จับตาเดอะ สแตนดาร์ดผนึกแสนสิริ-จิราธิวัฒน์ เขย่าตลาดอสังหาฯหัวหิน-ภูเก็ต
ครั้งแรกในเอเชีย! จับตา Branded Residence ภายใต้แบรนด์ “เดอะ สแตนดาร์ด” แบรนด์สุดฮอตในหมู่เซเลบริตี้คนดังระดับ A-list ปักหมุดในไทยนำร่อง หัวหิน ร่วมกับแสนสิริ และตระกูลจิราธิวัฒน์ในภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา
- ถือเป็น ครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์เมืองไทย เมื่อ2กลุ่มใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์อย่าง“แสนสิริ ”และ “ตระกูลจิราธิวัฒน์” ในวงการค้าปลีกเมืองไทยภายใต้การนำทัพ “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ในฐานะผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารกองทุน บริษัท ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ จำกัด
- จับมือกับ Branded Residence แบรนด์ “เดอะ สแตนดาร์ด” บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกสุดฮอตในหมู่เซเลบริตี้คนดังระดับ A-list
โดยก่อนหน้านี้“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตบิ๊กบอสแห่ง “แสนสิริ” เคยให้สัมภาษณ์กับ“กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ได้เตรียมที่ดินขนาด 10 ไร่ ซึ่งซื้อเก็บมากว่า 4 ปีมาเพื่อทำ เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ หัวหิน ซึ่งเป็นฟรีโฮลด์ อยู่หาดเดียวกันกับโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน สามารถเดินถึงกันได้ รับรองฮือฮาแน่นอน คาดเปิดขายไตรมาสแรกปีนี้
โปรเจกต์นี้ ถือเป็น เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ แห่งแรกในประเทศไทยและแห่งแรกในเอเชีย และ แห่งที่ 3 ของโลก!!!
จากก่อนหน้านี้ เดอะ สแตนดาร์ด ไมอามี่ ได้ทำสแตนอะโลน เรสซิเดนซ์ เปิดขายเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาขายไปแล้ว 70% คิดเป็นจำนวน 228 ยูนิต เป็นอพาร์ตเมนต์12 ชั้น มีฟาซิลิตี้ที่หลากหลายและแตกต่าง มากกว่าคอนโดมิเนียมทั่วไป อาทิ คาเฟ่ออนกราวน์ รูฟท๊อปบาร์ ซึ่งมีเชนมาบริหาร มี “Pickle ball” ลักษณะคล้ายกับการเล่นแบดมินตัน-ปิงปอง และเทนนิส กำลังได้รับความนิยมและเติบโตเร็วที่สุดในอเมริกา มียิมเหมือนในโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด โปรแกรมมิ่งที่จัดให้ลูกบ้าน เช่น มีเทรนเนอร์หรืออีเวนต์เวียนมาให้บริการแล้วแต่นิติบุคคลจะนำเสนอให้กับลูกบ้าน
สำหรับรูปแบบของ “เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์” มี 3 โมเดล โมเดลแรก ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกับโรงแรมเป็น สแตนอะโลน เรสซิเดนซ์ และหาโอเปอเรเตอร์มาบริหารคาเฟ่หรือรูฟท๊อป
โมเดลที่สอง เรสซิเดนซ์อยู่กับโรงแรมในพื้นที่ติดกันและเอื้อซึ่งกันและกัน ฟาซิลิตี้ไม่ต้องมีทุกอย่างสามารถใช้บริการโรงแรมได้ เป็นสเกลที่พึ่งพากัน!
โมเดลที่สาม อยู่ด้วยกันและสต็อกบางกลุ่มของเรสซิเดนซ์/โรงแรม เหมือนเป็น rental pool ซึ่งยังไม่มีโมเดลนี้
ตามแผนจะมีการเปิดตัว เดอะ สแตนดาร์ด ที่ลิสบอน โปรตุเกส มีทั้งโรงแรมและเรสซิเดนซ์ โดยโรงแรมเปิดปี 2567 ปีถัดมาเป็น เรสซิเดนซ์ ซึ่งในปี 2567 “ไมอามี่ เรสซิเดนซ์” จะสร้างเสร็จ จากนั้นมีแผนที่ทูลัม เม็กซิโก, ออสติน เท็กซัส และดูไบ เป็นการสร้างเรสซิเดนซ์พร้อมกับโรงแรม
“แสนสิริ” เน้นตลาดพรีเมี่ยมในพื้นที่สำคัญในเมืองท่องเที่ยวของไทย อย่าง หัวหิน พัทยา ภูเก็ต สมุย โดยเปิดกว้างให้เจ้าของที่ดิน หรือดีเวลลอปเปอร์ที่ต้องการแบรนด์ “เดอะ สแตนดาร์ด” ที่มีความแข็งแกร่งเข้ามาดึงดูดผู้ซื้อ ทั้งคนไทยและต่างชาติที่พร้อมจ่าย!!
ล่าสุดได้สร้างเสียงฮือฮาเขย่าวงการ อีกครั้งเมื่อ “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ในฐานะผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารกองทุน บริษัท ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ จำกัดเตรียมประกาศนโยบายการลงทุน รวมทั้งทิศทางในการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาโครงการแรกคอนโดมิเนียมที่ภูเก็ต “เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา” รองรับการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุนของบริษัท
ความร่วมมือนี้นับเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของครอบครัว “จิราธิวัฒน์” ในการดึงBranded Residence ภายใต้แบรนด์ “เดอะ สแตนดาร์ด” บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก มาร่วมเป็นพันธมิตรในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี เพื่อสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็วและสร้างความได้เปรียบผ่านแบรนด์ที่เป็นรู้จักทั่วโลก
ทั้งนี้เนื่องจากกระแสความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต โดยเฉพาะในตลาดระดับลักชัวรียังคงเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติในการซื้อเพื่อการลงทุนและเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์จากกรุงเทพฯต่างมุ่งหน้ามาภูเก็ต อย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ปี2566ที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็น ศุภาลัย แสนสิริ ออริจิ้น แอสเซทไวส์ กานดา แม้กระทั่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” ขยายพอร์ตธุรกิจที่อยู่อาศัยในจ.ภูเก็ต ภายใต้งบลงทุน 5,000 ล้านบาท
แบ่งพัฒนาโครงการออกเป็น 3 เฟส ใช้เวลา5 ปีในการดำเนินการ โดยนำร่องเฟสแรกด้วยโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น แบรนด์ “ฟีล” (PHYLL) บนพื้นที่ 6 ไร่ จำนวน 3 อาคาร จำนวน 439 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.69- 6 ล้านบาทปัจจุบันมียอดขาย70%
ส่วนที่เหลือ 30% จะเปิดขายในเดือนพ.ย.นี้คาดจะปิดการขายสิ้นปี2566 ขณะที่เฟส2 จะเริ่มพัฒนาในปี2567 จำนวน 3 อาคาร มีจำนวน300 ยูนิต ส่วนในเฟส 3 มีแนวคิดพัฒนาเป็น‘เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์’ จำนวน 300 ยูนิต โดยคิดราคาค่าเช่า 30,000-40,000 บาทต่อเดือนเพื่อรองรับกลุ่มต่างชาติเป็นหลัก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘แสนสิริ’ เจาะเมืองท่องเที่ยว ส่ง ‘กาบานาส หัวหิน’ ติดทะเลเพียง 300 เมตร
‘แสนสิริ’ รุกหนักเมืองท่องเที่ยว เปิดตัวโครงการใหม่ ‘กาบานาส หัวหิน’ พร้อมภาพโครงการแบบจัดเต็ม โชว์ไฮไลต์ 300 เมตรถึงทะเล กำหนดราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดโครงการ “กาบานาส หัวหิน” โครงการอยู่บนทำเลใจกลางเมืองหัวหิน ที่สามารถเดินทางได้สะดวก ไปถึงหาดหัวหินเพียง 300 เมตร พร้อมรายล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และติดกับตลาดแทมมารีน ใกล้ Cicada Market และบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์ รวมถึงใกล้กับโรงพยาบาลชั้นนำกับ โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน
สำหรับโครงการใหม่นี้ โดดเด่นด้วยดีไซน์ของเมืองชายฝั่งโปรตุเกส และลวดลาย Element ที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง “AZULEJOS TILES” (อาซูเลโฮ) ที่อยู่ในทุกๆ จุดของโครงการ พร้อมส่วนกลางขนาด 1.5 ไร่ การจัดทำ Facility ต่างๆ อาทิ Garden ที่มี Portugal Palm Court เป็น Open Space ขนาดใหญ่ พร้อม Outdoor Living Space การจัดทำสระว่ายยาว 26 เมตร พร้อมด้วย Kid’s Pool พื้นที่สระเด็ก ที่มี Cabanas Wall Art เป็นลวดลายคาแรคเตอร์มาจาก Street Art ในเมืองลิสบอน
ขณะเดียวกันได้นำเอกลักษณ์จากสถานที่ต่างๆ ของเมืองโปรตุเกสมาใช้ในการออกแบบพื้นที่ทั้ง Lobby Lounge, Co-Working Lounge และ Fitness
กาบานาส หัวหิน คอนโด Low Rise พื้นที่ประมาณ 4 ไร่ 2 อาคารที่พักอาศัย 8 ชั้น และ 1 อาคารที่พักอาศัย (Villa) 2 ชั้น ทั้งหมดรวม 426 ยูนิต มาใน Unit type ทั้งหมด 4 Type และยังมี Villa เพียง 4 ยูนิตเท่านั้น เริ่มต้นด้วย
- 1 Bedroom S 25.00 – 25.75 ตร.ม.
- 1 Bedroom M ขนาด 32.50 – 34.25 ตร.ม.
- 2 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 49.25 – 51.75 ตร.ม.
- 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 61.00 – 66.25 ตร.ม.
- Villa ขนาด 66.75 – 75.50 ตร.ม.
ทั้งนี้ได้กำหนดราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท โดยในทุกห้องจะเป็น Fully Furnished ทุกยูนิต และ Yield 6% ต่อปี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 15ม.ค “แข็งค่า” ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจผันผวน ไฮไลท์สำคัญวันนี้อยู่ที่การแถลง BOT Policy Briefing ของธปท. -รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินเอเชีย
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 15ม.ค 2567 ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 34.87-35.15 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่า ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ซึ่งพอดัชนี PPI ออกมาชะลอลงต่อเนื่องและต่ำกว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดพอคลายกังวลแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจชะลอลงช้า จนทำให้เฟดไม่รีบลดดอกเบี้ยตามคาด โดยภาพดังกล่าว ได้กลับมากดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงและหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ทั้งนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ หลังเงินดอลลาร์ก็เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงขึ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา การปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และของไทย ได้ส่งผลให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน พร้อมจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และการแถลง Policy Briefing ของธนาคารแห่งประเทศไทย
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังกล่าวยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด ที่ “เร็วและลึก”
ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาให้ความสนใจ รายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งจะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดี นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ Voter ในการประชุม FOMC อาทิ Christopher Waller, Michael Barr, Michelle Bowman, John Williams, Raphael Bostic และ Mary Daly
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ทั้งขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินภูมิภาค โดยอาจมีประเด็นสำคัญอยู่ที่ การตั้งสำรองหนี้เสีย รวมถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินขนาดเล็ก-กลาง
▪ ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของอังกฤษ และทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของทั้ง ECB และ BOE ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่า ECB และ BOE อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้เร็วกว่าเฟด ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็เป็นปัจจัยที่กดดันทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP)
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน อาทิ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 รวมถึง ยอดค้าปลีก (Retail Sales), ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนธันวาคม โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนสะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ก็อาจช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงสินทรัพย์จีนมากขึ้น ทำให้เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
ภาพดังกล่าวก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าของสกุลเงินเอเชียเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคม โดยหากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมผลของราคาพลังงานและอาหารสด (Core-Core CPI) ยังคงอยู่แถว 3.7% ก็อาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนแนวโน้มการทยอยปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในปีนี้
▪ ฝั่งไทย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การแถลง BOT Policy Briefing ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ราว 10.00 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม นี้ โดยเราคาดว่า ธปท. จะพยายามสื่อสารกับผู้เล่นในตลาดและประชาชนว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ระดับ 2.50% ถือว่า เป็นระดับที่ “เหมาะสม” ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ ธปท. อาจมีการเน้นย้ำว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยนั้นอยู่ในระดับต่ำ จากปัจจัยด้านอุปทานและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐเป็นหลัก ทำให้ ธปท. ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อนึ่ง เราจะจับตาอย่างใกล้ชิด ว่า ธปท. จะเน้นการสื่อสารว่า พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามความเหมาะสม หรือไม่ เพราะหาก ธปท. เน้นการสื่อสารดังกล่าว ก็อาจประเมินได้ว่า ธปท. เริ่มเห็นความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น ทำให้เราอาจเพิ่มโอกาสที่ ธปท. จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองเดิมว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ที่ระดับ 2.50% จนกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะแย่ลงชัดเจน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าการอ่อนค่าอาจเริ่มชะลอลง หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงขึ้น ทว่า เงินบาทอาจผันผวนไปตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งต้องติดตามการแถลง Policy Briefing ของธปท. ในวันจันทร์นี้ และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) และสกุลเงินเอเชีย ได้พอสมควร
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย จนกว่าจะคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ จนทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.50-35.25 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.15 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ใครบ้าง? “ฟาน ไดค์” เผยชื่อ “4 ดาวยิงชื่อดัง” ที่รับมือยากสุดตลอดอาชีพการค้าแข้ง
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังตัวเก่งของ ลิเวอร์พูล เผยชื่อ 4 ยอดดาวยิงคู่แข่งที่รับมือด้วยยากสุด ในตลอดเส้นทางค้าแข้งอาชีพของตนระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ฟาน ไดค์ ที่ปักหลักเล่นในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ปี 2015 กับทาง เซาธ์แฮมป์ตัน กล่าวกับสื่อฝรั่งเศส เมื่อถูกถามว่ากองหน้าคนไหนที่ตัวเขารับมือได้ยากที่สุด ก่อนจะให้คำตอบว่า
“ผมคิดว่า โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ คือคนๆนั้น”
“ทุกครั้งที่คุณคิดว่าคุณประกบติดเขาได้แล้ว คุณจัดการเขาอยู่หมัดแล้ว เขาก็จะหาทางทำประตูคุณได้อยู่ดีด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง”
“เขาใช้ได้ทั้งศีรษะ, เท้า, เข่า เขาทำประตูใส่ผมได้บ่อยมาก” ฟาน ไดค์ กล่าว
ส่วนอีก 3 คน เซนเตอร์แบ็กดัตช์เจ้าของค่าตัว 75 ล้านปอนด์ในการย้ายสู่ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2018 เลือก เซร์คิโอ อเกวโร ตำนานดาวยิง แมนฯ ซิตี้, กาเบรียล เชซุส หัวหอก อาร์เซนอล และ เออร์ลิง ฮาลันด์ ดาวยิงปีศาจของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
โดยทั้ง 3 รายดังกล่าว ฟาน ไดค์ ไม่ได้เแจกแจงเหตุผลมากนัก โดยระบุเพียงว่า “ทั้ง 3 คนต่างก็สามารถทำให้เกมของคุณยากลำบากมากๆได้ทั้งหมด”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำความเข้าใจผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ หรือคนสองบุคลิก ให้ชัดเจนขึ้น
ระยะหนึ่งแล้วที่คนไทยเริ่มรู้จักกับโรค “ไบโพลาร์” หรือบางคนอาจเรียกว่าโรค “คนสองบุคลิก” ที่เมื่อเสียใจก็เสียใจสุดๆ แต่เมื่อดีใจก็ดีใจเสียโอเวอร์ แต่ถึงแม้ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์จะมีจำนวนมากขึ้นในสังคมไทยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการเหล่านี้จะถูกเรียกว่าเป็นโรคไบโพลาร์กันเสียหมด
