อสังหาเชียงใหม่ฝืดกำลังซื้อวูบหนัก‘บ้าน-คอนโดมือสอง’หั่นราคาสู้
- ปัญหาหนี้สินครัวเรือนเศรษฐกิจชะลอตัวดอกเบี้ยขาขึ้น
- คนชะลอการซื้อบ้าน-คอนโดใหม่
- ราคาประกาศขายและเช่าบ้าน-คอนโดมือสองลดลง
จากข้อมูลในฝั่งดีมานด์การค้นหาบ้านในพื้นที่ภาคเหนือตลอดปี 2566 จนถึง ก.พ.2567 ที่มีการค้นหาบน Baania Marketplace พบว่า เป็นเพศหญิง 79% อายุ 25-34 ปี เป็นกลุ่มคนเริ่มทำงานที่มองหาบ้าน รองลงมา เป็นกลุ่มคนทำงานที่มีตำแหน่งระดับผู้จัดการ อายุ 35-44ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 719,787 คน ซึ่งเป็นการค้นหามาจากกรุงเทพฯ มีสัดส่วนสูงถึง 33% คนในเชียงใหม่ 31% เชียงราย 3% นครสวรรค์ 1.6% กาญจนบุรี 1.3% ประเภทบ้านเดี่ยว มีการค้นหามากที่สุด เฉลี่ยการค้นหาต่อไตรมาส 150,000 คน
สรนันท์ เศรษฐี นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นแนวโน้มของฝั่งดีมานด์ตั้งแต่ปลายปี 2566 การค้นหาบ้านน้อยลงตามลำดับ เหตุจากปัจจัยกำลังซื้อในประเทศที่ “หดตัว” จากปัญหาหนี้สินครัวเรือน ความไม่มั่นใจในการจ้างงาน ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้าง (lay off) บวกกับดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อ สังเกตได้ว่า ในเดือน ธ.ค.การค้นหาอยู่ที่ 41,000 คน เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา แม้จะขึ้นอยู่ที่ 45,000 คน แต่ในภาพรวมยังน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
การค้นหาบ้านเดือน ม.ค.-ก.พ. เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เทียบช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนการเยี่ยมชมโครงการดีขึ้น ในส่วนของเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ “ลดลง” ค่อนข้างมากเทียบปีต่อปี โดยเชียงใหม่ได้รับอานิสงส์จากการเป็นหัวเมืองหลักของภาคเหนือและการท่องเที่ยวเมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาทำให้ตลาดเริ่่มกลับมาก่อนจังหวัดเมืองรอง ส่วนประเภทบ้านที่ถูกค้นหาในจังหวัดเชียงใหม่จะเป็นบ้านเดี่ยวจะมีการค้นหาสูงสุดรองลงมาจะเป็นบ้านแฝด ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม
ปัจจุบันในจังหวัดเชียงใหม่ระหว่าง “บ้านใหม่” กับ “บ้านมืองสอง” พบว่า กลุ่มคนที่ค้นหาบ้านเดี่ยวให้ความสนใจบ้านใหม่ 58% ที่เหลือ 41.9% สนใจบ้านมือสอง ที่มีราคาถูกกว่าหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากกำลังซื้อฝืดขึ้นคนเริ่มให้ความสนใจบ้านมือสองมากขึ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทำให้ตลาดบ้านมือสองคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนคอนโดมิเนียมมือสองได้รับความนิยมค่อนข้างสูงมากกว่าคอนโดมิเนียมมือหนึ่งและทาวน์โฮมยังคงนิยมมือหนึ่งมากกว่าอาจเป็นเพราะราคาไม่แพง เช่นเดียวกับบ้านแฝดนิยมมือหนึ่งมากกว่า ส่วนการค้นหาบ้านแบ่งตามช่วงราคาขาย 38% อยู่ในราคา 3-5 ล้านบาท เพราะราคาที่ดินแพงรวมทั้งราคาวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงต่างๆ ปรับขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 28% ราคาทาวน์โฮม ค้นหาที่ราคา 1-2 ล้านบาท สูง 57.7% หากราคาแพงกว่านี้จะเป็นกลุ่มเฉพาะ ส่วนบ้านแฝดค้นหาราคา 1-2 ล้านบาท อยู่ที่ 41% เป็นกลุ่มคนที่ไม่พร้อมจ่ายเกิน 3 ล้านบาทแตกต่างจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เพราะราคาที่ดินไม่ได้สูงขนาดนั้น กลุ่มสุดท้ายคอนโดมิเนียม ค้นหาในระดับราคา 1-2 ล้านบาท มีสัดส่วน 54.6%
สรนันท์ กล่าวว่า แนวโน้มของตลาดเชียงใหม่การประกาศขาย “ลดลง” เทียบต่อไตรมาสและมูลค่าเสนอขาย “ลดลง” 23% ขณะที่เห็นตลาด “ปล่อยเช่า” มากขึ้น 34.8% ที่สำคัญคือ มูลค่าเสนอเช่าต่อเดือนลดลง! สะท้อนให้เห็นว่า ราคาปล่อยเช่าไม่สูงเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ สังเกตได้จากราคาประกาศขายบ้านช่วง ม.ค.-ก.พ. เคยสูงในช่วงปี 2566 แต่ปี 2567 คนประกาศขายบ้านในราคาช่วงราคา 2-3 ล้านบาทเป็นกลุ่ม Eco Class ลดลง 3.5% ขณะที่ช่วงราคา 3-5 ล้านบาทหรือกลุ่ม Main Class เพิ่มขึ้น1%
ภาวะ “ดอกเบี้ยสูง” ทำให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทลำบาก! เพราะมีหนี้สินทั้งรถยนต์ บัตรเครดิตทำให้ต้องชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมออกไปก่อน
“บ้านที่มีราคาแพงไม่ได้ลดราคาขายลง แต่ในกลุ่มบ้านราคาถูกกลับต้องลดลงราคาลงมาเพราะกำลังซื้อเปราะบาง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมือสองราคาลดลงถึง 16.9% เป็นราคาคอนโดมิเนียม 1 ห้องนอนขนาดไม่เกิน 40 ตร.ม. ขนาด 2 ห้องนอน ไม่เกิน 80 ตร.ม. ลดลง 1.5% สะท้อนกำลังซื้อที่อ่อนแอจากภาวะหนี้สินครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้คนขายยอมลดราคาลงมาเพื่อให้สามารถขายได้เร็วขึ้น”
สถานการณ์ดังกล่าวตอกย้ำสภาพเศรษฐกิจที่มีปัญหาบานปลายจนกระทบกำลังซื้อรุนแรง! ภาครัฐต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดเม็ดเงินเข้ามา ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
หากรัฐบาลสามารถผลักดันให้คนกลุ่มใหญ่ของประเทศมีรายได้ในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จะทำให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อลังการงานสร้าง! “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเล
นับถอยหลังเปิดพูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเล “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” พร้อมเผยโฉม “Bambu Beach Club” ผลงานดีไซน์สตูดิโอระดับโลกสิ้นเดือนมี.ค.นี้ หวังเป็นแลนด์มาร์กติดทะเล-ใกล้กรุงเทพฯ เพื่อไลฟ์สไตล์เหนือระดับแห่งภาคตะวันออก
บริษ้ท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกาศความคืบหน้าล่าสุดของโปรเจกต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” Branded Residence ระดับอัลตราลักชัวรีติดทะเลอ่าวไทยแห่งแรกและแห่งเดียวในระยอง ด้วยการเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสุดอลังการล่าสุด วิลล่าบนเนินเขาพร้อมวิวทะเลแห่งแรกของระยอง
พร้อมเดินหน้าปั้นแลนด์มาร์กหนึ่งเดียวเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เหนือระดับแห่งภาคตะวันออก ด้วยการจ่อเผยโฉม “Bambu Beach Club” ปักหมุดเป็นแลนด์มาร์กสุดชิลติดทะเลที่แรกของเมืองไทยที่ได้บริษัทดีไซน์ชื่อดังระดับโลก “IBUKU” มาออกแบบสเปซสวยงามโอบรับธรรมชาติตระการตา เพื่อเติมเต็มคอมมูนิตี้การใช้ชีวิตที่ครบครันตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยภายใน “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเช็คอินและดื่มด่ำกับอาหาร-เครื่องดื่มพร้อมชมวิวทะเลแบบพาโนรามาสุดตระการตาภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้
“อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” เมกะโปรเจกต์อสังหาฯ บนพื้นที่ 92 – 3 – 12 ไร่ ประกอบด้วยพูลวิลล่าริมชายหาด ทั้งสิ้น 9 หลังแบบ 3 และ 4 ห้องนอนที่แล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่แล้วในราคาเริ่มต้น 50 – 135 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยมจากลูกค้าและนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ
พร้อมเขย่าวงการอสังหาฯ ภาคตะวันออกด้วยการเป็นวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลแห่งแรกของระยอง มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยในคอนเซ็ปต์ “Sea to Sand” ตอบโจทย์ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 39 – 50 ล้านบาท โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2568
ภายในโครงการฯ ยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการด้านสุขภาพองค์รวมมากมายจากการพาร์ทเนอร์กับ “อมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ต” แบรนด์เวลเนสชื่อดัง เพื่อร่วมรังสรรค์เวลเนสคอมมูนิตี้แบบครบวงจรหนึ่งเดียวให้แก่ลูกบ้าน
ล่าสุดเตรียมเปิดตัว “Bambu Beach Club” บีชคาเฟ่สุดอลังการผลงานการออกแบบครั้งแรกในไทยของ IBUKU Design Studio ที่โด่งดังจากผลงานการออกแบบสถานที่ระดับโลกมาแล้วมากมายที่ผสมผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับดีไซน์ที่คำนึงถึงสเปซและฟังก์ชัน สิ้นเดือนมีนาคมนี้ บีชคลับแห่งนี้เตรียมเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มอร่อยๆ ในโซนแบบ Indoor และ Outdoor ท่ามกลางวิวขอบฟ้าตัดกับน้ำทะเลสุดงดงามของอ่าวไทย สายบีชสายชิลห้ามพลาดต้องตามไปเช็คอิน!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 14มี.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจแกว่งตัว sidewaysยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออก ผู้เล่นต่างชาติเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่ดีมีโอกาสที่ธปท.จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าเฟด
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 14มี.ค. 2567 ที่ระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.73 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเราประเมินว่า เงินบาทอาจยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำอยู่บ้าง
รวมถึงการทยอยขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออก หากเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 35.80 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ต้องระวัง แรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งหุ้น ที่เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจรอจังหวะให้ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ใกล้โซนแนวต้าน ในการทยอยขายทำกำไรได้
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นต่างชาติยังคงเดินหน้าเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) หลังเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา (ผู้เล่นต่างชาติส่วนใหญ่ต่างมองว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ไม่ดี และมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าเฟด)
อนึ่ง ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะหากยอดค้าปลีก และดัชนี PPI ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดมากขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้พอสมควร
โดยเราประเมินเบื้องต้นว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าไปทดสอบโซน 35.80-35.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ ในกรณีเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าดังกล่าว ในทางกลับกัน หากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้มีอะไร “เซอร์ไพรส์” ตลาด เราคาดว่า เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มากนัก เนื่องจากยังขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน ทำให้โซนแนวรับอาจยังอยู่ในช่วง 35.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 35.30 บาทต่อดอลลาร์)
เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.60-35.75 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
และประเมินกรอบ 35.50-35.85 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 35.57-35.74 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของทองคำเพิ่มเติม และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปได้มาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน
โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติยังคงรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในการเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบกว่า +2% ในคืนที่ผ่านมา ตามยอดสต็อกน้ำมันดิบและยอดสต็อกน้ำมันเบนซินสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบเข้ามากดดันเงินบาทได้บ้าง
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างระมัดระวังตัวมากขึ้น เพื่อรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิค PPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในคืนวันพฤหัสฯ (ตามเวลาประเทศไทย) ทำให้ผู้เล่นในตลาดขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI ที่ปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา
อาทิ Nvidia -1.1% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Exxon Mobil +1.1% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.19%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.16% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่ม Utilities ที่รายงานยอดขายและคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใส อาทิ Inditex (เจ้าของแบรนด์ Zara) +7.7% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกับฝั่งสหรัฐฯ นำโดย Shell +1.2% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่เช่นกัน โดย ASML -1.5%
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยเฟดจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนไปมากนัก หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันก่อนหน้า ทว่า การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว +2% ของราคาน้ำมันดิบ ก็มีส่วนกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้น ใกล้ระดับ 4.20% อีกครั้ง ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใสและดีกว่าคาด
อย่างไรก็ดี Risk-Reward ของการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวก็ยังคุ้มค่าอยู่ ทำให้เราคงมองว่า นักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน (อาจเน้นทยอยเข้าซื้อในโซน บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เหนือระดับ 4.20%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง โดยส่วนหนึ่งก็มาจากทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ที่ได้อานิสงส์จากภาพตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็ยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน ทำให้ผู้เล่นในตลาดใช้จังหวะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ในการลดสถานะ Long USD ลงบ้าง โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 102.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.7-103 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาพตลาดสหรัฐฯ ที่กลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว กอปรกับการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) พลิกกลับมารีบาวด์ขึ้น สู่โซน 2,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ห้ามพลาดจะอยู่ในฝั่งสหรัฐฯ โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และ
ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่จะประกาศในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ตลาดการเงินอาจผันผวนพอสมควรในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.66-35.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.20 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ (จากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด) เริ่มชะลอลง และตลาดกลับมารอติดตามปัจจัยใหม่ๆ อาทิ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะออกมาในคืนนี้ และผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.55-35.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิต และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วิว กุลวุฒิ”พร้อม “ครีม” บุศนันทน์ ลิ่วรอบสองแบดมินตันออล อิงแลนด์
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมือ 7 ของโลก ออกแรงถึง 3 เกมตามเคยก่อนเอาชนะ ลู่ กวางซู มืออันดับ 17 ของโลกจากจีน 2-1 เกม เช่นเดียวกับ”ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ หญิงเดี่ยวมือ 21 ของโลก ก็เอาชนะ เกา ฟังเจี๋ย มือ 33 ของโลกจากจีน ไปได้หวุดหวิด 2-1 เกมเช่นกัน ผ่านเข้ารอบสองแบดมินตัน ออล อิงแลนด์ โอเพ่น 2024 ไปได้สำเร็จ
การแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง โยเน็กซ์ ออล อิงแลนด์ โอเพ่น 2024 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 1,300,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 46,150,000 บาท ที่ยูทิลิต้า อารีน่า เบอร์มิงแฮม เมืองประเทศอังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 13 มี.ค.67 ที่ผ่านมา นับเป็นการเฉลิมฉลองครบ 125 ปี ของการแข่งขันรายการนี้ด้วยที่จัดแข่งมาตั้งแต่ปี 1899 และเป็นรายการสำคัญในการเก็บคะแนนไปโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย มีนักแบดมินตันไทยลงสนามในช่วงดึกอีก 2 คู่
ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลก จะพบกับ ลู่ กวางซู มืออันดับ 17 ของโลกจากจีน แมตช์นี้ วิว กุลวุฒิ ต้องออกแรงถึง 3 เกมตามเคย ก่อนจะเอาชนะไปได้ 2-1 เกม 19-21,21-18 และ 21-15 วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ โจนาธาน คริสตี้ มืออันดับ 9 ของโลกจากอินโดนีเซีย
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 21 ของโลก โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เบียดเอาชนะ เกา ฟังเจี๋ย มืออันดับ 33 ของโลกจากจีน ไปแบบหวุดหวิด 2-1 เกม 17-21,21-14 และ 23-21 “ครีม” บุศนันทน์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ เฉิน ยู่เฟย มืออันดับ 2 ของโลกจากจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“โรคผดร้อน” โรคที่มากับฤดูร้อน
ในช่วงที่อากาศร้อนชื้น ทำให้เหงื่อออกมากและเกิดการอับชื้นได้ง่าย จึงทำให้เกิดโรคบางอย่างที่สัมพันธ์ กับเหงื่อและอากาศร้อน โดยเฉพาะโรคผดร้อน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยในช่วงฤดูร้อน
อาการของโรคผดร้อน
- ผื่นแดงหรือตุ่มแดงเล็กๆ ขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้น เช่น ข้อพับ รักแร้ และขาหนีบ
- ผื่นอาจมีอาการคันหรือแสบร้อน
- ผื่นอาจลุกลามไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการไข้ ปวดหัว และอ่อนเพลีย
สาเหตุของโรคผดร้อน
โรคผดร้อนเกิดจากการที่รูขุมขนอุดตัน ทำให้เหงื่อไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ จึงเกิดการอักเสบและเกิดผื่นขึ้น โดยสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนอุดตันได้แก่
- สภาพอากาศร้อนชื้น
- การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือไม่ระบายอากาศ
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อุดตันรูขุมขน
การรักษาโรคผดร้อน
- ใช้ครีมรักษาอาการคันที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป หรือคาลาไมน์ เพื่อบรรเทาอาการแสบและคัน
- ในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อทับซ้อน ควรใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะด้วย เพื่อรักษาอาการติดเชื้อที่ผิวหนังและต่อมเหงื่อ
- เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี หรืออาบน้ำเพื่อให้ผิวหนังบริเวณที่เกิดผดร้อนเย็นลง
- พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เหงื่อสัมผัสกับบริเวณที่เป็นผดร้อน เพราะจะยิ่งทำให้แสบมากขึ้น
- นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นแล้วบิดให้หมาดประคบบริเวณที่เป็นผดร้อน เพื่อลดความร้อนของผิวหนัง
การป้องกันโรคผดร้อน
ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันการเกิดโรคผดร้อนได้โดย
- อาบน้ำบ่อยๆ ด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ
- สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบายและระบายอากาศได้ดี
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อุดตันรูขุมขน
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่นและชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนชื้น
โรคผดร้อนอาจดูเหมือนโรคที่ไม่รุนแรง แต่ในช่วงที่มีอากาศร้อน เหงื่อออกมาก ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี อาจเกิด ความไม่สบายตัว หรือ ติดเชื้อซำ้ซ้อนได้ หากผู้ป่วยพบว่าตนเองมีอาการเป็นโรคผดร้อนไม่ควรรอช้า เข้าพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความโดย แพทย์หญิง กันต์กนิษฐ์ สันติปราน์รนต์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
IELTS,TOEIC,TOEFL แตกต่างกันอย่างไร ใช้สำหรับทำอะไรบ้าง?
IELTS TOEIC TOEFL ต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกสอบอย่างไร
IELTS TOEIC TOEFL คืออะไร แตกต่างกันอย่าง และเราควรต้องสอบอะไรดีนะ? คำถามนี้คงอยู่ในใจเพื่อนๆหลายคนอย่างแน่นอน แต่ไม่ต้องห่วงไปวันนี้ทาง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาเพื่อนๆไปไขข้อสงสัยกัน เราไปชมกันเลย
IELTS TOEIC TOEFL คืออะไร?
IELT TOEIC และ TOEFL เป็นการสอบเพื่อวัดผลระดับทักษะทางภาษาอังกฤษ เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ โดยมักจะใช้เป็นหนึ่งในเกณฑ์สำหรับการรับเข้าศึกษาต่อในสถาหลักสูตรอินเตอร์ การรับเข้าทำงาน หรือการเดินทางไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษตามระดับที่กำหนด การสอบแต่ละรูปแบบนั้นจะใช้สำหรับจุดประสงค์ที่แตกต่างกันโดยจะมีรายละเอียดดังนี้
IELTS (International English Language Testing System) หรือการสอบไอเอลส์
IELTS คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเชิงวิชาการโดยจะทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะคือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยจะมีผลคะแนนวัดออกมาเป็น 9 ระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับที่ 1 ถึง ระดับที่ 9 โดยคะแนนจะมีอายุที่ใช้งานได้ 2 ปี โดยการสอบ IELTS จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
- Academic สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก หรือการศึกษาต่อในต่างประเทศ
- General Training สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในต่างประเทศ
TOEIC (Test of English for International Communication) หรือการสอบโทอิค
TOEIC คือการสอบวัดผลทางภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ต้องการสมัครงานในองกรค์ต่างๆ โดยการจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Listening & Reading test และ Speaking & Writing test ซึ่งส่วนใหญ่องกรค์จะวัดผลจากการสอบแค่รูปแบบแรก Listening & Reading test ปกติจึงนิยมสอบแค่ในรูปแบบนี้กันโดยจะมีคะแนนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 990 คะแนน ซึ่งคะแนนขั้นต่ำที่องกรค์ส่วนใหญ่จะพิจารณาจะอยู่ที่ 550 คะแนนขึ้นไปทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ขององค์กรและตำแหน่งด้วยโดยมีอายุคะแนนอยู่ที่ 2 ปี
TOEFL (Test of English as a Foreign Language) หรือการสอบโทเฟล
TOEFL คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ โดยใช้มาตราฐานภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เหมาะกับผู้ที่จะศึกษาต่อในอเมริกันหรือผู้ที่ต้องทำงานในองค์กรต่างชาติ โดยจะมีการสอบแบบ 2 รูปแบบคือ
- TOEFL iBT (Internet-based Test) คะแนนเต็มอยู่ที่ 120 คะแนน
- TOEFL PBT (Paper-based Test) คะแนนเต็มอยู่ 677 คะแนน
โดยรูปแบบ TOEFL iBT จะเป็นรูปแบบการสอบที่นิยมและได้รับการยอมรับในทั่วโลกและมีคะแนนมีอายุสามารถใช้อ้างอิงได้ 2 ปี
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ผู้เชี่ยวชาญ เตือน Cloud First เป็นภัยต่อความมั่นคงประเทศ
อ.ฝน นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เตือน ระวัง นโยบาย Cloud First เป็นภัยต่อความมั่นคงประเทศ เสียอธิปไตยไซเบิร์
Cloud First Policy หรือ นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) ในการประชุม ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2566 เพื่อไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยมี 4 องค์ประกอบ คือ
1. บริหารจัดการความต้องการใช้คลาวด์ (Demand) โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อนการใช้คลาวด์เป็นหลัก
2. บริหารจัดการให้มีบริการคลาวด์อย่างเพียงพอ (Supply) โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
3. บริหารจัดการด้วย Government Cloud Managementโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานภายใต้ที่เกี่ยวข้อง
4. ปรับปรุงระบบนิเวศการใช้บริการคลาวด์ และจัดซื้อจัดจ้างให้เหมาะสม โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง
พร้อมทั้ง จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก(Cloud First Policy) เพื่อกำกับ ติดตาม และให้ข้อแนะนำในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานกลางประสานงานในการส่งเสริมและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบาย
ฐานเศรษฐกิจ สัมภาษณ์พิเศษ อ.ฝน นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ถึงนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก(Cloud First Policy) ซึ่ง อ.ฝน มีมุมมองว่า ในขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม แต่หากตั้งเป็นเป้าหมายแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป แต่ต้องกลับมาพิจารณาว่าอะไรที่ต้องเร่งพัฒนา ปรับปรุง เพราะนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก(Cloud First Policy) ยังมีข้อน่าห่วงใหญ่ที่ต้องตระหนักอีกหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องอธิปไตยไซเบอร์
เมื่อมีการโหลดข้อมูลเพื่อเก็บไว้ที่คลาวด์กลางแล้ว ผู้ให้บริการที่อาจเป็นบริษัทชั้นนำต่างชาติก็จะมีการสำรองข้อมูลไว้อีก 2-3 แห่ง ซึ่งมีฐานอยู่ในประเทศต่างๆ ทำให้ข้อมูลสำคัญถูกส่งออกนอกราชอาณาจักร สิ่งที่ต้องตระหนักคืออาจเป็นการละเมิดความลับและความปลอดภัยของข้อมูลที่สำคัญ ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคลได้
ซึ่งเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ประเทศใดๆ ก็ย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศนั้นๆด้วย นั่นหมายความว่ารัฐสูญเสียอำนาจในการควบคุม อยู่นอกเขตอำนาจศาลของไทย มีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์ หรือการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงของประเทศที่ข้อมูลถูกนำไปจัดเก็บ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลรัฐบาลหรือข้อมูลสำคัญถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรืออาจถูกทำลายได้ เป็นการสูญเสีบอธิปไตยทางไซเบอร์ อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและความมั่นคงของชาติ
ดังนั้นหากประเทศไทยจะใช้นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก(Cloud First Policy) จึงควรต้องส่งเสริมและพัฒนาการให้บริการคลาวด์ภายในประเทศ ทำโครงสร้างคลาวด์เอกชนสำหรับรัฐบาลที่มีการควบคุมและรักษาความปลอดภัยในระดับสูง ส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถสร้างระบบขึ้นมาใช้งานได้เอง ซึ่งหากมีการส่งเสริมอย่างจริงจัง การพัฒนาจะเกิดขึ้นจนทำให้ประเทศไทยไม่ต้องไปพึ่งพิงต่างชาติ และอาจกลายเป็นผู้ให้บริการแก่ประเทศต่างๆได้ เหมือนเช่นประเทศเกาหลีใต้ ที่สุดท้ายกลายเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยี
ปัญหาของบริษัทสตาร์ทอัพประเทศไทยคือ ไม่มีการจับคู่ทางธุรกิจเกิดขึ้น เพราะหากมีวิจัยพัฒนาได้โดยคนไทย แต่ไม่มีเงินทุน ไม่มีการจับคู่ทางธุรกิจ รัฐบาลยังเป็นผู้ซื้อชั้นดีในการหาซื้อเทคโนโลยีต่างประเทศ สุดท้ายประเทศไทยก็จะไม่สามารถเป็นเจ้าของเทคโนโลยีของตนเองได้ ทั้งที่มีคนเก่งจำนวนมากแต่ขาดการสนับสนุน สุดท้ายยิ่งเป็นดิจิทัลมากขึ้นเท่าไหร่ ประเทศไทยก็ยิ่งเสียดุลต่างชาติมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับการรักษาความปลอดภัย และด้านความมั่นคงของประเทศนั้นรัฐบาลควรต้องจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของรัฐบาล ประเมินระดับความลับและความสำคัญของข้อมูล ที่สำคัญคือกำหนดความชัดเจนว่าข้อมูลอะไรที่ไม่อนุญาตให้ถูกจัดเก็บและประมวลผลนอกประเทศ
นอกจากนั้นต้องใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย จัดการและติดตามการเข้าถึงข้อมูลในคลาวด์ด้วยระบบ Authentication และ Authorization ที่เข้มงวด และมีการฝึกผู้ที่เกี่ยวข้องในการใช้นโยบาย “Go Cloud First” เพื่อเพิ่มความเข้าใจ และการปฏิบัติตามนโยบายด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อาหารที่ควรกิน เมื่อต้องการ “ลดน้ำหนัก” ให้ได้ผล พร้อมสุขภาพดี
ปกติแล้วเมื่อไรก็ตามที่เราวางแผนจะลดน้ำหนัก เราจะสามารถลิสต์ได้เลยว่าห้ามรับประทานอาหารอะไรบ้าง ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นอาหารจำพวกแป้งขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว อาหารน้ำตาลสูง เช่น ขนมนมเนย น้ำอัดลม รวมถึงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น มันหมู เป็นต้น แต่เราอาจจะลืมไปว่ายังมีอาหารที่ควรรับประทาน หากอยากลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริงแล้ว ยังช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย
อาหารที่ควรกิน เมื่อต้องการ “ลดน้ำหนัก” ให้ได้ผล
1. ผัก ผลไม้
ผักผลไม้เป็นแหล่งวิตามิน และเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่เราขาดไม่ได้ อาจทำให้กระบวนต่างๆ ในการทำงานเปลี่ยนแปลง หรือผิดปกติได้หาเราได้รับวิตามิน และเกลือแร่ไม่เพียงพอ ปริมาณที่ควรรับประทานสามารถกะได้คร่าวๆ คือ 5 กำมือต่อวัน และควรทานทั้งกาก ไม่ควรคั้นหรือปั่นแยกกากดื่มแต่น้ำ เพราะนอกจากจะอดได้รับกากใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของการทำงานของระบบขับถ่ายแล้ว ยังสูญเสียวิตามินไปจำนวนหนึ่งจากกากแยกกากใยอาหารด้วย
2. โยเกิร์ต
โยเกิร์ต เป็นอีกหนึ่งแหล่งอาหารสำคัญที่มีจุลินทรีย์มีชีวิตที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบขับถ่าย เพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย และเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีต่อกระดูกของเราด้วยเช่นเดียวกัน แนะนำให้เลือกรับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการใส่น้ำตาลเพิ่ม (no sugar added) เพราะโยเกิร์ตรสอื่นๆ รวมถึงรสผลไม้ทั่วไป มักมีการเติมน้ำตาลเพิ่ม
3. ถั่ว
ถั่วเป็นอีกหนึ่งแหล่งอาหารประเภทโปรตีนที่สำคัญต่อร่างกายเช่นกัน นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นพืชที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง สามารถรับประทานเป็นของว่าง แทนขนมนมเนยต่างๆ ได้ แต่ควรเลือกแบบอบมากกว่าแบบทอดที่มีน้ำมัน และเลือกแบบไม่ใส่เกลือเพื่อลดปริมาณโซเดียมที่เราจะได้รับด้วย
4. ธัญพืชไม่ขัดสี
ธัญพืชเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่คนมักมองข้าม การรับประทานธัญพืชได้ทั้งคุณค่าทางสารอาหารที่หลากหลาย และกากใยอาการที่ช่วยในเรื่องของการทำงานระบบขับถ่าย เราสามารถเลือกรับประทานได้ตั้งแต่ซูเปอร์ฟู้ดที่มีคุณค่าทางอาหารสูงอย่าง เมล็ดเจีย คีนัว หากมีราคาสูงเกินไปสามารถเลือกธัญพืชของไทยอย่าง ลูกเดือย ข้าวหอมนิล ถั่วแดง ถั่วดำ หรือรำข้าวได้ อย่าลืมเลือกแบบไม่ขัดสีเพื่อให้ได้คุณค่าทางสารอาหาร และกากใยอาหารอย่างเต็มที่
5. อาหารหมักดองบางชนิด
มีอาหารหมักดองบางชนิดที่มีจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่น ข้าวหมาก ถั่วหมัก หรือกิมจิ มีจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยอาหาร มีโพรไบโอติกที่ช่วยบำรุงการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และช่วยบำรุงลำไส้ด้วย แต่อาหารหมักดองอาจมาพร้อมรสเค็มที่มากเกินไป จึงควรรับประทานน้อยๆ และอาจลองหาสูตรทำอาหารหมักดองเองที่ไม่ใส่เกลือเยอะจนเกินไปแทน
หากรับประทานอาหารเหล่านี้ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารอื่นๆ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าการลดน้ำหนักของคุณประสบความสำเร็จ แถมยังได้สุขภาพที่ดีเป็นของแถมจากรูปร่างที่ดีขึ้นด้วยอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/03/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 36,600.00 | 36,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,371.00 | 35,944.36 | 37,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,133.90 | 32,349.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,896.80 | 28,755.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,067.00 | 16,175.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 830.00 | 12,582.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,457.00 | 37,248.12 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/03/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.85 | 37.85 | 38.35 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.38 | 36.38 | 36.88 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 36.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.74 | 35.74 | 36.28 | 35.74 | 35.74 | – | 35.74 | 35.74 | 35.74 | 35.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.49 | 35.49 | – | – | – | – | – | – | – | 35.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.54 | 49.44 | 49.44 | 49.44 | – | – | – | – | – | 45.54 |
เบนซิน 95 | 45.74 | – | – | – | 46.91 | – | 46.24 | 45.89 | – | 45.74 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.84 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |