ต่างชาติซื้อบ้านในไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ | โสภณ พรโชคชัย
หลายคนเชื่อว่าต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกเขาเลิกคิดกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีนี้แล้ว เพราะไร้ผล และสร้างปัญหามากกว่า มาดูในประเทศไทยบ้าง
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้สำรวจและคาดการณ์ว่าที่อยู่อาศัยที่ต่างชาติซื้อทั้งบ้านแนวราบและห้องชุดทั้งมือหนึ่งและมือสองจะมีจำนวน 27,741 หน่วยในปี 2566 หรือราวๆ 3.9% ของการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั้งหมด
ในจำนวนนี้ต่างชาติซื้อในราคาเฉลี่ยที่ 5.824 ล้านบาท ที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติซื้อทั่วประเทศ จะเป็นเงินรวมกันถึง 161,564 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ หากมีการโอนตามปกติ ก็อาจได้ภาษีและค่าธรรมเนียมโอนประมาณ 3% หรือ 4,847 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้คงนำมากระตุ้นเศรษฐกิจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ แต่บางคนก็อาจอ้างว่าต่างชาติอาจจ้างคนไทยทำงาน เช่น เป็นแม่บ้านหรือคนสวน ในกรณีนี้ก็อาจไม่แน่นอนนัก เพราะการจ้างคนงานจากประเทศเพื่อนบ้านน่าจะมีค่าจ้างที่ถูกกว่า คนไทยอาจไมได้ประโยชน์จากการนี้เลย
ยิ่งกว่านั้น หากการซื้อขายที่อยู่อาศัยของคนต่างชาตินี้ เป็นการซื้อขายผิดกฎหมายผ่านนอมินีไปบางส่วน หรือตั้งเป็นในรูปบริษัทและซื้อขายผ่านบริษัท รัฐบาลก็แทบไม่ได้รายได้อะไรเลย
ในทางตรงกันข้ามหากต่างชาตินำบ้านและห้องชุดไปปล่อยเช่าต่อก็อาจได้ผลตอบแทนปีละ 4% และหากราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3% ก็จะได้ผลตอบแทนปีละ 7% หรือเป็นเงิน 11,309 ล้านบาทโดยเข้ากระเป๋าเฉพาะคนต่างชาติเท่านั้น และผู้ขายคนไทยก็อาจได้กำไรจากการขายเพียงครั้งเดียวเป็นสำคัญ
การให้ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะ
1. ประเทศไทยไม่มีการเก็บภาษีซื้ออสังหาริมทรัพย์กับคนต่างชาติ เช่น ในสิงคโปร์และฮ่องกง มีการเก็บภาษีซื้อกับคนต่างชาติถึง 30-60% ของมูลค่าตลาด เช่น ถ้าซื้อห้องชุดในสิงคโปร์ราคา 40 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษีอีก 24 ล้านบาทเข้าหลวง เราเพียงแต่มีภาษีค่าธรรมเนียมโอนซึ่งผู้ขายเป็นผู้ออก ไม่ใช่ผู้ซื้อ
2. ประเทศไทยแทบไม่มีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายปี โดยเฉพาะชาวต่างประเทศที่มาซื้อบ้านในไทย เราเก็บภาษีล้านละ 200 บาท ซึ่งแทบจะไม่ได้มีความหมายอะไร ต่างจากในอารยประเทศ
เช่น สหรัฐอเมริกา เขาเก็บล้านละ 10,000 – 30,000 บาท (1-3%) ของราคาซื้อขายจริง ไม่ใช่เก็บตามราคาประเมินที่แสนจะต่ำกว่าราคาตลาดจริง อย่าง ดร.ชัชชาติที่ไปซื้อบ้านในสหรัฐอเมริกา ราคา 70 ล้านบาท แต่ละปี ก็ต้องเสียภาษี 700,000 บาท เพื่อบำรุงท้องถิ่น แต่สำหรับประเทศไทย ต่างชาติมาซื้อโดยแทบไม่ต้องเสียภาษีนี้เลย
3. ที่หวังว่าต่างชาติจะมาช่วยซื้อบ้านและห้องชุดประมาณ 3-400,000 หน่วยที่ในมือผู้ประกอบการนั้น ก็ไม่เป็นความจริง พวกเขาคงซื้อเฉพาะห้องชุดใจกลางเมือง ในบริเวณอื่นคงไม่ซื้อ
การให้ต่างชาติมาซื้อบ้านในไทยจึงไม่ช่วยระบายสินค้า ถ้าเป็นจีน เขาคงมุ่งมาเช่าที่ดิน 99 ปี หรือซื้อที่ดินเพื่อสร้าง “อาณานิคม” ของตนเองมากกว่าที่จะมาซื้อบ้านหรือห้องชุดทั่วๆ ไป
ถ้าหากไทยเรา “ขายชาติ” ด้วยการยอมให้ต่างชาติมาครอบครองที่ดินในประเทศไทยของเราได้ เมืองต่างๆ ในไทย โดยเฉพาะในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย เมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ระยอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ สมุย หัวหิน เชียงใหม่ และเมืองชายแดนต่างๆ ก็คงตกเป็นของจักรวรรดินิยมอีกครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ในครั้งนี้ ไม่ใช่จักรวรรดินิยมอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี หรืออเมริกา แต่เป็นจักรวรรดินิยมจีนนั่นเอง
การซื้อที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ จึงเป็นมาตรการที่ไร้ประสิทธิผล แต่ในทางตรงกันข้ามจะสร้างปัญหาได้สารพัด เช่น
1. การก่อให้เกิดการเก็งกำไร กอบโกยรายได้เข้ากระเป๋าโดยชาวต่างชาติ
2. การแย่งซื้อที่อยู่อาศัยกับคนไทย
3. แย่งอาชีพคนไทย ที่ภูเก็ต ชาวยูเครนหรือรัสเซียที่มา นำมากระทั่งช่างทำผม และแอพเรียกแท็กซี่ของพวกเขาเอง
4. การนำพาแกงค์อาชญากรรมข้ามชาติเข้ามาในประเทศไทย ดังที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง
ที่สำคัญการเปิดโอกาสให้ต่างชาติมาซื้อที่ดินนี้ คงได้ประโยชน์กับอภิมหาเศรษฐีระดับ “เจ้าสัว” ที่ครองที่ดินนับหมื่นๆ ไร่ในแต่ละราย ที่ดินเหล่านี้คงได้โอกาสผ่องถ่ายขาย/เช่าระยะยาวให้กับนักลงทุนข้ามชาติโดยเฉพาะ “ประเทศมหาอำนาจซีกโลกตะวันออก” ที่มีเชื้อสายเดียวกัน และต่อไปประเทศไทยก็คงมีเขตเช่า คล้ายกับที่เซี่ยงไฮ้ในอดีตเมื่อ 100 ปีก่อน เป็นต้น
ในระดับมหภาคเรากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ โดยทั่วไปมักเป็นที่เข้าใจว่า หากส่งเสริมการซื้อบ้านในโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจเจริญ รัฐบาลทุกรัฐบาลก็ล้วนออกนโยบายมาเอื้อแก่บริษัทพัฒนาที่ดิน
อย่างไรก็ตาม นโยบายเช่นนี้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังอาจสร้างปัญหาให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงิน ประชาชนผู้ซื้อบ้านและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
ที่ผ่านมารัฐบาลแต่ละชุด มักอ้างว่าจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถมีบ้านได้ แต่มาตรการที่ออกมากลับไม่ได้ช่วยผู้มีรายได้น้อย เป็นการช่วยระบายสินค้าของผู้ประกอบการ เป็นการส่งเสริมให้บริษัทผลิตปูน ผลิตเหล็ก หรือวัสดุก่อสร้างสามารถขายสินค้าได้
การแข่งขันกันอำนวยสินเชื่อกันขนานใหญ่โดยผ่อนคลายกฎต่าง ๆ ตามผลพวงของการส่งเสริมการซื้อบ้านของรัฐบาล ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่นำความพังทลายมาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
หลายคนถูกทำให้เชื่อว่า ไปซื้อบ้านมือหนึ่ง จะทำให้เกิดการก่อสร้าง การจ้างงานมากมาย ทำให้เงินหมุนวนไปมา เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ตามในการซื้อบ้านมือสองที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งหมุนวนเงินมากกว่า บ้านมือสองมักถูกกว่ามือหนึ่งประมาณ 20% ผู้ซื้อ ๆ แล้วยังมีเงินเหลือไว้ฉลองได้อีก ซื้อบ้านมือสองก็ยังต้องซ่อมแซมในขณะที่บ้านมือหนึ่งไม่ต้อง ซื้อบ้านมือหนึ่งและมือสองก็ยังต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ จ่ายค่าจดจำนอง ค่าโอน เสียเงินค่าประเมินค่าทรัพย์สิน ค่านายหน้า ฯลฯ เหมือน ๆ กัน
การซื้อบ้านมือหนึ่ง จะเกิดประโยชน์ต่อบริษัทวัสดุก่อสร้างรายใหญ่เช่น บริษัทปูน บริษัทเหล็กซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของบ้าน จะเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินเป็นสำคัญ ต้องระเบิดภูเขาทำลายสิ่งแวดล้อมมาสร้างบ้านใหม่ๆ ซึ่งก็เป็นความจำเป็นในแง่หนึ่ง
แต่การซื้อบ้านมือสองทำให้เงินหมุนวนโดยไม่ต้องสร้างใหม่ แถม “ลดโลกร้อน” นักธุรกิจ SMEs ก็สามารถขายบ้านนำเงินมาหมุนเวียนทางธุรกิจได้ เป็นต้น
อสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นตัวแปรตาม (Dependent Variable) แสดงว่าขึ้นต่อปัจจัยอื่นๆ ในกรณีอนาคตหรือแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะดีหรือไม่ ก็จะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการสงคราม ฯลฯ ไม่ได้ขึ้นกับตัวทรัพย์สินเองแต่อย่างใด
โดยนัยนี้ หากจะวิเคราะห์ว่าอสังหาริมทรัพย์ในปีถัดจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็จะพิจารณาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญนั่นเอง
รัฐควรดำเนินการน่าจะเป็นการป้องกันการเก็งกำไร การคุ้มครองเงินดาวน์ผู้บริโภค ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในตลาด จะได้ซื้อบ้านมากขึ้นตามกำลังที่แท้จริง และการพัฒนาสาธารณูปโภค เป็นการเปิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่
ทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างบ้านในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปสำหรับผู้บริโภคในระยะยาว รวมทั้งการยึดบ้านและที่ดินที่ต่างชาติซื้อขายผ่านนอมินี ไม่ใช่นิรโทษกรรมให้เขาพวกมาตั้งอาณานิคมในไทย.
คอลัมน์ อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
www.area.co.th
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยรังสิตยืนหนึ่ง! โซนนิคมฯฮอตรับกลุ่มลงทุนปล่อยเช่า
จากสภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวส่งผลให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงผู้ประกอบการอสังหาฯจึงหันมาพัฒนาคอนโดใกล้มหาวิทยาลัย ทำเลรังสิตยืนหนึ่ง! รองลงมาโซนนิคมฯฮอตเพื่อรับกลุ่มลงทุนปล่อยเช่า ให้กับนิสิต นักศึกษา รวมถึงกลุ่มลูกค้าเฟิร์สจ๊อบเบอร์ เข้ามาเช่า
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้โครงการคอนโดมิเนียมรอบมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษา และนิคมอุตสาหกรรม ช่วงปี2563 – 2565 เป็นช่วงเวลายากลำบากของโครงการคอนโดมิเนียม ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้มีการ”ลด”การเปิดขายโครงการใหม่ลง แต่ก็ยังมีโครงการเปิดขายใหม่อยู่เพียงแต่มีจำนวนน้อยลง เพราะผู้ประกอบการต้องมองหาทำเลที่น่าสนใจเพื่อที่เวลาเปิดขายโครงการใหม่แล้วจะได้ใช้เวลาในการขายไม่นาน อีกทั้งยังต้องมองถึงช่วงเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์ด้วยว่าจะ”ไม่มี”ปัญหาหรือติดขัดจากการขอสินเชื่อธนาคาร
นอกจากนี้ทำเลนั้นๆ ต้องมีความต้องการจากทั้งฝั่งของผู้ซื้ออยู่อาศัยจริงๆ และในกลุ่มของคนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มของการลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ยังต้องทำได้ในราคาที่ไม่แพงมาก เพราะถ้ามองเรื่องของการลงทุนก็ควรเป็นโครงการที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต หรือถ้าสามารถพัฒนาได้ในราคาที่ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทต่อยูนิตได้ยิ่งดี ซึ่งการจะหาทำเลที่ตอบโจทย์ในการเข้าถึงความต้องการของทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว และมีปัญหาในเรื่องของกำลงซื้อของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้น อาจจะมีทำเลที่เหมาะสมไม่มากแล้ว
โดย 2 ทำเลที่อาจจะมีทั้งกลุ่มของคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงๆ และกลุ่มของคนที่เป็นนักลงทุนที่มองแล้วว่าทำเลนี้มีความต้องการสูงแน่นอน อาจจะเหลือเพียงทำเลรอบๆ มหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษา และทำเลรอบๆ นิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะทำเลรอบมหาวิทยาลัยที่อยู่นอกกรุงเทพฯที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงทำเลรอบมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาในบางจังหวัด เช่น ชลบุรี และนครปฐม
ทำเลรอบมหาวิทยาลัย-นิคมฯบูม
นอกจากนี้พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯก็ได้รับความสนใจจากทั้งผู้ประกอบการ และนักลงทุนเช่นกัน เพราะสามารถจับกลุ่มได้กว้างกว่ามหาวิทยาลัยที่อยู่นอกกรุงเทพฯ แต่ราคาขายจะสูงกว่าชัดเจน ซึ่งทำให้อัตราการขายไม่ได้สูงหรือได้รับความนิยมมากแบบในพื้นที่นอกกรุงเทพฯ ส่วนนิคมอุตสาหกรรมนั้นมีทั้งนิคมฯ ที่อยู่ในพื้นที่ปริมณฑล, และนิคมฯ ที่อยู่ในพื้นที่ทางภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรี และระยอง ทำเลรอบนิคมฯ
สุรเชษฐ กล่าวว่า ทำเลรอบๆ มหาวิทยาลัยอาจจะ “ไม่ใช่ “ทำเลที่เพิ่งจะมีโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เป็นทำเลยอดนิยมที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายมายาวนานแล้ว บางทำเลมีโครงการคอนโดมิเนียมมามากกว่า 10 ปีขึ้นไปแล้ว และยังคงเป็นทำเลที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายมาต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่อาจจะมากแบบเห็นได้ชัดในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา
รังสิตยืนหนึ่งแคมปัสคอนโด
โดยทำเลที่อาจจะสามารถพูดได้ว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวจำนวนมาก คือ ทำเลรอบๆ มหาวิทยาลัยกรุงเทพรังสิต และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต โครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่โดยรอบมีมากกว่า 20 โครงการ !! ยูนิตรวมก็หลักหมื่นยูนิตไปแล้วเช่นกัน อีกทั้งที่น่าสนใจ คือ มีโครงการปิดการขายจำนวนมาก หรือสามารถทำยอดขายหรือยอดจองหลังจากเปิดขายพรี-เซลได้สูงมากภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความต้องการซื้อจริงๆ และเป็นความต้องการจากทั้งกลุมที่ต้องการที่อยู่อาศัย และกลุ่มที่เป็นนักลงทุน
คอนโดมิเนียมในพื้นที่รอบๆ มหาวิทยาลัยแถวรังสิตทั้ง 2 ทำเลส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีราคาขายไม่สูงมาก หรืออยู่ที่ราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทซะเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเปิดขายกันที่ราคาประมาณ 60,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปถึง 80,000 บาทต่อตารางเมตร และอาจจะมีบางโครงการที่มีราคาขายมากกว่า 100,000 บาทต่อตางเมตรซึ่งมีจำนวนโครงการไม่มากนัก
“ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมาก มีภาพของการไปจองคิวเพื่อรอก่อนที่จะถึงวันเปิดขายพรี-เซลล่วงหน้าหลายวัน ซึ่งหาชมได้ยากสำหรับบรรยากาศแบบนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว “
ผู้ประกอบการที่มีโครงการในทั้ง 2 ทำเลของรังสิตมากที่สุด คือ “แอสเซทไวส์ ” ซึ่งในอดีตอาจจะเป็นแสนสิริที่เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมมาก่อน รวมไปถึงพฤกษา ที่มีโครงการขนาดใหญ่หลายพันยูนิตก่อนหน้านี้หลายปี อีกทำเลรอบมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาในกรุงเทพฯที่มีโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมาก
จะเห็นได้ชัดเจนว่าทางผู้ประกอบการมองกำลังซื้อส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาโดยตรง คือ ทำเลรอบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ซึ่งมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และอยู่ในทำเลที่การเดินทางสะดวก
ผู้ประกอบการจึงมองถึงกำลังซื้อที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาด้วย ทำเลรอบๆ สี่แยกหลักสี่ที่มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งก็เป็นอีก 1 แห่งที่มีการมองกำลังซื้อจากสถานศึกษา
บางแสน -ศาลายาทำเลยอดนิยม
สำหรับนอกรุงเทพฯจะเห็นได้ชัดเจนที่ “บางแสน” และ “ศาลายา” ซึ่งเป็นทำเลที่มีมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาเยอะ โดยบางแสนมีโครงการคอนโดมิเนียมมามากกว่า 15 ปีแล้ว แต่เพิ่งมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าไปเปิดขายโครงการไม่นานนี้ ศาลายาอาจจะเพิ่งมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ได้รับความสนใจจากทั้งฝั่งของผู้ประกอบการ และผู้ซื้อที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัย และซื้อเพื่อลงทุน
โครงการคอนโดมิเนียมรอบสถานศึกษาอาจจะต้องมองเป็นการลงทุนในระยะยาวจะ”คุ้มค่า” เพราะผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับการเช่าของนักเรียน นักศึกษา หรือคนที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษานั้นๆ อีกทั้งสัญญาเช่ายังทำกันในระยะยาว ผู้ปกครองหลายรายซื้อคอนโดเพื่อให้บุตรหลานตนเองพักอาศัยจากนั้นเมื่อเรียนจบก็ปล่อยเช่าต่อ หรือขายเพื่อเอาเงินลงทุนพร้อมผลตอบแทนคืน
“ถ้าบุตรหลานเข้าพักอาศัยในระยะเวลานานจนเรียนจบนั้นการผ่อนชำระกับทางธนาคารก็ไม่แตกต่างจากการเช่าอพาร์ตเม้นต์ระดับดีอยู่ใกล้กับสถานศึกษา อีกทั้งคอนโดมิเนียมยังมีความปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงที่จอดรถที่มั่นใจได้มากกว่าอพาร์ตเม้นต์ หรือหอพัก”
แม้คอนโดมิเนียมใกล้กับสถานศึกษาจึงได้รับความสนใจ แต่อาจจะต้องระวังเรื่องของจำนวนนักเรียน นักศึกษาที่ลดลงต่อเนื่องตามการลดลงของประชากร และรูปแบบของการเรียนที่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการคอนโดมิเนียมรอบๆ สถานศึกษาอาจจะใกล้ถึงจุดอิ่มตัว!!
จับตาบ้าน-คอนโดนิคมอุตสาหกรรม
สำหรับทำเลรอบๆ นิคมอุตสาหกรรมก็เป็นอีกหนึ่งทำเลที่อาจจะไม่ใช่ทำเลใหม่ หรือเพิ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเข้าไปเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม แต่เป็นหนึ่งในทำเลที่มีโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเข้าไปเปิดขายมานานแล้ว
ที่เห็นได้ชัดเจนมี 2 ราย คือ “เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ “ ที่เน้นการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมราคาไม่แพงที่มีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทในพื้นที่รอบๆ นิคมอุตสาหกรรมในปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ ซึ่งก็ได้รับความสนใจที่ดี แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องของการขอสินเชื่อธนาคารแต่เพราะกลุ่มผู้ซื้อมีขนาดใหญ่ เนื่องจากราคาขายที่ไม่แพงจึงสามารถทำยอดขายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งมีกลุ่มของนักลงทุนที่เข้าไปซื้อเพื่อปล่อยเช่าด้วยเช่นกัน
ผู้ประกอบการอีกรายที่เห็นได้ชัดเจนว่าเปิดขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่รอบๆ นิคมอุตสาหกรรม คือ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”ที่เปิดขายโครงการในพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรี และระยอง นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายเล็กในจังหวัดนั้นๆ ด้วยราคาขายคอนโดมิเนียมรอบนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรี และระยองจะไม่สูงมาก
ส่วนใหญ่เปิดขายกันที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อยูนิต อาจจะมีราคามากกว่านี้บ้างแต่ก็ไม่มากนัก เพราะกำลังซื้อสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่รอบๆ นิคมอุตสาหกรรมก็ คือ คนที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งกลุ่มของคนงานระดับลกลางถึงล่างมีจำนวนมากที่สุด
ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงเลือกที่จะเข้าถึงกำลังซื้อกลุ่มนี้โดยการเปิดขายโครงการในระดับราคาดังกล่าวเพื่อที่จะได้เข้าถึงกำลังซื้อขนาดใหญ่ที่สุด อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการขอสินเชื่อธนาคาร แต่ด้วยขนาดกำลังซื้อที่ใหญ่มากจึงยังพอหมุนเวียนกันได้ คนที่มีกำลังซื้อสูงก็อาจจะเลือกบ้านในโครงการจัดสรรมากกว่าคอนโด
รอบนิคมฯชลบุรี -ระยองฮอต
ขณะที่ พื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรี และระยองมีโครงการที่อยู่อาศัยมานานมากแล้ว พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของนิคมอุตสาหกรรมในทั้ง 2 จังหวัด แต่การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการอาจจะเห็นมากขึ้นในช่วงที่กระแสการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะมีโรงงานใหม่มากขึ้น การเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาในพื้นที่ก็มากขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มากขึ้นด้วย เพียงแต่อาจจะมีทั้งความต้องการเช่า และซื้อ เมื่อมีความต้องการเช่า
กลุ่มของนักลงทุนซึ่งมองหาทำเลเพื่อการลงทุนอยู่แล้วจึงเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในพื้นที่รอบนิคมฯ เพื่อลงทุนในระยะยาวซึ่งแน่นอนว่าหวังการเช่าจากคนที่เกี่ยวข้องกับนิคมฯ ต่างๆ เพราะการเช่าอพาร์ตเม้นต์หรือหอพักก็มีราคาที่ต่ำกว่าการเช่าคอนโดมิเนียมไม่มากแล้วในปัจจุบัน
แต่ได้ความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่า ผู้เช่าหลายรายยังมองในเรื่องของที่จอดรถที่มีความปลอดภัยกว่าหอพัก หรืออพาร์ตเม้นต์ แต่โครงการที่ได้รับความนิยมอาจจะเป็นโครงการที่ไม่ไกลจากที่ทำงานของพวกเขา เพราะการเดินทางไม่ได้สะดวกเหมือนในกรุงเทพฯ
” สิ่งที่ต้องกังวลสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรม คือ เรื่องของการเคลื่อนย้ายหรือลดลง!ของแรงงานที่เกิดจากการ ปิดกิจการโรงงาน รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของกำลังการผลิตของโรงงาน เพราะมีผลต่อการจ้างงาน รายได้ของแรงงาน และต่อเนื่องถึงการขอสินเชื่อธนาคาร ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมามีโรงงานจำนวนไม่น้อยที่ปิดตัวลงไป”
โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้แรงงานจำนวนมาก และโรงงานสมัยใหม่มีการใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้น จำนวนของแรงงานลดน้อยลงไป ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการก็รับรู้เรื่องนี้ เพราะจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมรอบนิคมอุตสาหกรรมไม่ได้มีมากมายเมื่อเทียบกับบ้านจัดสรรจำนวนยูนิตต่างกันเป็น 10 เท่า อีกทั้งบ้านจัดสรรมีกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นคนในพื้นที่ซึ่งต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัย รวมไปถึงกลุ่มที่ต้องการบ้านเพราะขยายครอบครัว เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 8ม.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 34.66 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังคงมีโมเมนตัมอ่อนค่าอยู่ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำบรรยากาศในตลาดการเงินจีนและทิศทางเงินหยวนอาจสร้างความผันผวนต่อสกุลเงินฝั่งเอเชียได้ จากตลาดกังวลปัญหาหนี้ในจีนมากขึ้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 8ม.ค. 2567 ที่ระดับ 34.66 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.72 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่านับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูง (แกว่งตัวในกรอบ 34.44-34.95 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าหนัก ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการย่อตัวลงแรงของราคาทองคำ จากรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาดีกว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยเฟดที่ “เร็วและลึก” อย่างไรก็ดี เมื่อผู้เล่นในตลาดได้พิจารณาข้อมูลการจ้างงานเชิงลึก ก็เริ่มพบว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กลับไม่ได้แข็งแกร่งตามข้อมูลที่รายงาน และข้อมูลการจ้างงานโดยรวมก็ออกมาผสมผสาน (มีทั้งส่วนที่ดีและแย่) ขณะเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด
โดยเฉพาะในส่วนการจ้างงาน ก็ทำให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก และผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมุมมองเดิมว่า เฟดมีโอกาสราว 64% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม ซึ่งมุมมองดังกล่าวส่งผลให้ เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง ส่วนราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์ขึ้น หนุนให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ที่หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรเตรียมรับมือความผันผวนจาก รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือนธันวาคม โดยผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจ ต่อ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน ว่าจะมีทิศทางชะลอตัวลงต่อเนื่อง หรือ ไม่
โดยล่าสุด นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า Core CPI อาจชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.8% จากระดับ 4.0% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด ที่ “เร็วและลึก” ต่อไปได้ ขณะที่ หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับเร่งตัวขึ้น หรือ
ออกมาสูงกว่าคาด ก็จะส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนมีนาคม ซึ่งภาพดังกล่าวจะหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่มีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อนโยบายการเงินของเฟด
อาทิ Michael Barr (Voter), John Williams (Voter) และ Raphael Bostic (Voter) โดยผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าวจะมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดบ้างหรือไม่ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด นั้น ออกมาผสมผสาน โดยเฉพาะในส่วนของดัชนี ISM ภาคการบริการ ที่ชะลอลงอย่างชัดเจนและออกมาแย่กว่าคาดไปมาก
▪ ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซน และทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของทั้ง ECB และ BOE
ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนธันวาคม ซึ่งคาดว่าอาจยังคง “ติดลบ” ราว -0.4% สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังมีปัญหาอยู่ ทั้งนี้ ยอดการค้าระหว่างประเทศของจีนก็เริ่มมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นบ้าง
โดยนักวิเคราะห์ประเมิน ยอดการส่งออก (Exports) เดือนธันวาคม ขยายตัว +1.6%y/y ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี บรรยากาศในตลาดการเงินจีนอาจอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) หลังมีรายงานข่าวว่า Zhongzhi ธนาคารเงา (Shadow Banking) รายใหญ่ของจีน ได้ยื่นล้มละลายต่อศาล
ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันตลาดการเงินจีนและมีโอกาสส่งผลให้เงินหยวนจีน (CNY) ผันผวนอ่อนค่าได้ ในส่วนของนโยบายการเงิน นักวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.50% หลังอัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ชะลอตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.2% ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมก็มีทิศทางชะลอตัวลงบ้าง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่ายังคงมีอยู่ ทำให้เงินบาทเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 34.80 บาทต่อดอลลาร์ (โซนถัดไป คือ 35.00) หากผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยเฟด
นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำซึ่งอาจปรับตัวลดลงต่อได้ ขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดการเงินจีนและทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ก็อาจสร้างความผันผวนต่อสกุลเงินฝั่งเอเชียได้ หากผู้เล่นในตลาดต่างกังวลปัญหาหนี้ในจีนมากขึ้น จากข่าวการยื่นล้มละลายของธนาคารเงารายใหญ่ Zhongzhi
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองว่า เงินดอลลาร์ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้น หากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ไม่ได้ชะลอลงตามคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจต้องปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด จนอาจมองว่า เฟดมีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.35-35.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.55-34.75 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 34.60-34.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 34.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่ากลับมา (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 34.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ) ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ลดช่วงบวกที่ทำไว้ เพราะแม้จะมีแรงหนุนในช่วงแรกหลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (การจ้างงานนนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 216,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 170,000 ตำแหน่ง)
แต่ก็เผชิญแรงเทขายในเวลาต่อมาหลังดัชนี ISM ภาคบริการสะท้อนสัญญาณชะลอตัวอย่างน่าผิดหวัง (ISM ภาคบริการลดลงมาที่ 50.6 ในเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 52.5)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.55-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางค่าเงินหยวน และตัวเลขการคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองของผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนธ.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เดือดรับศักราชใหม่! “เสือคิม” ท้าชนรัสเซียอันตราย “อเล็กเซย์” ศึก ONE ลุมพินี 47
“เสือคิม สจ.โต้งปราจีน” นักชกขวัญใจชาวไทย ออกโรงล่าแต้มชัยไฟต์ที่สอง พบกับนักชกตัวอันตรายจากรัสเซีย “อเล็กเซย์ บาลีโก” ในฐานะคู่เอกนำรายการของศึก ONE ลุมพินี 47 วันศุกร์ที่ 12 ม.ค.นี้
ศึก ONE ลุมพินี 47 เปิดศักราชใหม่เอาใจแฟนมวยทั่วประเทศ เปิดโผคู่เอกนำรายการ ประกบนักชกขวัญใจชาวไทย “เสือร้ายเมืองจันท์” เสือคิม สจ.โต้งปราจีน นักชกหนุ่มวัย 28 ปี จากจันทบุรี ดีกรีอดีตแชมป์เวทีมวยลุมพินี 3 รุ่น พบกับ “อเล็กเซย์ บาลีโก” นักชกตัวอันตรายจากรัสเซีย วัย 30 ปี เพื่อแย่งชิงแต้มชัยไฟต์ที่สองมาครอง โดยจะแลกเดือดกันภายใต้กติกามวยไทย แคตช์เวต 140 ป. ในศึก ONE ลุมพินี 47 วันศุกร์ที่ 12 ม.ค.นี้ ที่จะถ่ายทอดสดจากสนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา)
สำหรับ “เสือคิม” นักชกคนดังชาวจังหวัดจันทบุรี ที่ในอดีตประสบความสำเร็จเป็นถึงแชมป์เวทีมวยลุมพินี 3 รุ่น เคยประกาศแขวนนวมแบบสุดช็อกเมื่อ 3 ปีก่อน แต่เพราะการโน้มน้าวของบิ๊กบอส “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” ทำให้ “เสือร้ายเมืองจันท์” ตัดสินใจหวนกลับมาคืนสังเวียนอีกครั้ง แต่การประเดิมไฟต์แรกไม่สวยงามดั่งใจหวัง หลังพ่ายน็อกต่อ “คิริลล์ โคมูทอฟ” คู่ชกจากรัสเซีย ในศึก ONE ลุมพินี 26
แม้จะเปิดตัวด้วยความพ่ายแพ้ แต่ “เสือคิม” ที่ได้รับกำลังใจล้นหลามทั้งจากเพื่อนพี่น้องในวงการและแฟนมวยทั่วประเทศ ไม่ท้อ ขอกลับมาสู้ต่อและสามารถเปิดซิงเก็บแต้มชัยแรกได้สำเร็จ ด้วยการฟันศอกชนะน็อก “ซามาน อาสซูริ” นักชกจากอิหร่าน ไปอย่างสวยงามตั้งแต่ยกแรกในศึก ONE ลุมพินี 34 พร้อมพิชิตดับเบิลโบนัส 7 แสนบาท จากบิ๊กบอส “ชาตรี” เข้าบัญชีเป็นของรางวัล
กลับมาครั้งนี้ “เสือคิม” หมายมั่นปั้นมือที่จะเก็บชัยติดต่อกันเป็นไฟต์ที่สองให้ได้เพื่อพิสูจน์ตัวเองบนเวทีระดับโลกต่อไป และล้างแค้นแทนน้องรักร่วมค่าย “ยอดไอคิว อ.พิมลศรี” ที่เคยพลาดท่าพ่าย “อเล็กเซย์” มาก่อน
ทางด้าน “อเล็กเซย์” จอมบู๊หมัดหนักจากรัสเซีย มาพร้อมสถิติการชกที่ไม่ธรรมดา ผ่านการคว้าชัยในกติกามวยไทยและคิกบ็อกซิ่งถึง 21 ครั้งจาก 30 ไฟต์ที่ลงแข่งขัน โดยปัจจุบันเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ที่ ไทเกอร์ มวยไทย ค่ายดังแห่งภูเก็ต ที่มีนักชกระดับโลกฝึกซ้อมอยู่มากมาย
“อเล็กเซย์” เปิดตัวในศึก ONE ลุมพินี ได้อย่างสวยงาม ด้วยการสกัดทางดัง เอาชนะคะแนนเอกฉันท์เหนือดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง “ยอดไอคิว อ.พิมลศรี” ไปได้ในศึก ONE ลุมพินี 33 โดยไฟต์ที่สองบนสังเวียนระดับโลก “อเล็กเซย์” พร้อมเดินหน้าแลกเดือดตามสไตล์ถนัด หวังสร้างชื่อด้วยการสยบดาวดังจากค่ายพีเค.แสนชัย ให้ได้เป็นรายที่สองติดต่อกัน
แฟนกีฬาชาวไทยสามารถจองบัตรเข้าชมในสนามผ่านทาง THAI TICKET MAJOR คู่แรกเริ่มเวลา 19:30 น. รับชมการถ่ายทอดสดทาง ช่อง 7HD กด 35 (ภาษาไทย) เริ่ม 20:30 น. รวมทั้งติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของศึกนี้ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand, เว็บไซต์ onefc.com และอินสตาแกรม ONEChampTh
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จริงหรือไม่? “คอตตอนบัด” ห้ามใช้ปั่นหู?
ทุกคนน่าจะรู้จัก “คอตตอนบัด” กันดีอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะทำมาใช้เช็ดหู ปั่นหูกันอยู่เป็นประจำ ยังทำมาทำความสะอาดพื้นที่เล็กๆ แคบๆ ได้อีกมากมาย เช่น ทำความสะอาดแผล ทำความสะอาดสะดือ หรือแม้กระทั่งเช็ดอายไลเนอร์ระหว่างที่คุณผู้หญิงล้างหน้า หรือกำลังแต่งหน้า แต่ที่จริงแล้ว คอตตอนบัด ห้ามนำมาเช็ดหูจริงหรือไม่ Sanook! Health เรามีคำตอบค่ะ
“คอตตอนบัด” ห้ามใช้ปั่นหู?
นพ. ภาสกร วันชัยจิรบุญ อายุรแพทย์ กล่าวว่า ปกติแล้ว ทางการแพทย์ “ไม่แนะนำ” ให้ใส่คอตตอนบัท หรือสิ่งใดๆ เข้าไปในรูหู เพราะว่าขี้หู หรือ earwax เป็นเรื่องธรรมชาติที่หูจะผลิตออกมา เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหู ดังนั้นวิธีการทำความสะอาดหู เพียงแค่ใช้คอตตอนบัด หรือสำลีอื่นๆ เช็ดบริเวณรอบนอกรูหู หรือปากรูหู เพื่อทำความสะอาดในกรณีที่หูสกปรก หรือขี้หูไหลออกมานอกรูหูเท่านั้น
เพราะหากใช้คอตตอนบัดเข้าไปปั่นในหู อาจจะแคะหูจนเพลิน แรงเกินจนอาจเป็นแผลได้
เว็บไซต์ independent ของประเทศอังกฤษกล่าวว่า Q-Tip หรือคอตตอนบัดที่ผลิตอยู่ในประเทศอังกฤษ มีคำเตือนอยู่ข้างผลิตภัณฑ์เสมอ ว่าห้ามใช้ทำความสะอาดข้างในรูหู แต่คนส่วนมากมักไม่ใส่ใจ และใช้ทำความสะอาดข้างในรูหูกันเรื่อยมา นอกจากนี้ Dennis Fitzgerald แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรค คอ หู จมูก ยังยืนยันอีกว่า พบผู้ป่วยที่มีปัญหากับหู จากการใช้คอตตอนบัดในรูหูอยู่ตลอดเวลา และได้แนะนำให้หยุดใช้ทุกครั้ง
วิธีทำความสะอาดหู ปั่นหูที่ถูกต้อง
- ห้ามแคะ ปั่นหูด้วยคอตตอนบัด หรือนำคอตตอนบัดไปชุบแอลกอฮอล์ น้ำเกลือ หรือของเหลวอื่นๆ แล้วนำมาแคะหูเด็ดขาด เพราะจำให้รูหูแห้งเกินไป และหากของเหลวนั้นไหลลงข้างในชั้นหู อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง อักเสบ จนอาจเป็นโรคหูน้ำหนวกได้
- ใช้คอตตอนบัด ทำความสะอาดเพียงบริเวณใบหู และบริเวณปากรูหูเท่านั้น หากน้ำเข้าหูทุกครั้งเมื่ออาบน้ำสระผม ให้ใช้สำลีอุดหูก่อนสระผม
- หากรู้สึกว่าน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง เขย่าหัวเบาๆ หรือกระโดดเบาๆ ให้น้ำออกมาจากหูเอง หลีกเลี่ยงการใช้คอตตอนบัดเช็ดเข้าไปในรูหู
- หากรู้สึกหูอื้อ น้ำเข้าหูนานกว่าปกติ รู้สึกว่ามีอะไรเข้าไปในหู หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบแพทย์ อย่าพยายามเช็ด หรือแคะข้างในหูเอง
หู เป็นอวัยวะที่ซับซ้อน และละเอียดอ่อน เป็นประสาทสัมผัสที่สำคัญไม่น้อยไปว่าการมองเห็น การได้กลิ่น รับรู้รส และการสัมผัส ดังนั้นควรรักษาเอาไว้ให้ดีๆ ไม่ฟังเพลงดังจนเกินไป ทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง เท่านี้เราก็มีหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวกับหูไปได้เยอะแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทริคง่ายๆ บอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ เอาไปใช้พูดจริงได้เลย!
“What’s the time?” ประโยคคำถามพื้นฐานที่อาจทำให้หลายๆคนเหวอกันได้ เพราะนึกคำตอบไม่ออก จะบอกยังไงดีให้ฝรั่งไม่งงน้า
วันนี้ DailyEnglish มีวิธีการ“บอกเวลาภาษาอังกฤษ”แบบง่ายๆ สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันครับ
สำหรับการถามเวลาเราสามารถพูดว่า:
1. What’s the time?
2. What time is it?
3. Do you have the time?
4. Have you got the time?
5. What time do you make it?
วิธีหลักๆในการบอกเวลาจะแบ่งเป็นสองแบบ
แบบแรกคือ British English – ใช้ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) โดยจะใช้เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. และ p.m.
a.m. = ante meridiem = หลังเที่ยงคืน ถึง ก่อนเที่ยงวัน
(00.01 a.m. – 11.59 a.m.)
p.m. = post meridiem = หลังเที่ยงวัน ถึง ก่อนเที่ยงคืน
(12.00 p.m. – 11.59 p.m.)
- เวลาเต็มชั่วโมง – ให้เติมคำว่า “o’clock” ท้ายเวลา อาจเติมคำบอกเวลาหรือพูด “เอ-เอ็ม” และ “พี-เอ็ม” เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ เช่น
10.00 a.m. = ten o’clock in the morning / ten a.m. (เท็น-เอ-เอ็ม)
04.00 p.m. = four o’clock in the afternoon / four p.m. (โฟร์-พี-เอ็ม)
สำหรับเวลาเที่ยงวันให้ใช้ noon และเที่ยงคืนให้ใช้ midnight
- เวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกิน 30 นาที – ให้บอกนาทีนำหน้าตามด้วย “past” และชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น
09.25 a.m. = twenty-five past nine
05.12 p.m. = twelve past five
- เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว – ให้บอกนาทีที่เหลือก่อนจะถึงชั่วโมงถัดไป ตามด้วย “to” และชั่วโมงถัดไปเช่น
07.50 a.m. = ten to eight
08.40 p.m. = twenty to nine
อย่าลืม นะครับว่าหากนาฬิกาเป็นเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น
06.15 a.m. = a quarter past six
06.30 a.m. = half past six
06.45 a.m. = a quarter to seven
แบบที่สองคือ American English – ใช้ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) ใช้ตั้งแต่เลข 0 ไปจนถึง 24 เลยครับ ไม่มี a.m. และ p.m.
วิธีพูดคือบอกเลขชั่วโมงก่อนตามด้วยเลขนาที มักจะใช้ในทางทหารหรืองานที่เป็นทางการหน่อยเพื่อไม่ให้สับสน เช่น
20.15 = twenty fifteen
08.05* = eight O five (เอท-โอ-ไฟฟ์) *ใช้เสียง O (โอ) แทนเลขศูนย์ครับ
17.50 = seventeen fifty
เทคนิคเล็กน้อย: การบอกเวลาสามารถเติมคำประมาณได้ด้วยนะ อย่าง about, around หรือ nearly เช่น
08.02 =It’s about eight o’clock
09.27 = It’s nearly half past nine
ส่วนตัวแล้วแอดมินชอบใช้แบบ British ตอนช่วง 30 นาทีแรกแต่ไม่ค่อยถนัดตอนใช้ “to” กับ 30 นาทีหลังเลยต้องใช้แบบ American แทนครับ แต่จริงๆแล้วต้องดูผู้ฟังด้วยนะว่าเข้าใจการบอกเวลาแบบไหน สมมติเวลา 7 โมงเช้า 50 นาที ถ้าเราบอกว่า “ten to eight ” ให้กับคนอเมริกันฟังเค้าอาจสับสนได้ จึงควรเปลี่ยนเป็น “seven fifty” แทน
เป็นไงบ้างครับเพื่อนๆ การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษไม่ยากเลยใช่มั้ย ทุกคนถนัดแบบไหนกันเอ่ย? ติดตามเทคนิคการพูดภาษาอังกฤษดีๆ ใช้งานได้จริงได้ที่ DailyEnglish นะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
Google เลิกเก็บข้อมูลติดตามผู้ใช้ อวสาน Cookies เพิ่มความเป็นส่วนตัว
ทุกวันนี้ คนเริ่มตระหนักเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวกันมากขึ้น โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ (แต่ก็ยังคงชอบแชร์ข้อมูลและเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองลงบนโซเชียลมีเดียอยู่ดี) จากการที่เริ่มมีความรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานของออนไลน์นั้น มักมีการแอบเก็บข้อมูลการใช้งานบางอย่างของเราไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
หลัก ๆ แล้วคือพวกพฤติกรรมการท่องเว็บไซต์ของเราว่าเรามีความสนใจอะไร เข้าไปค้นหาดูอะไรบ่อย ๆ จากนั้นก็จะนำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางการตลาดและการโฆษณาออนไลน์
เรื่องที่ใครหลายคนคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อเบื้องหลังของโลกออนไลน์มีการเก็บข้อมูลเหล่านี้ของเราอยู่เสมอ ทำให้พวกเจ้าของแพลตฟอร์มหรือบริษัทโฆษณาที่เป็นพาร์ตเนอร์กัน มีข้อมูลส่วนตัวของเราเกือบจะทั้งหมด ทั่วไปคือชื่อ-นามสกุล ช่วงอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ หรือแม้แต่ระดับเงินเดือน ทุกอย่างเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปประมวลผลได้ทั้งข้อมูลสิ่งที่เราให้ความสนใจ บวกกับข้อมูลส่วนตัวที่เราต้องให้กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตอนลงทะเบียนใช้งาน และจาก Digital Footprint ที่เราตั้งใจโพสต์ ตั้งใจแชร์ ตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของตัวเราเองบนโซเชียลมีเดีย
ช่วงหลัง ๆ มาถึงได้มีการให้ความรู้ในวงกว้างว่าโซเชียลมีเดียอันตรายกว่าที่คิด หากจะลงข้อมูลส่วนตัวอะไรของตัวเองบนโซเชียลมีเดีย ให้คิดก่อนโพสต์หรือก่อนแชร์ทุกครั้ง นอกจากอดีตที่เราลืมไปแล้วจะติดตามเราไปตลอดกาลแล้ว ในยุคมิจฉาชีพเกลื่อนเมืองแบบนี้ อาจมีผู้ไม่หวังดีมาแอบเก็บข้อมูลพวกนี้เพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ แล้วย้อนรอยกลับมาโจมตีเราได้ทุกเมื่อ
กลับมาที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวของเราที่เก็บได้ในทางการตลาดและการโฆษณาออนไลน์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การยิงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราสนใจใส่เรารัว ๆ เช่น ถ้าเราเกิดสนใจรองเท้ากีฬาสักคู่และเริ่มเสิร์ชหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ หลังจากนั้น เราก็จะเริ่มเห็นโฆษณาพร้อมช่องทางที่จะหาซื้อรองเท้ากีฬาตามติดเราไปทุกที่ ยิ่งถ้าเจาะจงลงไปอีก ว่าเป็นรองเท้ากีฬาสำหรับออกกำลังกายลดลน้ำหนักด้วยล่ะก็ อาจมีโฆษณาอาหารเสริมที่ช่วยลดน้ำหนัก หรือเทรนเนอร์สำหรับการออกกำลังกายพ่วงตามมาด้วยก็เป็นได้
เมื่อข้อมูลส่วนตัวของเราถูกนำไปใช้งานในลักษณะนี้มากขึ้น จึงเป็นที่มาของแถบข้อความ “แจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัว” ที่จะเด้งขึ้นมาให้เราเห็นในทุกเว็บไซต์ที่เรากดเข้าไปใช้งาน เนื้อหาในแถบข้อความนี้ คือการขออนุญาตให้เว็บไซต์จัดการข้อมูลส่วนบุคคลอะไรสักอย่าง พร้อมกับมีปุ่มให้เรากด “ยอมรับ” สิ่งที่เรียกว่า “คุกกี้ (cookies)” ซึ่งที่ผ่านมา หลาย ๆ คนก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร (ทุกวันนี้บางคนก็ยังไม่รู้) แค่จะเข้าเว็บไซต์ จู่ ๆ ก็มาพูดถึงขนมคุกกี้เฉยเลย
คุ๊กกี้ (Cookie) คืออะไร?
บอกเลยว่าแถบข้อความ “แจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัว” มันไม่ได้โผล่ขึ้นมาเพื่อให้เราหงุดหงิดเล่น ๆ หรอกนะ จริง ๆ มันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA (กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 แล้ว และคุกกี้มันก็ไม่ใช่ขนมแต่อย่างใด มันเป็นไฟล์ข้อความ (Text File) ขนาดเล็ก ที่ได้มาจาการเชื่อมต่อเว็บไซต์ต่าง ๆ กับอุปกรณ์ที่เราใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อท่องเว็บไซต์
พูดง่าย ๆ ก็คือมันจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อเราใช้อุปกรณ์ อย่างคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเพื่อเข้าไปเยือนเว็บไซต์ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วเทคโนโลยีนี้เรียกเต็ม ๆ ว่า HTTP Cookies หรือนิยมเรียกว่าเว็บคุกกี้ (Web Cookies) แต่เรียกสั้น ๆ ว่าคุกกี้ ก็จำง่ายดีและเป็นที่จดจำด้วย
คุกกี้ ถูกสร้างขึ้นแบบอัตโนมัติเมื่อเราใช้เว็บเบราว์เซอร์กดเข้าไปชมเว็บไซต์ จุดประสงค์คือเพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์นำข้อมูลไปปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งานให้ได้รับความพึงพอใจมากขึ้นในการกดเข้ามาเยือนเว็บไซต์ ส่วนประโยชน์สำหรับผู้ใช้แบบเรา คือมันจะจดจำสถานะการใช้งานของเว็บเบราว์เซอร์ที่มีต่อเว็บเซิร์ฟเวอร์นั้น ๆ ได้ จำได้ว่าเว็บเบราว์เซอร์ของอุปกรณ์นี้เคยเข้ามาเยือนเว็บไซต์นี้แล้ว ดังนั้น หากเราเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลหรือลงทะเบียนแล้วออกจากเว็บไซต์นี้ไป เมื่อกลับมาเข้าเว็บอีกครั้ง มันจะจดจำข้อมูลของเราได้ทันที โดยที่ไม่ต้องกรอกข้อมูลเข้าไปใหม่
หมายความว่าถ้าเว็บไซต์จำได้ว่าเราเป็นใคร เราก็ไม่ต้องเสียเวลามายืนยันตัวตนทุกครั้งที่เข้าใช้งาน แลกกับการที่คุกกี้นี้จะรู้ว่าเรามีพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์นี้แบบไหน รวมถึงมีข้อมูลส่วนตัวของเราไว้เพื่อระบุตัวตน ก็จะสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับตัวเราได้ มีผลต่อการบริการที่แม่นยำและถูกใจผู้ใช้งาน ถึงอย่างนั้น ถ้าเราไม่สบายใจกับการทำงานของคุกกี้ เราสามารถลบทิ้งได้ด้วยตนเอง แต่พวกค่าต่าง ๆ ก็จะหายไป ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ที่จะยุ่งยากขึ้นเพราะต้องเริ่มต้นใหม่หมด และอาจรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมากรอกข้อมูลเองใหม่ทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม คุกกี้มีหลายประเภท แต่ถ้าพูดถึงคุกกี้ที่มีความสำคัญกับนักการตลาด หลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- First party cookies เป็นคุกกี้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเว็บไซต์ที่เราเข้าไปใช้งานโดยตรง จะมีแค่ผู้ดูแลของเว็บไซต์นั้น ๆ เท่านั้นที่สามารถเห็นข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้งานได้ จุดประสงค์ก็คือเก็บข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน และป้องกันไม่ให้ไซต์ของคุณขอข้อมูลเดิม อย่างพวกข้อมูลเข้าสู่ระบบ เพราะเราคงจะหงุดหงิดไม่น้อยถ้าจะต้องกรอกข้อมูลใหม่ทุกครั้งเมื่อเข้าใช้เว็บไซต์นั้น ๆ
- Third party cookies เป็นคุกกี้ที่อนุญาตให้บุคคลที่ 3 สามารถเข้าถึงและแสดงโฆษณาต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ โดยจะถูกฝังเข้าไปในเว็บไซต์นั้น ๆ เพื่อติดตามการใช้งานของเรา คุกกี้นี้จะให้ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้เพื่อสร้างโปรไฟล์และเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดสำหรับธุรกิจ เพราะยิ่งมีข้อมูลผู้ใช้งานมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานมากเท่านั้น นำไปใช้ประโยชน์ในการยิงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ค่าโฆษณาก็จะถูกลง และให้ผลลัพธ์ที่ดี
คุกกี้กับความเป็นส่วนตัว
เพราะการใช้ประโยชน์จากคุกกี้ไม่ได้มีเพียงในด้านการให้บริการผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ในทางการตลาดและการทำโฆษณา คุกกี้คือแหล่งข้อมูลที่มีค่ามหาศาล เพราะมันเก็บข้อมูลแทบทุกอย่างของผู้ใช้งานเอาไว้ โดยเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาวิเคราะห์เป็นพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อนำมาทำการตลาด
อีกทั้งยังอาจมีสิ่งไม่พึงประสงค์แฝงมาได้ เช่น พวกไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แฝงมาติดตั้งเพื่อแอบเก็บข้อมูลของเรา แล้วส่งพวกอีเมลขยะหรือโฆษณามาถี่ ๆ จนสร้างความรำคาญใจ รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะโดนสวมรอยบัญชีได้ด้วยเช่นกัน
แล้วคุกกี้ติดตามข้อมูลอะไรของเราบ้าง เบื้องต้นก็คือข้อมูลส่วนตัวของเราเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมลส่วนตัว ที่อยู่ปัจจุบัน วันเดือนปีเกิด สัญชาติ น้ำหนักส่วนสูง เลขที่บัตรประชาชน เลขหนังสือเดินทาง เลขใบอนุญาตขับขี่ ข้อมูลทางการศึกษา ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางการแพทย์ ทะเบียนรถยนต์ โฉนดที่ดิน ทะเบียนบ้าน หรือพวกข้อมูลบนอื่น ๆ ที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น Username, Password, Cookies IP address, GPS Location รวมถึงข้อมูลของอุปกรณ์ที่เราใช้เข้าสู่เว็บไซต์ อย่างระบบปฏิบัติการ เว็บเบราว์เซอร์ แม้กระทั่งการตั้งค่าภาษา
นอกจากนี้ยังอาจมีพวกข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ที่อาจส่งผลกระทบเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลได้หากมีการนำไปเปิดเผยหรือเผยแพร่ เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลด้านสุขภาพ ความพิการ เช่น โรคประจำตัว การฉีดวัคซีน ใบรับรองแพทย์ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ แบบจำลองใบหน้า ข้อมูลม่านตา ข้อมูลเหล่านี้มักถูกผู้ไม่หวังดีนำไปใช้ประโยชน์ในทางเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลเป็นหลัก
ในด้านของกิจกรรมและพฤติกรรมผู้ใช้ คุกกี้จะมีข้อมูลว่าเราเข้าไปชมเว็บไซต์ใดบ้าง เสิร์ชหาข้อมูลอะไรบ้าง ข้อมูลการซื้อ (รายการสินค้าที่เราเคยเลือกใส่ไว้ในตะกร้า ถึงจะกดออกจากเว็บไซต์ไปแล้ว แต่กลับเข้ามาใหม่ก็ยังอยู่) การใช้งานภายในเว็บไซต์ ใช้เวลาอยู่นานแค่ไหน กดเข้าเว็บไซต์เวลาไหน โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เครื่องมือในการค้นหาเว็บไซต์ รวมถึงการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเว็บไซต์ต่าง ๆ
ความน่ากลัวจึงอยู่ตรงนี้ เมื่อคุกกี้จดจำพวกข้อมูลส่วนตัวของเราไว้เกือบทั้งหมด มันจึงกลายเป็น Big Data ที่ทำมูลค่าได้ หากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้น ๆ ลักลอบเอาข้อมูลของเราไปขายโดยที่เราไม่ยินยอม (ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้อมูลหลุดไปตอนไหน เพราะไม่รู้จักคุกกี้) หรือโดนแฮกไปจากบรรดาแฮกเกอร์
ข้อมูลที่ถูกนำไปจำหน่ายสามารถเอาไปทำได้ตั้งแต่วิเคราะห์และประมวลผลเพื่อทำการตลาด ตลอดจนตกไปอยู่ในมือของพวกมิจฉาชีพ ที่จะเอาข้อมูลพวกนั้นไปทำอะไรก็ได้ที่สร้างมูลค่าได้มหาศาล
กฎหมาย PDPA หรือพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิ์กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล คุ้มครองและสร้างมาตรฐานการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย ไม่ให้ถูกจัดเก็บหรือนำไปใช้โดยไม่ได้แจ้งให้เราทราบ และต้องนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ตามคำยินยอมที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอนุญาตเท่านั้น
มันคือความคุ้มครองเจ้าของข้อมูลในกรณีที่พวกเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ข้อมูลเราไปแล้วนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่เราไม่ยินยอม ทั้งที่เราเป็นเจ้าของข้อมูล แต่กลับไม่สามารถควบคุมการใช้ข้อมูลนั้นได้
Google จะเริ่มบล็อก Third-Party Cookie วันนี้!
หลังจากที่ Google ประกาศเปิดใช้งานโครงการ Privacy Sandbox อย่างเป็นทางการ จากที่เริ่มเสนอแนวคิดนี้มาตั้งแต่ปี 2019 และมีการปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งลงตัว โดย Privacy Sandbox ของ Google นี้ จะเป็นระบบตามรอยผู้ใช้งานที่จะเข้ามาแทนคุกกี้ ซึ่งแนวทางของ Privacy Sandbox คือการเลิกเก็บคุกกี้เพื่อตามรอยการใช้อินเทอร์เน็ตและพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์ของผู้ใช้งาน โดยที่ Google จะนำชุดเครื่องมือชุดใหม่มาใช้งานแทน เพื่อให้ธุรกิจโฆษณายังอยู่ได้
และทำหน้าที่เก็บหัวข้อความสนใจของผู้ใช้แทน ซึ่ง Google จะจัดลำดับข้อมูลว่าเราชอบดูหรือค้นหาอะไร แต่จะไม่ลงรายละเอียดข้อมูลที่ระบุตัวตน และยังคงช่วยให้การแสดงโฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมาย
ในเมื่อการแสดงโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายนั้นยังจำเป็นอยู่ เพราะถ้าหากเว็บไซต์ไม่สามารถยิงโฆษณาตามเป้าหมายได้ รายได้จะลดลงกว่าครึ่ง แต่ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานก็เป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน ตัวเบราว์เซอร์ Chrome จึงเปลี่ยนมาเก็บหัวข้อความสนใจของผู้ใช้แบบกว้าง ๆ แทน ว่าผู้ใช้งานแต่ละคนมีความสนใจในหัวข้อใด
ทำให้เมื่อเราเข้าเว็บไซต์ที่ฝังโฆษณา คุกกี้ติดตามรอยของบริษัทโฆษณาจะไม่สามารถตามรอยผู้ใช้งานได้แล้ว แต่ระบบของบริษัทโฆษณาจะขอหัวข้อความสนใจของผู้ใช้คนนั้น ๆ จากเบราว์เซอร์เพื่อเลือกแสดงโฆษณาในหมวดหมู่ที่เราน่าจะสนใจ ไม่ใช่การยิงโฆษณาแบบหว่าน ๆ ที่อาจไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
โดย Google ประกาศว่าจะเริ่ม “กำจัดคุกกี้” ของบุคคลที่สาม (third-party cookies) ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2024 ด้วยการบล็อกคุกกี้สำหรับผู้ใช้ Google Chrome 1% หรือประมาณ 30 ล้านคนก่อน และจะขยายไปสู่การยุติการใช้งานที่ครอบคลุมมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2024
นั่นหมายความว่าผู้ใช้จะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นในการท่องเว็บไซต์ใช้อินเทอร์เน็ต โดยไม่ถูกตามรอยและเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากคุกกี้บุคคลที่ 3 ที่มาแอบติดตั้งอยู่ในเว็บไซต์ เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ในเว็บไซต์แล้วเก็บข้อมูลไปใช้เพื่อการโฆษณาออนไลน์ และนำมาซึ่งปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว
นี่จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญของโครงการ Privacy Sandbox ที่มีเป้าหมายทดแทนคุกกี้บริษัทอื่น ๆ ด้วยเทคโนโลยีติดตามพฤติกรรมแบบใหม่ที่น่าจะดีกว่าสำหรับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ในขณะเดียวกันก็ยังเก็บข้อมูลทางการตลาดได้อยู่ ยังสามารถส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย และวัดผลโฆษณาได้ เป็นจุดตรงกลางที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัย มีความเป็นส่วนตัว และยังได้รับความพึงพอใจจากโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ และเพิ่มความโปร่งใสของโฆษณาด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไม “น้ำอุ่น” จึงควรเป็นน้ำดื่มแก้วแรกของวัน
สำหรับบางคนที่กำลังลดน้ำหนัก กินอาหารเพื่อสุขภาพ เดินเกิน 7,000 ก้าวทุกวัน และชอบหาเคล็ดลับลดน้ำหนักง่ายๆ ตามคนดังที่เคยลดน้ำหนักสำเร็จ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีเคล็ดลับการลดน้ำหนักที่อยู่ใกล้ตัวนั่นคือน้ำ และหากคุณดื่มน้ำเปล่าอยู่แล้ว คุณจะทราบว่าน้ำอุ่นนั้นดี มีประโยชน์มากแค่ไหน จนถึงขนาดแนะนำให้น้ำอุ่นเป็นน้ำดื่มแก้วแรกของวัน เพราะสาเหตุใด
สาเหตุที่น้ำอุ่นควรเป็นเครื่องดื่มแก้วแรกของวัน
- เติมน้ำให้ร่างกาย: เราเสียเหงื่อขณะนอน ดื่มน้ำอุ่นตอนเช้าจึงช่วยเติมน้ำทันที เพิ่มพลังงานโดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีน (แม้กาแฟจะเป็นน้ำอุ่นผสมกาแฟ แต่คาเฟอีนเป็นยขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น)
- กระตุ้นเผาผลาญ: น้ำอุ่นช่วย “ปลุก” ระบบเผาผลาญ ให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานและไขมัน
- บรรเทาอาการคัดจมูก: การสูดไอน้ำอุ่นช่วยละลายเสมหะ บรรเทาอาการคัดจมูกและแน่นหน้าอก บางรายอาจปวดหัวไมเกรนน้อยลง
- ระบบย่อยอาหารดีขึ้น: น้ำอุ่นช่วยย่อยอาหาร เคลื่อนไหวลำไส้ ขับของเสียที่สะสม ช่วยแก้ท้องผูก
- ดีท็อกซ์ร่างกาย: น้ำอุ่นช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ขับเหงื่อ ซึ่งเป็นวิธีขับสารพิษหลัก ดื่มน้ำอุ่นประมาณ 60 องศาเซลเซียสเพื่อกระตุ้นการขับเหงื่อ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: เติมเลมอนลงไป เพิ่มวิตามินซี เสริมภูมิคุ้มกัน ถ้าเจ็บคอ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ช่วยบรรเทาอาการเจ็บ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,550.00 | 33,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,173.00 | 32,942.68 | 34,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,955.70 | 29,648.41 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,738.40 | 26,354.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 978.00 | 14,826.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 761.00 | 11,536.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,252.00 | 34,140.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.25 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.98 | 32.98 | 33.48 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.64 | 32.64 | 33.14 | 32.64 | 32.64 | – | 32.64 | 32.64 | 32.64 | 32.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.79 | 32.79 | – | – | – | – | – | – | – | 32.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.14 | 46.74 | 48.24 | 46.74 | – | – | – | – | – | 42.14 |
เบนซิน 95 | 42.64 | – | – | – | 43.81 | – | 43.14 | 42.79 | – | 42.64 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |