จับตากลุ่มทุนใหม่เข้าบริหารLPNหลัง‘โอภาส ศรีพยัคฆ์’โบกมือลา
นับจากที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เมื่อ“ โอภาส ศรีพยัคฆ์” คีย์แมนคนสำคัญโบกมือลาจากตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่าเกษียณปิดฉากเจ้าพ่อคอนโดต่ำล้าน นี่คือสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มทุนใหม่เข้าบริหารในปีมังกรที่น่าจับตามอง
เมื่อโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มีผลตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2566 และได้แต่งตั้ง อภิชาติ เกษมกุลศิริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
หลังจากไตรมาส4 ปี2566 ได้เปิดตัว Corporate Campaign LPN ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ติดธุระที่บ้าน’ เพื่อสื่อสารและสะท้อนความ ‘น่าอยู่’ เป็นสำคัญ และสร้างสรรค์เรื่องราว ที่สะท้อนความ ‘น่าอยู่’ด้วยการดึงอินไซต์จริงจากผู้อยู่อาศัยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์โฆษณา จากก่อหน้านี้ที่ได้มีการปรับโลโก้ใหม่ต้นปี2566 พร้อกับพับแบรนด์‘ลุมพินี’ดันแบรนด์‘168″’ ออกมา โดยตั้งเป้าหมาย ขึ้นเป็น 1ใน 5 แบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ปิดดีลซื้อขายโรงแรมไทยคึกคัก ทะลุ 1.8 หมื่นล้าน 6 เมืองท่องเที่ยวเนื้อหอม
ปิดดีลซื้อขายโรงแรมไทยคึกคัก ทะลุ 1.8 หมื่นล้าน 6 เมืองท่องเที่ยวเนื้อหอม
ปิดดีลขายโรงแรมไทย มูลค่าทะลุ 1.8 หมื่นล้านบาท บิ๊กทุนไทย-เทศช้อนซื้อคึกคัก โลเคชั่น 6 เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตเนื้อหอม
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ยังคงคึกคักด้วยมูลการซื้อขายรวมกว่า 16,795 ล้านบาท ด้วยจำนวนห้องพักกว่า 1,550 ห้อง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพ ภูเก็ต สมุย พัทยา กระบี่ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ปีที่ผ่านมามีปิดดีลซื้อขายโรงแรมในไทยคึกคัก ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ ที่ยังสนใจเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง หลังท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนมองหาโรงแรมราคาที่เหมาะสม รองรับนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างชาติโดยเฉพาะจากอินเดีย มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ รัสเซีย และคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวน่าอยู่ที่ 31 ล้านคน
การซื้อขายโรงแรมในไทยช่วง 10 ปีนี้ มีมูลค่ารวมถึง 120,904 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 12,090 ล้านบาท เฉพาะปี 2560-2561 มูลค่าสูงถึงปีละกว่า 20,000 ล้านบาท เพราะเป็นช่วงนักท่องเที่ยวต่างชาติโตก้าวกระโดด ทำให้นักลงทุนไทย ต่างชาติ สนใจเข้าซื้อโรงแรมในไทยมาก ในกรุงเทพ ภูเก็ต สมุย พัทยา กระบี่ เชียงใหม่
สำหรับปี 2566 มีซื้อขายกว่า 16,795 ล้านบาท ยังมีโรงแรมอยู่ระหว่างเจรจาซื้อขายอีกมาก ล่าสุดเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีทุนต่างชาติปิดดีลซื้อโรงแรมที่หาดราไวย์ ภูเก็ตอีก 1,660 ล้านบาท เมื่อรวมกับปี 2566 อยู่ที่ 18,455 ล้านบาท นายภัทรชัยกล่าว
สำหรับปี 2567 คาดมีมูลค่าซื้อขายโรงแรมประมาณ 15,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดโรงแรมไทยยังได้รับความสนใจสูงจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ มีปิดดีลซื้อขายโรงแรมกันอย่างคึกคักและยังมองหาโรงแรมที่ราคาเหมาะแก่การลงทุนบนทำเลศักยภาพ
โดยยังคงเป็นพื้นที่กรุงเทพ ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ เพื่อนำมาปรับปรุงและเปิดบริการอีกครั้งในอนาคต โดยความต้องการซื้อโรงแรมของนักลงทุนไทยและต่างชาติ ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะหลังโควิด มีผู้ประกอบการหลายรายเลือกจะนำโรงแรมออกมาเสนอขายกันมากขึ้น ทั้งกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนที่มีความพร้อมและสนใจเข้าซื้อกิจการ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และอาจซื้อโรงแรมได้ในราคาที่ดี แม้ปี 2566 หลายโรงแรมที่เคยประกาศขาย มีปรับราคาขายสูงขึ้นตามภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางปัจจัยลบที่เข้ามากระทบภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในหลายประเทศทั่วโลก ยังคงมองประเทศไทย เป็นพื้นที่ปลอดภัยหรือเซฟโซนและยังคงน่าท่องเที่ยว จึงทำให้โรงแรมไทยยังเนื้อหอมสำหรับนักลงทุน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2ก.พ. “แข็งค่า” ที่ระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงก่อนจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงคืนนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2ก.พ. 2567 ที่ระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.45 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ใกล้ระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงคืนนี้ (ประมาณ 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) อย่างไรก็ดี เงินบาทมีโอกาสผันผวนแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ทำให้ผู้เล่นในตลาด
โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยเพิ่มเติม ทั้งนี้ เรายังคงประเมินว่า เงินบาทก็ยังขาดปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าอยู่ ทำให้เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก (ถ้าหากแข็งค่าผ่านโซนดังกล่าว ก็จะติดแนวรับสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์)
อนึ่ง เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยหากรายงานข้อมูลการจ้างงานนั้นออกมาดีกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 6 ครั้ง ของเฟด ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้เร็วและแรง (จะรีบาวด์ขึ้นมากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับความ “Surprise” ของข้อมูลการจ้างงาน ว่าจะออกมาดีกว่าคาดมากขนาดไหน)
กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท โดยในกรณีดังกล่าว เงินบาทก็มีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 35.65-35.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน การชะลอตัวลงต่อเนื่องของการจ้างงาน ที่อาจออกมาแย่กว่าคาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยไปจากเดิมมากนัก ส่งผลให้ เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่หลุดโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์
ในขณะที่ หากยอดการจ้างงานลดลง แย่กว่าคาดไปมาก ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่า เฟดก็มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม ส่งผลให้ เงินบาทเสี่ยงที่จะแข็งค่าหลุดโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.20-35.45 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ
และประเมินกรอบในช่วง 35.00-35.70 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 35.30-35.54 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน (ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน หรือ Jobless Claims ออกมาแย่กว่าคาด ขณะที่ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตออกมาดีกว่าคาด)
อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลปัญหาธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ ที่รายงานผลประกอบการขาดทุนหนัก ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลดลง กดดันค่าเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และการปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนก่อนรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้
ซึ่งการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) รีบาวด์ขึ้นสู่โซนแนวต้านแถว 2,070-2,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทเช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกครั้ง หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้น ของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Amazon +2.6%, Nvidia +2.4% ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และแรงซื้อคืนของผู้เล่นในตลาด เพื่อรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ อาทิ Apple, Amazon และ Meta ที่จะรายงานผลประกอบการในช่วง After Hours ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.30% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.25%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.37% หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ BNP -9.2%, ING -6.4%, Roche -5.7% และ Sanofi -4.1% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ บ้าง ทั้ง ASML +1.8%, SAP +0.9%
ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน รวมถึงความกังวลปัญหาธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ ที่กลับมาอีกครั้ง ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า แม้เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม ทว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 6 ครั้ง หรือ -150bps ในปีนี้ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.88%
ซึ่งเรามองว่า ระดับดังกล่าวอาจต่ำไป และเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจรีบาวด์ขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยหลายครั้งของเฟด ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนเมื่อมองภาพผลตอบแทนโดยรวม หรือ Total Return
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลปัญหาธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็ลดความต้องการถือเงินดอลลาร์ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์นี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103-103.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) รีบาวด์ขึ้น สู่โซนแนวต้าน 2,070-2,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างทยอยออกมาขายทำกำไรทองคำบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้ โซน 2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ราคาทองคำอาจแกว่งตัว sideways ก่อนที่จะเลือกทิศทางที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ห้ามพลาดและควรจับตาอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls), อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และ อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings %m/m, %y/y) ซึ่งข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ดังกล่าว จะส่งผลต่อการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.34-35.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.08 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ (บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ปรับตัวลง 12 basis points มาที่ระดับ 3.87%) ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในรอบการประชุมหลังจากเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากข้อมูลดัชนี ISM ภาคการผลิตที่ออกมาที่ 49.1 ในเดือนธ.ค. แม้จะดีกว่าที่ตลาดคาดที่ 47.0 แต่ก็ยังคงอยู่ต่ำว่าระดับ 50 ซึ่งสะท้อนการหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้น่าจะเป็นกรอบแคบขณะที่ตลาดรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและเครื่องชี้ตลาดแรงงานอื่นๆของสหรัฐในคืนนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.20-35.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน เดือนธ.ค. ตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์และดัชนีความเชื่อมั่นในมุมมองผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนม.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทางการ! ลูอิส แฮมิลตัน ลา เมอร์เซเดส ซบ เฟอร์รารี่ ปี 2025
ถือเป็นดีลเขย่าวงการรถแข่ง เอฟวัน เพราะล่าสุดเป็นที่แน่นอนแล้ว ลูอิส แฮมิลตัน จะย้ายออกจากทีม เมอร์เซเดส ซบ เฟอร์รารี่ ปีหน้า หลังจากที่อยู่รับใช้ทีม “ตราดาวสามแฉก” นานกว่าทศวรรษ
สคูเดเรีย เฟอร์รารี่ ยอดทีมรถแข่ง ฟอร์มูลา วัน (F1) ประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ลูอิส แฮมิลตัน สุดยอดนักแข่งรถ เอฟวัน ชาวอังกฤษ จะย้ายมาร่วมทีมในปี 2025 ด้วยสัญญาระยะยาว
การยืนยันจากทีม เฟอร์รารี่ มีขึ้นหลังจาก เมอร์เซเดส ประกาศเตรียมแยกทางกับ แฮมิลตัน หลังจบฤดูกาล 2024 ได้ไม่นาน โดยถือเป็นการปิดฉากการรับใช้ทีม เมอร์เซเดส ไว้ที่ 11 ปี สำหรับ ยอดนักแข่งวัย 39 กะรัต
เท่ากับว่า แฮมิลตัน จะขับรถ เมอร์เซเดส ฤดูกาล 2024 เป็นฤดูกาลสุดท้าย ก่อนย้ายซบทีม “ม้าลำพอง” โดยซีซั่น 2024 จะเริ่มที่ บาห์เรน กรังด์ปรีซ์ ช่วงต้นเดือนมีนาคม
ทั้งนี้ แฮมิลตัน ประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับทีม เมอร์เซเดส โดยเจ้าตัวคว้าแชมป์โลก เอฟวัน ถึง 7 สมัย (ปี 2008, 2014, 2015, 2017, 2018, 2019 และ 2020) ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเทียบเท่ากับ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ตำนานนักแข่งชาวเยอรมัน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
วิธีสังเกตอาการ “หูตึง” ด้วยตัวเอง
เคยเรียกเพื่อนเท่าไรแล้วเพื่อนก็ไม่ได้ยินไหมคะ เรามักชอบแซวกันว่าคนๆ นั้น “หูตึง” แม้ว่าจะเป็นการเปรียบเปรยที่อาจจะฟังดูเกินจริงไปสักนิด แต่อาจจะมีหลายคนที่อยากจะทดสอบดูเหมือนกันว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะหูตึงจริงหรือเปล่า เรามีวิธีง่ายๆ มาให้ได้ลองทำกันดูค่ะ
หูตึง คืออะไร?
อย่างที่ทราบกันดีว่า อาการหูตึง หมายถึงอาการที่เราเริ่มจะไม่ค่อยได้ยินเสียงอะไรอย่างชัดเจน ตามปกติเราควรจะได้ยินเสียงที่ดังกว่า 25 เดซิเบล แต่ไม่เกิน 90 เดซิเบล อาการหูตึงสามารถเป็นเพียงแค่หูข้างเดียว หรือหูทั้งสองข้างเลยก็ได้
หากมีอาการหูตึงเล็กน้อย อาจจะไม่ได้ยินเสียงที่เบามากๆ หรือเสียงกระซิบ หากหูตึงระดับปานกลาง หมายถึงจะเริ่มไม่ค่อยได้ยินเสียงระดับที่เป็นบทสนทนาทั่วไป หากหูตึงมากๆ อาจไม่ได้ยินเสียงดังๆ และอาจถึงขั้นได้ยินเสียงตะโกนที่ดังมาก ในระดับที่เบาๆ หรือได้ยินเพียงเล็กน้อย
หูตึง เกิดจากอะไร?
หูตึงจากการฟังเสียงดัง
โดยส่วนมาก อาการหูตึงมักเกิดจากการฟังเสียงดังนานๆ จนทำให้เซลล์ขนในชั้นหูชั้นในถูกทำลาย (ความดังของเสียงราวๆ มากกว่า 85 เดซิเบลขึ้นไป) โดยอาจเป็นอาการหูตึงชั่วคราว หรือหูตึงแบบถาวรก็ได้ หากเป็นอาการหูตึงจากการฟังเสียงดังนานๆ จะไม่มีวิธีรักษา จึงไม่ควรอยู่ในพื้นที่ที่เสียงดังมากจนเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ หรือหากจำเป็นต้องทำงาน ควรมีที่อุดหูเพื่อช่วยลดระดับความดังของเสียง
หูตึงจากโรคน้ำมนหูไม่เท่ากัน (มินิแอร์)
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากความดันของเหลวในหูชั้นในสูงเกินปกติ ทำให้เซลล์ขนของหูชั้นในถูกทำลาย โดยมีอาจอาการเหมือนประสาทหูเสื่อม มีเสียงอื่นๆ ดังรบกวนในหู และมีอาการเวียนศีรษะ โดยอาการเริ่มแรกอาจจะเริ่มจากไม่ค่อยได้ยินเสียงแบบเป็นๆ หายๆ โดยอาจเริ่มจากเสียงทุ้มก่อน หลังๆ อาจเริ่มมีอาการเวียนศีรษะที่รุนแรงขึ้น คลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย หากมีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาด้วยการทานยา หรือผ่าตัด
หูตึงจากยา
อาการหูตึงอาจเกิดมาจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ สารประกอบจำพวกสารหนู ตะกั่ว ปรอท และยาปฏิชีวนะ เช่น ยาแก้อักเสบต่างๆ หากหยุดยาอาการอาจดีขึ้น หรือบางรายอาจมีอาการหลังรับยาไปได้สักระยะ หากมีอาการหนักจนรบกวนการใช้ชีวิต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขาเปลี่ยนเป็นยาที่เหมาะสม
หูตึงเพราะอายุสูงขึ้น
เรียกง่ายๆ ว่าเป็นอาการหูตึงที่มาพร้อมกับอายุที่สูงขึ้นนั่นเอง เมื่อคนเราอายุเกิน 50 เซลล์ต่างๆ ในร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมถอยลง เซลล์ขนในหูชั้นในอาจค่อยๆ เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา โดยอาจเริ่มจากการเริ่มฟังโทนเสียงแหลมไม่ได้ยิน จนกระทั่งลามมาถึงเสียงในระดับการสนทนาปกติ แม้ว่าจะเป็นอาการหูตึงที่รักษาไม่ได้ แต่มีเครื่องช่วยฟังที่สามารถใช้ช่วยผู้สูงอายุได้
หูตึงจากเนื้องอกของเส้นประสาทหู
หูตึงจากเนื้องอกของเส้นประสาทหู จะมีอาการหูตึงเพียงข้างเดียว โดยอาการจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เริ่มมีเสียงดังรบกวนในหู เริ่มฟังไม่ค่อยชัด จับใจความ หรือจับเป็นคำพูดไม่ค่อยได้ (สังเกตได้จากตอนคุยโทรศัพท์ด้วยหูข้างที่มีปัญหา) หากเนื้องอกโตมากๆ อาจกดทับประสาทจนทำให้มีปัญหาการมองเห็น หรือหน้าเบี้ยว และเริ่มทรงตัวไม่ค่อยดี
หูตึงเฉียบพลัน หรือหูดับ
เกิดจากการติดเชื้อของหูชั้นใน โดยโลหิตมาหล่อเลี้ยงหูชั้นในไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากเนื้องอกกดทับเส้นประสาทหู มากดทับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นในต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งอันตรายมาก ควรพบแพทย์ด่วนที่สุด
หูตึงจากอุบัติเหตุในหูชั้นใน
เกิดจากหูถูกกระทบกระแทก ถูกตีที่กกหู หรือถูกตี ถูกกระแทกอย่างแรงจากด้านหลังศีรษะ จนทำให้กระดูกหูชั้นในแตก หรือร้าว โดยอาจมีอาการเพียงหูตึงเล็กน้อย ไปจนถึงหูหนวกได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ มีอาการชาบริเวณใบหน้าในส่วนที่ใกล้เคียงกับหูข้างที่มีปัญหา อาการแบบนี้ควรได้รับความดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
วิธีสังเกตอาการ “หูตึง” ด้วยตัวเอง
ลองฟังเสียงกระซิบในระยะ 10 เซนติเมตร หรือยกมือขึ้นในระยะใกล้ๆ หู ราวๆ 1 นิ้ว ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งถูกันจนเกิดเสียงเบาๆ ระดับเสียงนี้จะอยู่ที่ราวๆ 30 เดซิเบล หากได้ยินแปลว่าหูยังปกติอยู่ แต่หากไม่ได้ยินแสดงว่าอาจมีความเสี่ยงที่จะมีอาการหูตึง
หากใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองมีอาการหูตึงหรือไม่ หรือมีอาการผิดปกติจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพของหู จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านคอ หู จมูก ได้ตามสถานพยาบาลใกล้บ้านค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไขความลับความเหมือน ใน ความแตกต่าง Adverb Adjective
แม้ใครบางคนจะว่าภาษาอังกฤษไม่ยากอย่างที่คิด แต่บางเรื่องก็เล่นเอางงอยู่เหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่กวนใจเหล่าคนเรียนภาษาคงไม่พ้นเรื่อง Adjectives และ Adverbs เพราะบางคำมีหน้าตาเหมือนกัน แต่บางคำก็ใช้ไม่เหมือนกัน แล้วสรุปสองอย่างนี้ใช้ยังไงนะ? เพื่อการนี้ เราเลยจะมาไขความลับ ความเหมือน ใน ความแตกต่าง Adverb Adjective ฉบับเข้าใจง่าย บอกทริคให้รู้กันไปเลยว่า คำทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วก็มาไขความลับไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
1. ความหมายของ Adjective = คำคุณศัพท์ Adverb = คำกริยาวิเศษณ์
อย่างแรกเราจะพาเพื่อน ๆ มารู้จักประเภทของคำกันก่อนว่า Adjective และ Adverb คืออะไร
ตัวแรกก็คือ Adjective = คำคุณศัพท์ ซึ่งเป็นประเภทคำที่ทำหน้าที่ขยายนาม (noun) หรือเติมความหมายให้กับนามนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของและสถานที่ เพื่อบ่งบอกลักษณะให้เราเห็นภาพของนามได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แถมบางครั้งยังเติมเต็มประโยคเพื่อบอกความรู้สึกของประธานอีกด้วย
ส่วน Adverb = คำกริยาวิเศษณ์ คือคำทำหน้าที่ขยาย Verb (คำกริยา) Adjective (คำคุณศัพท์) หรือแม้แต่ Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) ด้วยกันเอง บอกเลยว่า เจ้า Adverbs เป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดและสับสนกันบ่อยครั้ง แต่จะงงอย่างไรมาอ่านกันต่อเลย
2. หน้าตาของ Adjectives และ Adverbs
เมื่อเราจะรู้ประเภทคำทั้งสองอย่างชัดเจนแล้วก็มาส่องหน้าตา ความแตกต่าง Adverb Adjective กันต่อเลยดีกว่า
2.1 Adjectives
หลักการสังเกตคำ Adjectives แบบง่าย ๆ คือ การสังเกต Suffix หรือส่วนที่นำมาเติมเต็มด้านหลังของศัพท์ เพื่อให้ประเภทของคำเป็น Adjectives ซึ่งประกอบไปด้วย -able, -al, -ful, -ian, -ive, -less, -ous เป็นต้น
-able
readable (อ่านได้), drinkable (ดื่มได้), washable (ซักได้), suitable (เหมาะสม), knowledgeable (มีความรู้)
-al
developmental (พัฒนาการ), informal (ไม่เป็นทางการ), political (ทางการเมือง), seasonal (ตามฤดูกาล), original (ดั้งเดิม), national (ระดับชาติ)
-ful
joyful (เปี่ยมความสุข), cheerful (ร่าเริง), meaningful (มีความหมาย), powerful (เปี่ยมด้วยพลัง), wonderful (วิเศษ), beautiful (สวย)
-ian
Malayasian (ชาวมาเลเซีย), Canadian (ชาวแคนาดา), Indian (ชาวอินเดีย), Australian (ชาวออสเตรเลีย)
-ive
effective (ที่มีประสิทธิภาพ), imaginative (ที่มีจินตนาการ, เพ้อฝัน), aggressive (ก้าวร้าว), persuasive (สามารถชักจูงได้), repetitive (ซึ่งเกิดซ้ำ ๆ), attractive (น่าดึงดูดใจ)
-less
meaningless (ไร้ซึ่งความหมาย), useless (ไร้ประโยชน์), homeless (ไร้บ้าน), worthless (ไร้ค่า), hopeless (สิ้นหวัง), effortless (ไร้ความพยายาม)
-ous
delicious (อร่อย), famous (ที่มีชื่อเสียง), dangerous (อันตราย), enormous (ใหญ่โตมโหฬาร), generous (ใจกว้าง)
Adjectives บางตัวก็มาจากคำกริยา (Verb) ที่เติม -ed และ -ing ด้วย โดยส่วนใหญ่จะเน้นความรู้สึกของประธาน
เช่น surprised (รู้สึกประหลาดใจ) surprising (น่าประหลาดใจ) / interested (รู้สึกสนใจ) interesting (น่าสนใจ) / disappointed (รู้สึกผิดหวัง) disappointing (น่าผิดหวัง) รวมไปถึงคำกริยาช่องที่ 3 ไม่ว่าจะเป็น broken (แตกหัก), stolen (ที่ถูกขโมยไป), unknown (ที่ไม่เป็นที่รู้จัก) เป็นต้น
แต่ไม่ใช่เพียงแค่นี้ เพราะจริง ๆ แล้ว Adjective ยังมีหน้าตาอื่น ๆ อีกมากมายให้เราได้ศึกษากันดู เช่น bad (แย่), kind (มีเมตตา), thin (ผอม), fat (อ้วน), light (สว่าง), dark (มืด), short (สั้น, เตี้ย), tall (สูง), long (ยาว), enough (เพียงพอ), better (ดีกว่า), important (สำคัญ), clear (ชัดเจน), full (เต็ม, อิ่ม), strong (แข็งแรง), weak (อ่อนแอ) เป็นต้น
2.2 Adverbs
มาถึง Adverbs กันแล้ว หากดูตำราทั่วไปก็จะสังเกตได้ว่า Adverbs จะลงท้ายด้วย -ly อยู่เสมอ โดยให้ความหมายว่าอย่าง …… เช่น bravely (อย่างกล้าหาญ), beautifully (อย่างงดงาม), correctly (อย่างถูกต้อง), certainly (อย่างแน่นอน), carefully (อย่างระมัดระวัง) truly (อย่างแท้จริง) very (มาก) และอื่น ๆ อีกเพียบ
แต่อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะ Adjective บางตัวก็ลงท้ายด้วย -ly เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น elderly (ผู้สูงวัย, ชรา), daily (ประจำวัน), friendly (เป็นมิตร) เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อความแน่ใจ เพื่อน ๆ ต้องหมั่นเช็กกับ Dictionary กันอยู่เสมอนะ
นอกจากนี้ Adjectives และ Adverbs บางตัวยังสามารถใช้รูปเดียวกันได้ เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน เช่น fast (เร็ว, อย่างรวดเร็ว), little (เล็กน้อย), far (ไกล), near (ใกล้), enough (เพียงพอ), more (มากกว่า), most (มากที่สุด) เป็นต้น
3. ตำแหน่งในการวาง Adjectives และ Adverbs
3.1 ตำแหน่งในการวาง Adjectives
สำหรับ Adjective เป็นคำที่สามารถวางได้สองตำแหน่งคือ วางข้างหน้านาม (Adj + N) ที่ต้องการขยายและวางไว้หลัง V to be (is, am, are, was, were, been) เพื่อบอกลักษณะประธานหรือเพื่อบอกความรู้สึกของประธานนั่นเอง
ตัวอย่าง
- The dog’s tail is long. = หางของสุนัขตัวนี้ยาวจัง
- We are angry with our business partner. = เราโกรธหุ้นส่วนธุรกิจของเรา
- The broken glass cannot be fixed. = แก้วที่แตกไปแล้วไม่มีทางต่อได้
- I am surprised with her marriage. = ฉันรู้สึกประหลาดใจกับงานแต่งของเธอ
3.2 ตำแหน่งในการวาง Adverbs
ส่วน Adverbs ก็สามารถวางได้หลายตำแหน่งในประโยคเพื่อขยายกริยาของประธาน ขยายคำคุณศัพท์หรือขยายคำประเภทเดียวด้วยกันเอง ถ้าอ่านแล้วงงไปดูคำอธิบายกันเลยดีกว่า
1) วางนำหน้าประโยคหรือท้ายประโยค เพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังหรือผู้อ่าน
Thankfully, the roads were free of snow and ice in that trip. = โชคดีที่ถนนไม่มีหิมะและน้ำแข็งในทริปนั้น
2) ขยาย Verb ด้วยการวางไว้หลัง Verb
Why do you always have to eat slowly? = ทำไมคุณถึงต้องกินช้าตลอดเลย
He sings beautifully. How does he sing? = เขาร้องเพลงเพราะมาก เขาทำได้ยังไงกัน
3) วางหลัง V to be เพื่อขยาย Adjective หรือ Verb
The village was totally destroyed by the flood. = หมู่บ้านถูกทำลายราบคาบโดยอุทกภัย
My mother is extremely frightened because she saw a ghost last night. = แม่ของฉันกลัวมาก เพราะเธอเห็นผีเมื่อคืนนี้
4) คำเฉพาะอย่าง well, badly, hard, fast ต้องวางจบท้ายประโยคเสมอ
This football team played well. = ทีมฟุตบอลทีมนี้เล่นดีเลยทีเดียว
The students tried so hard for this examination. = นักเรียนพยายามอย่างหนักเพื่อการสอบในครั้งนี้
5) ถ้ามี Verb หลายตัว จะต้องดูตำแหน่งให้ดี เพราะตำแหน่งสามารถเปลี่ยนความหมายของประโยคได้ *ถ้าวางหน้าหรือหลัง Verb จะขยาย Verb แต่ถ้าวางไว้ท้ายประโยคจะขยายประโยคทั้งหมด
They slowly decided to leave the wedding. = พวกเขาค่อย ๆ ตัดสินใจที่จะออกจากงานแต่งกัน (ขยาย Verb คำว่า decided)
She decided to leave the wedding slowly. = พวกเขาตัดสินใจที่จะออกจากงานแต่งกันอย่างช้า ๆ (ขยาย Verb คำว่า leave wedding)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เฉลยแล้ว! สาเหตุที่เอาไขควงวัดไฟ แตะมือถือระหว่างชาร์จแล้วไฟติด เกิดจาก?
จากคำถามที่คนบนโลกออนไลน์ถามหลังจากซื้อมือถืออย่าง Samsung Galaxy S24 Ultra เสียบชาร์จไฟแล้วเอา ไขควงวัดกระแสไฟ แปะไปข้างเครื่องแล้วปรากฏว่าไฟติดขึ้นมา จนหลายคนกังวลว่า ไฟฟ้าจะรั่วไหม และมีผลอันตรายกับเราไหม วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบครับ
ทำไมไฟที่ไขควงถึงติดระหว่างเสียบชาร์จมือถือ
สำหรับคำตอบนี้ ต้องบอกว่า การชาร์จไฟมือถือแล้วนำไขควงมาวัดไฟแล้วติดขึ้นมีหลายสาเหตุดังนี้
- บอดี้มือถือเป็นโลหะ : เดี๋ยวนี้ผู้ผลิตมักจะใช้โลหะเช่น อลูมิเนียม, ไทเทเทียม หรือ บางครั้งนำสแตนเลส มาใช้กันเพื่อความคงทน แต่ก็ลืมไปว่า วัสดุเหล่านี้นำไฟฟ้าอยู่ โดยมากแล้วจะไม่ค่อยอันตราย เว้นแต่ปัจจัยอื่นๆ เช่นปลั๊กไฟเป็ต้น
- การเลือกเคสโลหะ : อีกเรื่องคือบางคนชอบเคสแข็งๆ มักจะนำเคสโลหะมาใช้ก็อาจจะมีผลต่อการทำให้กระแสไฟระหว่างการชาร์จไฟ รั่วไหลบางส่วนที่เคส
- ที่ชาร์จ หรือ Adapter เป็นแบบ 2 ขา ซึ่งไม่มีสายดิน หรือขากราว ซึ่งจะทำให้อาจจะมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหล แต่ไม่ได้ทำให้เป็นอันตรายมักนัก แต่พอจะรู้สึกว่ามีกนะแสไฟเล็กน้อย
- ปลั๊กไฟที่บ้านคุณ ไม่ได้วางสายดิน : สังเกตง่ายๆ ปลั๊กที่มีแค่ 2 ขาที่บ้านคุณ จะไม่ได้มีสายกราว หรือสายดิน ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะทำให้กระแสไฟเข้ามาโดยตรง การที่ขึ้นมาอาจจะเป็นเรื่องปกติ
แล้ววิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ทำได้ดังนี้
- ลองสลับขั้วปลั๊ก เพราะบางทีการเสียบปลั๊กไฟผิดขั่วก็อาจจะทำให้ไฟฟ้ารั่วไหลได้
- การติดตั้งสายดิน หรือ เปลี่ยนปลั๊กไฟบ้านให้เป็น 3 ขา จะช่วยให้ปัญหานี้น้อยลงหรือหายไปได้ โดยยังคงใช้ Adapter แบบ 2 ขาเดิมได้เหมือนเดิม
- เลือกใช้ปลั๊กพ่วงที่มีมาตรฐาน เช่นการเลือกปลั๊กพ่วงที่เป็น 3 ขา
- เปลี่ยน Adapter แบบ 3 ขาแทนเพื่อให้มีช่องกราว เวลาชาร์จจะได้ไม่ช็อต
- ถ้า Adpater ชำรุดหรือไม่ได้มาตรฐาน ควรเปลี่ยน
- ใส่เคสระหว่างชาร์จไฟ เนื่องจากเคสทำจากวัสดุที่เป็นยาง มักจะซับกระแสไฟได้
- ใช้ระบบชาร์จไฟไร้สายแทน
ทำไมชาร์จไฟของ Notebook ถึงไม่ค่อยโดนไฟดูด
คำตอบคือที่ชาร์จไฟมักจะเป็นปลั๊กแบบ 3 ขาอยู่แล้ว โดยขาที่ 3 เป็นขากราวนั่นเอง
ดังนั้นถ้าคุณชาร์จไฟมือถือโดยตรง ถ้าจับแล้วเหมือนจะมีกระแสไฟสักนิด ลองหายางมาช่วยซับไฟก็ทำได้ หรือถ้าแนะนำให้ดีไปเลยคือ หยุดใช้! จนกว่าจะได้กำลังไฟที่เพียงพอแล้วดึงออก เพราะอย่าลืม เสียบชาร์จไฟไป และใช้งานไปไม่ส่งผลดีกับมือถือแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
3 สิ่งสำคัญที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “แมว”
แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลก แต่หลายคนก็ยังมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับแมวอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือ 3 สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับแมว
1. แมวไม่ใช่สัตว์ที่โดดเดี่ยว
หลายคนคิดว่าแมวเป็นสัตว์ที่โดดเดี่ยวและสามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ความจริงแล้วแมวเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการความรักและการดูแลจากเจ้าของเช่นกัน แมวต้องการการเอาใจใส่และเล่นกับเจ้าของเป็นประจำ หากแมวไม่ได้รับความรักและการดูแลที่เพียงพอ แมวอาจแสดงพฤติกรรมผิดปกติ เช่น กัด ข่วน หรือทำลายข้าวของ
2. แมวไม่เข้าใจการลงโทษ
แมวเป็นสัตว์ที่เรียนรู้ด้วยพฤติกรรม แมวจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผ่านการเลียนแบบและรางวัล หากเราต้องการสอนแมวให้ทำบางสิ่ง เราต้องสอนด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การเสริมแรงเชิงบวก การลงโทษจะทำให้แมวกลัวและไม่เชื่อใจเรา
3. แมวมีภาษากายของตัวเอง
แมวมีภาษากายที่ซับซ้อน ที่เราสามารถเรียนรู้เพื่อเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของแมวได้ เช่น การกะพริบตา การเลียขน การถูตัว การอ้าปาก เป็นต้น หากเราเข้าใจภาษากายของแมว เราก็จะสามารถสื่อสารกับแมวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ต่อไปนี้คือตัวอย่างภาษากายของแมวที่ควรรู้
- การกะพริบตาช้าๆ เป็นการแสดงออกถึงความไว้วางใจและความรัก
- การเลียขนเป็นการบ่งบอกว่าแมวรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย
- การถูตัวเป็นการทักทายและแสดงความเป็นเจ้าของ
- การอ้าปากเป็นการแสดงความหงุดหงิดหรือขู่
หากเราเข้าใจแมวมากขึ้น เราก็จะสามารถเลี้ยงแมวได้อย่างมีความสุขและเข้าใจกันมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/02/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,250.00 | 34,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,219.00 | 33,640.04 | 34,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,997.10 | 30,276.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,775.20 | 26,912.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 999.00 | 15,144.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 777.00 | 11,779.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,299.00 | 34,852.84 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/02/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.55 | 37.55 | 37.85 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.78 | 35.78 | 36.28 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.44 | 35.44 | 35.94 | 35.44 | 35.44 | – | 35.44 | 35.44 | 35.44 | 35.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.59 | 35.59 | – | – | – | – | – | – | – | 35.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.54 | 49.54 | 49.54 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 45.44 | – | – | – | 46.61 | – | 45.94 | 45.59 | – | 45.44 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |