สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567

เอพีชี้อสังหาฯ ปี 67 ไม่ง่าย! ปัจจัยลบรุมเร้า ย้ำ ‘สภาพคล่อง’ คีย์ของธุรกิจ

ปี 2567 เป็นปีที่ท้าท้ายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย จากหลากหลายปัจจัยกระทบทั้งอัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือน และภาวะหุ้นกู้ กดดันธุรกิจในการลงทุนและขยายโครงการใหม่ ความเสี่ยง และความไม่แน่นอน บิ๊กคอร์ป “เอพี” ย้ำว่า ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ไม่ง่าย!

วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพตลาดอสังหาฯ ปี 2567 เป็นปีที่มีความท้าทายและไม่ง่าย ด้วยความไม่ชัดเจนจากการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย จากการที่ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และธนาคารก็เข้มงวดในการให้สินเชื่อ รวมถึงอัตราหนี้สินครัวเรือนอยู่ในภาวะสูง 90% ของจีดีพีไทย รวมถึงต้องติดตามปัจจัยภายนอกประเทศกับเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์

“ภาพรวมปีนี้ไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว เพราะยังมีความไม่ชัดเจน จากปีที่แล้วนับเป็นปีที่อึดอัด ทำงานลำบาก แต่บริษัทพอใจ เพราะสามารถเปิดโครงการใหม่ และทำได้รายได้รวมได้ตามเป้าหมาย”

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามเรื่องหุ้นกู้ของผู้ประกอบการในตลาดอสังหาฯ ดังนั้นการปรับตัวของผู้ประกอบการต้องมุ่งให้ความสำคัญกับกระแสเงินสด เน้นบริหารจัดการสภาพคล่อง ทำให้มีสถานะทางการเงินที่แข็งแรงเสมอ 

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง จะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการ ส่วนภาพรวมหุ้นกู้ของบริษัทมีความแข็งแกร่ง โดยเมื่อต้นปี ชำระหุ้นกู้ 2,500 ล้านบาท และได้ออกหุ้นกู้ใหม่เวลาเดียวกัน 3,500 ล้านบาทได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด ซึ่งในภาพรวมบริษัทมีหุ้นกู้วงเงินรวม 21,000 ล้านบาท จะทยอยครบกำหนดภายในปี 2570

“ปีนี้เป็นถนนขรุขระมาก สิ่งสำคัญสุด คือ cash flow มีความสำคัญต่อภาคธุรกิจ บริษัทไม่มีปัญหาการเงินเลย จากทั้งเรื่อง DE ต่ำ และยังมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง อย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านบริษัททุนจดทะเบียนของบริษัทลูกที่รวมกว่า 12,700 ล้านบาท มีสินค้าและทีมงามที่มีความพร้อม”

สำหรับแผนของเอพี ในปี 2567 ขยายโครงการในแบบ Aggressive Growth ด้วยแนวคิด นวัตกรรมการออกแบบพื้นที่ เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกได้ โดยวางแผนเปิด 48 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 58,000 ล้านบาท เป็น บ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท โดยจังหวัดใหม่ สงขลา สุพรรณบุรี และระยอง และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการ เป็นคีย์สำคัญสร้างรายได้ต่อเนื่อง

ไฮไลต์สำคัญปีนี้ได้รุกโครงการ ซูเปอร์ ลักชัวรี (Super Luxury) ระดับราคา 100 ล้านบาทเป็นครั้งแรก กับสินค้าแบรนด์ THE PALAZZO เป็นคฤหาสน์หรู ออกแบบให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 1,000 ตารางเมตร ใน 2 ทำเล กรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า รวมถึง แบรนด์ บ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวในเมือง ทำเลสาธุประดิษฐ์

การรุกลาดบ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี เพราะต้องการขยายเช็กเมนต์ใหม่ และมองโอกาสจากตลาดศักยภาพ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเน้นทำตลาดระดับกลางและระดับบนเป็นหลัก ระดับราคา 5 ล้านบาท

สำหรับทาวน์โฮมและบ้านแฝด ประกอบด้วย 3 แบรนด์หลัก บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น แกรนด์ พลีโน่ มีจุดขายบ้านหน้ากว้างสูงสุด 14.7 เมตร มุ่งเป้าหมายผู้นำในตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น และ 2 ชั้นในเมือง

คอนโดมิเนียม เน้นแบรนด์ LIFE และ ASPIRE ไฮไลต์โครงการ LIFE เจริญนคร-สาทร และ ASPIRE ห้วยขวาง พร้อมเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดพร้อมอยู่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,500 ล้านบาท ได้แก่ LIFE พหลฯ-ลาดพร้าว LIFE พระราม 4-อโศก และ ASPIRE รัชโยธิน เชื่อว่าตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาแล้วตั้งแต่ปีก่อน ทำให้บริษัทพร้อมรุกขยายคอนโดมิเนียม

“ปีนี้เป็นปีของตัวจริง บริษัทไปต่อได้ต้องมีความพร้อมทั้ง การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ต่อมา People-Structure-Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และกระบวนการทำงานที่แม่นยำ พันธมิตรธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความเป็นหนึ่ง และซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ พร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจต่อเนื่อง”

เอพี ตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 57,000 ล้านบาท ยอดการรับรู้รายได้ที่ 53,700 ล้านบาท โดยจะมีโครงการเอพีพร้อมขายทั่วประเทศ 212 โครงการ ส่วนปี 2566 สร้างยอดขายสูงสุดในอุตสาหกรรมถึง 51,390 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,054 ล้านบาท มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (DE) 0.79 เท่า เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนในระดับไม่เกิน 1 เท่า

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ซีอีโอใหม่LPNกางแผนปี67ผุด6โครงการ6.5พันล้านจ่อร่วมทุนเสริมแกร่ง

‘อภิชาติ เกษมกุลศิริ’ซีอีโอป้ายแดงLPNประกาศแผนการลงทุนปี2567 เปิดตัวโครงการใหม่6 โครงการมูลค่า6,520ล้านพร้อมเล็งร่วมทุนกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ รุกธุรกิจใหม่เข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาวตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 1.1หมื่นล้านเพิ่มขึ้น 10%

  • หลังจากที่ แอลพีเอ็น ประกาศ ‘อภิชาติ เกษมกุลศิริ’ ขึ้นเป็นซีอีโอ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2567 แทน ‘โอภาส ศรีพยัคฆ์’ ที่เกษียณอายุ ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ 

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวทางการบริหารบริษัทภายหลังจากการเข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า แอล.พี.เอ็น. เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจอย่างครบวงจร (Self-fulfillment)

นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยทั้งประเภทอาคารชุดและบ้านพักอาศัยแล้ว แอล.พี.เอ็น. ยังมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสร้างรายได้ให้กับบริษัท ทั้งบริษัทบริหารจัดการโครงการอย่าง บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทที่ให้บริการด้านงานวิศวกรรมอย่าง บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) และบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยอย่าง บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) เป็นต้น แต่ละบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา 

“ผมในฐานะ ซีอีโอมีหน้าที่ในการมองไปข้างหน้าไปยังธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ที่เรามีความเชี่ยวชาญ เพื่อเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาวให้กับ ผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้กับธุรกิจ  ในระยะยาว ด้วยการทำงานที่สอดประสานกันในทุกภาคส่วนของธุรกิจ (Harmonization)” นายอภิชาติ กล่าว 

โดยภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ มีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ    ไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ (Stronger Together) ได้แก่

1    Rebalance Portfolio การสร้างความสมดุลในการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการ งานบริการ ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนา นำจุดแข็งของแต่ละหน่วยธุรกิจมาเสริมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ กัน โดยแนวทางในการทำงานปีแรกของการเข้ามาดำรงตำแหน่งคือ การพัฒนาจุดแข็งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (5C) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

รวมถึงปรับปรุงและเติมเต็มข้อจำกัดของแอล.พี.เอ็น. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยหลักๆ คือ การสร้างความสมดุลของ Portfolio โดยการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าที่ขายแล้ว     รอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท

โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price Strategy) และการเพิ่มอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม (Incentive) ให้กับหน่วยงาน รวมถึงเครือข่ายการขาย  ของบริษัทเพื่อกระตุ้นยอดขาย

โดยมีเป้าหมายที่จะขายสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 4,500 – 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่ขายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 2566 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2567 ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับยอดขายที่ 10,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 

2   Rebalance Resource การสร้างสมดุลโดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาจัดสรร และสร้างมูลค่าให้กับองค์กรด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละส่วนงาน มาสนับสนุนการบริหารงานและการจัดการของแอล.พี.เอ็น.   ให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเป็นแนวทางของการพัฒนาองค์กรในระยะยาว

ปัจจุบัน แอล.พี.เอ็น. มีบริษัทในเครือที่กำลังเติบโตอยู่หลายบริษัท ซึ่งทำงานเกื้อหนุนกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการพัฒนาสินค้า ไปจนถึงการบริการหลังการขายอย่างครบถ้วน หรือเรียก    ได้ว่าเป็น LPN Completed Ecosystem ได้แก่ 

•    บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) รับผิดชอบด้านงานวิจัย การศึกษาพื้นที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่บริษัท / บริษัทในเครือ รวมถึงบริษัทอื่นๆ ภายนอก นอกจากนั้น บริการให้คำปรึกษาและวิจัยด้าน GREEN หรือ Sustainable Development และ BIM (Building Information Modeling) อีกด้วย 

•    บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) รับผิดชอบงานบริการด้านวิศวกรรม และบริการที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมไปถึงการควบคุมงานก่อสร้าง โดยมุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า

•    บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) รับผิดชอบการบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ครอบคลุมตั้งแต่  งานบริหารชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาคุณค่าของโครงการ งานบริหารอาคารพักอาศัย สำนักงาน อาคารเชิงพาณิชย์ / การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลาง การวางระบบ – บริหารจัดการอาคารชุด

และ รับผิดชอบในการบริหารทรัพย์สินประเภทห้องชุดพักอาศัย ที่ผู้ซื้อ (นักลงทุน) ต้องการจัดหาผู้เช่าและผู้ซื้อ นอกจากนั้น           ยังดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เช่าเพื่อความปลอดภัยในชุมชน 

•    บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) รับผิดชอบด้านงานบริการชุมชนอย่างครบวงจร   โดยให้บริการด้านการดูแลรักษาความสะอาดเป็นหลัก ทั้งในโครงการที่แอล.พี.เอ็น. พัฒนาขึ้น และโครงการอื่นๆ ภายนอก 

•    บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาความปลอดภัยแบบบูรณาการ ทั้งจากบุคลากรที่มีคุณภาพและมืออาชีพ ระบบอิเล็กทรอนิกส์และงานระบบ โดยจัดให้มีมาตรฐานความปลอดภัย และนำเสนอบริการตามระดับความต้องการลูกค้า  และยังครอบคลุมไปถึงงานบริการทำความสะอาด ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าในอาคารเชิงพาณิชย์ประเภทอื่นๆ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

3.  Rebalance Stakeholders’ Wealth ภายใต้แนวทางการบริหารในการสร้างความสมดุลทั้งสองมิติแรก จะนำไปสู่การสร้างสมดุลในการให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม 

นอกจากนั้น ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตด้วยการนำบริษัทในเครือที่มีผลการดำเนินงานที่ดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเฉพาะบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการชุมชน และทรัพยากรอาคาร

ปัจจุบัน ได้เข้าบริหารจัดการชุมชนกว่า 260 โครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ครอบคลุมประชากรมากกว่า 300,000 คน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง        ตามแผนคาดว่าจะนำ แอล พี พีฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในปีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดทุน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆในช่วงเวลาเสนอขายอีกครั้ง 

คาดว่าการนำ แอล พี พี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นการแยกธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะช่วยให้ แอล.พี.เอ็น. รับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจบริการ ที่ปัจจุบันรวมอยู่ในผลกำไร  การดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น.กว่า40% และยังเป็นการส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 แอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท

 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตทางรายได้กว่า80 %และการเติบโตทางกำไรสุทธิกว่าร้อยละ 23 ภายใน 3 ปี ทำให้การเข้าจดทะเบียน            ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ แอล พี พีฯ มีแผนการการลงทุนในบริษัทพันธมิตร เพื่อขยายงานบริการวิศวกรรมและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจบริหารชุมชนและทรัพยากรอาคาร

โดยพัฒนาระบบ Application รองรับการบริการผู้อยู่อาศัย และเชื่อมต่อพันธมิตรที่ให้บริการเกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตได้ตลอด    24 ชม. และนับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เสริมสร้างให้แอล.พี.เอ็น. สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น และสร้างความสมดุลด้านรายได้ให้กับองค์กร

เนื่องจากในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น. อยู่ในภาวะถดถอยจากเดิม ในการทำกำไรที่ 1,256 ล้านบาท ในปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 353 ล้านบาทในปี 2566  ในขณะเดียวกัน        แอล.พี.เอ็น. มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเข้าระดมทุนในหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 

“ในฐานะที่ผมมีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ทำให้ผมให้ความสำคัญกับการบริหารโครงสร้างทางการเงินและขณะเดียวกันกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” อภิชาติ กล่าวเสริม 

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2567บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 6,520 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย        5 โครงการ มูลค่า 5,540 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เป็นหลัก


“80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP) อยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนอีก 20% อยู่ในต่างจังหวัด โดยการพัฒนาโครงการของแอล.พี.เอ็น. จะให้ความสำคัญกับพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงมากกว่าที่จะขยายไปในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯ” นายอภิชาติ กล่าว 

โดยมีการซื้อที่ดินในจังหวัดนครปฐมเพื่อพัฒนาโครงการ และเรามีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ราย ทั้งการลงทุนในลักษณะ  ร่วมทุน และการลงทุนแบบ Turnkey

ขณะที่บริษัทมีงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินในปี 2567 ที่ 1,000 – 2,000 ล้านบาท โดยมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ การกู้จากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินงานของ แอล.พี.เอ็น.

“ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 แอล.พี.เอ็น. มีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท บริษัทมีกําไรสะสมมาตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่นๆ ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ได้ในระยะยาว ในขณะที่ผลการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีรายได้จากการขายและบริการ 7,407 ล้านบาท ลดลงประมาณ 28 % จากรายได้จากการขายและบริการที่ 10,276 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 353 ล้านบาท ลดลง 42 % จากกำไรสุทธิที่ 612 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567       ให้จ่ายเงินปันผล 0.13 บาทต่อหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.08 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ทำให้ต้องจ่ายอีก   0.05 บาท ต่อหุ้น ในวันที่ 17 เมษายน 2567” นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติม

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 22ก.พ. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.87 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงนี้ อาจมีลักษณะแกว่งตัวในกรอบ แต่มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง  ไฮไลท์วันนี้ตลาดรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการของประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 22ก.พ. ที่ระดับ  35.87 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.85 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังไม่เปลี่ยนมุมมองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่านั้นแผ่วลง ทว่าด้วยปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยิ่งเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย ก็อาจทำให้เงินบาทมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าได้บ้าง

 แต่เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทนั้นจะเป็นไปอย่างจำกัด หลังเงินบาทได้พลิกกลับมาแข็งค่าหลุดแนวรับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงนี้ อาจมีลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ แต่ก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง) นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชียที่อาจกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง จากทั้งความหวังแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

รวมถึง รายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่ออกมาสดใสล่าสุด ก็อาจช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อสกุลเงินฝั่งเอเชียได้บ้าง ซึ่งต้องจับตาว่า นักลงทุนต่างชาติจะเดินหน้าเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องได้หรือไม่ โดยเบื้องต้นเราประเมินว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นผ่านโซนแนวรับ 35.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่าย หากไม่มีปัจจัยหนุนการแข็งค่าใหม่ๆ ที่ชัดเจน

อนึ่ง เรามองว่า ควรระวังความผันผวนของตลาดค่าเงินในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก เพราะอาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้

โดยต้องจับตาว่า รายงานดัชนี PMI ดังกล่าวจะส่งผลให้ ธนาคารกลางหลักอื่นๆ อาทิ BOE และ ECB สามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าเฟด หรือไม่ (ล่าสุดผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน)

เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.80-36.05 บาท/ดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 35.80-35.95 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานการประชุมเฟดล่าสุด ยังคงย้ำว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ภาพดังกล่าวยังได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงตาม อย่างไรก็ดี รายงานผลประกอบการของบริษัท Nvidia ล่าสุดที่ออกมาแข็งแกร่ง และคาดการณ์ผลประกอบการที่มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) สอดคล้องกับสัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นพอสมควร ซึ่งภาวะเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าวอาจกดดันให้เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways หรือ ย่อตัวลงได้บ้างในช่วงนี้ 

 บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างรอลุ้น รายงานผลประกอบการของ Nvidia -2.9% ในช่วงหลังตลาดปิดทำการ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้น Nvidia ออกมาบ้าง กดดันให้หุ้นกลุ่ม Semiconductor/AI-theme ย่อตัวลงบ้าง

ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน Exxon Mobil +2.0% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง –0.32% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.13%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อ -0.17% ตามแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร นำโดย HSBC -8.4% หลังธนาคาร HSBC รายงานผลประกอบการที่แย่กว่าคาด ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบริษัท Nvidia สหรัฐฯ รวมถึงรายงานการประชุมเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นบ้างของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +0.8% หลังราคาน้ำมันดิบพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น

ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยิ่งเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย (ล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน) สอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานการประชุมเฟดล่าสุด รวมถึง ผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 20 ปี ที่ความต้องการชะลอลงจากรอบก่อนหน้าพอสมควร ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.30% อีกครั้ง

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสผันผวนสูงขึ้นต่อได้บ้าง ขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทว่า เรายังมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในโซนเหนือกว่า 4.20% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจ และนักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และภาวะปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่า เงินดอลลาร์ก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างทยอยลดสถานะ Long USD ลงบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.9-104.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี  จากท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ย่อตัวลงสู่โซน 2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งในช่วงโซนราคาดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำอยู่บ้างและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา

 สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นอย่างใกล้ชิด คือ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น เนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักได้

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดก็จะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งในระยะนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ออกมาย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย จนทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่า เฟดอาจสามารถลดดอกเบี้ยได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ใน Dot Plot ล่าสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วอลเลย์บอลหญิงไทยตั้ง “โค้ชยะ” คุมทีมชาติ เลือก “ กัปตันกิ๊ฟ” เป็นผู้ช่วย

สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศแต่งตั้ง “โค้ชยะ” ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค เป็นเฮดโค้ช และ “โค้ชกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ อดีตกัปตันทีมวอลเลย์บอลทีมชาติไทย เป็นผู้ช่วยโค้ชวอลเลย์บอลสาวไทย

หลังจากที่ หลังจากที่ “โค้ชด่วน” นายดนัย ศรีวัชรเมธากุล ได้พักคุมทีมชาติไทยและได้รับข้อเสนอจากสโมสรในลีกประเทศอินโดนีเซีย พร้อมกับ ชำนาญ ดอกไม้ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน เป็นเวลา 1 ปี.   

จากที่มีกระแสข่าวออกมากันอย่างมีแคนดิเคตอยู่ 4 คน ได้แก่  “โค้ชแขก” กิตติคุณ ศรีอุทธวงศ์ อดีตเฮดโค้ชทีมสาวไทย ชุดเฉพาะกิจ ซึ่งปัจจุบันคุมทีมหญิงให้กับ ไดมอนด์ ฟู้ด ไฟน์เชฟ  ที่พึ่งพาทีมได้รองแชมป์ในศึกไทยแลนด์ลีก ฤดูกาลล่าสุด, “โค้ชยะ” ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย รวมถึง เฝิง คุน อดีตนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน ชุดเหรียญทองโอลิมปิก 2004  ซึ่งเป็นภรรยาของ “โค้ชอ๊อด” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร อดีตโค้ชตำนานทีมตบสาวไทย และ “โค้ชกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ อดีตกัปตันทีมวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ในชุด 7 เซียน

ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศแต่งตั้ง “โค้ชยะ” ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ขึ้นมาเป็นเฮดโค้ช และ “โค้ชกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ อดีตกัปตันทีมวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ในชุด 7 เซียน ที่ สามารถพาทีมสุพรีม ทิพย ชลบุรี-อี.เทค จบอันดับที่ 3 ของวอลเลย์บอลไทยแลนด์ ลีก 2023/24 ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอน โดยทีมงานยังเป็นทีมงานชุดเดิมที้ทำหน้าที่ ร่วมกันมาทั้งหมด 

ขณะที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมวอลเลย์บอลชายไทย ยังคงเป็นหน้าที่ของ โค้ชพัค กีวอน หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ ทําหน้าที่ต่อไป  โดยสมาคมได้กําหนดเรียกนักกีฬาวอลเลย์บอลทั้งชายและหญิง รายงานตัวเพื่อเก็บตัวฝึกซ้อมที่อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


รู้จัก 5 ประเภทกระดาษทิชชู แบบไหนใช้ทำอะไรจะได้ใช้ถูก

กระดาษทิชชูเป็นของใช้ในครัวเรือนที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ใข้ตั้งแต่เช็ดหน้าเช็ดทำความสะอาดร่างกาย ในห้องน้ำ ห้องครัว ฯลฯ แต่ทราบหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วกระดาษทิชชูนั้นมีกี่ประเภท และกระดาษทิชชูแต่ละชนิดใช้งานแตกต่างกันอย่างไร และถ้าใช้ไม่ถูกชนิดจะเป็นอย่างไร

ประเภทของกระดาษทิชชู

1.กระดาษชำระ (Toilet paper)

มีลักษณะเป็นม้วนๆ อย่างที่เราเห็นในห้องน้ำกระดาษชำระประเภทนี้ทำจากเยื่อบริสุทธิ์ที่ได้จากต้นไม้ และเยื่อเวียนใหม่จากกระดาษรีไซเคิลมีทั้งแบบเป็นสีขาวสะอาด เป็นแบบสี หรือมีลวดลาย รวมทั้งยังมีหลายขนาด

หน้าที่ : ใช้ชำระส่วนขับถ่ายของเรา ดังนั้นไม่ควรนำไปเช็ดหน้าเช็ดตา ไม่ควรนำไปห่ออาหาร ไม่ควรใช้รองอาหารหรือไม่ควรใช้ซับน้ำมันเพราะในกระบวนการผลิตมีการใช้สารจำพวกสารโซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ) และสารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและยังคงอยู่ในเนื้อกระดาษ

2. กระดาษเช็ดหน้า (Tissue Paper)

ใช้สำหรับซับหน้าหลังจากการล้างหน้าหรือล้างเครื่องสำอาง มีความเหนียว-นุ่ม เป็นพิเศษใช้แล้วจึงไม่ควรทิ้งในชักโครก จะทำให้ท่อตันได้ง่าย หากสังเกตง่ายๆ ถ้าเป็นกระดาษสำหรับเช็ดหน้ามักจะบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าสามารถหยิบออกมาใช้ได้สะดวก

หน้าที่ : ใช้เช็ดหน้า เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอาง ดังนั้นเนื้อสัมผัสจึงนุ่มป้องกันการระคายเคือง

3. กระดาษเช็ดปาก (Table paper napkins)

ใช้สำหรับบนโต๊ะอาหาร ใช้แทนผ้าเช็ดปากสำหรับการรับประทานอาหารไม่ควรใช้กระดาษชำระแทน – ที่เห็นใช้กันมากทั่วไป คุณสมบัติของเนื้อกระดาษจึงมีความอ่อนนุ่มใกล้เคียงกระดาษเช็ดหน้า แต่ต้องเหนียวและไม่เปื่อยยุ่ยน้ำง่ายและไม่ควรทิ้งลงในชักโครกเพราะจะทำให้ท่อน้ำตันได้ง่าย

หน้าที่ : ใช้เช็ดทำความสะอาดริมฝีปาก

4. กระดาษเช็ดมือ (Paper Hand Towel)

สำหรับกระดาษเช็ดมือนั้นเราสามารถเห็นได้ในห้องน้ำสาธารณะ โรงพยาบาล โรงแรมซึ่งเป็นกล่องที่ติดตามผนังมีความเหนียวไม่เปื่อยยุ่ยหรือขาดง่ายเมื่อสัมผัสกับน้ำซึมซับน้ำได้ดีผลิตเพื่อใช้กับผิวหนัง แต่ไม่ควรนำไปสัมผัสกับอาหารหรือใช้ซับน้ำมันจากอาหาร

หน้าที่ : ใช้เช็ดมือ

5. กระดาษอเนกประสงค์ (Paper Towel)

เป็นกระดาษที่มักใช้ในงานครัวเป็นส่วนใหญ่สำหรับใช้ในงานบ้านทั่วไปแทนผ้าเช็ดพื้น หรือผ้าเช็ดโต๊ะใช้ซับน้ำมันจากการทอดได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้กับผิวหนัง

หน้าที่ : ใช้เช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรก ซับน้ำมันจากการทอด


ข้อมูลบางส่วนจาก : สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อดีตอธิบดีกรมอนามัย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


How to จดจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ แบบไม่ให้ลืม

การรู้ความหมายของคำและการจดจำคำศัพท์ให้ได้เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนภาษาทุกภาษาบนโลกใบนี้ หากเราไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ เราจะฟัง พูด อ่าน เขียน และเข้าใจภาษานั้น ๆ ไม่ได้เลย การเรียนรู้วิธีการจดจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้มากที่สุด จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ

ฝีกสร้างความจำดี

อย่ากังวลหากคะแนนสอบของเราไม่สูง เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยจะได้ จนพาลคิดไปว่าตัวเองนั้นโง่ จริง ๆ แล้วเรื่องของความจำเป็นทักษะที่พัฒนากันได้ เทคนิคในการช่วยจำมีอยู่หลายวิธี เลือกใช้ให้เข้ากับความชอบของแต่ละคน ก็จะสามารถสร้างความจำดีให้เกิดขึ้นได้

  1. หาสถานที่ที่เรารู้สึกสงบ สบาย ไม่มีสิ่งกวนใจ มีผลทำให้จดจำอะไรได้ง่าย
  2. ใช้เครื่องมือช่วยจำที่เหมาะกับตัวเอง เช่น บางคนชอบจดบันทึก บางคนชอบนึกเป็นภาพ
  3. ฝึกสร้างสมาธิ นั่งนิ่ง ๆ กำหนดจิตให้แน่วแน่วันละ 5 – 10 นาที ทำเป็นกิจวัตร จะทำให้พัฒนาการในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น
  4. ทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราในแต่ละวัน ตื่นเช้ามาทานอะไร วันนี้เจอกับใครบ้าง ทำอะไรไปบ้าง อาจจะพูดกับตัวเอง บันทึกลง Diary หรือพูดคุยกับเพื่อนสนิท การทบทวนจะทำให้สามารถจำสิ่งต่าง ๆ ในระยะยาวได้

เทคนิคช่วยจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

  • อ่านให้มาก อ่านทุกอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ อ่านอะไรก็ได้ที่เราชอบ การ์ตูน เนื้อเพลง เจอศัพท์ที่ไม่รู้ให้วงไว้ และหาความหมายของคำศัพท์ใหม่ทุกคำ อ่านบ่อย ๆ เจอคำซ้ำ ๆ เราก็จะจำได้เอง
  • ฝึกจำเป็นภาพ / หาสิ่งเชื่อมโยง เลิกแปลจากอังกฤษเป็นไทยแล้วให้คิดเป็นภาพแทน เช่น เห็นคำว่า rabbit เราก็ท่อง r-a-b-b-i-t แบบช้า ๆ ออกเสียงอ่านชัด ๆ และนึกถึงภาพกระต่ายน่ารัก ๆ หรือรู้ว่าคำว่า gorgeous คือ งดงาม เราก็นึกถึงผู้หญิงที่เราเห็นว่าสวยที่สุด แล้วสร้างประโยคภาษาอังกฤษง่าย ๆ สั้น ๆ เช่น คนที่เรานึกถึงคือเบลล่า เราก็สร้างประโยคในใจขึ้นว่า Bella is gorgeous. เราก็จะจำคำว่า gorgeous ได้อย่างง่ายและแม่นยำ
  • กระดาษโน้ต/ โพสต์อิท เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษลงไปและแปะไว้กับสิ่งของหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับความหมายของคำศัพท์นั้น ๆ เช่น mirror ก็ติดไว้ที่หน้ากระจกเงา, wardrobe ติดไว้ที่ตู้เสื้อผ้า เห็นทุกวันซ้ำ ๆ จะทำให้จำได้เป็นอย่างดี
  • ฟัง/ดู ภาษาอังกฤษผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งดู การ์ตูน ภาพยนตร์ ฟัง Podcasts, Audiobooks ฟังเพลงที่ชอบ สร้างความคุ้นเคยกับสำเนียงการพูดและได้คำศัพท์ใหม่ ๆ เสมอ
  • ฝึกพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวแล้วพูดถึงสิ่งนั้นเป็นคำภาษาอังกฤษ คำไหนไม่รู้เปิดหาคำภาษาอังกฤษ จะได้คำศัพท์ใหม่ ๆ เพิ่มในทุก ๆ วัน นอกจากนั้นลองฝึกพูดกับเพื่อนไทยคำอังกฤษคำ และเริ่มเป็นพูดอังกฤษทั้งหมดเลยก็ได้ หรือหากมีโอกาสให้ฝึกพูดกับเจ้าของภาษาบ่อย ๆ ก็จะจำคำศัพท์และรู้ศัพท์เพิ่มได้มากขึ้น

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยสุด จำไว้ได้ใช้ประโยชน์แน่นอน

          การเรียนรู้และท่องจำคำศัพท์เริ่มจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน ร่างกายของเรา สี วัน เวลา ฯลฯ และถ้านอกเหนือจากคำเหล่านั้นแล้ว คำศัพท์ไหนที่จะได้ใช้ประโยชน์จริง ซึ่งเจ้าของภาษาก็ได้แนะนำให้จดจำคำศัพท์ใน “Oxford 3000 key words” คือ 3,000 คำศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 70% ที่ใช้อยู่ในทุกวันก็มาจาก 3,000 คำนี้ ดังนั้นถ้าจำ 3,000 คำนี้ได้ภาษาอังกฤษก็จะง่ายขึ้นเยอะ

วิธีจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ Oxford 3000 key words

  1. พิมพ์คำศัพท์ออกมาทั้ง 3,000 คำ ซึ่งจะเรียงตามหมวด A-Z จากนั้นทำเครื่องหมายที่คำศัพท์ที่เรารู้แล้ว
  2. ท่องวันละ 5 คำเป็นอย่างน้อย วันนี้ หมวด A 5 คำ พรุ่งนี้ หมวด B 5 คำ ไล่ไปจนถึง หมวด Z และกลับมาหมวด A ใหม่ ใครจะท่องวันละมากกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องไม่ให้มากจนเกินไปจนทำให้เครียดจนสมองไม่รับ
  3. เปิดเสียงคำอ่านของคำนั้น ๆ และฝีกออกเสียงตามไปด้วย อัดเสียงตัวเองและฟังเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษา เพื่อให้เราออกเสียงได้อย่างถูกต้อง

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


อาหารที่ควร “หลีกเลี่ยง” หากมีอาการป่วย

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เมื่อมีอาการป่วยก็จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการ แต่เรื่องอาหารการกินก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน

นอกจากรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นแล้ว รู้หรือไม่ว่ามีอาหารบางชนิดที่ไม่ควรกินขณะมีอาการป่วยด้วย เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้!


เมื่อเป็นหวัดหรือมีไข้ สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ผักโขม

ในผักโขมมีสารที่ชื่อว่า ฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่เป็นตัวหลั่งสารภูมิแพ้ออกมาทางร่างกาย “มันจไปกระตุ้มเซลล์ ที่เรียกว่าแมสต์เซลล์ และปล่อยสารฮีสตามีนออกมาและทำให้เกิดการอักเสบ” Renee Wellenstein แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าว “สารฮีสตามีนมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับอาการหวัดละไข้จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้อาการหนักกว่าเดิมได้”

  • ถั่ว

ถั่วอันที่จริงแล้วเป็นแหล่งรวบรวมซิงก์และวิตามินอี แต่อีกมุมหนึ่งถั่วก็มีไขมันมาก การกินถั่วขณะที่ป่วยทำให้ร่างกายทำงานหนักขึ้น อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดท้อง

  • บรอกโคลี

บรอกโคลีมีประโยชน์มากมาย มีภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินเอและซี แต่ก็เป็นผักที่มีไฟเบอร์สูง อาจทำให้ย่อยยากขณะที่คุณกำลังป่วย Mahmoud Ghannoum ผู้เชี่ยวชาญด้านลำไส้ กล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ลำไส้ทำงานหนักควรเลือกกินอาหารไฟเบอร์ต่ำไปก่อน


เมื่อปวดศีรษะ สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ชีสที่บ่มมานาน (Aged Cheese)

อาหารที่ยิ่งบ่มนานยิ่งมีสารฮีสตามีนสูง ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว ก่อให้เกิดอาการปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิม

  • อาหารหมักดอง

เพราะในอาหารหมักดองจะมีสารไทรามีน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ การกินอาหารประเภทนี้ขณะปวดหัวจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและหดตัว จึงเป็นสาเหตุให้มีอาการมากขึ้น


เมื่อไอหรือเจ็บคอ 
สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ผักดิบ

ผักดิบมันจะมีส่วนหยาบหรือขรุขระ ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองขณะกลืนได้ แม้ว่าอันที่จริงแล้วผักดิบถือเป็นของคบเคี้ยวที่มีประโยชน์ แต่พักการกินไว้ก่อนหากกำลังไอหรือเจ็บคอ

  • ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

แม้ว่าผลไม้เหล่านี้จะมีวิตามินสูง แต่ในอีกมุมหนึ่งความเป็นกรดของมันก็อาจทำให้ระคายคอมากขึ้นได้ ดังนั้นคุณควรจะหาวิตามินซีจากแห่งอื่นไปก่อนในช่วงที่มีอาการ


เมื่อปวดท้อง คลื่นไส้ หรือท้องเสีย 
สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์จากนม

ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีส่วนผสมของแลคโตส บางคนก็มีอาการแพ้แลคโตส เพราะแลคโตสทำให้กระเพาะย่อยยาก จึงอาจทำให้มีอาการปวดท้อง หรือท้องเสียมากขึ้นได้

  • รำข้าว

รำข้าวมีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำสูง ดังนั้นเมื่อทานเข้าไปมันจะพุ่งตรงไปที่ลำไส้ เช่นเดียวกับพวกกราโนลา ข้าวกล้อง และพาสต้าข้าวสาลี

  • ถั่ว

น้ำตาลที่อยู่ในถั่ว (อัลฟากาแลกโตซิเดส) ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร อาจทำให้ท้องเสียงหรือมีแก๊ซในท้องได้ เพราะว่าร่างกายอาจจะสร้างเอนไซม์ที่ไม่พอสำหรับการย่อยน้ำตาลเหล่านี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“AIS” ผนึก 6 โอเปอเรเตอร์ ชั้นนำทั่วเอเชีย ครั้งแรกในโลกเปิดบริการข้ามพรมแดน

“AIS” ผนึก 6 โอเปอเรเตอร์ ชั้นนำทั่วเอเชีย ครั้งแรกในโลกเปิดบริการข้ามพรมแดน

“AIS” ผนึก 6 โอเปอเรเตอร์ ชั้นนำทั่วเอเชีย ครั้งแรกในโลกเปิดบริการข้ามพรมแดนประสานความร่วมมือดูแลลูกค้านักเดินทาง เชื่อมต่อสิทธิพิเศษเหนือระดับข้ามพรมแดน

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS เปิดเผยว่า  AIS ได้ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเอเชียจำนวน 6  ราย คือ  Singtel, Globe, HKT, Optus, Taiwan Mobile และ Telkomsel  เปิดตัวโปรแกรมดูแลลูกค้าข้ามพรมแดนระหว่างกัน เดินหน้าส่งมอบสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าของทั้ง 7 โอเปอเรเตอร์ขณะเดินทางท่องเที่ยวในไทย, สิงคโปร์, ฮ่องกง, ออสเตรเลีย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน และอินโดนีเซีย

โปรแกรมนี้จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นลูกค้าของทั้ง 7 โอเปอเรเตอร์ สามารถสะสมคะแนน แลกรับ และใช้คูปองส่วนลดสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเดินทาง, อาหาร, สินค้า, บริการ และอื่นๆ ขณะใช้บริการโรมมิ่งในต่างประเทศ รวมถึงอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของทั้ง 7 ค่าย สามารถติดต่อช่องทางบริการลูกค้าของเครือข่ายตนเองได้ทางโทรศัพท์หรือออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายขณะอยู่ต่างประเทศ

“การผนึกกำลังในโครงการนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกครั้งแรกที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียได้ประสานความร่วมมือข้ามพรมแดนเพื่อยกระดับการดูแลลูกค้าของแต่ละฝ่ายร่วมกันด้วยคอนเซ็ปท์ World’s First Cross-Border Telco Rewards อันถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่จะเป็นการเพิ่ม Ultimate Experience ด้านสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้า AIS ที่เดินทางไปใช้บริการของทั้ง 6 พาร์ทเนอร์ เช่นเดียวกับลูกค้าของพาร์ทเนอร์ เมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และเลือกใช้บริการจากเครือข่าย AIS ก็จะได้รับความพิเศษที่ AIS จัดเตรียมไว้ให้เสมือนหนึ่งเป็นลูกค้าของ AIS เช่นเดียวกัน โดยความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนความตั้งใจของเราเสมือนได้ติดตามดูแลลูกค้าผ่านประสบการณ์พิเศษเหนือระดับอย่างต่อเนื่องแม้จะเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว พร้อมยังได้มีโอกาสร่วมส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคเติบโต แข็งแกร่งอีกด้วย”

โปรแกรมสะสมแต้มระดับภูมิภาค คือ บริการใหม่ล่าสุด ที่เตรียมเปิดให้บริการภายในปี 2567 เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่เหนือกว่า ให้แก่ลูกค้า AIS ทั้งที่เลือกใช้บริการโรมมิ่ง อาทิ Ready2Fly, SIM2Fly และ GOMO by AIS อันจะเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงสิทธิพิเศษและข้อเสนอสุดคุ้มยิ่งขึ้นขณะอยู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ร้านค้าในประเทศไทยที่เป็นพันธมิตรกับ AIS อยู่แล้วผ่าน myAIS App จะได้รับประโยชน์จากฐานลูกค้าของพาร์ทเนอร์ที่ขยายวงกว้างยิ่งขึ้นผ่านโปรแกรมนี้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


10 ประโยชน์ของดอกคำฝอย และโทษของดอกคำฝอย

นอกจาก เจียวกู่หลาน ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในโลกออนไลน์ในขณะนี้แล้ว สมุนไพรดีๆ ที่หลายคนการันตีถึงสรรพคุณอันดีงามอีกอย่างหนึ่ง หรือ ดอกคำฝอย นี่แหละค่ะ ดอกคำฝอยมีลักษณะอย่างไร และมีประโยชน์อะไรที่เราอาจไม่เคยทราบบ้าง มาดูกันเลย

ดอกคำฝอย มีลักษณะเป็นอย่างไร

ดอกคำฝอย เป็นดอกไม้จากพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ที่มักปลูกมากกันทางภาคเหนือ ลำต้นสั้น ทนต่อสภาพอากาศ ดอกมีลักษณะกลม กลีบดอกเล็กเรียว และมีดอกเล็กย่อยออกมาหลายดอก สีเหลืองจนไปถึงส้ม หรือส้มแดงเมื่อแก่จัด

ประโยชน์ของดอกคำฝอย

  1. ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตันเส้นเลือด
  2. บำรุงประสาท และระงับประสาท ช่วยผ่อนคลายสมองให้หลับสบาย
  3. ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของโลหิตตามร่างกาย
  4. บำรุงโลหิต สลายลิ่มเลือด
  5. บำรุงหัวใจ ช่วยให้เลือดไหลไปหล่อเลี้ยงที่หัวใจมากยิ่งขึ้น
  6. รักษาอาการไข้หลังคลอดของคุณแม่
  7. แก้หวัดน้ำมูกไหล
  8. บำรุงโลหิตประจำเดือนของเหล่าคุณผู้หญิง
  9. ยับยั้งเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย
  10. ลดระดับน้ำตาลในเลือด

โทษของดอกคำฝอย

แม้ว่าดอกคำฝอยจะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณแทบจะครอบจักรวาล แต่ก็ยังมีข้อควรระวังก่อนทานเช่นกัน ดอกคำฝอยมักถูกใช้เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร โดยจัดรวมกลุ่มใช้ด้วยกันกับยา หรือพืชตัวอื่นๆ จะไม่ใช้ดอกคำฝอยเดี่ยวๆ เพราะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบเลือดได้

หากทานดอกคำฝอยมากเกินไป หรือติดต่อกันนานเกินไป อาจส่งผลให้มีอาการโลหิตจางได้ ซึ่งทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย วิงเวียนศีรษะ หรืออาจทำให้โลหิตประจำเดือนมามากผิดปกติ

นอกจากนี้ใครที่กำลังรับประทานยา หรือรับการรักษาโรคที่เกี่ยวกับลิ่มเลือด หรือกำลังทานยาสลายลิ่มเลือดอยู่ ไม่ควรทานดอกคำฝอย เพราะจะยิ่งเพิ่มการสลายลิ่มเลือดให้ออกฤทธิ์มากเกินไปจนอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ใครที่ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติดี สามารถทานดอกคำฝอยได้ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากดอกคำฝอยมากมาย ทั้งเครื่องดื่มผสมดอกคำฝอย ชงเป็นชาจากกลีบดอกที่แห้ง หรือจะสกัดออกมาเป็นน้ำมันดอกคำฝอย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น แต่ใครที่มีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/02/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,350.0034,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,225.0033,731.0034,950.00
ทองรูปพรรณ 90%2,002.5030,357.90n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,780.0026,984.80n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,001.0015,175.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%779.0011,809.64n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,306.0034,958.96n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/02/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.0538.0538.3538.0538.0538.0538.0538.0538.0538.05
แก๊สโซฮอล์ 9136.2836.2836.7836.2836.2836.2836.2836.2836.2836.28
แก๊สโซฮอล์ E2035.9435.9436.4435.9435.9435.9435.9435.9435.94
แก๊สโซฮอล์ E8535.6935.6935.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.4449.4449.4449.4445.44
เบนซิน 9545.9447.1146.4446.0945.94
ดีเซล B729.9429.9430.2429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า