สาระน่ารู้ประจำวันที่ 26 มกราคม 2567

ราคาที่ดินพุ่งสูงสุด’สมุทรปราการ’ยืนหนึ่งสายสีเขียว’แบริ่ง-บางปู’มาแรง

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ทำเลที่เพิ่มขึ้นสูงสุด สมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ขณะที่เส้นทางรถไฟฟ้าที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ-บางปู

  • REIC รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
  • แสดงว่าราคาที่ดินเปล่ามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 5 ปีก่อนเกิด COVID-19
  • เหตุจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยลบต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น การจัดเก็บภาษีที่ดินเต็มอัตรา และภาระหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลง

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า “ปัจจัยที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงนั้น เป็นผลจากที่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัจจัยลบต่าง ๆ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นมาที่ระดับร้อยละ 2.50 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 (ปรับขึ้นครั้งที่ 5 ในปี 2566) และอาจจะมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงในอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งรัฐบาลได้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราโดยไม่ได้รับส่วนลดร้อยละ 90 เหมือนเช่นในปี 2562 – 2563 และกรมธนารักษ์ประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่รอบปี 2566 – 2569

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เจ้าของที่ดินได้ปล่อยอุปทานที่ดินสู่ตลาดเพื่อลดภาระการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ในขณะเดียวกัน ความต้องการซื้อที่ดินสะสมในตลาดของผู้ประกอบการก็ลดลงเนื่องจากการซื้อที่ดินสะสมไว้จะมีภาระที่ต้องจ่ายภาษีที่ดินฯ

ทำให้เกิดต้นทุนจากการถือครองที่ดิน ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป และปัจจัยลบที่ส่งผลต่อกำลังซื้อโดยตรงมาจาก ประเทศไทยในปัจจุบันมี ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่สูงเกินกว่าร้อยละ 90 ของ GDP รวมทั้งมาตรการผ่อนปรน LTV ได้หมดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ทำให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวโดยชะลอแผนการเปิดขายโครงการใหม่ลง จึงอาจต้องชะลอการซื้อที่ดินเปล่าสะสมเพื่อการพัฒนาลงไปด้วย

ในไตรมาส 4 ปี 2566 นี้ พบว่า โซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรกเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ดังนี้

อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ มีอัตราการเปลี่ยนราคามากขึ้นร้อยละ 51.3


อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนตลิ่งชัน-บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม-ทวีวัฒนา-ธนบุรี-คลองสาน-บางพลัด-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่ มีอัตราการเปลี่ยนราคา ร้อยละ 31.0


อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว มีอัตราการเปลี่ยนราคา ร้อยละ 30.2


อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีอัตราการเปลี่ยนราคาร้อยละ 26.9


อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนนครปฐม มีอัตราการเปลี่ยนราคาร้อยละ 24.1

จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการเปลี่ยนแปลงของราคาที่สูงกว่าในเขตชั้นใน เนื่องจากมีแผนพัฒนาโครงการสำคัญในพื้นที่ชานเมืองและจังหวัดในปริมณฑล

การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชน แผนเวนคืนที่ดินเพื่อตัดถนนใหม่ และแผนพัฒนาโครงการขนส่งมวลชนระบบรางทั้งเส้นทางใหม่และส่วนต่อขยาย ประกอบกับการจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 (คาดประกาศใช้ปี 2568) ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนผังสีการใช้ประโยชน์ที่ดิน และศักยภาพในการพัฒนาในบางพื้นที่ให้สามารถรองรับการพัฒนาโครงการพาณิชยกรรม และที่อยู่อาศัยที่หนาแน่นได้มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดให้บริการหลังปี 2556 ทำให้ที่ดินในทำเลดังกล่าวมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ทำเลใจกลางเมือง แม้ราคาจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเริ่มมีจำกัดและมีราคาที่สูงอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้อัตราการเติบโตของราคาต่ำกว่าบริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑล

สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY)  

ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีแผนพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต มีการเชื่อมต่อกับพื้นที่สำคัญด้านพาณิชยกรรมและโครงการรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว  มีรายละเอียด ดังนี้ 


อันดับ 1 ได้แก่ สายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) และ สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) เป็นโครงการในอนาคตและโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 338.8 จุด และ 333.9 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)  โดยราคาที่ดินในเขตเมืองสมุทรปราการและพระสมุทรเจดีย์ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อาจเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่เป็นจุดเชื่อมต่อโครงข่ายระบบรางของรถไฟฟ้าระหว่าง รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ผู้ประกอบจึงมีการซื้อที่ดินในทำเลนี้เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย


อันดับ 2 ได้แก่ สายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑลสาย 4) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 536.9 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตบางแคเป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก


อันดับ 3 ได้แก่ สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 507.5 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตพุทธมณฑล ทวีวัฒนา และตลิ่งชัน และบางกรวย เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก  


อันดับ 4 ได้แก่ สายสีม่วง (บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ) เป็นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 471.4 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตพระประแดง ทุ่งครุ และจอมทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก  


อันดับ 5 ได้แก่ สายสีเทา (วัชรพล-พระราม 9 -ท่าพระ) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 479.4 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตวังทองหลาง บึงกุ่ม ลาดพร้าว และยานนาวา เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


บิ๊กคอร์ปลุยมิกซ์ยูสชลบุรีเดือดสิงห์เอสเตท-ออริจิ้น-ศุภาลัยชิงดีมานด์

สัญญาณบวกอสังหาริมทรัพย์เขตพื้นที่เศรษฐกิจ “อีอีซี” ที่มีการเปิดตัวโครงการสูงสุดรอบ 4 ปี! หลังเม็ดเงินทั้งภาครัฐและเอกชนดาหน้าเข้ามาลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจกต์และเมืองใหม่ หนุนดีมานด์ที่อยู่อาศัยฟื้นตัว บรรดาบิ๊กคอร์ปประกาศลงทุนรับแรงงานเข้ามาทำงานในพื้นที่

  • สัญญาณบวกอสังหาริมทรัพย์เขตพื้นที่เศรษฐกิจ “อีอีซี” ที่มีการเปิดตัวโครงการสูงสุดรอบ 4 ปี!
  • หลังเม็ดเงินทั้งภาครัฐและเอกชนดาหน้าเข้ามาลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจกต์และเมืองใหม่
  • หนุนดีมานด์ที่อยู่อาศัยฟื้นตัว บรรดาบิ๊กคอร์ปประกาศลงทุนรับแรงงานเข้ามาทำงานในพื้นที่

สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ระบุว่า พื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรมในอีอีซีโดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี และระยอง เป็นพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการเข้าไปพัฒนาและเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ชลบุรี ด้วยศักยภาพของพื้นที่ได้อานิสงค์จากการมีนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งรวมกันหลายหมื่นไร่ ซึ่งมีการขยายพื้นที่ และเปิดนิคมอุตสาหกรรมใหม่ ทำให้มีคนเข้ามาทำงานในพื้นที่มากขึ้นต่อเนื่อง

“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอาจมีโรงงานจำนวนไม่น้อยที่ปิดกิจการ หรือจ้างงานลดลง เพราะความต้องการสินค้าลดลง ทำให้กำลังการผลิตลดลง และมีผลกระทบต่อเนื่องมาถึงการจ้างงานในพื้นที่ลดลง มีผลต่อเนื่องหลายธุรกิจ”

อย่างไรก็ดี การเข้ามาของนักลงทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ใช้แรงงานอาจไม่มาก แต่เริ่มมีจำนวนมากขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่จะมากขึ้นต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะในชลบุรี เห็นได้ชัดเจนว่ามีการลงทุนจากทั้งไทยและต่างประเทศมากขึ้น ทั้งที่ขอการส่งเสริมการลงทุน และได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในจังหวัดชลบุรีมากกว่าจังหวัดอื่นๆ แบบชัดเจน ส่งผลโครงการที่อยู่อาศัยเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น

“การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่อาจจะมีการแข่งขันกันมากกว่าช่วงที่เศรษฐกิจดี รวมถึงต้องพยายามหากำลังซื้อกลุ่มอื่นๆ มากขึ้น นอกเหนือจากกำลังซื้อที่เป็นคนทำงานในนิคมอุตสาหกรรม เพราะอาจจะมีความไม่มั่นคงบ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างอุตสาหกรรม”

ทั้งการที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานคนจำนวนมากออกไปจากประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีบางอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนแรงงานคน หรือการเข้ามาของโรงงานที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อแรงงานในอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป การลงทุนของอุตสาหกรรมใหม่ๆ อาจจะยังไม่เกิดขึ้น หรือกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงาน แต่ก็เป็นไปในทิศทางที่ดี
 

จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ พยายามเข้าถึงกำลังซื้อที่นอกเหนือจากคนทำงานในชลบุรีเท่านั้น โดยมุ่งเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนระยะยาวในโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่าทั้งการบริหารจัดการเอง และบริหารจัดการโดยผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ

อีกทั้งการเข้าถึงกลุ่มเจ้าของกิจการที่ต้องการที่พักในระยะยาวให้คนทำงานในโรงงานของตนเองทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งอาจมีการเจรจาเพื่อการเช่าระยะยาว หรือซื้อเป็นกรรมสิทธิ์แล้วให้ผู้ประกอบการหรือบริษัทบริหารโครงการบริหารจัดการห้องให้ในระยะยาว 

“การเข้าถึงกำลังซื้อกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ และการพัฒนาโครงการให้มีความหลากหลายหรือมีมากกว่าแค่ส่วนของที่พักอาศัยก็เป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการบางรายให้ความสนใจ เพื่อสร้างความน่าสนใจและเป็นจุดขายของโครงการ”

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในแผนลงทุน 3 ปี (2567-2569) ภายใต้งบกว่า 25,000 ล้านบาท นำร่องโครงการมิกซ์ยูส ทำเลศรีราชาเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในการพัฒนาโครงการนอกพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล บนพื้นที่ 24 ไร่ในจังหวัดชลบุรี

ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 5-6 โครงการ อาคารสำนักงาน รวมทั้งพื้นที่ค้าปลีก ทาวน์โฮม รองรับการกลับเข้ามาของแรงงานไทยและต่างชาติ (Expat) ที่ทำงานในโซนอีอีซี คาดว่ามิกซ์ยูสดังกล่าวใช้เวลาพัฒนา 4-5 ปี

เริ่มต้นจากโครงการคอนโดราคา 3 ล้านบาทต่อยูนิต เพื่อให้กลุ่มนักลงทุนซื้อปล่อยเช่าแรงงานทำงานโซนอีอีซี  เป็นครั้งแรกของสิงห์ เอสเตท ที่ทำคอนโด ราคา 3 ล้านบาทในต่างจังหวัด และเป็นครั้งแรกในการกลับมาทำคอนโดหลังโควิด กลุ่มผู้ซื้อเป็นนักลงทุนที่ซื้อห้องขนาดเล็กเพื่อปล่อยเช่าพนักงานบริษัทที่เป็นชาวต่างชาติหรือคนไทยที่ทำงานในโซนอีอีซี โครงการแรกมีจำนวน 250 ยูนิต เปิดปลายปี2567

“มาสเตอร์แพลนของโครงการเป็นมิกซ์ยูส เฟสแรก 2ไร่ครึ่ง ทำเลใกล้โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ศรีราชา ติดถนนใหญ่โซนในเมือง เราต้องการทำฟาซิลิตี้เพื่อรองรับในพื้นที่ เช่น การมีสำนักงานทนายความเพื่อรองรับ Expat”

ทางด้าน ออริจิ้น เนชั่นวายด์ ในเครือออริจิ้นได้ซื้อที่ดิน 10 ไร่ ริมถนนศรีราชา-หนองค้อ พัฒนามิกซ์ยูส “The Origin Sriracha”ประกอบด้วย โรงแรม และคอนโดขนาด 1,000 ยูนิต โดยก่อนหน้านี้มีแผนพัฒนาโครงการศรีราชา เจ-พาร์ค (Siracha J-Park) โดย วัน ออริจิ้น  พัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ตเมนท์สไตล์ญี่ปุ่น 8 ชั้น 221 ห้องพัก ดึงเชนระดับโลกเข้ามาบริหารเพื่อให้บริการระดับเวิลด์คลาสแก่กลุ่มต่างชาติที่ทำงานในโซนอีอีซี

ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ได้ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดต่างจังหวัด หนึ่งในนั้นคือ ชลบุรี มี 2 โครงการใหญ่ทำเลบ้านบึง และ บ่อวิน-อีสเทิร์นฯ เป็นการต่อจิ๊กซอว์แผนขยายธุรกิจให้เกิดความต่อเนื่อง 

“ชลบุรี เป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีพื้นฐานเศรษฐกิจทั้งภาคการเกษตร ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม มีเม็ดเงินทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคม เมกะโปรเจกต์ ทำให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนที่เข้ามาทำงาน และต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งปีที่ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่น้อย ตลาดได้ดูดซับอุปทานพอควร จึงเป็นโอกาสที่เข้าเปิดตัวโครงการใหม่ส่งผลให้สต็อกเหลือขายลดลงต่อเนื่อง”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26ม.ค. ที่ระดับ 35.75 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในระหว่างวันนี้ มีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ขายหุ้นและแรงขายสินทรัพย์ไทยก่อนทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26ม.ค.2467 ที่ระดับ  35.75 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.70 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ทว่าการเคลื่อนไหวของเงินบาทก็อาจมีลักษณะแกว่งตัว sideways ในโซน 35.65-35.85 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวผันผวนที่มากขึ้นได้

 โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดยังให้โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนมีนาคมราว 49% ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังสามารถทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยดังกล่าวของเฟดได้พอสมควร หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด หรือ เร่งตัวสูงขึ้น สวนทางกับที่ตลาดประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ชะลอตัวลงกว่าคาด และต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% (หากประเมินจากอัตราเงินเฟ้อราย 1 เดือน, 3 เดือน และ 6 เดือน) ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟดอีกครั้ง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ย่อตัวลงได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน ก่อนทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่อาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ขายหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติ และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ เราคงมองว่า เงินบาทยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา (เช่น ตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วและลึก) หรือ นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง ทำให้โซนแนวรับของเงินบาทในระยะสั้นจะยังเป็นโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์

ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.65-35.85 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ

และประเมินกรอบเงินบาท 35.55-35.95 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 35.65-35.78 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังรายงานคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ครั้งแรกนั้น ออกมาดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้มาก (+3.3% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์ในตลาดประเมินให้สูงสุด +2.5%) ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินยูโร (EUR) หลังถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มความคาดหวังว่า ECB จะสามารถลดดอกเบี้ยนโยบายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และอาจลดดอกเบี้ยราว 5-6 ครั้ง

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังราคาทองคำยังคงสามารถรีบาวด์ขึ้นและทรงตัวแถวระดับ 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ได้สะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงแบบ Soft Landing ส่วนเฟดก็มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้จริง ตามแนวโน้มการชะลอตัวต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันอยู่บ้าง จากการปรับตัวลงแรงของหุ้น Tesla -12% หลังรายงานผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.53%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.30% ตอบรับความคาดหวังต่อแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยออกมาสดใส โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ อย่าง ASML +4.6% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ECB อาจทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงราว 5-6 ครั้งในปีนี้ได้

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า รายงานข้อมูลอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 จะออกมาดีกว่าคาดไปมาก ทว่าผู้เล่นในตลาดกลับประเมินว่า รายละเอียดของรายงานดังกล่าวได้สะท้อนถึงแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ รายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานก็ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่ระดับ 4.11%

ขณะเดียวกัน มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ ECB จนส่งผลให้บอนด์ยีลด์ฝั่งยุโรปปรับตัวลดลง ก็มีส่วนช่วยกดดันบอนด์ยีลด์ฝั่งสหรัฐฯ เช่นกัน ทั้งนี้ เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพราะจะส่งผลกระทบต่อการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้

ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์  (บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตั้งแต่ 4.20% ขึ้นไป ถือว่า มี Risk-Reward ที่น่าสนใจ)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งออกมาดีกว่าคาดไปมาก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินยูโร (EUR) หลังผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสที่ ECB จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงราว 5-6 ครั้งได้ในปีนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.1-103.7 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น และกดดันราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ทว่า การย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นและทรงตัวแถวโซน 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ โดยเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในคืนนี้ เพื่อรอปรับสถานะถือครองทองคำที่ชัดเจนต่อไป

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.65-35.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทฟื้นตัวขึ้นบางส่วน

ขณะที่แรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ มีน้อยลง เนื่องจากตลาด ปรับจุดสนใจกลับมารอติดตามข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (PCE/Core PCE Price Indices) ที่จะรายงานออกมาในคืนนี้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณที่สะท้อนว่า นักลงทุนต่างชาติน่าจะมีสถานะอยู่ในฝั่งซื้อสุทธิพันธบัตรไทยในวันนี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.60-35.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนธ.ค. ของไทย สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางของเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย และตัวเลขเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Indices เดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เมย์ รัชนก”เบียดคว้าชัยสนุกลิ่วรอบก่อนรองฯแบดมินตันอินโดนีเซีย มาสเตอร์ส

“เมย์” รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยวมือ 13 ของโลก งัดฟอร์มเก่ง เอาชนะ จาง ไบเหวิน มืออันดับ 9 ของโลกจากสหรัฐ 2-1 เกม ผ่านเข้า 8 คนสุดท้ายแบดมินตัน อืนโดนีเซีย มาสเตอร์ส ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ไปได้อย่างยอดเยี่ยม

การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไดฮัทสุ อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2024 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,120,000 บาท ที่อิสโตร่า เสนายัน ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ม.ค.67 ที่ผ่านมา

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 13 ของโลก พบกับ  จาง ไบเหวิน มืออันดับ 9 ของโลกจากสหรัฐ

เกมนี้ เมย์ รัชนก ผงาดฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เบียดเอาชนะไปแบบสนุก 2-1 เกม 21-11, 8-21 และ 21-14 ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ นัตสึกิ นิไดระ มืออันดับ 34 ของโลกจากญี่ปุ่น  , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 19 ของโลก แพ้ให้กับ หาน เยี่ย มืออันดับ 8 ของโลกจากจีน 0-2 เกม 10-21,17-21   

ประเภทหญิงคู่ รอบสอง “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 10 ของโลก พบกับ กาเบรียล่า กับ สเตฟานี่ สโตเอว่า คู่มืออันดับ 24 ของโลกจากบัลแกเรีย  แมตช์นี้ คู่กิ๊ฟ กับ วิว ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปแบบสนุก 2-0 เกม 21-14 และ 21-19 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ ลี เหวินเหม่ย กับ หลิว ซวนซวน คู่มืออันดับ 16 ของโลกจากจีน 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ปวดหลังตรงไหน เป็นโรคอะไร อาการปวดหลังแบบไหนอันตราย

เมื่อคนรอบตัวหลายคนเริ่มบ่นโอดโอยกับ “อาการปวดหลัง ถึงขั้นรบกวนการนอนหลับพักผ่อนตอนกลางคืน การนั่งทำงานตอนกลางวัน รวมไปถึงนั่งดูทีวีอยู่เฉยๆ ที่บ้านยังปวด เราเลยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะไปค้นคว้หาข้อมูลมาให้ว่าอาการปวดหลังมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง แล้วก็ต้องแปลกใจว่า แต่ละบริเวณที่ปวด ก็มีสาเหตุของโรคต่างๆ ที่ต่างกันไปด้วย

ปวดหลังตรงไหน เป็นโรคอะไร? 

  1. ปวดตามแนวกระดูกสันหลัง
    หากมีอาการปวดกลางหลัง โดยอาจไล่ตั้งแต่บนลงล่าง แต่เป็นบริเวณกลางหลังพอดิบพอดี สันนิษฐานได้ว่าเกิดอาการผิดปกติขึ้นกับกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก หรือเอ็นยึดระหว่างกระดูกสันหลัง เกิดจากการก้มๆ เงยๆ ยกของหนัก หรือมีอาชีพที่ต้องถือของหนักๆ อยู่นานๆ เช่น ช่างภาพ คนงานก่อสร้าง ผู้ใช้แรงงานที่ต้องถือของ-ส่งของหนักๆ ไปตามที่ต่างๆ เป็นต้น หรืออาจเป็นพนักงานที่ต้องนั่งทำงานอยู่ในท่านั่งเดิมเป็นเวลานาน แล้วไม่ค่อยได้เปลี่ยนอิริยาบถ
  2. ปวดหลังช่วงบน ใกล้ไหล่ ลำคอ ท้ายทอย
    ปกติแล้วหากใครมีอาการปวดในบริเวณนี้ มักเกิดจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสม หรือในสถานที่ๆ ไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะทำงาน และเก้าอี้ทำงานไม่สัมพันธ์กับสรีระร่างกาย จึงทำให้การจัดระเบียบร่างกาย ท่านั่งในการทำงานผิดปกติ เช่น อยู่ในท่ายกไหล่อยู่ตลอดเวลา จึงส่งผลทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณตั้งแต่หัวไหล่ กล้ามเนื้อช่วงหลังตอนบน ไปจนถึงไหล่ใกล้ต้นคอได้ 
  1. กล้ามเนื้อหลังช่วงกลาง ด้านซ้าย-ขวา
    ส่วนนี้เป็นกล้ามเนื้อหลัง ที่อยู่ถัดไปทางด้านซ้าย หรือขวาจากช่วงกระดูกสันหลัง อาจมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุจากการออกกำลังกาย เล่นกีฬา การขยับร่างกายผิดท่าในจังหวะอันรวดเร็วจนเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หากมีสาเหตุจากปัจจัยเหล่านี้ อาการปวดจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อพักการใช้งานกล้ามเนื้อส่วนนั้นสักระยะ
  2. ปวดหลังช่วงล่าง
    หลังช่วงล่างเป็นบริเวณหลังที่อยู่ตั้งแต่ช่วงระดับสะดือลงไป อาจจะยาวไปจนถึงสะโพก หรือต้นขา มีทั้งการปวดๆ หายๆ เป็นพักๆ หรือปวดอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุอาการปวดหลายประการ ตั้งแต่อายุที่สูงขึ้น (30 ปีขึ้นไป) น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง นั่งๆ นอนๆ ทั้งวัน ทำงานชีพที่ต้องยกของหนัก หรือเล่นกีฬาที่ใช้หลังมาก เช่น มวยปล้ำ โรคกระดูกพรุน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องรับน้ำหนักของบุตรรในครรภ์หลายเดือน
  1. ปวดหลังบริเวณเอว
    บริเวณที่ปวดจะอยู่บริเวณเอว ที่ค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย มีสาเหตุคล้ายกับอาการปวดหลังบริเวณอื่นๆ ตั้งแต่การใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหนักจากการยกของหนักเป็นเวลานาน การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นมากๆ เช่น กอล์ฟ อุบติเหตุเล็กๆ น้อยๆ การตั้งครรภ์ รวมไปถึงสภาพจิตใจซึมเศร้าที่ส่งผลถึงต่อความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่ขาดการยืดหยุ่น

อาการปวดหลัง แบบไหนอันตราย?

อาการปวดหลังที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ โดยอาจเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นมากเกินไป หรือเกิดอุบติเหตุเล็กๆ น้อยๆ อาจจะหายได้เองหากงดการใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นสักพัก หรือมียาทาภายนอกที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ แต่หากมีอาการปวดหลังที่พ่วงด้วยอาการอื่นๆ ดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็คอย่างละเอียด

  • มีอาการปวดที่เดิมๆ อย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 สัปดาห์
  • ปวดมากจนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ อาการไม่ทุเลาลง
  • ปวดแบบเจ็บแปลบจิ๊ดๆ เหมือนเข็มจิ้ม
  • ปวดร้าวยาวลงไปจนถึงต้นขา จนอาจมีอาการขาอ่อนแรง ปวดปลีน่อง จนทำให้เดินลำบาก หรือเดินได้นิดหน่อยก็ปวด
  • ปวดบริเวณก้นกบ ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ
  • มีอาการปวดปัสสาวะแสบขัด มีสีขุ่น หรือมีไข้ ร่วมกับอาการปวดหลังบริเวณเอว (อาจเป็นอาการเริ่มต้นของอาการนิ่วในไต หรือไตอักเสบ)
  • ปวดจนขา หรือเท้ามีอาการชา
  • เคลื่อนไหวอย่างอิสระไม่ได้ เช่น ก้มตัว ยืดตัวตรง
  • กลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระเริ่มไม่ค่อยอยู่ 

หากไม่สามารถหาสาเหตุของอาการปวดหลังได้ และยังมีอาการปวดหลังอย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 สัปดาห์ ควรปรึกาแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยละเอียด เพื่อสาเหตุที่แท้จริง และแก้ไขปัยหาตั้งแต่ต้นเหตุจะดีที่สุดค่ะ เพราะถึงทานยาคลายกล้ามเนื้อ ทายาแก้ปวดภายนอกหมดไปมากเท่าไร อาการอาจไม่ดีขึ้นหากเราไม่ทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


4 วิธีถนอมแบตรถ EV ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้!

เฟจเฟซบุ๊ก EPPO Thailand โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เผยวิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ป้องกันการเสื่อมเร็วผิดปกติ สามารถทำได้ง่ายๆ 4 วิธี ดังนี้

1. ไม่ปล่อยแบตเตอรี่เหลือ 0% – การปล่อยแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักจนเกิดความร้อนสูง

2. หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100% – การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เป็นประจำ จะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชาร์จจนเต็ม 100% ด้วยระบบชาร์จไฟแบบ DC (ชาร์จด่วน) ควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20 – 80% เท่าที่จะทำได้

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถหรือชาร์จในที่อุณหภูมิสูงจัด – หากเป็นไปได้ควรจอดชาร์จไฟในพื้นที่ร่ม เพื่อให้ระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสังเกตได้ว่าหากชาร์จในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง กำลังการชาร์จไฟจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

4. จอดรถนานแบตต้องมากกว่า 30% – หากมีความจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานนับเดือน ควรเหลือปริมาณไฟในแบตเตอรี่อย่างน้อย 30% เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่

เพียงปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้เป็นประจำ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ EV ได้ไม่มากก็น้อยแล้วล่ะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ผัก 9 ชนิดขจัดสารพิษตกค้างในร่างกายได้เยี่ยม ดีแบบนี้บอกเลยต้องลอง!

ทราบหรือไม่ว่าการเลือกกินผักบางชนิด ก็มีส่วนช่วยในการขจัดสารเคมีและสิ่งตกค้างในร่างกายได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการขจัดสิ่งตกค้างในร่างกายได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่าผักชนิดใดบ้างที่สามารถกินเพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างปลอดภัย

1.ตำลึง
ตำลึงคือผักที่มีสรรพคุณช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากตำลึงมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำดีในร่างกาย ดังนั้นจึงทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างเต็มที่


2.แตงกวา
แตงกวาเป็นผักที่ฉ่ำน้ำจึงมีคุณสมบัติช่วยให้ลำไส้ลำเลียงของเสียออกมาได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นผักที่มีไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ จึงช่วยดักจับและกำจัดของเสียที่ตกค้างในร่างกายได้เป็นอย่างดี

3.บวบ
บวบคือผักที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยดักจับและช่วยเจือจางสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มปริมาณและน้ำหนักของอุจจาระ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกมาได้เร็ว


4.แครอท
แครอทมีสารอาหารอย่างอัลฟาและเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดักจับและเจือจางสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ก่อนที่ร่างกายจะขับสารพิษและสิ่งตกค้างดังกล่าวผ่านการขับถ่ายต่อไป

5.มะเขือเทศ
มะเขือเทศอุดมไปด้วยไลโคปีน วิตามินหลากหลายชนิด และเบต้าแคโรทีน มีสรรพคุณช่วยขจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่ติดอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในกระแสเลือด และช่วยดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นไปอย่างปกติ เนื่องจากมะเขือเทศมีทั้งไฟเบอร์และน้ำปริมาณมาก


6.มะเขือพวง
มะเขือพวงอุดมไปด้วยไฟเบอร์ มีคุณสมบัติช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร และช่วยจัดการไขมันอันตรายออกจากร่างกายผ่านการขับถ่าย ที่สำคัญมะเขือพวงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซี จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็ว แถมยังช่วยลดการสะสมของเสียในร่างกายได้อีกด้วย

7.ขึ้นฉ่าย
ขึ้นฉ่ายมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดเลือดและลดความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีสารที่ช่วยขับของเสียในร่างกายจากการสูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่ได้เช่นกัน


8.ผักชีลาว
ผักชีลาวอุดมไปด้วยไฟเบอร์และมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีแมกนีเซียมที่มีคุณสมบัติช่วยขับสารพิษที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียออกจากร่างกายได้อย่างดี


9.พืชตระกูลกะหล่ำ
พืชตระกูลกะหล่ำ ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปม หรือบร็อกโคลี่ ล้วนมีสรรพคุณช่วยขับฮอร์โมนที่มีปริมาณมากจนเกินไปออกจากตับ เนื่องจากฮอร์โมนดังกล่าวอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้

แน่นอนว่าการกินผักผลไม้ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก แต่ทั้งนี้สาวๆ ควรใส่ใจเลือกกินผักผลไม้ให้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาย่อมดีที่สุด เพื่อให้สารอาหารจากการกินผักผลไม้ในแต่ละครั้งช่วยรักษาอาการที่เป็นอยู่ได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,050.0034,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,206.0033,442.9634,650.00
ทองรูปพรรณ 90%1,985.4030,098.66n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,764.8026,754.37n/a
ทองรูปพรรณ 50%993.0015,053.88n/a
ทองรูปพรรณ 40%772.0011,703.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,286.0034,655.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/01/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.8536.8537.0536.8536.8536.8536.8536.8536.8536.85
แก๊สโซฮอล์ 9135.0835.0835.5835.0835.0835.0835.0835.0835.0835.08
แก๊สโซฮอล์ E2034.7434.7435.2434.7434.7434.7434.7434.7434.74
แก๊สโซฮอล์ E8534.8934.8934.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.2448.8449.5448.8444.24
เบนซิน 9544.7445.9145.2444.8944.74
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6446.9443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า