Sanook Health ทำข้อมูลดีๆ จาก เฟซบุ๊คเพจ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ที่จะมาอธิบายถึงโรคไบโพลาร์ให้ชัดเจนขึ้น ให้คนทั่วไปเข้าใจถึงโรคนี้ และทำความเข้าใจผู้ป่วยโรคนี้ให้มากขึ้นด้วยค่ะ
ขอเพียงความเข้าใจ “ไบโพลาร์”
ปัจจุบันหากได้มีโอกาสติดตามข่าวในโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ คงได้มีโอกาสได้ยินเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า สังคมมักจะมีความคิดประมาณว่า ถ้าใครมีลักษณะผิดปกติอะไรสักอย่าง ต้องถามขึ้นมาเลยว่า “นี่เป็นไบโพลาร์รึเปล่าเนี่ย!?!” ซึ่งคงไม่ยุติธรรมกับคนไข้ที่เป็นไบโพลาร์เท่าไหร่นัก แล้วในความเป็นจริง ไบโพลาร์คือโรคอะไรกันแน่
* ที่แน่ๆ มันไม่ใช่อารมณ์ร้ายเพียงเพราะไม่ได้ดั่งใจ ไม่ใช่คนนิสัยเอาแต่ใจหรือเห็นแก่ตัว *
โรคอารมณ์สองขั้ว หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Bipolar Disorder นั้น จากงานวิจัยพบว่า คนเรามีโอกาสป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วได้ประมาณ 1% การที่มีความเข้าใจเรื่องโรคนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันและดูแลคนรอบข้างที่มีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคได้ โรคอารมณ์สองขั้ว ลักษณะทั่วไปก็เป็นตามชื่อ ก็คือ มีลักษณะของอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างแตกต่าง 2 แบบ
- ช่วงซึมเศร้า (Depressive episode) ที่เป็นนานอย่างน้อย2สัปดาห์ (รายละเอียดในบทความโรคซึมเศร้า)
- มีลักษณะ คึกคักพลุ่งพล่าน ที่เรียกว่าเมเนีย (Mania หรือ Manic episode)
คนที่เป็นโรคไบโพลาร์นี้อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ
- ช่วงที่ว่านี้คือเป็นสัปดาห์ ไม่ใช่เป็นชั่วโมงหรือวันสองวัน
- โดยอาจเป็นลักษณะซึมเศร้า ตามด้วยช่วงเวลาที่เป็น “ปกติ” ดี เป็นคนเดิมของเขา จากนั้นอาจเกิดอาการแบบเมเนียขึ้นมา
- โรคไบโพลาร์ ต้องมีช่วงเมเนีย (ขั้วบวก = เมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า) แต่อาจจะมีช่วงซึมเศร้าหรือไม่ก็ได้
- บางคนแสดงอาการซึมเศร้าก่อน ต่อมาค่อยแสดงอาการเมเนีย การวินิจฉัยจึงเปลี่ยนจากโรคซึมเศร้า เป็นโรคไบโพลาร์
- ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการซึมเศร้าก่อนมากกว่า
อาการหลักๆคือ “เยอะ” ไม่ว่าความคิด ความมั่นใจ การพูด ”ล้น” ไปหมด (โดยที่แต่ก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้) แต่มักไม่เกิดผลดี เพราะมาจากสมองที่กำลังปั่นป่วน
เราอาจเคยเห็นเพื่อนๆหรือคนที่อยู่รอบข้าง ที่อยู่ดีๆก็ขยันทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางคนดูเหมือนมีแผนการและความคิดสร้างสรรค์มากมาย เวลาพูดคุยด้วยจะสังเกตว่าพูดมาก พูดเร็ว แต่ดูกระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อ เปลี่ยนเรื่องเร็วจนตามไม่ทัน มีพลังงานเหลือเฟือในการทำงาน วางแผนโครงการต่างๆมากมาย บางคนไปดาวน์รถ จองคอนโดหลายที่ ต้องมาตามใช้หนี้ตอนหลัง รวมทั้งดูมีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตัวเองมีความสามารถสูง เช่น ถ้าลงเลือกตั้งต้องได้ตำแหน่งแน่ๆ
บางคนเป็นมากอาจมีความคิดหลงผิด (delusion) ว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ มีพลังอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ หากค่อนข้างสนิทจะเห็นว่ามีลักษณะใช้จ่ายเกินตัวผิดปกติ ถ้าเป็นคนประหยัดจะใช้เปลืองมากขึ้น ถ้าเป็นคนใช้เงินอยู่แล้วก็จะมากขึ้นอีก บางคนบริจาคเงินมากมาย บางทีเอาเงินมาแจกเพื่อน ถ้าเป็นระดับหัวหน้างานก็อาจแจกเงินลูกน้อง พาลูกน้องไปเลี้ยงใหญ่ทุกวัน นอนดึกมากขึ้น (ไม่ใช่นอนไม่หลับ) แต่ไม่ง่วงไม่อยากนอน มีพลังเหมือนสังเคราะห์แสงได้ อารมณ์อาจเป็นลักษณะดีผิดปกติ ดูไม่สมเหตุสมผล หรืออาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้ ความอดทนต่ำ หุนหันพลันแล่น ทำให้มีเรื่องกับใครได้ง่ายๆ อาจถึงขั้นอาละวาดทำร้ายคนหรือสิ่งของ
ผลกระทบสำหรับคนที่เป็นโรคไบโพลาร์
อาการต่างๆจะส่งผลเสียต่อการทำงาน การใช้ชีวิตส่วนตัว ครอบครัวและคนรอบข้าง
การดูแลรักษาคนที่เป็นโรคไบโพลาร์
มีความจำเป็นจะต้องให้ยาปรับอารมณ์ให้คงที่ (mood stabilizer) ดังนั้นหากสงสัยว่าเพื่อนๆหรือคนรอบข้างมีอาการที่เข้าได้กับโรคอารมณ์สองขั้ว ก็ควรหาทางให้เขาไปพบจิตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรักษา เพราะอาการเช่นนี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆก็ได้ เช่น ยาเสพติด ยาลดน้ำหนัก หรือโรคทางกายบางอย่าง ดังนั้นจึงต้องพบจิตแพทย์เพื่อหาสาเหตุก่อน
คนที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ส่วนใหญ่เมื่อได้รับประทานยา อาการจะดีขึ้นจนเป็นปกติ และสามารถทำงาน ใช้ชีวิตปกติได้เหมือนไม่เคยมีช่วงป่วยมาก่อน ที่สำคัญคือระวังการกำเริบของโรค เพราะคนไข้ไบโพลาร์ ช่วงเมเนียมักไม่คิดว่าตัวเองป่วย หากอาการดีขึ้นก็มักหยุดยาเอง ซึ่งโรคจะกำเริบได้หากรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ การพักผ่อนไม่เป็นเวลา การดื่มแอลกอฮอล์และความเครียดที่มากระทบ
ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรทำงานที่พักผ่อนไม่เป็นเวลา เช่น งานที่ต้องอยู่เวรเป็นกะ และควรหลีกเลี่ยงการทำงานที่สร้างความเครียดหรือกดดันมากเกินไป อย่างไรก็ตาม อาการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น บางครั้งอาจเกิดจากโรคอื่นๆที่ไม่ใช่โรคอารมณ์สองขั้วก็ได้ ดังนั้นการไปพบจิตแพทย์จึงมีความจำเป็น
การกลับมาเป็นคนปกติของคนที่เป็นโรคไบโพลาร์
คนที่มีโรคไบโพลาร์ หรือเป็นโรคทางจิตเวชใดๆก็ตาม สามารถรักษาให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตเป็นปกติได้ได้ เขาต้องการความเข้าใจ ไม่ต่างจากคนไข้โรคทางกายอื่นๆ ว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเกิดจากความเจ็บป่วย ที่ต้องการการดูแลรักษา แต่น่าเศร้าที่หลายครั้งคนในสังคมมาองคนไข้จิตเวชด้วยอคติ ทั้งการขาดความรู้และความไม่สนใจจะรู้ อย่างที่เราอาจจะพบเห็นบ่อยๆในสื่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็มีสิทธิเจ็บป่วยทางสมองได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐี ยาจก เชื้อชาติไหน ภาษาใดๆ คนเหล่านั้นล้วนต้องการความเข้าใจและยอมรับ
มีคนมากมายในสังคมเราที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยทางจิต แต่ก็สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ซึ่งคนเหล่านั้นจิตแพทย์หรือใครๆก็รักษาไม่ได้ ตรงนี้หมอว่าน่าเหนื่อยใจกว่ามาก แต่คนไข้ไบโพลาร์ หรือคนไข้โรคทางจิตเวช ซึ่งเกี่ยวกับสมดุลของสารเคมีตัวต่างๆในสมองนั้น รักษาให้หายได้ และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ถ้าทุกคนในสังคมให้โอกาส
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครจะเจ็บป่วย โดยเฉพาะป่วยทางสมอง ที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม แต่ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ง่ายพอที่จะเลือกได้ทุกเรื่อง และไม่แน่ว่าในอนาคต อาจจะเป็นตัวเราเองหรือคนที่เรารักก็ได้ ที่จะต้องประสบกับโรคเหล่านี้
ขอเพียงความเข้าใจ ไบโพลาร์
จาก… หมอมินบานเย็น และหมอมีฟ้า
อยากบอกว่า คนไข้ของหมอ มีจำนวนมากที่ทำงานที่เป็นวิชาชีพ ไม่ว่าสถาปนิก วิศวกร กฎหมาย หมอ พยาบาล อาจารย์ ฯลฯ จบป.โท ป.เอก กันมากมาย หมอมั่นใจว่า ถ้าเดินสวนกัน ไม่มีทางรู้ว่าเขามีความไม่สบายบางอย่าง … ซึ่งตรงนี้คงไม่ใช่ว่าคนวิชาชีพเหล่านั้น เครียดง่ายกว่าเลยป่วยมากกว่า แต่เพราะเขารู้ว่าตนเองเปลี่ยนไป และมองแบบวิทยาศาสตร์ จึงมาพบจิตแพทย์ : )”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษพูดยังไงได้บ้าง?
ทุกวันนี้ เป็นที่รู้กันว่าภาษาอังกฤษสำหรับคำว่า “ขอบคุณ” คือ “thank you” แต่เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าในภาษาอังกฤษมีวิธีพูดเพื่อแสดงคำขอบคุณมากมายเหลือเกิน ขืนใช้ thank you อย่างเดียวคงจำเจน่าดู ลองมาใช้คำพวกนี้กันบ้างดีกว่าครับ ^^
1. ta อ่านว่า ทา
มีรากศัพท์มาจากภาษา Danish เพราะคำว่า thanksในภาษาเดนมาร์กคือ “tak” วันเวลาผ่านไปก็ถูกตัดมาจนเหลือแค่ “ta” นิยมใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และออสเตรเลีย สำหรับวิธีใช้ก็ง่ายแสนง่ายครับ ถ้าเราอยากขอบคุณใครไม่ว่าในสถานการณ์ไหน หรือจะใช้กับเพื่อนฝูง ก็ให้พูดtaแทน thank youได้เลย
James: I made you a cup of coffee. Looks like you needed one.
Larry:Ta.
มีอยู่คำนึงที่ใกล้เคียงกันคือ “tata” แต่จะใช้เพื่อบอกลานะครับ
James:Tata!I’ll see you guys later.
เป็นภาษาพูดที่ชาวอังกฤษและออสเตรเลียมักใช้กัน แต่ตอนนี้ก็ใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลก เราจะใช้ cheers เมื่อได้รับหรือมอบบางสิ่งให้กับคนอื่น ส่วนใหญ่จะตามด้วย mate เสมอ (คนออสเตรเลียจะใช้บ่อยมากเลย) แต่ถ้าเป็นชาวอเมริกันบางคนอาจสับสนได้ เพราะเค้าก็พูด cheers เวลาชนแก้ว (toast) ในวงสังสรรค์กันด้วยนะ
นอกจากแปลว่า ขอบคุณแล้ว ยังใช้บอกลา (good bye)หรืออวยพร (good luck) ได้อีกด้วย
นอกจาก ta และcheers แล้ว คำศัพท์ทั่วไปอย่าง cool, awesome และ greatก็สามารถใช้แสดงการขอบคุณได้เหมือนกันครับ ถึงแม้จะไม่ได้แปลว่าขอบคุณโดยตรงก็ตาม เวลามีใครทำเรื่องดีๆให้เราหรือเอาของมาให้ก็ใช้คำพวกนี้ได้เลย มาดูตัวอย่างกันดีกว่า
Jack: I got us tickets to see Iron Man 3 tomorrow.
Jill: Hey, that’sawesome!
Pam: You can have a look at my homework. Just don’t copy, okay?
Larry:Great!
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนระวังอาชญากรรมออนไลน์ ที่มาพร้อมกับ AI
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนระวังอาชญากรรมออนไลน์ ที่มาพร้อมกับ AI พร้อมวิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อคือการอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินในโลกออนไลน์ โดยยึดหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน”
ศูนย์ต้านข่าวปลอม สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ออกมาแชร์ข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ระวัง!! อาชญากรรมออนไลน์ ที่มาพร้อมกับ AI เทคโนโลยีมีการพัฒนาไปตามยุค ตามสมัย และปัจจุบัน AI หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ได้เข้ามามีบทบาทมากมาย ซึ่ง AI ถือเป็นเครื่องมือที่มิจฉาชีพมักจะนำมาใช้หลอกลวงประชาชนในยุคนี้ ไม่ว่าจะใช้ในการสร้างเนื้อหาปลอมขึ้นมาเพื่อใช้ในการฉ้อโกงหรือสร้างความเสียหายก็ตาม ซึ่งการหลอกลวงโดย AI มีดังนี้
1. การสร้างภาพหรือคลิปปลอมเป็นบุคคลอื่น (AI Deepfakes) เพื่อใช้ในการฉ้อโกง
2. การสร้างคลิปลามกปลอม (AI Deepfakes) ทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือแสวงหาประโยชน์
3. การเลียนเสียงของบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือคนรู้จัก (AI Voice Covers) จากตัวอย่างเสียง เพื่อใช้ในการฉ้อโกง
4. การสร้างข่าวปลอม (Fake News) ที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก หรือความเข้าใจผิด
อย่างไรก็ตาม วิธีการที่จะป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อคือการอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินในโลกออนไลน์ โดยยึดหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์
และถ้าได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เทรนด์ ESG กับการพัฒนาอาคารสำนักงาน
ESG หรือ Environment, Social, Governance คือแนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนที่ไม่ได้มุ่งเน้นผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อ 3 ปัจจัยหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลด้วย
ซึ่งถ้ากล่าวถึงด้านการพัฒนาอาคาร ESG ถือเป็นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพราะอาคารเป็นส่วนหนึ่งที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่กระบวนการก่อสร้าง ไปจนถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าต่าง ๆ ซึ่ง ESG จะเป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้พัฒนาหรือธุรกิจอสังหาสามารถออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้งานได้ ทั้งยังเพิ่มมูลค่าอาคารแก่ผู้ใช้งานอีกด้วย โดยจะตรวจสอบตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างไปจนถึงการใช้งานอาคารในระยะยาว
ESG มีเกณฑ์ในการตรวจสอบมาตรฐานอาคาร 2 ประการ คือ
1.GRESB (Global Real Estate Sustainability Benchmark) เป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดในเรื่องของการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและการพัฒนาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน ซึ่งตรวจสอบตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นการพัฒนาอาคารไปจนถึงการบริหารดูแลส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจอสังหา
2.LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) เป็นมาตรฐานที่ดูด้านของการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานของอาคาร ซึ่งกำหนดขึ้นโดย U.S. Green Building Council (USGBC) และใช้เป็นเกณฑ์สากลในการประเมินอาคารหรือโครงการต่างๆ โดยมีการให้คะแนนตั้งแต่ระดับ Certified, Silver, Gold ไปจนถึงระดับ Platinum
ซึ่งข้อแตกต่างระหว่าง 2 มาตรฐานนี้ คือ GRESB จะเน้นไปที่การตรวจสอบการพัฒนาและการบริหารจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ของภาคองค์กรหรือธุรกิจเป็นหลัก ต่างจาก LEED ที่จะดูในเรื่องคุณภาพการบริหารจัดการอาคาร ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้งานในแต่ละโครงการ
ยกตัวอย่างอาคารสำนักงานที่ผ่านมาตรฐานขั้นต้นนี้คือโครงการ One City Centre ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Central Embassy ซึ่งอาคารนี้ผ่านการรับรองเกณฑ์ LEED ในระดับ Gold ด้านของการออกแบบเพื่อผู้ใช้งานที่น่าสนใจ คือการที่อาคาร One City Centre ใช้วัสดุในการก่อสร้างที่เป็น Low VOC หรือวัสดุที่มีสารระเหยจากสารประกอบอินทรีย์ต่ำ ช่วยลดอันตรายจากสารระเหยแก่ผู้ใช้งานในอาคาร ทั้งยังมีการใช้อากาศจากภายนอกนำมาลดอุณหภูมิและกรองอากาศ ก่อนปล่อยเข้ามายังพื้นที่ภายในอาคารเพื่อเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ ให้กับผู้ใช้งานด้วย ซึ่งถือว่าเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่มีผลต่อคุณภาพการทำงานของผู้ใช้อาคารเป็นอย่างมากในมุมมองผม
ด้านของการออกแบบอาคารเพื่อความประหยัดพลังงานของอาคาร ตัวอาคารได้ใช้กระจกชนิด Low-E หรือกระจกที่เคลือบไว้ด้วยสารโลหะบาง ๆ บนผิวกระจกซึ่งจะช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดดออกจากอาคารได้ระดับหนึ่ง ทำให้สามารถลดความร้อนภายในอาคาร อีกทั้งยังมีการออกแบบให้ผนังทางฝั่งทิศตะวันตกทั้งหมดเป็นผนังทึบ เพื่อป้องกันแสงแดดช่วงบ่ายที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดของวันเข้ามาในอาคาร ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานจากระบบปรับอากาศได้หนึ่งอีกด้วย
จากข้อมูลข้างต้นพบว่า การที่อาคารสำนักงานให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคาร ให้ผ่านตามมาตรฐานหรือเกณฑ์ขั้นต้นได้นั้น จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในการพัฒนา ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้งานอาคาร ทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือในการดึงดูดกลุ่มผู้เช่า ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดการใช้พลังงาน ที่เป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวได้อีกด้วย
ผู้เขียน
ธนกฤต อารมณ์ฤทธิ์
นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง สาขานวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข้อมูลเพิ่มเติม
ESG : krungthai compass
Green House Gas emission : UN Climate Change Conference
การเติบโตของอาคารสำนักงานสีเขียว : บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,800.00 | 33,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,189.00 | 33,185.24 | 34,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,970.10 | 29,866.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,751.20 | 26,548.19 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 985.00 | 14,932.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 766.00 | 11,612.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,268.00 | 34,382.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.55 | 34.75 | 35.25 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.98 | 32.98 | 33.78 | 32.98 | 33.48 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.64 | 32.64 | 33.44 | 32.64 | 33.14 | – | 32.64 | 32.64 | 32.64 | 32.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.79 | 32.79 | – | – | – | – | – | – | – | 32.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.14 | 46.74 | 48.24 | 46.74 | – | – | – | – | – | 42.14 |
เบนซิน 95 | 42.64 | – | – | – | 44.31 | – | 43.14 | 42.79 | – | 42.64 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 30.44 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 44.14 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |