สาระน่ารู้ประจำวันที่ 07 มีนาคม 2567

ลูกค้าจีนยืนหนึ่งต่างชาติซื้ออสังหาไทยพยุงตลาดฝ่าวิกฤติกำลังซื้อเหือด

ท่ามกลางเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศยังคงเปราะบางจากผลกระทบหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง การคุมเข้มสินเชื่อของสถาบันการเงิน ฯลฯ การเติบโตส่วนหนึ่งต้องพึ่งพากำลังซื้อต่างชาติเข้ามาพยุงตลาด! โดยเฉพาะ “ชาวจีน”ฝ่าวิกฤติกำลังซื้อเหือด

สัมมนาใหญ่ประจำปี 2567  “อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2024” จัดโดยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนมุมมองเศรษฐกิจ การปรับตัว และโอกาสของภาคธุรกิจไทย ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในเวที “ทิศทางและโอกาสของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและต่างประเทศปี 2567”

อาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพว่า ปีนี้จะมีคอนโดมีเนียมเปิดตัวใหม่ย่านใจกลางเมืองมากขึ้น ขณะที่เขตรอบนอกเมืองและชานเมืองมีน้อยกว่า สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์นอกเขตกรุงเทพฯ ของชาวต่างชาติมีมากขึ้น สังเกตได้จากปี2566เป็นปีแรกที่จํานวนโอนคอนโดชาวต่างชาตินอกเขตกรุงเทพฯ มากกว่าในกรุงเทพฯ สะท้อนว่าต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต พัทยา มากขึ้น

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในส่วนของ “ชาวต่างชาติ” พบว่า ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2566 มียอดโอนกรรมสิทธิ์ต่างชาติ จำนวน 10,703 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 52,200 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของชาวรัสเซียและไต้หวัน ขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดทั้งเชิงยูนิตและมูลค่า 

ยกตัวอย่างกลุ่มรัสเซีย มีจำนวน 962 ยูนิต มูลค่า 3,436 ล้านบาท เน้นทำเลภูเก็ต  ไต้หวัน มี 378 ยูนิต มูลค่า 1,841 ล้านบาท ซื้อในราคาเฉลี่ย 4.9 ล้านบาท/ยูนิต  เมียนมา แม้จำนวนยูนิตไม่มาก แต่ด้านมูลค่าการซื้อขึ้นเป็นอันดับ3จากปีก่อนไม่ติดท็อป10ด้วยมูลค่า 2,250 ล้านบาท มีค่าเฉลี่ยซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคา 6.5 บาท/ยูนิต สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในชาวต่างชาติ

“ยอดรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ปี 2565-2566 คนต่างชาติขยับสัดส่วนมาที่ 25% คนไทย 75% ด้านยูนิตไต้หวันสูงสุด ด้านมูลค่าจีนแผ่นดินใหญ่มากสุด จากปี 2563-2564 สัดส่วนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนไทยต่อต่างชาติอยู่ที่ 88% ต่อ 12%”

สำหรับงบประมาณการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ขยับมาสู่กลุ่มลักชัวรีมากขึ้น ในกลุ่มบ้านหรือวิลล่ามี 2 กลุ่ม คือระดับราคา 30-70 ล้านบาทมากสุด รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 70-100 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียม มี 2 กลุ่มเช่นกัน ราคา 20- 50 ล้านบาทมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 50- 80 ล้านบาท

“หากสามารถขยายลีสโฮลด์บ้านแนวราบและที่ดินได้เพิ่มจากเดิม 30 ปี น่าจะช่วยดึงกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างชาติได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการแนวราบ เพราะที่ผ่านมาต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียมได้อยู่แล้ว”

ชี้ ESG ไม่ใช่จุดขายแต่ต้องทำ

อนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด หรือ เจแอลแอล กล่าวว่า การลงทุนจากต่างประเทศมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่หลั่งไหลเข้าไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2566 พื้นที่สำนักงานกว่า 65% เป็นการเช่าโดยบริษัทข้ามชาติ นอกจากนี้ชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมที่มีการซื้อขายในกรุงเทพฯ

จากการที่ประเทศไทยกำลังพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่ายังมี “โอกาส” เพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อีก ผ่านการใช้มาตรการทางเลือกต่างๆ เช่น ขยายระยะเวลาสัญญาเช่าที่ดินและสิ่งจูงใจในการลงทุน รวมถึงมาตรฐาน ESG ไม่ใช่ จุดขาย แต่เป็นปกติต้องทำมิเช่นนั้นสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

“การมุ่งเน้นด้าน ESG การฟื้นฟูอาคารเก่าให้มีสภาพดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าบริษัทข้ามชาติเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา กรุงเทพฯ ดึงอุปทานคุณภาพทั้งสำนักงาน ที่อยู่อาศัย โรงแรม เข้ามามากขึ้น ผนวกกับโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าเทียบเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย”

คนจีนนิยมซื้ออสังหาฯ อันดับ 5

เค่อ เจีย เตียว (ไมค์) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาร์วี่แลนด์ จำกัด กล่าวว่า 10 ประเทศที่คนจีนนิยมซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ประเทศไทย เป็นอันดับที่ 5 รองจากสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ส่วนอันดับหนึ่ง ออสเตรเลีย 

จากผลสำรวจตั้งแต่ ปี 2566-2568  มีชาวจีน 712,000 คน สนใจที่จะเปลี่ยนสัญชาติ โดย 3 อันดับแรก สหรัฐ แคนาดา และออสเตรเลีย ส่วนวัตถุประสงค์ของคนจีนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ อันดับแรก ใช้พักผ่อน 31.80%  อันดับสองเพื่อการลงทุน 27.40% อันดับสาม เพื่อการศึกษา 21.10% อันดับสี่เพื่อย้ายถิ่นฐาน 14.30% และอันดับห้า เพื่อเกษียณอายุ 5.40%

“การซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นดีเอ็นเอของคนจีนที่ถูกปลูกฝั่งมาตั้งแต่เกิดว่าการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องต้องทำเป็นอันดับต้น แตกต่างจากคนชาติอื่น ยกตัวอย่างคนที่จะแต่งงานต้องมีบ้านเป็นของตนเองก่อน”

อย่างไรก็ตาม คู่แข่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยหลักๆ คือ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ข้อได้เปรียบของ “มาเลเซีย” คือ นโยบายภาครัฐที่ให้เช่าระยาวมากกว่า 30 ปี  และคนมาเลเซีย ส่วนหนึ่งสามารถสื่อสารภาษาจีนกลางได้ ขณะที่ “ญี่ปุ่น” ให้ความรู้สึกเป็นประเทศที่สะอาดมีความเป็นระเบียบ “สิงคโปร์” ให้ความรู้สึกถึงความปลอดภัย

สำหรับข้อดีของอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยในสายตาคนจีน คือ ไทยมีเสถียรภาพ เป็นมิตรกับคนต่างชาติ  เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพมั่นคง นิยมลงทุนระยะยาว และประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและปลอดภัย

“แนวโน้มคนจีนที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยจะกลับมาอีกครั้ง แต่ต่างจากเดิม ไม่ได้แห่ซื้ออีกต่อไป เพราะกำลังซื้อจำกัดบางกลุ่ม เพราะโอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะกลับมาโตปีละ 8% คงไม่มีอีกแล้ว ประกอบกับคนจีนมีข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยมากขึ้น เพราะมีสื่อโซเชียลมีเดีย”

ชาวจีนที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ให้ความสำคัญ ทำเล สภาพแวดล้อม หรือความปลอดภัย และเป็นการซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านถูกต้องตามกฏหมาย โดยอสังหาริมทรัพย์โซน “อีอีซี” ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีนอย่างมาก!

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


โฮม่าเชิงทะเลชูจุดขายอพาร์ตเมนต์โคเวิร์คกิ้งใกล้หาดบางเทาทำเลฮอต

โฮม่าเชิงทะเล ชูจุดขายอพาร์ตเมนต์โคเวิร์คกิ้งใกล้หาดบางเทาทำเลฮอตจุดหมายปลายทางการพักผ่อนย่านเชิงทะเลในภูเก็ต รองรับคนที่มองหาที่พักระยะสั้นและระยะยาวใกล้ชิดกับธรรมชาติในแบบที่ไม่เหมือนใคร

ลูก้า ดอตติ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของโฮม่า กล่าวว่า หลังจากที่โฮม่าเปิดให้บริการสาขาแรกที่ภูเก็ตทาว์นในปี 2562 และสร้างชุมชนขนาดใหญ่ที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 90% จากอพาร์ตเมนต์ทั้งหมด 505 ห้อง โฮม่าจึงได้ขยายโครงการไปยังย่านเชิงทะเล เพื่อสร้างชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเราเลือกพื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของโครงการใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทจากแหล่งท่องเที่ยวไปสู่การเป็นย่านที่อยู่อาศัยมากขึ้น

หลังจากการระบาดของโควิด-19 ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากธุรกิจต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ ในบริเวณพื้นที่เชิงทะเลและบางเทา ส่งผลให้ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยสูงขึ้น จึงตระหนักถึงความต้องการในด้านของความยืดหยุ่นและที่อยู่อาศัยทางเลือกในราคาที่เข้าถึงได้ 

ด้วยเหตุนี้จึงได้พัฒนาโรงแรมโฮม่า สาขาเชิงทะเล โดยมีห้องพักที่หลากหลายตั้งแต่ห้องสตูดิโอ อพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอน แฟลต 2 ห้องนอน ไปจนถึงห้องสวีท 3 ห้องนอน รวมทั้งหมด 423 ยูนิต ทุกห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทำอาหาร มุ่งสร้างความสะดวกสบายสูงสุดให้แก่ผู้พักอาศัย

นอกจากนี้ยังมี “People” ร้านกาแฟและเครื่องดื่มบริเวณชั้นล่าง และ “Mingle” ร้านอาหารริมสระน้ำบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการพบปะสังสรรค์ในบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานและส่งเสริมการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีคุณภาพในชุมชนเชิงทะเล

มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการอยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ โดยค่าเช่าครอบคลุมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ห้องออกกำลังกาย คลาสออกกำลังกาย พื้นที่ co-working space บริการทำความสะอาด และกิจกรรมพบปะรายสัปดาห์ ตั้งแต่การชมภาพยนตร์ยามค่ำคืน สโมสรฟุตบอล ไปจนถึงเวิร์คช็อปพิเศษและกิจกรรม networking  ซึ่งทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีคุณภาพและภายใต้การสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง โดยโฮม่ามุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่อบอุ่นและสะดวกสบาย สร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถเติบโตและสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้อย่างเต็มที่

พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยนำเสนอนวัตกรรมการออกแบบที่ช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำ เช่น การนำร่องโปรแกรมรีไซเคิล การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบอนุรักษ์น้ำที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ทุกแง่มุมของอาคารโรงแรมถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์มาตรฐานความยั่งยืนสูงสุด พร้อมทั้งได้รับการรับรองจาก LEED และ EDGE ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งเสริมวิถีชีวิตที่เข้ากันได้กับการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบายและยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้7มี.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 35.62 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแข็งค่าจากแรงหนุนโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก แต่โฟลว์ธุรกรรซื้อมเงินเยนอาจชะลอการแข็งค่าของเงินบาทบ้าง ไฮไลท์วันนี้ตลาดรอลุ้นผลการประชุม ECB

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้7มี.ค.2567 ที่ระดับ  35.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.69 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า  แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัวลักษณะ sideways down แต่ทว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันศุกร์ และผลการประชุม ECB ในคืนวันนี้ ทำให้เราประเมินว่า ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุม ECB เงินบาทก็อาจแกว่งตัวในกรอบ 35.55-35.75 บาทต่อดอลลาร์

 นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงเช้านี้ จากรายงานอัตราการเติบโตของรายได้ (Average Cash Earnings) ที่ออกมาดีกว่าคาดและสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคาดหวังการทยอยปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าใกล้ระดับ 149 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะทยอยเข้าซื้อเงินเยนญี่ปุ่นในช่วงนี้บ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ หากไม่มีปัจจัยหนุนการแข็งค่าที่ชัดเจน

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ก็ทำให้ราคาทองคำเริ่มเข้าสู่โซน Overbought ทำให้มีความเสี่ยงที่ ราคาทองคำอาจเผชิญการปรับฐานได้พอสมควร หากมีปัจจัยลบเข้ามากดดัน ซึ่งอาจส่งผลให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้างได้เช่นกัน ทำให้เรามองว่า ควรระวังในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB ที่เราคาดว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างขึ้นในช่วง 35.50-35.85 บาทต่อดอลลาร์

เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.85 บาท/ดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 35.58-35.74 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน (ยอดการจ้างงานเอกชน โดย ADP เพิ่มขึ้น +1.4 แสนตำแหน่ง แย่กว่าคาด

ส่วนยอดตำแหน่งงานเปิดรับ Job Openings ชะลอลงสู่ระดับ 8.86 ล้านตำแหน่ง ดีกว่าคาดเล็กน้อย) นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของประธานเฟดก็ย้ำว่า เฟดมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ ทว่าเฟดจะยังไม่รีบลดดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย 2% ได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำเพิ่มเติมและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็ช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทบ้าง

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ท่ามกลางความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตามคาด และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็อาจชะลอลงแบบ Soft Landing ตามถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในช่วงคืนที่ผ่านมา

โดยภาพดังกล่าวได้หนุนให้หุ้นธีม AI/Semiconductor รีบาวด์ขึ้น นำโดย Nvidia +3.2% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานในคืนวันศุกร์นี้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.51%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.39% ตามการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth โดยเฉพาะหุ้นธีม AI เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML +1.4%

หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ยังทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ อนึ่งผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่รีบปรับสถานะการลงทุนมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในคืนนี้

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงสู่ระดับ 4.10% ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานต่อเนื่อง และถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ส่งสัญญาณว่าเฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ แม้ว่าจังหวะการลดดอกเบี้ยอาจยังไม่มีความแน่นอน ขึ้นกับพัฒนาการของอัตราเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ แม้เราจะยังคงมองว่า การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เช่น ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.50% อาจเกิดขึ้นได้ยาก แต่ในระยะสั้น ควรระวังความผันผวนของบอนด์ยีลด์ ที่อาจพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้ หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด “เซอร์ไพรส์” ผู้เล่นในตลาดและเรา

อย่างไรก็ดี Risk-Reward ของการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวก็ยังคุ้มค่าอยู่ ทำให้เราคงมองว่า นักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน (อาจเน้นทยอยเข้าซื้อในโซน บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เหนือระดับ 4.20%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน (ขณะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรป กลับออกมาดีกว่าคาดในช่วงนี้ และช่วยหนุนสกุลเงินฝั่งยุโรป

ทั้ง EUR และ GBP) และถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ย้ำว่า เฟดสามารถลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ แม้จังหวะการลดยังมีความไม่แน่นอน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อลงใกล้ระดับ 103.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.2-103.7 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ  ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) สามารถปรับตัวขึ้นต่อ เหนือระดับ 2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ถึงเป้าของราคาทองคำในปีนี้ของเราเป็นที่เรียบร้อย) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นอย่างใกล้ชิด คือ ผลการประชุม ECB ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ เราประเมินว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 4.00%

ทว่า เราจะจับตาอย่างใกล้ชิดว่า คาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ของ ECB จะสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนอย่างไร รวมถึง ถ้อยแถลงของประธาน ECB จะมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย ที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าและลึกกว่าเฟดหรือไม่ เนื่องจากมุมมองดังกล่าวต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน จะส่งผลกระทบต่อเงินยูโร (EUR) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ นั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจต้องระมัดระวังในการวิเคราะห์พอสมควร จากผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลช่วงเทศกาลตรุษจีน

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอีกหลายท่าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 35.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.69 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับทั้งค่าเงินสกุลหลักและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย หลังจากที่สุนทรพจน์ของประธานเฟดยังคงสะท้อนสัญญาณเดิมที่ว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

แม้จะยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาของการเริ่มปรับลดดอกเบี้ย เพราะจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มการกลับเข้าสู่เป้าหมาย 2% ของเงินเฟ้อสหรัฐฯ ก็ตาม) นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังมีปัจจัยลบจากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ. ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาดด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.50-35.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค สุนทรพจน์ของประธานเฟดต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐฯ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัวเลขการส่งออกเดือนม.ค.-ก.พ. ของจีน และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“วอลเลย์บอลเวิลด์” ผนึก “สปอนเซอร์” จัดศึกเนชันส์ ลีก 2024 รอบไฟนอลส์

กลุ่มธุรกิจ TCP ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “สปอนเซอร์” เครื่องดื่มสปอร์ตดริงก์อันดับหนึ่งในไทย ร่วมกับ Volleyball World ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการเป็น Title Sponsor การแข่งขัน “วอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ ลีก 2024 รอบชิงชนะเลิศ กรุงเทพฯ” ขึ้นแท่นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่ให้คนไทยได้ชมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “สปอนเซอร์ สดชื่นไปต่อขั้นสุด เพื่อเป็นที่สุดในทุกกิจกรรม” สนับสนุนกีฬาทุกรูปแบบ กระตุ้นให้คนมาออกกำลังกายกันมากขึ้นผ่านกิจกรรมที่อัดแน่นตลอดทั้งปี

นายฟินน์ เทย์เลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Volleyball World กล่าวว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ สปอนเซอร์ ในการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ ลีก 2024 รอบชิงชนะเลิศในประเทศไทย ซึ่งกรุงเทพฯ ถือเป็นสถานที่จัด VNL ที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะแฟนวอลเลย์บอลชาวไทยที่มีพลังเชียร์อย่างยิ่งใหญ่ จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมาที่มียอดผู้ชมการแข่งขัน VNL ทางโทรทัศน์และออนไลน์สูงถึง 68 ล้านวิว สะท้อนถึงความนิยมกีฬาวอลเลย์บอลในประเทศไทยและทั่วโลก เชื่อว่า ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการจัดการแข่งขันรอบสุดท้ายในประเทศไทยนี้ จะสร้างประสบการณ์การแข่งขันที่ประทับใจและยิ่งใหญ่ระดับโลก และเป็นแมตช์ที่น่าประทับใจของแฟนวอลเลย์บอลอย่างแน่นอน”

นางประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลบอล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า “สปอนเซอร์ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่มอบประสบการณ์ระดับโลกให้คนไทย พร้อมสร้างชื่อเสียงระดับโลกให้กับประเทศไทย โดยการสนับสนุนให้เกิดการแข่งขัน VNL รอบชิงชนะเลิศ เป็นครั้งแรกในไทย เพื่อให้คนไทยและผู้ที่รักวอลเลย์บอลมีโอกาสได้เชียร์ทีมไทยพร้อมกับทีมระดับโลก ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างใกล้ชิดติดขอบสนาม การสนับสนุนการแข่งขัน VNL 2024 ครั้งนี้ จะทำให้ผู้ชมกีฬาเห็นแบรนด์สปอนเซอร์ ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคนในช่วงที่มีการแข่งขัน นับเป็นการสร้างแบรนด์ที่เข้าถึงผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชื่นชอบกีฬา ทำให้ สปอนเซอร์ เป็นแบรนด์ที่ครองใจคนไทยอย่างแท้จริง ตอกย้ำผู้นำตลาดสปอร์ตดริงก์ อันดับ 1 ของไทย”

นอกเหนือจากการสนับสนุนการแข่งขัน VNL แล้ว สปอนเซอร์ ได้สนับสนุนกีฬาและนักกีฬา ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แคมเปญ “สปอนเซอร์ สดชื่นไปต่อขั้นสุด เพื่อเป็นที่สุดในทุกกิจกรรม” ครอบคลุมหลากหลายกีฬา เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกาย สร้างสุขภาพที่ดี ผ่านกิจกรรมการแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งระดับประเทศและมหกรรมกีฬาโลก รวมกว่า 150 งาน ตลอดทั้งปี รวมทั้งแคมเปญ “ร้อน ดื่มสปอนเซอร์” ด้วยประเทศไทยมีช่วงฤดูร้อนที่ยาวนาน การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันแม้ไม่ได้ออกกำลังกายก็ทำให้เสียเหงื่อและเกลือแร่ได้ การเติมเกลือแร่จึงสำคัญและเกลือแร่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นฮีทสโตรกได้ การเติมเกลือแร่จึงสำคัญและมีส่วนช่วยต่อสู้กับสภาพอากาศร้อน

สำหรับแคมเปญ “เชียร์ไทยเชียร์ให้สุดใจในแมตช์หยุดโลก” ประกอบด้วย Sponsor Fan Zone ให้แฟนวอลเลย์บอลไทยได้เชียร์ให้สุดใจแบบติดขอบสนาม กิจกรรมสร้างความตื่นเต้น ปลุกพลังเชียร์ ทั้ง Double Giant Balloon ให้เหล่าผู้ชมในสนามได้ร่วมสนุก ลุ้นรับเสื้อวอลเลย์บอลจากสปอนเซอร์ นอกจากนี้ในบริเวณงานยังมี Sponsor Booth Activity ให้ร่วมเล่นเกม และแจกเครื่องดื่มสปอนเซอร์เติมความสดชื่นในงานด้วย มาร่วมเชียร์ทีมชาติไทยและทีมระดับโลกในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2567 ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ติดตามรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ และติ๊กต่อก

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


3 โรคผิวหนังที่มักเกิดในหน้าร้อน พร้อมวิธีดูแล

โรคผิวหนังที่มักเกิดในหน้าร้อน ผศ.พญ.มาริษา พงศ์พฤติพันธ์ หัวหน้าหน่วยผิวหนัง ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า แสงแดด ไม่ได้ให้แค่โทษกับผิวหนัง เพราะให้ทั้งวิตามินดี ที่ช่วยให้เรามีกระดูกที่แข็งแรง แต่ก็เป็นข้อดีที่มาพร้อมข้อเสีย เพราะแสงแดดทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ผิวหมองคล้ำ และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ในหน้าร้อนเราควรดูแลผิวหนังของเรามากเป็นพิเศษ

โรคผิวหนังที่เกิดในหน้าร้อน

  1. โรคที่เกิดจากผดร้อน เกิดจากความอับชื้นที่เกิดจากเหงื่อไคล เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ปกปิดตลอดเวลา ไม่ค่อยระบายอากาศ จนอาจทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นตามร่างกายได้
  2. โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการผื่นหรือตุ่มอักเสบบริเวณข้อพับต่างๆ เช่น รักแร้ ใต้ราวหน้าอก เป็นต้น ผื่นสามารถอยู่รวมกันเป็นแผ่นใหญ่ๆ และมีอาการคันได้
  3. โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เมื่อผิวหนังเจอกับเหงื่อ อาจเกิดผื่นเห่อทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น และมักเกิดผื่นเห่อบริเวณที่เกิดเหงื่อบ่อยๆ เช่น หน้าผาก ซอกข้อพับที่แขนขา รักแร้ เป็นต้น

วิธีดูแลผิวในหน้าร้อน

ผิวที่มักมีปัญหาในหน้าร้อนมากกว่าคนอื่นๆ คือผู้ที่มีผิวมัน เพราะเมื่อไขมันผสมกับเหงื่อ ทำให้ไขมันกระจายไปได้มากขึ้น อาจทำให้รู้สึกว่าหน้ามันมากกว่าปกติ

การซับเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า หรือทิชชู่เบาๆ สามารถทำได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้กระดาษกดซับมันแรงๆ เพราะอาจรีดเอาไขมันออกมาจากต่อมไขมันมากเกินไป หากสามารถล้างหน้าได้ ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยแนะนำให้ใช้สบู่อ่อนๆ ในการล้างหน้า

คนที่มีผิวแห้ง อาจเกิดอาการระคายเคืองจากคราบเหงื่อคราบไคล และอาจมีอาการแสบแดงได้ 

หากสามารถลดการสัมผัสเหงื่อกับผิวหนังได้ให้มากที่สุด ก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

วิธีเลือกครีมกันแดด เพื่อดูแลผิวในหน้าร้อน

ควรเลือกครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดทั้งแสง A และแสง B นั่นคือ เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของไทเทเนียม หรือซิงค์ออกไซด์ หรือสัญลักษณ์ UVA และมีรูปวงกลมล้อมรอบ รวมถึงการระบุค่า PPD หรือ PA ส่วนค่า SPF ควรเลือกตั้งแต่ค่า SPF 30 ขึ้นไป และควรมีการทาครีมกันแดดซ้ำเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งทั้งวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 ภาษาที่เรียนรู้ไว้ได้งานดี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในโลกปัจจุบันนั้นภาษาที่ 2 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากๆในปัจจุบัน อีกทั้งภาษายังเป็นสื่อกลางหรือเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการส่งสารไปถึงผู้อื่น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ ก็ด้วยภาษานี้แหละครับ และภาษาก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ดีที่สุดในการทำให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งภาษายังเปรียบเสมือนวัฒนธรรมอีกสิ่งหนึ่งของมนุษย์ในแต่ละชาติอีกด้วย ยิ่งเพื่อนๆสามารถสื่อสารได้มากภาษาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสในการทำงานกับองกรณ์ต่างชาติได้มากขึ้นมีโอกาสต่างๆที่มากขึ้นอาทิเช่น การติดต่อกับต่างประเทศ การมีคอนเนคชั่นกับชาวต่างชาติ สามารถเลือกอาชีพได้เยอะกว่า

วันนี้แอดมินจากเพจ Engduo Thailand จะมาบอก 5 ภาษาที่ควรเรียนรู้ไว้เป็นภาษาที่ 2 เพื่อโอกาสการก้าวหน้าในสายการทำงานในอนาคต

1.ภาษาอังกฤษ

เรามาเริ่มต้นกันที่ภาษาแรกกันเลย ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นภาษาสากลของโลกที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันทางสถาบันสอนภาษา Engduo Thailand อยากให้เพื่อนๆฝึกฝนและเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้สามารถสื่อสารได้คล่อง ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่เพื่อนๆเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ตาม แต่เราเชื่อว่ายังมีเพื่อนๆบางคนที่ยังมีความกังวลในการที่จะพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกันอยู่ บางคนอาจจะสามารถสื่อสารได้แต่ยังมีความอายที่จะพูด ซึ่งพื้นที่การเรียนการสอนของไทยนั้นจะเน้นไปที่การท่องจำคำศัพท์ และ Grammar เป็นหลักแต่ไม่มุ่งเน้นไปที่การพูดทำให้คนไทยขาดความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ

การที่เพื่อนๆจะเพิ่มโอกาสในการงาน และ เพิ่มรายได้ที่ดีขึ้นนั้น ภาษาอังกฤษยังเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เพื่อนๆควรมีติดตัวไว้ เนื่องด้วยในปัจจุบันอาชีพต่างๆมีการใช้ภาษาอังกฤษที่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น วิศวกร, IT, Blogger, นักการตลาด หรือ Marketing ฉommunication และ อื่นๆอีกมากมาย ต่างก็มีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น  ดังนั้นถ้าเพื่อนๆสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดียังสามารถมีโอกาสในการทำอาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นหลักอีกด้วยเช่น แอร์โฮสเตท หรือ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน, พนักงานโรงแรม, ล่าม, ครูภาษา, มัคคุเทสก์ หรือ ไกด์ เมื่อเพื่อนๆเห็นประโยชน์มากมายของภาษาอังกฤษนี้แล้วอย่ามัวรอช้า ควรเรียนให้รู้ให้จริง และกล้าที่จะนำมาใช้เพื่ออนาคตที่ดีนะครับ

2.ภาษาจีน

อย่างที่เราทุกๆ คนทราบกันดีอยู่เเล้วว่า ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาที่ควรเรียน เเละมีความต้องการมากๆ โดยเฉพาะในการลงทุนทำธุรกิจ ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาที่คนใช้มากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะประชากรชาวจีนมีมากถึง 1,400 ล้านคน เเละประชากรจีนยังกระจายไปอยู่ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ใช่เเค่ประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้ภาษาจีน ใต้หวัน, ฮ่องกง, สิงคโปร์ เเละอีกหลายๆ ประเทศก็ใช้ภาษาจีนในการสื่อสารชีวิตประจำวันของคนในประเทศของเขาด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ภาษาจีนยังมีประโยชน์ในการสร้างโอกาสในการทำงานมากขึ้นอีกด้วย ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่ผู้ประกอบการต้องการ เเละพร้อมจ่ายค่าภาษาเพิ่มให้กับลูกจ้าง ผู้สมัครบางคนต้องไปทำการสอบวัดระดับภาษาเพื่อมายื่นรับเงินเดือนเพิ่มเติมในส่วนของภาษาที่สอบได้ การทำธุรกิจก็เช่นกัน ภาษาจีนยังเป็นอีกภาษาที่ใช้ในการติดต่อค้าขาย การที่เราสามารถพูดภาษาจีนเองได้เลยก็ช่วยให้การทำงานนั้นสะดวกง่าย เเละรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย

3.ภาษาญี่ปุ่น

อีกหนึ่งภาษาที่แอดมินอยากให้เพื่อนๆเรียนรู้ไว้นั่นก็คือภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง เพื่อนๆอาจสังเกตุได้ว่าในปัจจุบันนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมาระดมทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุตสาหกรรม,ไฟฟ้า,เครื่องกล,ยานยนต์ หรือ อาหารที่มีกระจาย และ แพร่หลายอยู่ทั่วประเทศไทย ดังนั้นเมื่อพุดถึงโอกาสในการทำงานแล้วการที่เพื่อนๆสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ถือเป็นโอกาสในการเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ๆต่างๆของญี่ปุ่นอีกด้วย

ยิ่งถ้าเพื่อนๆที่จบสายวิศกรรมมานั้นการที่เพื่อนๆสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ถือเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่เพื่อนๆจะมีโอกาสหรือได้รับการคัดเลือกมาทำงานมากกว่าผู้สมัครที่จบมาในสายงานเดียวกันแต่ไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ เมื่อเพื่อนๆเห็นประโยชน์ต่างๆของภาษาญี่ปุ่นแล้วเพื่อนๆเตรียมปักหมุดไว้เลยว่าภาษาญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งภาษาที่เพื่อนๆควรเรียนรู้ไว้

4.ภาษาเกาหลี

ภาษาเกาหลี เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เเม้ว่าภาษาเกาหลีจะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเเพร่หลายเหมือนภาษาอื่นๆ เเต่ปัจจุบัน วัฒนธรรม ดารา นักร้อง ละครซีรีย์ ที่มาจากประเทศเกาหลีใต้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจะเห็นภาษาเกาหลีในเเวดวง ธุรกิจ การค้า รวมถึงงานบันเทิงอย่าง คอนเสิร์ต หนัง ละคร เป็นต้น

ภาษาเกาหลีจะมีความคล้ายกับ ภาษาญี่ปุ่น ตัวอักษรเเละเสียงจะอ่านได้ไม่ยากมาก ภาษาเกาหลีถือว่าง่ายกว่าภาษาอื่นๆ เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ชื่นชอบการดูซีรีย์เกาหลีด้วยเเล้ว การเรียนภาษาเกาหลีจะไปได้เร็ว ไปได้ไกลมากๆ เลย หากว่าใครพูดเกาหลีได้ ก็จะเปิดกว้างในด้านอาชีพการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ล่าม นักเเปล ครูสอนภาษาเกาหลี เป็นต้น

5.ภาษาฝรั่งเศษ

ภาษาฝรั่งเศส เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ทางเพจ Engduo Thailand อยากให้เรียนรู้ไว้เพราะ ภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาราชการที่ใช้กันมากกว่า 20 ประเทศ หรือรวมๆแล้วใช้กันประมาณ 5 ทวีป และเชื่อว่าในอนาคตภาษาฝรั่งเศษมีเเนวโน้มที่คนจะใช้กันไปเรื่อยๆ อย่างองค์กรใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ หรือ องค์การยูเนสโก้ ก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการทำงานด้วย

นอกจากนี้ภาษาฝรั้งเศสยังเป็นภาษาพื้นฐานในการที่เพื่อนๆ สามารถนำไปต่อยอดเรียนภาษาอื่นๆ ได้ อย่างเช่น ภาษาสเปน ภาษาอิตาลี เป็นต้น ถ้าเพื่อนๆ สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ มันก็จะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เพราะหลายๆ บริษัทชั้นนำของโลกใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารและการทำงาน นอกจากนี้ภาษาฝรั้งเศษยังเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรม เเละ ผลงานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ศิลปะ ภาพยนตร์ การออกแบบสถาปัตยกรรมต่าง ๆ การที่เราสามารถอ่านภาษาฝรั้งเศษออกก็จะทำให้เราเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ได้มากยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


AI กลายเป็น “ทอล์คออฟเดอะทาวน์” แต่ธุรกิจยังไม่พร้อม

  • ผลสำรวจชี้ว่า การทดลองใช้ Gen AI ในปี 2566 เพียง 9% ที่บอกว่านำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างกว้างขวาง
  • ผู้ใช้งานในช่วงแรกส่วนใหญ่ใช้งาน gen AI ในพื้นที่ธุรกิจที่จำกัด แต่มีแผนที่จะขยายการใช้งานอย่างมากในปี 67
  • การนำ Gen AI ไปใช้อย่างรวดเร็วต้องเผชิญกับอุปสรรค เช่น ขาดโครงสร้างพื้นฐาน ความสามารถด้านไอที แนวทางกำกับดูแล วัฒนธรรมองค์กร ทักษะที่เหมาะสม

การนำ AI มาใช้สำหรับธุรกิจยังไม่สอดคล้องกับกระแสนิยมในเทคโนโลยี เพราะมาตรการข้อมูลส่วนบุคคคล กฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้งานอย่างแพร่หลาย ตามการการสำรวจทั่วโลกของผู้นำธุรกิจมากกว่า 300 ราย จัดทำโดย MIT Technology Review Insights และบริษัทโทรคมนาคมในออสเตรเลีย Telstra เปิดเผยว่า มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้ AI อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ผู้นำส่วนใหญ่มองในแง่ดีเกี่ยวกับ ศักยภาพของ AI และคาดว่าจะขยายการใช้งานให้กว้างขึ้น แต่ในปัจจุบันแม้แต่กลุ่มแรกที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ยังปรับใช้เทคโนโลยีนี้ในพื้นที่ธุรกิจที่จำกัด สาเหตุมาจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความง่ายในการใช้งาน AI สำหรับองค์กร การนำไปใช้อาจทำให้บริษัทต้องปรับปรุงคุณภาพและความสามารถของข้อมูล มาตรการความเป็นส่วนตัว ทักษะด้าน AI และดำเนินการกำกับดูแล AI ที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบทั่วทั้งองค์กร นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบอื่น เช่น การออกแบบแอปฯ การเชื่อมต่อกับข้อมูลและกระบวนการทางธุรกิจ นโยบายองค์กร ฯลฯ 

ถึงอย่างนั้นผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ก็คาดหวังว่า ฟังก์ชันทางธุรกิจหรือวัตถุประสงค์ทั่วไปที่จะใช้งาน Generative AI จะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2567

ในปี 2566 ผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 85% คาดหวังว่าจะใช้ AI สำหรับงานที่มีมูลค่าต่ำภายในปี 2567 โดย 77% คาดว่าจะนำไปใช้ในการบริการลูกค้า และ 74% สำหรับการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ โลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทาน และการขายเป็นด้านอื่นๆ 

รายงานกล่าวถึงอุปสรรคหลายประการที่ธุรกิจจะนำ Generative AI ไปใช้ โดยเฉพาะทรัพยากรและความสามารถด้านไอที

  • น้อยกว่า 30% จัดอันดับคุณลักษณะด้านไอทีของบริษัทว่าเอื้อต่อการนำ AI เชิงสร้างสรรค์มาใช้อย่างรวดเร็ว 
  • 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม งบประมาณการลงทุนด้านไอทีเป็นปัจจัยที่จำกัดการใช้ AI
  • 77% อ้างว่ากฎระเบียบ การปฏิบัติตามข้อกำหนด และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นอุปสรรคสำคัญ

สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เทคโนโลยี AI เริ่มมีชื่อเสียงในปลายปี 2565 หลังจากการเปิดตัว Open AI ChatGPT ยอดนิยม นำไปสู่การฟ้องร้องมากมายที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์ บริษัทใหญ่ๆ ยังประสบปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและปัญหาด้านความปลอดภัยเนื่องมาจากการใช้งาน 

ข้อเสนอในรายงานระบุว่า การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้จะต้องมีการวางโครงสร้างการกำกับดูแลและข้อกำหนดหรือข้อตกลงความปลอดภัยที่มั่นคงสำหรับโมเดล AI  ซึ่งความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับบริษัทต่างๆ ที่ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ภายในที่แข็งแกร่ง ซึ่งตามรายงาน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ กล่าวว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบริษัทมีความสามารถในระดับปานกลาง

อุปสรรคอื่นๆ ในการนำ Gen AI มาใช้ตามที่ผู้ตอบแบบสำรวจระบุ ได้แก่ การขาดทักษะด้าน AI เชิงสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง บริษัทต่างๆ กังวลว่าไม่มีบุคลากรที่มีความสามารถที่เหมาะสมภายในองค์กร 

อย่างไรก็ตาม การสำรวจสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกเชิงบวกโดยรวมเกี่ยวกับบทบาทในอนาคตของ Generative AI ในธุรกิจ ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 6 ใน 10 ราย คาดหวังว่าโมเดล AI นี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมของตนเองในอีก 5 ปีข้างหน้า ส่วน 78% มองว่าเป็นโอกาสในการแข่งขัน และประมาณ 8% มองว่าเป็นภัยคุกคาม

ตามรายงานจาก McKinsey ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว Generative AI คาดว่าจะมีผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดต่อการขาย การตลาด การดำเนินงานของผู้บริโภค การพัฒนาซอฟต์แวร์ และภาคการวิจัยและพัฒนา และสามารถเพิ่มมูลค่าประมาณ 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับเศรษฐกิจโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ครั้งแรกในไทย เซราไมด์จากข้าวสาลี ในรูปแบบน้ำมัน ไอเท็มเด็ดที่ต้องมี กู้คืนความชุ่มชื้นให้ผิว

“ผิวแห้ง” ไม่ใช่แค่การสัมผัสที่ไม่เรียบเนียน แต่คือการที่ผิวมีความแห้งกร้านอย่างเห็นได้ชัด และส่งผลกระทบไปถึงจิตใจและความรู้สึกด้วยเช่นกัน เพราะทำให้เกิดความรำคาญใจ และสูญเสียความมั่นใจได้  แม้จะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อผิวแห้งจะต้องเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่ใช่ว่าจะง่ายเสมอไปเนื่องจากต้องอาศัยความสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวฟื้นบำรุงจากภายในให้มีความสมดุลมากขึ้น จึงทำให้ชัดเจนว่าการดูแลจากภายในก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

โดยก่อนที่จะมองหาวิธีการเติมน้ำให้กับผิวให้สุขภาพดีขึ้น ต้องเข้าใจถึงกลไกผิวหนังที่มีเซราไมด์ คอยทำหน้าที่ป้องกันการสูญเสียน้ำที่ผิว ซึ่งในชั้นผิวหนังมีสัดส่วนมากถึง 50% แต่ยิ่งอายุมากขึ้นปริมาณเซราไมด์ในชั้นผิวจะลดลง จุดป้องกันผิวก็อ่อนแอลงไปด้วย ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดการอักเสบ เป็นผื่นแพ้ หรือสะเก็ดเงินได้ รวมถึงสภาพอากาศที่หนาวเย็นก็มีส่วนทำให้เซราไมด์ลดลงนำไปสู่ผิวแห้งกร้าน ไม่ตึงกระชับ มีริ้วรอยที่ชัด และมีอาการคัน ระคายเคืองที่ผิวง่ายขึ้น

สำหรับการเพิ่มเซราไมด์ให้ผิวสามารถทำได้ 2 ทาง ทั้งการทาบำรุง และการรับประทาน แต่จากข้อมูลพบว่าเซราไมด์ที่ถูกทาลงบนผิวจะซึมผ่านชั้นผิวหนังจากภายนอกได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต่างจากการรับประทานที่เป็นการซึมผ่านจากชั้นผิวด้านในซึ่งดูดซึมได้ดีกว่า ทำให้มีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นที่ผิวได้มากกว่าการทา แต่ข้อสำคัญต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อการบำรุงผิว

เพื่อเสริมเกราะให้ผิวแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก กิฟฟารีน ผู้นำแบรนด์สุขภาพและความงามสัญชาติไทย พร้อมดูแลผิวให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กิฟฟารีน วีท เซราไมด์ พลัส โดยเป็นครั้งแรกในไทยกับเซราไมด์สกัดเข้มข้นจากข้าวสาลี 100% ในรูปแบบน้ำมัน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เป็นแหล่งเซราไมด์จากพืชที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถดูดซึมสามารถไปถึงผิวได้ภายใน 24 ชม.

กิฟฟารีน วีท เซราไมด์ พลัส เป็นเซราไมด์จากข้าวสาลี นำเข้าจากฝรั่งเศส ในรูปแบบแคปซูลนิ่ม ที่อัดแน่นสารสำคัญที่ช่วยดูแลผิวอย่างล้ำลึกอย่าง สฟิงโกไลพิด ไกลโคสฟิงโกไลพิด รวมถึงกลูโคซิลเซราไมด์ และไดกาแลคโตซิลไดกลีเซอร์ไรด์ ผสานคุณค่าจากน้ำมันจมูกข้าวสาลี น้ำมันมะกอกธรรมชาติ และวิตามินอี โดยจากงานวิจัยพบว่าการได้รับเซราไมด์จากข้าวสาลีในรูปแบบน้ำมันวันละ 70 มก. ก่อนนอน ส่งผลดีต่อผิวในเรื่องของความชุ่มชื่น ความยืดหยุ่น และต้านอนุมูลอิสระ

บอกลาผิวแห้ง ต้อนรับผิวสุขภาพดีด้วย กิฟฟารีน วีท เซราไมด์ พลัส เพียงรับประทานก่อนนอน วันละ 1 แคปซูล เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวทั่วเรือนร่าง และผู้ที่ต้องการดูแลเรื่องริ้วรอย รวมถึงผู้ที่อยู่ห้องแอร์ที่มีอากาศแห้งและเย็น เพราะผิวเราต้องแคร์ให้มาก จึงต้องดูแลจากภายในสู่ภายนอก อย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ปัญหาผิวแห้งไหนๆ ก็ไม่มีทางมากวนใจได้อีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/03/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a36,150.0036,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,342.0035,504.7236,750.00
ทองรูปพรรณ 90%2,107.8031,954.25n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,873.6028,403.78n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,054.0015,978.64n/a
ทองรูปพรรณ 40%820.0012,431.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,427.0036,793.32n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/03/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.8537.8538.1537.8537.8537.8537.8537.8537.8537.85
แก๊สโซฮอล์ 9136.3836.3836.8836.3836.3836.3836.3836.3836.3836.38
แก๊สโซฮอล์ E2035.7435.7436.2835.7435.7435.7435.7435.7435.74
แก๊สโซฮอล์ E8535.4935.4935.49
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.5449.4449.4449.4445.54
เบนซิน 9545.7446.9146.2445.8945.74
ดีเซล B729.9429.9430.2429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า