ว การซื้อขายห้องชุดเกิดขึ้นโดยผลของสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างคู่สัญญา โดยผู้ซื้อจะชำระค่าตอบแทนเท่ากับราคาห้องชุด เพื่อแลกเปลี่ยนกับการโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดจากผู้ขายมาเป็นของตน
แต่ ณ เวลานี้ ด้วยผลทางกฎหมาย อาคารมิได้ก่อสร้างแล้ว เมื่อไม่มีอาคาร ก็ไม่มีห้องชุด และเมื่อไม่มีห้องชุด ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดอันเป็นทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญาที่จะให้โอนแล้ว
เมื่อทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาที่ผู้ขายจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งตอบแทนหามีไม่แล้ว การชำระหนี้ของผู้ขายก็กลายเป็นพ้นวิสัยไปเสีย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันบังคับใช้สำหรับสัญญาซื้อขายมี 2 มาตราที่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ดังนี้
“มาตรา 218 ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบไซร้ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าหนี้เพื่อค่าเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น
ในกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยแต่เพียงบางส่วน ถ้าหากว่าส่วนที่ยังเป็นวิสัยจะทำได้นั้นจะเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้จะไม่ยอมรับชำระหนี้ส่วนที่ยังเป็นวิสัยจะทำได้นั้นแล้ว และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้เสียทั้งหมดทีเดียวก็ได้”
“มาตรา 219 ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น
ถ้าภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ไซร้ ท่านให้ถือเสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยฉะนั้น”
นักกฎหมายคงต้องตีความกันว่า การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยตามกรณีของแอชตันอโศกนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ “อนันดา” ต้องรับผิดชอบหรือไม่
เพราะหากพิจารณาแล้วเห็นว่า การขายห้องชุดของอาคาร แอชตัน อโศก ของอนันดาได้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างครบถ้วนถูกต้อง คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างของศาลปกครองสูงสุดคงไม่เกิดขึ้น และหากเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ คู่สัญญาก็สามารถเรียกให้ อนันดา ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อค่าเสียหายที่เกิดขึ้นของผู้ซื้อโดยสุจริตได้ เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินสำหรับธุรกรรมซื้อห้องชุด เป็นต้น
แต่วันนี้ การดำเนินการของ อนันดา เกี่ยวกับความเดือดร้อนของลูกบ้าน ก็ยังคงมะงุมมะงาหราตามหาทางแก้ไขปัญหากันไม่เจอ และเรื่องนี้จึงมิใช่เรื่องที่ อนันดา ป่าวประกาศว่า หน่วยงานราชการอย่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องรับผิดชอบแก่บรรดาผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมแห่งนี้
แต่แท้จริงแล้ว ตัว “อนันดา” นั่นแหล่ะที่ต้องเป็นผู้รับรับผิดชอบโดยตรงในฐานะคู่สัญญา ส่วนเรื่องที่ “อนันดา” จะไปไล่เบี้ยหน่วยงานของรัฐอีก 8 หน่วยงาน ก็เป็นเรื่องของ อนันดา โดยแท้ หาได้เกี่ยวกับลูกบ้านไม่
พฤติกรรมของ “อนันดา” ครั้งนี้ จึงเป็นเครื่องชี้วัดความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคของ อนันดา อย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2ส.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 34.33 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว -ไฮไลท์สำคัญวันนี้ “ผลการประชุมกนง.
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2ส.ค. 2566ที่ระดับ 34.33 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิดวันอังคารที่ 1 สิงหาคม)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนลักษณะ sideway up หรือทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 34.21-34.43 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับฐานของราคาทองคำ ก่อนที่เงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ได้บ้าง หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรมากขึ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงผ่านมา นอกจากนี้ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ก็เผชิญแรงขายเพิ่มเติม (Amazon -1.5%, Alphabet -0.9%) หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุระดับ 4.00% อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.27%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ลดลงกว่า -0.89% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH -2.3%, Hermes -1.9%) หลังผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทกลุ่มดังกล่าวออกมาไม่สดใสนัก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่สะท้อนผ่าน ภาวะหดตัวต่อเนื่องของภาคการผลิตอุตสาหกรรมในหลายประเทศ ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และผลการประชุม BOE ในช่วงปลายสัปดาห์ ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 102.1 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102-102.4 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงใกล้ระดับ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้างสู่ระดับ 1,989 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หนุนโดยภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทั้งนี้ เรามองว่า ราคาทองคำอาจแกว่งตัว sideway จนกว่าตลาดจะรับรู้ทั้งผลการประชุม BOE และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเราประเมินว่า กนง. จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 2.25% ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ยังมีความเสี่ยงด้านสูง รวมถึงความต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space)
ทั้งนี้ เราจะรอติดตามว่า กนง. จะมีการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคตอย่างไรบ้าง โดยหาก กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังไม่สิ้นสุด เราก็พร้อมปรับมุมมองใหม่ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจบที่ระดับ 2.50%
ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มของยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ได้ และนอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ในช่วงนี้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก และมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หาก กนง. มีมติขึ้นดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินบาทอาจจะทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ในกรณีดังกล่าว แต่เรามองว่า ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้ากลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยอย่างชัดเจน ทำให้เงินบาทอาจขาดแรงหนุนที่จะทำให้ เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน โดยเรายังคงมองว่า โซนแนวรับของเงินบาทจะยังคงอยู่ในช่วง 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวต้านยังคงเป็น 34.50 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงนี้
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงนี้ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.45 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม กนง.
และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.50 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คลิป ประวัติศาสตร์ทองสามสมัย!!! “พาณิภัค” อัดคู่ปรับตุรกี ผงาดคว้าทองกีฬามหาวิทยาลัยโลก
“เทนนิส พาณิภัค” โคตรแกร่ง เอาชนะคู่ปรับเก่า ผงาดคว้าทอง กีฬามหาวิทยาลัยโลก 3 สมัยติด
พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเหรียญทองกีฬามหาวิทยาลัยโลก เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน จากเทควันโดในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ด้วยการเอาชนะคู่ปรับเก่าจากตุรกี ส่งผลให้ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญทองกีฬามหาวิทยาลัยโลก 3 สมัยติดต่อกัน
โดยรอบชิงชนะเลิศ พาณิภัค ลงแข่งขันเจอกับคู่ปรับเก่าอย่าง เมิร์ฟ ดินเซล อันดับ 3 ของโลกจากตุรกี ที่พาณิภัค แพ้ในการเจอกันสองครั้งหลังสุด รวมถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกชิงแชมป์โลกด้วย
ปรากฏว่าแมตช์นี้ พาณิภัค เป็นฝ่ายเอาชนะไป 2-0 ยก สกอร์ 5-3 และยกที่ 2 สกอร์ 5-1 คว้าเหรียญทองไปครองได้สำเร็จ โดยรายการนี้เธอไม่เสียคะแนนยกให้ใครเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไหลตาย สาเหตุมาจากอะไร และจะป้องกันได้อย่างไร
“ไหลตาย” เป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย (พบในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่) สาเหตุมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจตั้งแต่กำเนิด ที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนเสียชีวิต ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อวางแผนป้องกันโรค
เมื่อหลายปีก่อนเราได้ทราบข่าวจากเพื่อนต่างสถาบันว่า เพื่อนของเพื่อนที่อยู่ในหอพักเดียวกันเสียชีวิตก่อนวันสอบเพียงคืนเดียว สาเหตุมาจากการ “ไหลตาย” เพราะนอนหลับหลังอ่านหนังสืออย่างหนักติดต่อกันหลายวัน และไม่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันสอบ และทราบว่าชีพจรไม่เต้นไปเสียเฉยๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้ยินคำว่า “ไหลตาย” และลงมือหาข้อมูลเดี๋ยวนั้นว่าไหลตายคืออะไร ใครที่เคยได้ยินแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร Sanook Health นำข้อมูลมาฝากกัน เพราะเหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวคุณในวันหนึ่งเหมือนเราก็ได้
ไหลตาย คืออะไร
อาการไหลตาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างกะทันหัน ทำให้เสียชีวิตในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากการที่มีลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจกะทันหัน จนทำให้เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน หรือเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจที่มีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นการสืบทอดมาจากพันธุกรรมในครอบครัวนั่นเอง
อาการไหลตาย เป็นอย่างไร
คนส่วนใหญ่มักพบผู้ป่วยในร่างที่เสียชีวิตแล้ว เพราะมักเกิดอาการในขณะที่กำลังนอนหลับพักผ่อน เสมือนนอนหลับแล้วจากไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ มักเป็นการเสียชีวิตอย่างฉับพลันในช่วงเวลากลางคืน
กลุ่มเสี่ยงอาการไหลตาย
อาการไหลตาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนอายุ 30-50 ปี นอกจากนี้ยังอาจเกิดกับคนที่เคยมีประวัติเกิดภาวะหัวใจเต้นระริกไม่มีการบีบตัว ทำให้ไม่มีการไหลเวียนเลือด ไม่มีการลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือภาวะกระแสไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ รวมทั้งอาการหายใจเป็นเฮือกๆ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้นหลังหัวใจหยุดเต้น คนกลุ่มนี้แม้มีชีวิตรอดจากการช่วยปั๊มหัวใจมาได้ครั้งหนึ่ง ก็ยังมีความเสี่ยงจะเกิดซ้ำอีก
นอกจากนี้ หากพบว่าเคยมีคนในครอบครัว หรือเครือญาติมีประวัติเสียชีวิตจากอาการไหลตาย รวมไปถึงเคยสังเกตตัวเองว่ามีอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ก็ถือว่ามีตวามเสี่ยงที่จะเกิดอาการไหลตายได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงต่ออาการไหลตาย
- มีไข้สูง และไม่รีบรักษาให้ไข้ลดลงอย่างเร่งด่วน
- ดื่มแอลกอฮอล์
- ใช้ยานอนหลับ
- ใช้สารเสพติด
- ทานอาหารประเภทแป้งมากเกินไป รวมถึงอาหารรสเค็มจัด ทำให้ขาดโพแทสเซียม ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
วิธีป้องกันอาการไหลตาย
- หากทราบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็กสุขภาพ และคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่เสมอ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
- หากมีไข้สูง ควรรีบทานยาลดไข้ และหากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ อย่าปล่อยให้ตัวเองมีไข้ไปนานๆ
- ในกรณีที่ตรวจสุขภาพพบว่ามีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้ฝังเครื่องกระจุกหัวใจไว้ในตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Contrast Words คำที่ใช้แสดงความขัดแย้งในภาษาอังกฤษ ที่มีมากว่า but
ก่อนอื่นเรามารู้จักคำว่า but กันก่อน
1.But มีความหมายว่า “แต่”
เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยค วลี หรือคำที่มีใจความขัดแย้งกัน หรือแตกต่างกัน
ตัวอย่างประโยค
I love you, but you don’t love me. – ฉันรักคุณ แต่ คุณไม่ได้รักฉัน
He is very handsome but not very kind. – เขาหล่อมาก แต่ว่า เขาไม่ใจดีเลย
2.But แปลว่า “ยกเว้น”
ซึ่งโดยปกติเรามักจะเจอ but ตามหลังด้วยคำเหล่านี้ : all, everything, everyone, everybody, nothing, no one และ nobody
ตัวอย่างประโยค
Nobody but me can eat spicy foods. – นอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครเลยที่ทานอาหารรสเผ็ดได้
Everyone but you likes to play football. – ทุกคนยกเว้นคุณ ชอบเล่นฟุตบอลหมดเลย
3.All but แปลว่า “เกือบจะ”
คำนี้ถือเป็น สำนวน(idiom) แปลว่า almost completely หรือ nearly (เกือบจะ,ใกล้จะ) และด้วยความเป็นสำนวน จึงทำให้ความหมายแตกต่างออกไปจากเดิมค่อนข้างมาก
สังเกตว่า ถ้าอ่านแล้วแปลตรงตัว คือจะสื่อความหมายผิดทันที ดังนั้น มารู้จักคำนี้กันครับ
ตัวอย่างประโยค
The horse was all but killed by a hunter. – ม้าเกือบจะโดนนายพรานฆ่าตายแล้ว
Our project has all but completed. – โครงการของเราเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
สังเกตว่า คำว่า all but สามารถใช้ได้กับทุก Tense เลยนะครับ แต่อย่าลืมเรี่องกฏของแต่ละ Tense ด้วยนะครับ
อีกหนึ่งประเด็นคือ มันต้องเขียนเป็น but หรือ ,but แบบมีคอมม่ากันแน่ วันนี้แอดมินมีคำตอบให้หายข้องใจกันครับ
•ใช้ but เมื่อมีหนึ่งประโยค เป็น ประโยคที่ไม่มีใจความสมบูรณ์(dependent clause)
She is so beautiful but stingy. – หล่อนสวยนะแต่ขี้เหนียว
จะเห็นว่า She is so beautiful เป็นประโยคเต็ม แต่ประโยคที่มาเชื่อม มีแค่ stingy ตัวเดียวเลย แบบนี้ถือว่าเป็น ประโยคที่ไม่มีใจความสมบูรณ์(dependent clause) กรณีนี้ เราจึงใช้แค่ but อย่างเดียว ไม่ต้องมีคอมม่านะครับ
เมื่อเรารู้แล้ว ว่าคำว่า But ใช้อย่างไร และสื่อความหมายแบบใดได้บ้าง แอดมินจึงหยิบ 11 คำ ที่สามารถใช้แทน but ได้เลย มาดูกันเลยครับ
Although
คำนี้แปลว่า “แม้ว่า” ซึ่งจะมีความหมายแสดงให้รู้สึกถึงความขัดแย้งกันของทั้งสองประโยค เลยไม่จำเป็นต้องใส่ but(แต่) อีกจึงทำให้ในกรณีนี้ เราสามารถละคำว่า but ทิ้งไปได้เลย
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
Although she is very poor, she has not lost her dignity.
– ถึงแม้หล่อนจะยากจนอย่างมาก แต่หล่อนก็ไม่เคยยอมเสียศักดิ์ศรี
Though
คำนี้แปลว่า “แต่” ได้ด้วย
จริงๆเจอคำว่า Although ก็ต้องรู้จักกับคำว่า Though ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นคำเชื่อม ใช้เชื่อมข้อคิดเห็นหรือข้อเท็จจริงที่มีใจความขัดกัน หรือไม่สอดคล้องกัน แปลว่า “แม้ว่า” แต่ในบางบริบท สามารถใช้แทนความหมายว่า “แต่” ได้อีกด้วย
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
Her birthday is in February, though I don’t know the date.
– วันเกิดหล่อนอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์นะ แต่ฉันไม่รู้วันที่น่ะ
I think he likes this one. I am not sure though.(วางไว้ท้ายสุดของประโยคก็ได้นะ)
– ฉันคิดว่าเขาชอบอันนี้นะ แต่ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน
Except
คำนี้แปลว่า “ยกเว้น”
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
All of us speak English except her.
– เราทุกคนพูดภาษาอังกฤษหมด ยกเว้นหล่อนคนนั้น
Nevertheless
คำนี้แปลว่า “ถึงอย่างนั้น / อย่างไรก็ตาม”
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
Many startups fail. Nevertheless people continue to start new businesses.
– มีธุรกิจสตาร์ทอัพหลายแห่งล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนก็ยังเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ
On the other hand
คำนี้แปลว่า “ในทางกลับกัน / ในอีกด้านหนึ่ง” คำนี้เป็นการใช้เพื่อแสดงความขัดแย้งในด้านความหมาย ระหว่างประโยคที่พูดไปก่อนหน้า และประโยคที่กำลังจะพูดต่อไปนี้ (คำนี้ใช้ค่อนข้างบ่อย)
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
Mr. John loves English. On the other hand, he hates math.
– คุณจอห์นรักภาษาอังกฤษ แต่ทางกลับกัน เขาเกลียดคณิตศาสตร์
Your computer is very fast. On the other hand, mine is quite slow.
– คอมพิวเตอร์ของคุณเร็วมากเลย กลับกัน คอมพิวเตอร์ของผมนี่ค่อนข้างช้า
Still
คำนี้แปลว่า “ถึงอย่างนั้น / ก็ยัง”
แปลกใจไหมครับ ปกติเราจะรู้ว่า still แปลว่า “ยังคง” แต่เมื่ออยู่ในบางบริบท สามารถใช้เพื่อสื่อความหมายว่า “ถึงอย่างนั้น / ก็ยัง” ได้อีกด้วย
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
My job is very challenging. Still, I am lucky that I have a good support from my family.
– อาชีพของฉันที่ทำอยู่ มันท้าทายมากเลย แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังโชคดีที่การสนับสนุนที่ดีจากครอบครัว
I have told you about it twice. Still, you do not seem to completely understand it.
– ฉันบอกเรื่องนี้กับคุณไปสองรอบแล้วนะ แต่คุณก็ยังดูไม่เข้าใจมันจริงๆ
Yet
คำนี้แปลว่า “แต่” ได้ด้วย ในความหมายนี้จะเหมือนกับคำว่า but แปลว่า “แต่” หรือ “ถึงอย่างนั้น” ทำหน้าที่เชื่อมประโยคที่มีใจความขัดกัน
ไม่ได้มีความหมายว่า “ยัง” อย่างเดียวนะครับ
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
I don’t like seafood, yet I have to eat them today at this restaurant.
– ฉันไม่ชอบอาหารทะเล แต่วันนี้ฉันต้องกินที่ภัตตาคารแห่งนี้
I am not student anymore, yet I still study almost every day.
– ฉันไม่ใช่นักเรียนแล้ว แต่ฉันยังคงต้องเรียนอยู่แทบทุกวัน
In contrast
คำนี้แปลว่า “ช่างตรงข้ามกับ” คำนี้ใช้ง่ายๆ ความหมายตรงตัวครับ กับคำว่า “Contrast” ที่แปลว่า ย้อนแย้ง / ขัดแย้ง / ตรงข้าม
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
His cat is very cute in contrast with mine.
– แมวของเขาน่ารักเหลือเกิน ช่างตรงข้ามกับแมวของฉัน ฮืออ
He looked quite happy in contrast with those around him.
– เขาดูเหมือนจะมีความสุขนะ ช่างแตกต่างกับคนอื่นรอบๆตัวเขาเลย
On the contrary
คำนี้แปลว่า “ในทางตรงกันข้าม” คำว่า contrary แปลว่า “ความขัดกัน/ความตรงกันข้าม” มีวิธีใช้ดังนี้เลยครับ
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
You are young. I, on the contrary, I am very old.
– คุณดูยังวัยละอ่อนอยู่เลย แต่ในทางตรงกันข้าม ผมสิแก่มากแล้ว
Just because I’m alone doesn’t mean I’m lonely. On the contrary, I enjoy being by myself.
– แค่ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้แปลว่าฉันเหงานะจ๊ะ ในทางกลับกัน ฉันมีความสุขกับการเป็นตัวเองมากเลยค่ะ
Whereas
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
คำนี้แปลว่า “ในทางตรงกันข้าม / ในขณะที่”
I am tall, whereas my siblings are short.
– ฉันตัวสูง ในขณะที่พี่น้องฉันตัวเตี้ยหมดเลย
A triangle has three sides, whereas a square has four.
– สามเหลี่ยมมีสามด้าน ในขณะที่สี่เหลี่ยมมีสี่ด้าน
However
คำนี้แปลว่า “แต่อย่างไรก็ตาม / แต่ถึงกระนั้น”
ตัวอย่างการใช้ในประโยค
I like the dress; however, it’s available in just one color.
– ฉันชอบเสื้อเดรสนะ แต่ถึงกระนั้น มันมีให้เลือกแค่สีเดียวเอง
The car was quite old and outdated. However, it managed to take us home safely.
– รถคันนี้ค่อนข้างเก่าและตกรุ่นไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม มันสามารถพาเรากลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัยก็แล้วกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
Honda e:Ny1 เอสยูวีไฟฟ้าโฉมเดียวกับ HR-V เคาะเริ่มต้น 1.9 ล้านบาทที่อังกฤษ
Honda e:Ny1 2024 ใหม่ เอสยูวีไฟฟ้าล้วน 100% เผยราคาจำหน่ายในสหราชอาณาจักรเริ่มต้นที่ 44,995 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,980,000 บาท พร้อมแบตเตอรี่ขับขี่ไกลสุด 412 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
Honda e:Ny1 เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ 2 ต่อจาก Honda e ในตลาดสหราชอาณาจักร โดยอาศัยโครงสร้างตัวถังเดียวกับ HR-V รุ่นเครื่องยนต์สันดาป แต่ฮอนด้าระบุว่าได้รับการพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม e:N Architecture F ที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) โดยเฉพาะ ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่มองหารถ B-SUV ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ที่มีคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกันอย่าง Peugeot e-2008, Volkswagen ID.4 และ Toyota bZ4X
ขุมพลังของ Honda e:Ny1 เป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.6 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 68.8 kWh ที่ช่วยให้ขับเคลื่อนได้เป็นระยะทางสูงสุดราว 256 ไมล์ หรือ 412 กิโลเมตรเมื่อชาร์จจนเต็ม (ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP) และรองรับการชาร์จด่วนจาก 10-80% ในเวลาราว 45 นาที
Honda e:Ny1 จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Elegance และ Advance โดยที่รุ่น Elegance ถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ พร้อมระบบอุ่นเบาะคู่หน้า, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศแบบ Dual-zone, ที่ชาร์จไฟแบบไร้สาย, ไฟเลี้ยวแบบ Sequential, กระจกหน้าต่างแบบ Privacy Glass และระบบความปลอดภัย Honda SENSING เป็นต้น
ทั้งคู่ยังถูกติดตั้งหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 15.1 นิ้ว และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการใช้งาน Wireless Apple CarPlay และ Android Auto (ผ่านสาย USB เท่านั้น) และยังสามารถแสดงข้อมูลระบบขับเคลื่อน เช่น สถานะการชาร์จแบตเตอรี่ และการใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
ขณะที่รุ่น Advance เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชันระดับพรีเมียม เช่น เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ที่สามารถเลือกได้ทั้งสีดำหรือสีเทาอ่อน (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก), หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิก, ระบบอุ่นพวงมาลัย, ประตูท้ายไฟฟ้าระบบแฮนด์ฟรี และชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม เป็นต้น
นอกจากนี้ ในรุ่นท็อปสุดยังมาพร้อมระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Parking Pilot ที่อาศัยการทำงานของระบบกล้องมองภาพ Multi-view Camera ควบคู่ไปกับเซ็นเซอร์รอบคัน โดยระบบดังกล่าวสามารถตรวจสอบช่องจอดที่เหมาะสม และจะทำการควบคุมพวงมาลัย คันเร่ง เบรก และการเปลี่ยนเกียร์ เพื่อนำรถเข้าจอดโดยอัตโนมัติ
สำหรับราคาจำหน่ายของ Honda e:Ny1 ในสหราชอาณาจักรของทั้ง 2 รุ่นย่อยอยู่ระหว่าง 44,995 – 47,195 ปอนด์ หรือตกประมาณ 1,980,000 – 2,070,000 บาท เตรียมเปิดรับจองในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
7 ประโยชน์ของ “สะตอ” สุดยอดพืชผัก ของดีที่ชาวปักษ์ใต้นิยมรับประทาน
หากเอ่ยถึงอาหารยอดนิยมในภาคใต้ เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง “สะตอ” หรือที่ชาวปักษ์ใต้เรียกว่า “กะตอ” เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าสะตอจะมีกลิ่นฉุน แต่ก็ไม่ทำให้ความนิยมในการรับประทานลดน้อยลงเลย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสะตอให้มากขึ้น
“สะตอ” ของดีจากชาวปักษ์ใต้
สะตอ (Parkia speciosa หรือ Petai) มีรูปร่างคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ เป็นที่รู้จักกันดีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย ประเทศสิงคโปร์ ประเทศลาว ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
สะตอนั้นอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงมีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มีสรรพคุณที่ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยบำรุงสมองและสุขภาพดวงตา โดยส่วนใหญ่คนนิยมนำมารับประทานทั้งแบบดิบและแบบสุก นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ 100 กรัม (ให้พลังงาน 124 กิโลแคลอรี่) ให้สารอาหาร ดังต่อไปนี้
- ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 32.7 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 1 0.15 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 0.2 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 0.5 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 376 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
- โซเดียม 11 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม
- คาร์โบไฮเดรต 16.9 กรัม
- โปรตีน 10 กรัม
- ไขมัน 1.8 กรัม
- ไฟเบอร์ 1 กรัม
7 ประโยชน์จากสะตอ ที่คุณไม่เคยรู้
- บรรเทาอาการซึมเศร้า
สะตอมีทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารเมลาโทนิน (Melatonin) ช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล อาการเครียด ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง
สะตออุดมด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง (Anemia)
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต
องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (United States Food and Drug Administration : FDA) กล่าวว่า สะตอ มีธาตุโพแทสเซียมสูงและมีความเค็มต่ำ จึงมีสรรพคุณที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคดันโลหิตและโรคหลอดเลือดสมอง
- รักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
การรับประทานสะตอระหว่างมื้ออาหารจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น และช่วยป้องกันอาการแพ้ท้องในสตรีมีครรภ์อีกด้วย
- บรรเทาอาการท้องผูก
สะตออุดมด้วยไฟเบอร์จำนวนมาก ช่วยฟื้นฟูลำไส้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรเทาอาการท้องผูก นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการเสียดท้องอีกด้วย
- บำรุงสุขภาพดวงตา
สะตอมีวิตามินเอสูงมากถึง 200 IU (หน่วยสากล) ต่อ 100 มิลลิกรัม ดังนั้นสะตอจึงมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา และช่วยรักษากระจกตาให้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
- บำรุงสมอง
มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า สะตออุดมด้วยโพแทสเซียมที่จะช่วยในการเรียนรู้ เพิ่มความจำ บำรุงสมองและยังช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นตัว
- ผลข้างเคียงในการบริโภค
ถึงแม้ว่าสะตอจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่หากรับประทานมากจนเกินไป ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้เช่นกัน ดังนี้
สะตอมีกรดแจงโคลิก (Djenkolic acid) เป็นกรดกำมะถัน มีพิษเล็กน้อย หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ โรคไตวายเฉียบพลัน โรคนิ่ว เป็นที่ทราบกันดีว่าสะตอนั้นมีกลิ่นฉุน หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจทำให้มีกลิ่นปากและปัสสาวะมีกลิ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/08/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,650.00 | 31,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,050.00 | 31,078.00 | 32,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,845.00 | 27,970.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,640.00 | 24,862.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 923.00 | 13,992.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 718.00 | 10,884.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,124.00 | 32,199.84 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/08/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.35 | 38.35 | 39.05 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.08 | 38.08 | 38.78 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.04 | 36.04 | 36.74 | 36.04 | 36.04 | – | 36.04 | 36.04 | 36.04 | 36.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.49 | 36.49 | – | – | – | – | – | – | – | 36.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.74 | 47.94 | 47.44 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 46.14 | – | – | – | 46.91 | – | 46.64 | 46.29 | – | 46.14 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.44 | 41.44 | 46.94 | 43.54 | 43.54 | – | – | – | – | 40.44 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |