คอนโดปี67ลุ้นฟื้นไข้หวังรัฐอัดยาแรงพลิกวิกฤติเป็นโอกาส
ภาคอสังหาฯจับสัญญาณคอนโดปี67 หวังรัฐอัดยายาแรงกระตุ้นตลาดฟื้นไข้หลังปัจจัยลบขยายวงกว้าง หวั่นสงครามกระทบความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะข้าวยากหมากแพงเดือนดีเวลลอปเปอร์ระมัดระวังขึ้นโครงการใหม่แนะปรับกลยุทธ์รับมือมองหาโอกาสใหม่ท่ามกลางวิกฤติ
นับถอยหลังขึ้นศักราชใหม่ปี 2567 ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยส่งสัญญาณ “ปัจจัยเสี่ยง” ทางธุรกิจยังมีอย่างต่อเนื่อง จากภาพรวมเศรษฐกิจที่เผชิญผลกระทบรอบด้านทั้งพิษสงครามฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง ขณะที่กำลังซื้อในประเทศเปราะบาง โดยวานนี้ (26 ต.ค.) สมาคมอาคารชุดไทย จัดงานสัมมนา “ผ่ากลยุทธ์ธุรกิจคอนโดมิเนียม ปี 2024” ระดมกูรูในวงการคอนโดมิเนียมวิเคราะห์ภาวะตลาด การปรับกลยุทธ์ การกระตุ้นยอดขาย เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ฝ่าคลื่นความท้าทายต่างๆ
นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2566 อยู่ในภาวะไม่ดีนัก จากความผันผวนในหลายเรื่อง ล่าสุด สงครามอิสราเอล-ฮามาส เข้ามาเป็นปัจจัยลบใหม่ที่ต้องจับตามองก่อนวางแผนธุรกิจในปี 2567
สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดปี 2567 เริ่มฟื้นตัวหลังหายป่วยจากโควิด -19 ปัจจุบันตลาดเริ่มไม่มีสินค้า หรือไม่มีสต็อก แต่จะมีแบ็คล็อก (Backlog) ในการโอนเข้ามากลางปี 2567 จากโครงการเปิดใหม่ในปี 2564
“แต่ยังต้องจับตามองสงครามอิสราเอล-ฮามาสอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อต้นทุนและอารมณ์ซื้อลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยด้วยการออกมาตรการกระตุ้นเชิงนโยบายผ่านภาคธุรกิจอสังหาฯ เพื่อก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบได้ดีกว่าการกระตุ้นผ่านภาคธุรกิจอื่นๆ”
มาตรการกระตุ้นที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการ ประกอบด้วย การส่งเสริมโครงการบ้านหลังแรก ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานและต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งอาจใช้มาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการซื้อบ้านหลังแรก การยกเว้นมาตรการแอลทีวีในช่วง 1-2 ปีจากนี้ เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัว และการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ด้วยการให้วีซ่ากับต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยราคาแพงหรือดึงกลุ่มคนที่มีศักยภาพสูงทั้งทางธุรกิจการศึกษาและวิชาชีพเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย
“ท่ามกลางวิกฤติมีโอกาสเสมอ แม้เศรษฐกิจจีนไม่ดี แต่ยังมีกลุ่มคนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและบริหารเงินด้วยการซื้ออสังหาฯ ไทย ดังนั้นในปีหน้า ไม่กังวลเพราะมองเห็นสัญญาณบวกจากกลุ่มคนมีเงินที่เข้ามาซื้อ ขณะที่ปีนี้มีต่างชาติจากรัสเซีย อินเดีย เมียนมา เข้ามาซื้ออสังหาฯไทยทดแทนดีมานด์จีนที่ลดลง”
ชงนโยบายบ้านหลังแรกกระตุ้นเศรษฐกิจ
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) นายกกิตติมศักดิ์และที่ปรึกษาสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดคอนโดปี 2566 “ทรงตัว” โดยเฉพาะตลาดกลาง-ล่างติดกับดักรายได้ ลูกค้าขอสินเชื่อไม่ผ่านสููงกว่า 50% ทำให้กำลังซื้อและอัตราการดูดซัพลดลง ประกอบกับต่างชาติยังไม่กลับมา ขณะที่การพัฒนาโครงการใหม่ยากเพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนพัฒนาโครงการสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าปี 2567 น่าจะดีกว่าปีนี้ แต่จะดีโดยวิธีไหนภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดใหม่ต้องรอดู
“ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาฯ ขอเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจโดยออกมาตรการกระตุ้นบ้านหลังแรก เพราะบ้านเป็นปัจจัย 4 และเป็นความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ตลาดคอนโด มูลค่า 5 แสนล้านต่อปีฟื้นกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยให้แบงก์ชาติเข้ามาช่วยอุดหนุนดอกเบี้ยเพื่อซื้อบ้านหลังแรก”
พร้อมทั้ง ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง ลดภาษีธุรกิจเฉพาะทำให้คนตัดสินใจซื้อ ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งยกเลิกมาตรการแอลทีวี 2 สัญญาแรก และผ่อนคลายหลักเกณฑ์เครดิตบูโรในเรื่องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว เพราะผู้บริโภคเผชิญปัญหาภาระหนี้สูงจากโควิด และผู้ประกันตน สปก.สามารถขอถอนเงินบางส่วนจากการเกษียณอายุ หรือ การคลอดบุตรในกรณีที่เป็นหญิงโสดไปชำระหนี้สถาบันการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ เป็นการเพิ่มกำลังซื้อ
“การทำคอนโดในปีหน้า ต้องมีความแตกต่างที่ชัดเจน มีจุดขายที่ตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ เช่น วัสดุประหยัดพลังงาน ที่สำคัญต้องระมัดระวังการขึ้นโครงการใหม่ 200% เพราะเฟดยังคงขึ้นดอกเบื้ยทำให้เกิดเงินเฟ้อ และแนวโน้มต้นทุนน้ำมันเพิ่มส่งผลให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง”
คอนโดอยู่ในยุคถดถอยปีหน้าหืดขึ้นคอ
นายกีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความคาดหวังเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักเพื่อชดเชยช่วงโควิดเป็นเรื่องลำบาก เนื่องจากปัจจัยลบยังคงกดดันต่อเนื่อง จากดอกเบี้ย เงินเฟ้อ กำลังซื้อที่เปราะบางทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งความเข้มงวดของสถาบันการเงิน
“ปัจจัยลบตลาดคอนโดเผชิญภาวะหนี้ครัวเรือนทรงตัวในระดับสูง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนการพัฒนาโครงการนมีแนวโน้มสูงขึ้น ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ส่วนปัจจัยบวก คือ มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และเมกะเทรนด์ต่างๆ รวมถึงปัญหาเชิงโครงการที่เร่งให้อสังหาฯเข้าสู่ Generation Rent”
ปัจจัยดังกล่าวทำให้เกิดแนวโน้มความเปลี่ยนแปลง 3 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการคอนโดต้องเผชิญ ประกอบด้วย Big Recession , Generation Change และ Workplace New Normal ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ให้สอรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ด้วยการพัฒนาโครงการคอนโดหรู แคมปัสคอนโด คอนโดระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย รวมถึงการสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ โดยการร่วมทุนทั้งในและต่างประเทศ ขยายการพัฒนาทำเลที่มีศักยภาพโดยเฉพาะหัวเมืองขนาดใหญ่ รวมถึงการเข้าสู่ Digital Taken และ Metavere
“ทางรอดของผู้ประกอบการคอนโดต้องคิดใหม่ ทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ต้องยอมรับว่าคอนโดอยู่ในยุคถดถอย ปีหน้าเหนื่อยแน่ เพราะเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตรวดเร็วอย่างที่อยากให้เป็น โลกสมัยใหม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ไม่นิยมซื้อบ้านหันมาเช่าแทน อยากอยู่รอดต้องสร้างแบรนด์ ดึงมาร์เก็ตแชร์จากคู่แข่ง ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐเข้ามาช่วยดึงกำลังซื้อจากต่างชาติเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผ่านธุรกิจอสังหาฯ”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เจาะลึก! ปัจจัยที่ส่งผลต่อ มูลค่าแบรนด์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ในช่วงวันที่ 27 ต.คนี้ จะมีการเผยแพร่ชุดงานวิจัยที่ทาง Baramizi ทำร่วมกับทางคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง Most Valuable Real Estate Brand 2023 แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ามากสุด ประจำปี 2023
จากดาต้าที่วิเคราะห์กันออกมา ผมได้เห็นองค์ประกอบที่น่าสนใจว่าปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อมูลค่าแบรนด์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การจะวิเคราะห์แล้วทำให้ต่อยอดเพื่อนำผลของดาต้าไปพัฒนาธุรกิจได้ ก็ต้องอาศัย BFV model (Brand future valuation model) มาเป็นพื้นฐานสำคัญ
อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่าจะทำให้แบรนด์มีมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมที่ว่านี้ต้องดูที่ปัจจัยอะไรไปติดตามกันเลย
1.กลยุทธ์การจัดสัดส่วนทางการตลาด Brand Segmentation Strategy
กลยุทธ์ในข้อนี้จะส่งผลต่อมูลค่าแบรนด์ ก็ต่อเมื่อการวางกลยุทธ์ในข้อนี้สามารถส่งผลต่อการเติบโตด้านยอดขายขององค์กรได้ดีกว่าคู่แข่งนั่นเอง เท่าที่สังเกตเห็นแบรนด์ต่างๆ ที่มีมูลค่าสูงนั้น แบรนด์องค์กรจะช่วยส่งผลหรือเป็นสปริงขยายยอดขายในหลากหลายเซกเมนต์มากกว่า
ในเซกเมนต์นี้จะเป็นการจัดที่ครอบคลุมทั้งแบบแนวตั้ง (ขยายไปได้หลากหลายกลุ่มกำลังซื้อ) และแนวนอน (ขยายไปได้ตามประเภทของสินค้า เช่น แนวราบ แนวสูง เป็นต้น)
2.กลยุทธ์การวางตำแหน่งคุณค่าแบรนด์ Brand Value Strategy
คุณค่าแบรนด์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีผลมากต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค สำหรับธุรกิจประเภทอสังหาฯ นั้นถือเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญของมนุษย์ และเป็นสินค้าที่มีความ high involvement ที่สูง เพราะบางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตเพื่อให้ได้บ้านสักหลัง และบ้านคือความฝันและทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผู้บริโภค
คุณค่าที่เรามักพบว่าส่งผลต่อสภาวะ Brand Impact คือ
- เป็นแบรนด์ที่ส่งมอบคุณค่า : คิดค้น สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Creative & Uptodate)
- เป็นแบรนด์ที่ส่งมอบคุณค่า : พัฒนานวัตกรรมใหม่ (Innovative)
- เป็นแบรนด์ที่ส่งมอบคุณค่า : ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
- เป็นแบรนด์ที่ส่งมอบคุณค่า : อบอุ่นใจ ปลอดภัย
3.กลยุทธ์การจัดระบบสถาปัตยกรรมแบรนด์ Brand Architecture Strategy
กลยุทธ์ในหัวข้อนี้ผมบอกได้เลยว่า ต่างกันที่ความไม่รู้ก็ว่าได้ เพราะการจัดระบบสถาปัตยกรรมแบรนด์นั้นต้องอาศัยความรู้ในวิธีการกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งมั่วไม่ได้ ครับ!
เพราะการจัดระบบสถาปัตยกรรมแบรนด์นั้น ส่งผลต่อทีมการตลาดและทีมขายทั้งหมดเลยทีเดียว และทำให้ใช้งบประมาณสิ้นเปลืองหรือประหยัดก็ขึ้นกับกลยุทธ์ในข้อนี้
ก่อนจะไปวิเคราะห์ให้ทุกท่านฟังนั้น ผมต้องอธิบายก่อนครับว่า ระบบสถาปัตยกรรมแบรนด์ คือการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์องค์กรกับแบรนด์สินค้า โดยทั่วไปสถาปัตยกรรมแบรนด์จะมี 3 ระบบใหญ่ ดังนี้
1) One brand one product แบรนด์องค์กรไม่มีความสัมพันธ์กับแบรนด์สินค้าเลย
2) Endorsing brand แบรนด์องค์กรมีความสัมพันธ์แบบการการันตีรับรองกับแบรนด์สินค้า ลักษณะแบบนี้แบรนด์สินค้าจะโดดเด่นชัดเจน
3) Family brand แบรนด์องค์กรมีความสัมพันธ์แบบครอบครัว หรือแบรนด์องค์กรมีบทบาทนำแบรนด์สินค้าซึ่งต้องไม่โดดเด่นเกินแบรนด์องค์กร
ในระบบแบรนด์ที่ส่งผลต่อสภาวะ brand impact (การตัดสินใจซื้อ) และ WACC (ต้นทุนทางการเงิน) แบรนด์ที่มีมูลค่าที่สูงมักจะใช้ระบบแบบในข้อ 2 Endorsing brand และ 3 Family brand
4.กลยุทธ์การจัดระบบแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ Brand Portfolio Strategy
กลยุทธ์นี้มีหลักคิดใกล้เคียงกับการจัดระบบสถาปัตยกรรมแบรนด์ กล่าวคือ ถ้าผิดแล้วยาว…ว ครับและแก้ยากมากๆ ด้วย ดังนั้น จึงต่างกันที่ความรู้หรือไม่รู้!
การจัดระบบพอร์ตโฟลิโอในอุตสาหกรรมนี้ต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ ผมยืนยันได้เลยว่าการจัด ระบบแบรนด์พอร์ตโฟลิโอของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่เหมือนกับธุรกิจ Consumer product หรือ Retail อย่างที่บอกครับ บ้าน คอนโด คือชีวิตของผู้คน นี่คือหลักคิดสำคัญ!
การจัดระบบแบรนด์พอร์ตโฟลิโอมี 3 กลุ่มใหญ่
1.แบบการสร้างพลังให้กับพอร์ต
2.แบบการสร้างรายได้ให้กับพอร์ต และ
3.แบบ Fighting brand
จากดาต้าที่วิเคราะห์กัน พบว่า กลยุทธ์การจัดแบรนด์พอร์ตโฟลิโอมักจะเน้นไปในข้อ 1 และ 2 ส่วนแบบข้อ 3 นั้นอันตรายและอาจส่งผลต่อแบรนด์องค์กรด้วยในระยะถัดไป และจะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกต่ำลง ซึ่งจะส่งผลต่อความแข็งแรงของแบรนด์อย่างมาก ดังนั้น ท่านไหนที่คิดจะใช้กลยุทธ์ประเภทนี้หลีกเลี่ยงดีกว่าครับ
5.กลยุทธ์การสร้างสาวกแบรนด์ Brand Superfans Strategy
แบรนด์ที่มีมูลค่าโดยเฉพาะใน 5 อันดับต้นนั้น มักจะมีคะแนนด้าน Brand Superfans ที่สูงกันเกือบหมด มีบ้างที่คะแนนข้อนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่โดยรวมๆ ก็ผ่านเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
แบรนด์เหล่านี้เขาทำอะไรกันทำให้เกิดสาวกแบรนด์ ก็ต้องบอกว่าคำตอบของการสร้างสาวกแบรนด์ในธุรกิจอสังหาฯ นั้น เรื่องพื้นฐานถือว่าสำคัญมากๆ โดยเฉพาะคำว่า “เชื่อมั่น ไว้วางใจ” เป็นคุณค่าพื้นฐานที่ถ้าได้มานั้นจะเกิดสาวกแบรนด์ขึ้นเองโดยเฉพาะส่วนที่เป็น BFI หรือ Brand Faith Index คือ ความรู้สึกว่าศรัทธา มั่นใจในแบรนด์นี้ นั่นเอง
ดังนั้น กลยุทธ์การสร้างสาวกแบรนด์ในข้อนี้ ท่านจะต้องได้มาจากการทำพื้นฐานการออกแบบโครงการที่ดี ทั้งด้านความสวยงามของสถาปัตยกรรมและส่วนกลางของโครงการ มีฟังก์ชันและการเลือกใช้วัสดุที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้านั่นเอง
ทั้ง 5 กลยุทธ์นี้มีผลต่อมูลค่าแบรนด์อย่างแน่นอนครับ ที่สำคัญความแตกต่างอาจไม่ใช่งบประมาณใครมากกว่าใคร แต่ต่างกันที่ “รู้” หรือ “ไม่รู้” ต่างหากครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 27ต.ค. “ แข็งค่า”ที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาท คาดว่ากรอบจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯเดือนกันยายน สำหรับไฮไลท์สำคัญในวันนี้ที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 27ต.ค. ที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.25 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมองว่า เงินบาทยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน ท่ามกลาง ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน (Risk-Off) ซึ่งต้องรอจับตา ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้น ขณะที่การย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจช่วยชะลอแรงขายบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติได้
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือน โฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าก็อาจยังคงเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ ทำให้เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่ในโซน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ ราคาทองคำยังคงทรงตัวแถว 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ปรับตัวขึ้นบ้าง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้ ทว่า เรายังไม่ได้มองว่า เงินบาทจะสามารถแข็งค่าหลุดระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ จนกว่าตลาดจะปรับลดมุมมองต่อแนวโน้มเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer)
เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาด ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ตั้งแต่ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ (ในช่วงเวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) โดยอัตราเงินเฟ้อกลับออกมาสูงกว่าคาดและไม่ได้ชะลอตัวลงตามที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น ได้ไม่ยาก ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ได้
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน สถานการณ์สงครามที่เสี่ยงทวีความรุนแรงและบานปลาย ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ
และมองกรอบในช่วง 36.00-36.50 บาท/ดอลลาร์ หลังตลาดทยอยรับรู้อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน (แกว่งตัวในช่วง 36.22-36.36 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงาน GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ออกมาดีกว่าคาด
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ไม่นาน ก็เผชิญแรงขายทำกำไร และเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมาจากทั้งการปรับสถานะ Short ของผู้เล่นในตลาด ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า รายงาน GDP
ล่าสุด ได้สะท้อนว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ซึ่งจะลดโอกาสการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ ที่ยังสามารถแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากทั้งความผิดหวังต่อรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ รวมถึง ความกังวลต่อแนวโน้ม เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวกว่า +4.9% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก โดยแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Microsoft -3.8%, Meta -3.7%, Nvidia -3.5% ได้กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.76% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาลดลง -0.48% กดดันโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาน่าผิดหวัง อาทิ Mercedes-Benz -5.8%, BNP -2.6% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.00% (Deposit Facility Rate) ตามที่เราได้ประเมินไว้ก่อนหน้า หลังภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า รายงาน GDP สหรัฐฯ ล่าสุด จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดอาจสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) ทว่า รายงานดังกล่าว ก็สะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงมากขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเหลือไม่เกิน 28%
ซึ่งภาพดังกล่าว กอปรกับแรงขายทำกำไรสถานะ Short บอนด์ระยะยาว และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด จากความกังวลสถานการณ์สงคราม รวมถึงความผันผวนในตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลงจากระดับ 4.98% สู่ระดับ 4.85% สะท้อนถึงความผันผวนในตลาดบอนด์ที่สูงพอสมควรในช่วงนี้ (ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวในกรอบ 4.8%-5.0%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นหลังรายงาน GDP สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อลงเล็กน้อยสู่ระดับ 106.6 จุด (กรอบ 106.5-106.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าในช่วงระหว่างวันจะได้แรงหนุนจากความกังวลสถานการณ์สงครามที่ร้อนแรงขึ้น แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ก็เผชิญแรงกดดันบ้างในช่วงเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ไปไกลและยังคงแกว่งตัวในโซน 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ จังหวะการรีบาวด์ของราคาทองคำที่เกิดขึ้น หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลง ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิดคือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ที่ไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง
สู่ระดับ 3.4% และ 3.7% ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นที่เฟดจะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ แต่อาจยังคงทำให้เฟดสามารถส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงมากกว่าปัจจุบัน
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“อัลไซเมอร์” รู้จัก และเข้าใจกับชีวิตที่ไม่ง่ายของคนใกล้ตัว
ปัจจุบันโลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่ลักษณะของสังคมดังกล่าว สังคมผู้สูงอายุจะมาพร้อมปัญหาสุขภาพด้านต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น
โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากอะไร ?
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงานของสมองซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติของของโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมอง ความผิดปกติดังกล่าวเกิดจากการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติ โปรตีนสำคัญที่ผิดปกติในโรคนี้ คือ เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-amyloid) และทาว (Tau) เมื่อเกิดการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติเหล่านี้ ส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมฝ่อและเสียการทำงาน ทำให้เกิดกลุ่มอาการสมองเสื่อม
อาการของโรคอัลไซเมอร์
จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้สามารถตรวจวินิฉัยโรคอัลโซเมอร์ได้ถูกต้องแม่นยำขี้น และสามารถตรวจโรคนี้ได้ แม้ผู้ป่วยยังไม่มีอาการชัดเจน ระยะต่าง ๆ ของการดำเนินโรคในโรคอัลไซเมอร์ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะก่อนมีอาการ (Preclinical stage) ในระยะนี้จะเกิดความผิดปกติของเนื้อสมอง แต่ยังไม่มีอาการแสดงที่ผิดปกติ
- ระยะที่มีอาการเพียงเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment) ในระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการต่าง ๆ ของกลุ่มอาการสมองเสื่อมดังกล่าวข้างต้น แต่ยังไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต
- ระยะที่มีภาวะสมองเสื่อมชัดเจน (Dementia) ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีกลุ่มอาการสมองเสื่อมอย่างชัดเจน และมีปัญหาในการดำเนินชีวิต ในระยะที่มีภาวะสมองเสื่อมอย่างชัดเจนนี้ อาการก็อาจจะมีความรุนแรงมากน้อยต่างกัน
ในระยะแรกที่มีภาวะสมองเสื่อมในระดับความรุนแรงน้อยอาการอาจจะมีเพียงการเสียความทรงจำและทักษะต่าง ๆ เล็กน้อยแต่ผู้ป่วยพอช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ในระยะที่มีความรุนแรงปานกลางผู้ป่วยจะมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมเพิ่มขึ้นจากอาการเดิม และเริ่มจะต้องมีผู้ดูแลซึ่งอาจจะเป็นญาติหรือบุคคลากรอื่น ส่วนในระยะที่มีอาการรุนแรงผู้ป่วยจะเสียความจำและทักษะต่างๆ ตลอดจนมีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์มากขึ้น และมีความผิดปกติในระบบการเคลื่อนไหวทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จำเป็นต้องมีผู้ดูแลคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
ภาวะสมองเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดการเสื่อมของการทำงานของสมอง จากสาเหตุต่าง ๆ โดยจะแสดงอาการในภาพรวมออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
- มีความผิดปกติทางด้านความทรงจำและทักษะต่าง ๆ (Cognition) เช่น หลงลืมสิ่งที่ทำไปแล้ว ความสามารถในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ลดลง สับสนในเรื่องทิศทาง วันเวลา และสถานที่ เป็นต้น
- มีความผิดปกติทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม (Behavior) เช่น มีอารมณ์ฉุนเฉียวก้าวร้าวขึ้น ประพฤติตนในสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เป็นต้น
- มีความผิดปกติในการทำกิจวัตรในชีวิตประจำวัน (Activity in Daily Life) เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำได้ และในที่สุดอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็นต้น ผลจากอาการในภาพรวมดังกล่าว จะกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทั้งตัวผู้ป่วยคนรอบข้างและสังคม ดังนั้นการมีความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญอันจะนำไปสู่การวินิจฉัยการดูแลรักษา และการเตรียมตัวแก้ปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับผู้ป่วย ญาติ และสังคมโดยรวม
ศ.นพ. กัมมันต์ พันธุมจินดา นายกสมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคอัลไซเมอร์นับเป็นโรคหนึ่งในผู้สูงอายุที่โลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด จากสถิติทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 60 ปี ขึ้นไปพบว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ประมาณร้อยละ 3-6 และมักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่านั้นพบโรคนี้น้อย และส่วนใหญ่เกิดจากโรคทางพันธุกรรม ในปัจจุบันแม้ว่าการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ จะมีข้อมูลใหม่ ๆ เป็นจำนวนมากแต่ก็ยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคเพียงแต่ทราบพยาธิวิทยาและการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยา ที่เป็นผลทำให้เกิดอาการต่างๆ และทราบปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคนี้ ดังนั้น ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันจึงยังไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้แต่อาจควบคุมอาการต่าง ๆ ของโรคนี้ได้ในระดับหนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยาของโรคนี้ ส่วนการป้องกันก็เช่นเดียวกัน คือไม่สามารถป้องกันได้เด็ดขาด เพียงแต่อาจชะลอการเกิดอาการหรือลดความรุนแรงของอาการของโรคดังกล่าว โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ชักนำให้เกิดอาการของโรค
หลักการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หายและการดำเนินโรคก็จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เป้าหมายของการดูแลรักษาจึงเน้นการรักษาอาการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปัญหาของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อญาติ ผู้ดูแล และสังคมรอบข้างน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
การดูแลรักษาผู้ป่วยโรค อัลไซเมอร์นั้นมีทั้งแบบที่ไม่ใช้ยา (Non-pharmacological) และแบบใช้ยา (Pharmacological) การรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่น ให้ผู้ป่วยจดบันทึกกิจวัตรต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องทำเพื่อเตือนความจำ การจัดสภาวะแวดล้อมที่ผู้ป่วยอยู่อาศัยให้เรียบร้อย เพื่อลดการสับสน และลดอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย การลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ลดการโต้แย้งกับผู้ป่วย เป็นต้น อีกทั้งควรจัดเตรียมให้ผู้ป่วยได้บริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดสารอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สุขภาพทั่วไปดี นอกจากนี้ควรให้ผู้ป่วยมีกิจกรรมออกไปพบปะผู้คนเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้เข้าสังคม
สำหรับการรักษาแบบใช้ยาอาจจะช่วยในเรื่องความจำ และทักษะต่าง ๆ ที่ลดลงของผู้ป่วยได้ในระดับหนึ่ง ยาในกลุ่มนี้ที่สำคัญได้แก่ ยาที่ยับยั้งเอนไซม์ (Enzyme) โคลีนเอสเตอเรส (Cholinesterase inhibitors) ซึ่งมีทั้งแบบยาเม็ด ยาน้ำ และยาแผ่นแปะ ส่วนยาอีกลุ่มหนึ่งที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ได้แก่ ยาที่ยับยั้งตัวรับเอนเอ็มดีเอ (NMDA receptor antagonists) สำหรับความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรม นอกจากจะหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการดังกล่าวแล้ว ยาทั้ง 2 กลุ่มข้างต้นอาจช่วยควบคุมอาการเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในบางครั้งถ้ามีอาการรุนแรงก็อาจมีการจำเป็นต้องใช้ยาทางจิตเวชเพื่อควบคุมอาการดังกล่าวร่วมด้วย การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ นอกจากการดูแลรักษาความผิดปกติที่เกิดจากโรคนี้โดยตรงแล้ว จำเป็นจะต้องเผ้าระวังหรือดูแลรักษาโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมกับโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุมักจะมีโรคต่างๆ เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว
สำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ดังได้กล่าวข้างต้นแล้วในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่มีความรุนแรงปานกลางถึงมาก จำเป็นจะต้องมีผู้ดูแล ดังนั้นบุคคลกรเหล่านี้จะเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม เนื่องจากผู้ป่วยจะมีความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันลดลงเรื่อยๆ และอาจจะมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมร่วมด้วย จึงทำให้การดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาดังกล่าวเป็นภาระหรืองานที่หนัก สำหรับผู้ดูแลและอาจก่อให้เกิดความอ่อนล้า ความเครียด ความซึมเศร้า หงุดหงิด ต่อผู้ดูแลและอาจทำให้ผู้ดูแลมีปัญหาทางสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการดูแลผู้ป่วยในภาพรวม ดังนั้นเพื่อให้ผู้ดูแลและผู้ป่วยนั้นมีความสุขไปด้วยกัน ผู้ดูแลควรมีแนวทางการปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่น
- เข้าใจโรคอัลไซเมอร์: ควรหาความรู้และทำความเข้าใจกับโรคอัลไซเมอร์ให้ดี เพื่อจะได้มีความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการ ระยะเวลาการดำเนินโรคที่เป็นมากขึ้น วิธีการดูแลรักษาและแนวทางการรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อผู้ดูแลจะได้สามารถจัดการวางแผนการดูแลและแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
- คอยให้กำลังใจผู้ป่วย: ในระยะแรกที่ผู้ป่วยมีอาการน้อยควรให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับอาการป่วยของตนเอง มีกิจวัตรประจำวันต่างๆ เท่าที่ผู้ป่วยสามารถทำเองได้ เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกด้อยค่าหรือเป็นภาระ จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกมีคุณค่า และมีความมั่นใจมากขึ้น
- ทำกิจกรรมที่เหมาะสม: จดรายการกิจวัตรประจำวันหรือประจำสัปดาห์ เพื่อเตือนความจำและให้ผู้ป่วยสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สุขภาพกายดี และผู้ป่วยได้ผ่อนคลายไปในตัว ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว พาออกไปเที่ยวนอกบ้านเป็นครั้งคราวหรือร่วมกิจกรรมกับเพื่อนฝูงหรือเข้าสังคม เท่าที่ผู้ป่วยจะทำได้
- เข้าใจผู้ป่วย: บางครั้งผู้ป่วยอาจแสดงอารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกติที่ทำให้ผู้ดูแลรู้สึกผิดหวัง เครียด วิตกกังวลหรือซึมเศร้า ผู้ดูแลต้องเข้าใจว่าอาการแสดงดังกล่าวของผู้ป่วยเป็นผลมาจากอาการของโรค ไม่ควรโกรธหรือโต้ตอบผู้ป่วยด้วยอารมณ์ เมื่อผู้ป่วยเกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม ดังกล่าว ซึ่งมักเป็นปัญหาที่ยากที่สุดปัญหาหนึ่งในการดูแลผู้ป่วยโรคนี้ ผู้ดูแลพึงสังเกตปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้นและพยายามแก้ไขปัจจัยที่แก้ไขได้ โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมและบุคคลรอบข้างผู้ป่วยที่อาจทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้นเป็นหลัก การที่จะแก้ปัญหาโดยให้ผู้ป่วยพยายามปรับตัวมักทำได้ยากเนื่องจากผู้ป่วยเป็นเป็นโรคนี้จึงไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนคนปกติ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยกับแพทย์ผู้รักษา: การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะทำให้การดูแลรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผู้ดูแลซึ่งเป็นบุคคลากรที่อยู่กับผู้ป่วยเกือบตลอดเวลาควรสังเกตอาการที่ผิดปกติของผู้ป่วยทั้งความผิดปกติของโรคทางกาย และความผิดปกติของอารมณ์ และพฤติกรรมรวมทั้งบันทึกความผิดปกติเหล่านี้และแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อถึงเวลานัดตรวจโรค ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ช่วยแพทย์ญาติและผู้ดูแลร่วมกันในการปรับการดูแลรักษาผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี
น.ส. กัญญารัตน์ จิตต์ประสงค์ ข้าราชการบำนาญ ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ว่า ผู้ดูแลควรจัดสรรเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ โดยผลัดเปลี่ยนเวรกับคนรอบข้างช่วยกันดูแลผู้ป่วย เพราะการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องนานๆ อาจทำให้เกิดความอ่อนล้า ความเครียด หงุดหงิด ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วยในระยะยาว และการหากิจกรรมที่ผู้ดูแลที่ตนเองชื่นชอบ เพื่อผ่อนคลาย หากผู้ป่วยสามารถร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไปพร้อมกันได้ ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วยไปพร้อม ๆ กัน
“สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์การดูแลรักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้หรือต้องการคำแนะนำ สามารถเข้าไปปรึกษาขอคำแนะนำต่าง ๆ จากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการสมองเสื่อม เช่น สมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ดูแลโรคสมองเสื่อมและมูลนิธิอัลไซเมอร์ได้ เพื่อนำความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ ในการรับมือกับผู้ป่วย รวมทั้งได้เครือข่ายในการให้กำลังใจที่จะช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จบกระแสดราม่า! “โมเม ธนัชชา” ได้เล่นตำแหน่งถนัดก่อนโชว์ฟอร์มดีในลีกเกาหลีใต้
กลายเป็นประเด็นที่แฟนวอลเลย์บอลไทยและเกาหลีใต้จับตามอง สำหรับ “โมเม” ธนัชชา สุขสด ลูกยางสาวทีมชาติไทยวัย 23 ปี ที่ตอนนี้เล่นให้กับทีม ไฮพาส ในศึกโคโว วี ลีก เกาหลีใต้
เกมล่าสุด กุนซือของทีมอย่าง คิม จอง-มิน เลือกส่ง โมเม ลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่สำคัญคือให้ตบสาวไทยเล่นในตำแหน่งถนัดอย่างบีหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้ง 2 เกม โค้ชคิม ส่ง โมเม ลงเล่นในตำแหน่งหัวเสา จนเกิดคำถามต่อแฟนลูกยางทั้งไทยและเกาหลีใต้ไม่น้อย
แม้เกมนี้ ไฮพาส จะพ่าย ฮุนได ฮิลล์สเตรท ไปอย่างสนุก 1-3 เซต ด้วยคะแนน 25-19, 21-25, 23-25 และ 22-25 แต่ โมเม ก็ทำผลงานได้ดีด้วยการตบไปคนเดียว 16 คะแนน มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จสูงถึง 51.9 รั้งรองท็อปสกอร์ของทีม นอกจากนี้ยังเป็นผู้เล่นที่มีสถิติการรับบอลตบดีที่สุดในทีมอีกด้วย
สำหรับ ไฮพาส รั้งอันดับ 7 ของตารางคะแนนโคโว วี ลีก 2023 มี 1 คะแนน และยังต้องตามหาชัยชนะนัดแรกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
8 วิธี “Say No” แบบถนอมน้ำใจ
“No” แปลว่า “ไม่” เป็นคำศัพท์พื้นฐานที่ทุกคนรู้จักดี เคยได้ยินไหมคะ ที่มีคนบอกไว้ว่า ถ้าไม่รู้จะตอบภาษาอังกฤษยังไงก็ให้ตอบ “Yes”, “No”, “OK” ไว้ก่อน แต่คำพูดนี้เป็นแค่มุกตลกนะคะ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
โดยเฉพาะการ Say No หรือการตอบปฏิเสธนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ลองคิดดูสิคะ ว่าขนาดเป็นภาษาไทย เวลาเราจะบอกปฏิเสธใคร เราจะตอบแค่ “ไม่” แล้วจบไปแบบนี้ได้ตลอดเหรอคะ? เราก็ไม่สามารถทำได้ค่ะ เพราะจะทำให้ดูห้วน ไม่สุภาพ และดูแข็งกระด้างสุดๆ บางคนแก้ปัญหา หลีกเลี่ยงการ Say No แบบแล้งน้ำใจ ด้วยการ Say Yes ไปหมดเสียทุกสิ่ง แบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนะคะ ดังนั้น เราจะมาแนะนำวิธีการ Say No แบบที่พูดแล้วดูดี ถนอมน้ำใจอีกฝ่าย ทำให้ทั้งคนพูดและคนฟังยังมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันค่ะ
I can’t give you an answer right now, will you check back with me?
ฉันไม่สามารถให้คำตอบคุณตอนนี้ได้ ไว้ค่อยกลับมาถามอีกทีได้ไหมคะ
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ไม่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงแบบไร้เยื่อใย แต่จะเป็นการเลี่ยงการ Say No ตรงๆ ด้วยการขอคิดดูก่อนอีกครั้ง
I want to, but I can’t.
ฉันก็อยากทำอยู่นะ แต่ว่าฉันไม่ว่างน่ะสิ
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ถนอมน้ำใจมาก เพราะเป็นการตอบที่แสดงให้เห็นว่าเรา อยากไป อยากทำ (I want to) ตามที่คนถามได้เอ่ยชวนเรา แต่เราไม่สะดวกที่จะทำเช่นนั้น
I’m not able to commit to that right now.
ฉันไม่สะดวกจะรับปากตอนนี้นะ
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ผลัดไปก่อน เลี่ยงการตอบไปก่อน เพราะอาจจะยังตัดสินใจไม่ได้ อาจใช้ในสถานการณ์ที่คนถามต้องการคาดคั้นเอาคำตอบ ณ ขณะนี้ แต่เราดันไม่สามารถรับปากได้ ก็สามารถใช้ประโยคนี้ได้ค่ะ
I really appreciate you asking me, but I can’t do it.
ขอบคุณที่ถามนะคะ แต่ฉันไม่สะดวกที่จะทำจริงๆ
คำตอบนี้เป็นคำตอบปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจด้วยการมีความรู้สึกขอบคุณ แม้จะไม่มีคำว่า Thank you ในประโยค แต่ความรู้สึกขอบคุณนั้น สามารถสื่อได้ด้วยวลีที่ว่า I really appreciate ค่ะ เป็นการตอบที่แสดงให้เห็นว่า เราขอบคุณที่เอ่ยปากถามหรือเอ่ยปากชวนเรานะ แต่งานนี้เราไม่สามารถไปได้หรือร่วมได้จริงๆ
I understand you really need my help, but I’m just not able to say yes to that, I’m sorry.
ฉันเข้าใจนะคะว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ แต่ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะที่ไม่สามารถช่วยได้
คำตอบนี้เป็นคำตอบปฏิเสธแบบมีความเห็นอกเห็นใจคนที่มาถาม ด้วยการแสดงความเข้าใจการขอความช่วยเหลือของเขาจริงๆ แต่เราไม่สามารถช่วยได้ เพราะอาจจะนอกเหนือความสามารถของเรา แทนที่จะ Say No ห้วนๆ เราก็สามารถแสดงความเห็นใจอีกฝ่ายได้ด้วยประโยคนี้ค่ะ I understand you really need my help
I’m going to say no for now. I’ll let you know if something changes.
ตอนนี้ฉันต้องขอตอบปฏิเสธก่อนนะคะ แต่ถ้าฉันเปลี่ยนใจแล้วจะบอกอีกทีนะคะ
คำตอบนี้เป็นคำตอบปฏิเสธแบบกึ่งรับปาก กึ่งปฏิเสธ ใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการการทบทวนหรือตัดสินใจก่อนจึงจะสามารถให้คำตอบได้
I’m honored that you would ask me, but my answer is no.
ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่คุณเอ่ยชวน แต่ว่าฉันคงต้องขอปฏิเสธนะคะ
คำตอบนี้เป็นคำตอบปฏิเสธที่ควรใช้ในสถานการณ์ที่ผู้เอ่ยถามมีตำแหน่ง อายุ หรือวุฒิภาวะที่สูงกว่าเรา ซึ่งอาจจะเป็นการเอ่ยถามถึงการช่วยงาน หรือนำเสนอตำแหน่งให้เรา แต่หากเรารู้สึกไม่สะดวกใจ ก็สามารถใช้ประโยคนี้ในการปฏิเสธได้ โดยคีย์เวิร์ดของการใช้ประโยคนี้ที่ทำให้ดูสุภาพและมีมารยาท คือ I’m honored that you would ask me
No, I can’t do that, but here’s what I can do…
ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าฉันทำ…นี้ได้นะคะ
คำตอบนี้เป็นคำตอบปฏิเสธที่ไม่เชิงปฏิเสธเสียทีเดียว แต่เป็นการเสนอตัวช่วยเหลือในด้านอื่นแทนค่ะ ด้วยประโยคที่ว่า but here’s what I can do………
และนี่ก็คือตัวอย่างประโยคที่ใช้ปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจค่ะ อย่าลืมเอาไปฝึกพูดให้คล่องนะคะ คราวหน้าเมื่อต้องการจะปฏิเสธอะไร จะได้มีอะไรให้พูดมากกว่าแค่คำว่า “No” ค่ะ : )
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
รพ.จุฬา ผนึกทรู ดิจิทัล เปิดตัวหุ่นยนต์ช่วยบริการ “รักษามะเร็งต่อมไทรอยด์”
รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ ผนึก ทรู ดิจิทัล ดึงเทคโนโลยีสุดล้ำ ยกระดับบริการทางการแพทย์ของไทย เปิดตัว “หุ่นยนต์อัจฉริยะช่วยบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน”
รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป และทีมพัฒนาหุ่นยนต์ สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี ต่อยอดนวัตกรรมโดยนำหุ่นยนต์มาใช้อำนวยความสะดวกและให้บริการผู้ป่วยทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์
นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ให้ก้าวล้ำทันสมัย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย อีกทั้งทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลดความเสี่ยงจากการได้รับรังสีโดยตรงในระหว่างที่ให้บริการรักษาแก่ผู้ป่วย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ได้มากยิ่งขึ้น สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงทีมพัฒนาหุ่นยนต์ สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ฝ่ายรังสีวิทยา และทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการรักษา การวิจัย รวมถึงช่วยกันสรรสร้างนวัตกรรมต่างๆ ทางการแพทย์ ให้มีความครอบคลุมก้าวล้ำทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยง รวมถึงมุ่งหวังให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และได้รับประโยชน์สูงสุดในด้านการรักษา
นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลที่เข้มแข็ง ตลอดจนเสริมสร้างสังคมไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สะท้อนวิสัยทัศน์ของทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี (Telecom-Tech Company)
ซึ่งการพัฒนานวัตกรรม “หุ่นยนต์อัจฉริยะช่วยบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน” ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของทรูที่ได้ต่อยอด นำประสบการณ์จากการทำงานและพัฒนานวัตกรรมร่วมกับทีมแพทย์ของไทยมาอย่างยาวนาน ผสานความรู้ ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยีและระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรของทรู เข้ากับองค์ความรู้ของแพทย์ในโรงเรียนแพทย์ระดับแนวหน้าของประเทศ เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ได้สำเร็จอีกครั้ง ก่อเกิดนวัตกรรมในการให้บริการทางการแพทย์ในยุคดิจิทัลที่ก้าวล้ำมากกว่าที่เคยมีมา และเป็นครั้งแรกของไทยในการพัฒนาหุ่นยนต์สนับสนุนการให้บริการด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์
โดยหุ่นยนต์สามารถช่วยบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการให้บริการผู้ป่วย ควบคู่กับการมีบทบาทสำคัญ คือ การเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ลดปริมาณรังสีที่จะได้รับโดยตรงจากการปฏิบัติงานประจำในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ จึงช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดโรคจากการที่ได้รับรังสีสะสมในร่างกายเป็นระยะเวลานานๆ ช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยได้จำนวนมากขึ้น ขณะที่ยังคงให้บริการได้อย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เชื่อมั่นว่า นวัตกรรมที่เกิดจากความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญของการให้บริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีนในประเทศไทย และทรู ดิจิทัล จะเดินหน้าต่อยอดความสามารถของหุ่นยนต์ให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น รวมถึงสานต่อความร่วมมือ ขยายการใช้งานให้แพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น เพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของวงการการแพทย์และยกระดับบริการสาธารณสุขของไทย ตลอดจนเติมเต็มวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล และสร้างคุณค่าต่อคนไทย เศรษฐกิจ และสังคมไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป
หุ่นยนต์อัจฉริยะช่วยบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน ถูกออกแบบโดยผสานความเป็นมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยี Human-Tech Technology ในแนวคิด Humanize มีรูปลักษณ์ลวดลายสีสัน หน้าจอและเสียงที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน เพิ่มสัมผัสและปฏิสัมพันธ์แบบคล้ายมนุษย์ สร้างรอยยิ้มและความพึงพอใจให้คนไข้ โดยสามารถสั่งการและควบคุมผ่านแท็บเล็ต เชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G รองรับการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ที่ให้ทั้งความเร็วในการสื่อสาร ความเสถียร และความปลอดภัยสูงสุดของข้อมูล โดยมีฟังก์ชันที่โดดเด่น ดังนี้
• ส่งสารรังสีไอโอดีน ยา เวชภัณฑ์ และ อาหาร ให้แก่ผู้ป่วยในพื้นที่ให้บริการหรือห้องพักผู้ป่วย
• การแพทย์ระยะไกล ผ่านระบบวิดีโอคอล อำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างแพทย์ พยาบาลและผู้ป่วย เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
• วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วยในระหว่างที่เข้ารับการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน โดยสามารถเชื่อมโยงส่งข้อมูลภาพและผลตรวจแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์
• ตรวจสอบการเปรอะเปื้อนรังสีในพื้นที่ให้บริการหรือห้องพักผู้ป่วยภายหลังจากผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล โดยแสดงผลของปริมาณรังสีในรูปแบบ Heat Map ด้วยสีที่แตกต่างในแต่ละพื้นที่ เพิ่มความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในการเข้าดูแลพื้นที่ให้บริการหรือห้องพักผู้ป่วย ที่อาจมีการเปรอะเปื้อนรังสีอยู่ในปริมาณมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“มะเขือเทศ” ประโยชน์ และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
มะเขือเทศ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกันกับมะเขือ มีสี ขนาด และลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานมากที่สุดคือมะเขือเทศสีดา และมะเขือเทศเชอร์รี่ มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะวิตามินซีและไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้อีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศ
มะเขือเทศ 100 กรัม อาจมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
- พลังงาน 18 กิโลแคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 3.89 กรัม
- ไฟเบอร์ 1.2 กรัม
- โปรตีน 0.88 กรัม
- โพแทสเซียม 237 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 13 มิลลิกรัม.
นอกจากนี้ มะเขือเทศยังอุดมไปด้วยสารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้เสื่อมสภาพเนื่องจากสารอนุมูลอิสระ และยังอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคมะเร็งได้
ประโยชน์ของมะเขือเทศ
- ดีต่อสุขภาพผิว
มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งอาจมีส่วนช่วยในการบำรุงสุขภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients เมื่อปี พ.ศ. 2560 เรื่องบทบาทวิตามินซีต่อสุขภาพผิว พบว่า วิตามินซีมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจน โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวคงความยืดหยุ่น และอาจช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีสารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจสามารถช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดด จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Nutrition พ.ศ. 2544 ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรับประทานมะเขือเทศเพื่อป้องกันผื่นแดงที่เกิดจากแสงแดด โดยทำการทดลอง ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบรับประทานซอสมะเขือเทศเข้มข้น 40 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่า อาการผื่นแดงลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานซอสมะเขือเทศเข้มข้น
- ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
สารต้านอนุมูลอิสระต่าง เช่น ไลโคปีน วิตามินซี อาจสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ จากรายงานทบทวนงานวิจัย ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมะเขือเทศและสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด ที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Critical Reviews in Food Science and Nutrition เมื่อปี พ.ศ. 2546 พบว่า สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้อาจสามารถช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ที่ส่งผลทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ
นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีโพแทสเซียมที่อาจช่วยลดปริมาณของไขมันไม่ดี (LDL) ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และอาจช่วยลดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
- อาจช่วยป้องกันมะเร็ง
ไลโคปีนที่พบได้ในมะเขือเทศ อาจสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ จากการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของไลโคปีนในการยับยั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Biomedicine & Pharmacotherapy เมื่อปี พ.ศ. 2563 พบว่า ไลโคปีนอาจสามารถช่วยยับยั้งการลุกลามและการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก และอาจช่วยกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากตายไวขึ้น จึงอาจมีประโยชน์ต่อการรักษาหรือป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แน่ชัดในการรับประทานมะเขือเทศเพื่อป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหรือโรคมะเร็งชนิดอื่น
ข้อควรระวังในการรับประทานมะเขือเทศ
มะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศสด อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีและยาฆ่าแมลง ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อมะเขือเทศจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และควรล้างทำความสะอาดมะเขือเทศให้ดีทุกครั้งก่อนรับประทาน นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการรับประทานส่วนใบของมะเขือเทศ เนื่องจากอาจเป็นพิษต่อร่างกาย และทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ท้องเสีย อาเจียน ระคายเคืองปากและคอ ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ จนอาจทำให้เสียชีวิตได้หากรับประทานในปริมาณมาก
- ผู้ป่วยโรคไต ควรระมัดระวังการรับประทานมะเขือเทศ เนื่องจากมะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูง การรับประทานมะเขือเทศมากเกินไปอาจทำให้ไตไม่สามารถกำจัดโพแทสเซียมส่วนเกินออกไปได้ ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติ และอาจทำให้หัวใจวายได้
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายจากการรับประทานมะเขือเทศในผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานมะเขือเทศในปริมาณเหมาะสม และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,950.00 | 34,050.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,199.00 | 33,336.84 | 34,550.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,979.10 | 30,003.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,759.20 | 26,669.47 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 990.00 | 15,008.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 770.00 | 11,673.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,279.00 | 34,549.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.25 | 38.25 | 38.75 | 38.25 | 38.55 | 38.25 | 38.25 | 38.25 | 38.25 | 38.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.98 | 37.98 | 38.48 | 37.98 | 38.28 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.94 | 35.94 | 36.44 | 35.94 | 36.24 | – | 35.94 | 35.94 | 35.94 | 35.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.09 | 36.09 | – | – | – | – | – | – | – | 36.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.44 | 49.24 | 49.44 | 49.24 | – | – | – | – | – | 44.44 |
เบนซิน 95 | 46.04 | – | – | – | 47.51 | – | 46.54 | 46.19 | – | 46.04 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.24 | 43.34 | 47.94 | 43.34 | 42.94 | – | – | – | – | 41.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |