สาระน่ารู้ประจำวันที่ 19 มีนาคม 2567

ส่องอสังหาฯประจวบฯ-เพชรบุรี เขาตะเกียบขายดี -ชะอำตอนเหนือเหลือเยอะ

REIC เผยอสังหาฯประจวบคีรีขันธ์-เพชรบุรี ทำเลเขาตะเกียบขายดี จำนวน 167 หน่วย มูลค่า 1.4พันล้าน ขณะที่ชะอำตอนเหนือเหลือเยอะจำนวน 1.5พันหน่วยมูลค่า6.7พันล้าน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ REIC  เปิดเผยว่า การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก 2 จังหวัด ครึ่งหลังปี 2566 พบว่า จำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ 5,865 หน่วย มูลค่า 31,456 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการอาคารชุด  2,689 หน่วย มูลค่า 13,989 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,176 หน่วย มูลค่า 17,467 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 859 หน่วย มูลค่า 6,668 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่จำนวน 819 หน่วย มูลค่า 4,735 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 5,046 หน่วย มูลค่า 26,722 ล้านบาท 

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายของ 2 จังหวัดนี้ พบว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  เป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 ในทุกด้าน

ดังจะเห็นได้จากจำนวนและสัดส่วนที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่มีการเสนอขาย โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีเสนอขาย 3,007 หน่วย มูลค่า 18,780 ล้านบาท และจังหวัดเพชรบุรีมีการเสนอขาย 2,858 หน่วย มูลค่า 12,676 ล้านบาท จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีการเปิดตัวโครงการใหม่ ประเภทบ้านจัดสรรรวม 404 หน่วย มูลค่า 2,686 ล้านบาท และอาคารชุด 248 หน่วย มูลค่า 2,409 ล้านบาท

รวมถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 493 หน่วย มูลค่า 3,109 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่โดยรวมของตลาดร้อยละ 2.7 ต่อเดือน ขณะที่จังหวัดเพชรบุรี 326 หน่วย มูลค่า 1,626 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับโดยรวมของตลาดที่ร้อยละ 1.9 ต่อเดือน

อุปทานโดยรวมภาคตะวันตก ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมด จำนวน 5,865 หน่วย มูลค่า 31,456 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ -13.3 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ตามลำดับ

โดยเป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนเพียง 859 หน่วย มูลค่า 6,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 29.6 และร้อยละ 307.5 ตามลำดับ

ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งหลังปี 2566 จำนวน 5,046 หน่วย มูลค่า 26,722 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -7.6 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุด

อันดับ 1 ทำเลชะอำตอนเหนือจำนวน 1,501 หน่วย มูลค่า 6,780 ล้านบาท

อันดับ 2 ทำเลเขาตะเกียบ จำนวน 765 หน่วย มูลค่า 6,200 ล้านบาท  

อันดับ 3 ทำเลชะอำตอนใต้ จำนวน 671 หน่วย มูลค่า 3,035 ล้านบาท

อันดับ 4 ทำเลเขาหินเหล็กไฟ จำนวน 652 หน่วย มูลค่า 3,478 ล้านบาท

อันดับ 5 ทำเลทับใต้ จำนวน 454 หน่วย มูลค่า 3,364 ล้านบาท

โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3-5ล้านบาท มีจำนวนถึง 1,663 หน่วย มูลค่า 7,127 ล้านบาท 


อุปสงค์โดยรวมภาคตะวันตก  พบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 819 หน่วย ลดลงร้อยละ -37.2 มูลค่า 4,735 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.3  แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 528 หน่วย มูลค่า 2,802 ล้านบาท และอาคารชุดเพียง 291 หน่วย มูลค่า 1,933 ล้านบาท

ทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรก

อันดับ 1 เขาตะเกียบ จำนวน 167 หน่วย มูลค่า 1,437 ล้านบาท อันดับ 2 ชะอำตอนเหนือ จำนวน 136 หน่วย มูลค่า 828 ล้านบาท อันดับ 3 เขาหินเหล็กไฟ จำนวน 127 หน่วย มูลค่า 715 ล้านบาท อันดับ 4 ชะอำตอนใต้ จำนวน 105 หน่วย มูลค่า 438 ล้านบาท และอันดับ 5 ทับใต้ จำนวน 102 หน่วย มูลค่า 585 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


โซนอันตราย!ทำเลเหลือขายภาคกลาง นิคมโรจนะมูลค่า1.3หมื่นล้าน

โซนอันตราย!ทำเลเหลือขายภาคกลาง ทำเลนิคมโรจนะ จำนวน 3.6พันหน่วย มูลค่า1.3หมื่นล้าน ตามดัวยนิคมบางปะอินจำนวน1.9พันหน่วยมูลค่า 4.7พันล้านอันดับ3 ทำเลวังน้อย

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ภาคกลาง 2 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี  พบว่ามีจำนวนหน่วยเหลือขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ลดลงร้อยละ -5.7 และมีผลให้อัตราดูดซับของภาพรวมตลาดอยู่ที่ร้อยละ 1.9

คาดการณ์ ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 1,484 หน่วย มูลค่า 3,455 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 2,235 หน่วย มูลค่า 5,905 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 7,621 หน่วย มูลค่า 23,511 ล้านบาท

อุปทานโดยรวมภาคกลาง ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมด จำนวน 9,448 หน่วย มูลค่า 28,696 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ -4.6 และมูลค่าลดลงร้อยละ -7.2 ตามลำดับ โดยเป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนเพียง  930 หน่วย มูลค่า  1,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 35.0 และร้อยละ 8.8 ตามลำดับ

ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งหลังปี  2566 จำนวน 8,373 หน่วย มูลค่า 25,872 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -5.7 และมูลค่าลดลงร้อยละ -7.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุด

อันดับ 1 ทำเลนิคมโรจนะ จำนวน 3,607 หน่วย มูลค่า 13,534 ล้านบาท

อันดับ 2 ทำเลนิคมบางปะอิน จำนวน 1,932 หน่วย มูลค่า 4,758 ล้านบาท

อันดับ 3 ทำเลวังน้อย จำนวน 978 หน่วย มูลค่า 2,290 ล้านบาท

อันดับ 4  ทำเลเมืองสระบุรี จำนวน 787 หน่วย มูลค่า 2,679 ล้านบาท  

อันดับ 5 ทำเลหนองแค จำนวน 707 หน่วย มูลค่า 1,812 ล้านบาท

โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 2-3ล้านบาท มีจำนวนถึง 2,748 หน่วย มูลค่า 7,201 ล้านบาท 

อุปสงค์โดยรวมภาคกลาง  พบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 1,075 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 มูลค่า 2,824 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -0.6  แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 731 หน่วย มูลค่า 2,291 ล้านบาท และอาคารชุดเพียง 344 หน่วย มูลค่า 532.8 ล้านบาท

ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก

อันดับ 1 นิคมโรจนะ จำนวน 701 หน่วย มูลค่า 1,949 ล้านบาท

อันดับ 2 นิคมบางปะอินจำนวน 244 หน่วย มูลค่า 546 ล้านบาท

อันดับ 3 วังน้อย จำนวน 78 หน่วย มูลค่า 219 ล้านบาท  

อันดับ 4 เมืองสระบุรี จำนวน 26 หน่วย มูลค่า 75 ล้านบาท

อันดับ 5 แก่งคอย จำนวน 17 หน่วย มูลค่า 22 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 19มี.ค. ที่ระดับ 35.99 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทเสี่ยงที่จะผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในส่วนบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและระยะยาว กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 19มี.ค. 2567ที่ระดับ  35.99 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.98 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า  แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงที่จะผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ เพราะหาก BOJ ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือ

มีการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้จริง ก็อาจหนุนให้ เงินเยนพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากโซนเหนือระดับ 149 เยนต่อดอลลาร์ สู่โซน 148 เยนต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ซึ่งในภาพดังกล่าวก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท ทำให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง

ในทางกลับกัน หาก BOJ ย้ำจุดยืนใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายไปก่อน จนกว่าจะมั่นใจในทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ก็จะยิ่งกดดันให้ เงินเยนผันผวนอ่อนค่า กลับไปเหนือระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์ ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งในกรณีดังกล่าว เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทะลุ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 36.20 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับมาเทขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง

เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.85-36.15 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.94-36.00 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ยังพอได้ปัจจัยหนุนจากการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทยังคงไม่สามารถทะลุผ่านโซนแนวต้านได้

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักที่จะเริ่มต้นด้วยการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันอังคารนี้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้ส่งออกก็ยังคงทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทนั้นชะลอลงบ้าง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ธีม AI อาทิ Alphabet +4.6% ที่ได้แรงหนุนจากข่าวการเจรจากับ Apple ในการนำ AI “Gemini” มาใช้กับ iPhone ทั้งนี้ โดยรวมผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.63%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อลงต่อเนื่อง -0.17% ตามแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม Telecom. ที่ปรับตัวได้ดีก่อนหน้า และแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ธีม AI เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ นำโดย ASML +1.5%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.30% โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งหากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง โดยเฟดยังคงมองว่าจะสามารถลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปีนี้

เราคาดว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจเริ่มแกว่งตัว sideways หรือย่อลงได้บ้าง อนึ่ง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังการประชุมเฟดออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ผันผวนสูงขึ้นได้ แต่เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อ Buy on Dip บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยยังพอได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ส่วนหนึ่งมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดก่อนรับรู้ผลการประชุม BOJ ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.3-103.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ และยังคงแกว่งตัวแถวโซนแนวรับ 2,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลักก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม BOJ โดยเราประเมินว่า BOJ อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% ตามเดิม ทว่า BOJ อาจมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นต่อแนวโน้มการทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

อาทิ การทยอยปรับลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรืออาจมีการส่งสัญญาณว่า BOJ อาจทยอยยกเลิก Yields Curve Control ได้ ซึ่งหาก BOJ มีการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ก็อาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้บ้าง

ในทางกลับกัน หากไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ เกี่ยวกับการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เราคาดว่า เงินเยนมีโอกาสผันผวนอ่อนค่ากลับไปทดสอบโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (ซึ่งจะเป็นโอกาสในการรอเพิ่มสถานะ Long JPY ได้)

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) เพื่อช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ที่อาจมีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 36.00 ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครั้งใหม่ที่ 36.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากที่ปิดตลาดวานนี้ที่ 35.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ 

โดยเงินบาทยังคงอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนต่อเนื่องในช่วงก่อนการประชุม FOMC ซึ่งตลาดประเมินว่า เฟดอาจไม่รีบส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย และน่าจะมีการทบทวน dot plot ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในการประชุมรอบนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.87-36.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ผลการประชุม BOJ และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทีมยัดห่วงไทยลุยสโมสรเอเชีย “ไฮ-เทค” ตัวแทนประเทศเตรียมบุกมองโกเลีย

ไฮ-เทค บาสเกตบอล คลับ ตัวแทนหนึ่งเดียวของไทยเตรียมร่วมศึกบาสเกตบอลสโมสรชิงแชมป์เอเชีย หรือ บาสเกตบอล แชมเปียนส์ ลีก เอเชีย 2024 (บีทีแอล เอเชีย 2024) ระหว่าง 3-7 เม.ย.นี้ ที่กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย ซึ่งก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ทีมจากไทยกลับเข้าสู่รายการแข่งขันสโมสรเอเชียโดย ไฮ-เทค อยู่ร่วมสายบี กับเจ้าภาพ, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย “เฮียต่าย” เชื่อมั่นทีมจัดห่วงไทยดีพอ ทะยานเข้ารอบต่อไปสำเร็จ

ความเคลื่อนไหวของวงการบาสเกตบอลไทยล่าสุด สโมสรไฮ-เทค บาสเกตบอล คลับ เตรียมเป็นสโมสรบาสเกตบอลตัวแทนหนึ่งเดียวของประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันบาสเกตบอลสโมสรชิงแชมป์เอเชีย หรือ บาสเกตบอล แชมเปียนส์ ลีก เอเชีย 2024 (บีทีแอล เอเชีย 2024) หลังได้สิทธิ์จากการคว้าแชมป์รายการบาสเกตบอล ไทยลีก 2023 ที่จัดโดยสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย และเป็นรายการอาชีพหนึ่งเดียวของไทยที่สหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติให้การรับรอง

“เฮียต่าย” นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร นายกสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า รายการนี้ถ้าเปรียบเป็นกีฬาฟุตบอลก็คือรายการ แชมเปียนส์ลีก ที่จะนำสโมสรแชมป์จากแต่ละประเทศมาแข่งขันกันในภูมิภาคตัวเอง ทวีปตัวเอง ก่อนจะคัดไปแข่งขันสโมสรชิงแชมป์โลกในบั้นปลาย 

สำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกของทัพยัดห่วงไฮ-เทคซึ่งจะได้แข่งรวมกันระหว่างโซนเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในรอบแรกจะมี 8 สโมสร โดยมาจากประเทศมองโกเลีย 2 ทีม และ อินโดนีเซีย 2 ทีมจากการได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพรอบแรกและรอบสองตามลำดับ ส่วนอีก 4 ทีมจะเป็นสโมสรแชมป์จากฮ่องกง, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และ สโมสรไฮ-เทค ของไทย แข่งขันกันที่กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย ระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย.67 โดยทั้ง 8 ทีมจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แข่งขันแบบพบกันหมดในกลุ่มเพื่อนำแชมป์ของแต่ละกลุ่มผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอัตโนมัติ ส่วนอันดับ 2 และ 3 ของทั้ง 2 กลุ่มจะไขว้มาพบกันเพื่อหา 2 ทีมตามเข้าสู่รอบตัดเชือกต่อไป ส่วนในรอบรองชนะเลิศ 2 ทีมที่คว้าชัยชนะจะคว้าสิทธิ์ไปแข่งรอบใหญ่ต่อไปทันที

ประมุขยัดห่วงไทยกล่าวถึงความพร้อมของ ไฮ-เทค บาสเกตบอล คลับ ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่ของสโมสรเพิ่งกลับมาจากการรับใช้ทีมชาติไทยสู้ศึกฟีบ้าเอเชียกับเกาหลีใต้เมื่อเดือนที่ผ่านมา กำลังหลักอยู่กันครบทั้ง “เฟรดดี้” เฟรเดริค ลิช, “โอม” ชนาธิป จักรวาฬ, “ปาล์ม” ปฏิภาณ กล้าหาญ, “อาท” ชัชพล จึงแย้มปิ่น, “หรั่ง” ณกรณ์ ใจสนุก, “อาร์ม” ณัฐกานต์ เมืองบุญ, “เตเต้” อรรถงพษ์ ลีลาพิพัฒน์กุล, “ปริ้นซ์” มนัสวี บุตรด้วง และได้มีการยืมตัวผู้เล่นจากสโมสรอื่นมาเสริมความแข็งแกร่ง 2 คนคือ “โมเซส มอร์แกน” และ “จูเนียร์” เอ็มมานูเอล ชิเนดู เอเจสุ นอกจากนี้ยังได้อิมพอร์ตตัวผู้เล่นสหรัฐอเมริกามาช่วยทัพอีก 2 คนในตำแหน่งเซนเตอร์และชูตติ้งการ์ด

ในส่วนของการตั้งความหวังนั้น เฮียต่าย กล่าวว่า ไฮ-เทค อยู่ในกลุ่มบี ร่วมกับ แชมเปียนส์ ออฟ มองโกเลีย จากมองโกเลีย, อะดรอยต์ คลับ จากสิงคโปร์ และ เพลิตา จายา บาสเกตบอล จากอินโดนีเซีย มองว่าศักยภาพของไฮ-เทคอยู่เหนือสิงคโปร์ แต่อาจจะเหนือหากพบมองโกเลีย สุดท้ายคงต้องไปตัดสินกับอินโดนีเซีย แต่ยังเชื่อว่าไฮ-เทคสามารถผ่านเข้ารอบได้

“ความพิเศษของรายการนี้ คือสโมสรบาสฯ ของไทยเราไม่ได้ไปร่วมแข่งขันชิงแชมป์สโมสรเอเชียตั้งแต่ปี 2563 นับรวมตอนนี้ก็กว่า 5 ปีแล้ว และรายการนี้มีเงินรางวัลสูงกว่า 10 ล้านบาท หากนักกีฬาไทยเราสามารถทำผลงานได้ดี ได้อยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชียยิ่งจะส่งผลดีต่อเยาวชนและการพัฒนากีฬาอาชีพของบาสเกตบอลไทยต่อไปแน่นอน ก็อยากฝากให้คนไทยร่วมส่งกำลังใจไปให้แก่นักกีฬาในการถ่ายทอดสดของทางแชนแนลยูทูป FIBA The Basketball Channel ผมอยากให้มองว่าพวกเขาก็เปรียบเสมือนทีมชาติไทยที่ไปแข่งเพื่อคนในประเทศ ส่งแรงเชียร์นักกีฬาไทยกันเยอะๆ ครับ” เฮียต่าย กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“ปวดหัวข้างขวา” เสี่ยงโรคอะไรบ้าง รักษาอย่างไร

อาการปวดหัวข้างเดียว อาจเป็นอาการที่หลายๆ คนเคยเป็น หรือเป็นอยู่บ่อยๆ แต่อาจไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร รวมถึงอาการปวดหัวข้างเดียว โดยเฉพาะปวดหัวข้างขวา จะเป็นอาการของโรคอันตรายอะไรหรือไม่ จะใช่โรคไมเกรนหรือเปล่า มาหาคำตอบกัน

ปวดหัวข้างขวา อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาทางระบบประสาท ผลข้างเคียงของยา การใช้ยาเกินขนาด ความเหนื่อยล้า เนื้องอก โรคภูมิแพ้ บาดเจ็บที่ศีรษะ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้ว อาการปวดหัวไมเกรน ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ และปวดหัวจากความเครียด อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวข้างขวา และอาจมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ตาพร่า คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกบนใบหน้า ผิวซีด

ปวดหัวข้างขวา คืออะไร

ปวดหัวข้างขวา คือ อาการปวดหัวเพียงข้างเดียว อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาทางระบบประสาท กรรมพันธุ์ การใช้ยาบางชนิด ผลข้างเคียงของยา การใช้ยาเกินขนาด ความเครียด ความเหนื่อยล้า การบาดเจ็บที่ศีรษะ เนื้องอก สภาพอากาศ เป็นต้น และอาจมีโรคปวดหัวที่มักทำให้ปวดหัวข้างขวา คือ ไมเกรน ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ และปวดหัวจากความเครียด ซึ่งอาจมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการมองเห็นชั่วขณะ อาการมึนตื้อๆ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อไหล่และคอตึง เป็นต้น

อาการปวดหัวข้างขวา

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการปวดหัวข้างขวาอาจเกิดจากไมเกรนและอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster headaches) หรือในบางกรณีความเครียดก็อาจทำให้มีอาการปวดหัวข้างเดียวได้เช่นกัน

  • อาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster headaches)

อาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์เป็นอาการที่พบได้ค่อนข้างยาก มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากพันธุกรรม หรือปัจจัยกระตุ้น เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นน้ำมัน

โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์เป็นภาวะปวดหัวรุนแรงที่เกิดขึ้นกะทันหัน มักเริ่มจากมีอาการปวดเบ้าตาข้างเดียวอย่างรุนแรง จากนั้นอาการปวดจะลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น เช่น ใบหน้า คอ ไหล่ อาการอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และอาจมีอาการเหงื่อออกที่ใบหน้า ตาแดง ตาบวม น้ำตาไหล ผิวซีดหรือแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล ร่วมด้วย

  • ไมเกรน

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคไมเกรน แต่อาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเหนื่อยล้า สภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

โรคไมเกรนอาจทำให้มีอาการปวดหัวข้างขวาเป็นจังหวะ พร้อมกับมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มองเห็นภาพซ้อน ไวต่อแสง เสียง และกลิ่น คลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการมองเห็นชั่วขณะ โดยอาการอาจเกิดขึ้นยาวนานตั้งแต่ 4-72 ชั่วโมง บางคนอาจมีอาการเตือนก่อนจะปวดหัว เช่น หน้ามืด มีปัญหาในการพูด รู้สึกเสียวแปล๊บที่ใบหน้า หรือแขน ขาด้านใดด้านหนึ่ง

  • ปวดหัวจากความเครียด

โรคปวดหัวจากความเครียดเป็นภาวะที่พบได้บ่อย อาจทำให้มีอาการปวดหัวทั้ง 2 ข้าง หรือบางคนอาจมีอาการปวดหัวเพียงข้างเดียว และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มึนตื้อ ปวดเมื่อย เจ็บปวดที่ศีรษะ กล้ามเนื้อไหล่และคอตึง รู้สึกตึงหรือรู้สึกมีแรงกดทับที่หน้าผาก ข้างศีรษะ หรือด้านหลังศีรษะ อาการปวดหัวจากความเครียดอาจเกิดขึ้นเพียง 2-3 ชั่วโมง และส่วนใหญ่มักมีอาการปวดในระดับเบาถึงปานกลาง

ควรพบคุณหมอเมื่อใด

อาการปวดหัวที่เป็นสัญญาณเตือนร้ายแรง และผู้ป่วยควรรีบไปพบคุณหมอทันที อาจมีดังนี้

  • ปวดหัวกะทันหัน โดยเฉพาะตอนตื่นนอน
  • ปวดหัวรุนแรงผิดปกติและอาการแย่ลงเรื่อยๆ หรืออาการปวดหัวที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวัน
  • ปวดหัวเพิ่มขึ้นเมื่อไอหรือเคลื่อนไหวศีรษะ
  • ปวดหัวร่วมกับมีไข้ คอแข็ง สับสน ความจำลดลง หรือมีอาการทางระบบประสาท เช่น มีปัญหาในการมองเห็น พูดไม่ชัด อ่อนแรง ชา ชัก
  • ปวดหัวและตาแดง เจ็บปวดที่ตา
  • ปวดหัวหลังจากโดนกระแทกที่หัว
  • อาการปวดหัวที่เพิ่งเคยเป็นหลังจากอายุ 50 ปี
  • บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป หรือสุขภาพจิตแย่ลง
  • อาการปวดหัวในผู้ป่วยมะเร็งหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง

สาเหตุของอาการปวดหัวข้างขวา

อาการปวดหัวข้างขวาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • ปัญหาทางระบบประสาท เช่น
    • อาการเจ็บปวดบริเวณท้ายทอย เกิดจากเส้นประสาทท้ายทอยอักเสบ อาจมีอาการปวดหัวและคอเฉียบพลัน ปวดหลังตา
    • โรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ (Temporal arteritis) เกิดจากเส้นเลือดในศีรษะและลำคออักเสบ อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัวด้านข้างรุนแรง เมื่อยล้า
    • โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า (Trigeminal neuralgia) เกิดจากเส้นประสาทที่ฐานสมองหยุดทำงาน ทำให้มีอาการปวดบริเวณศีรษะและใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอย่างรุนแรง
  • การใช้ยาบางชนิด ผลข้างเคียงของยาบางชนิด หรือการใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้มีอาการปวดหัวข้างขวาได้ เช่น อะซิตามิโนเฟน (Acetaminophen) แอสไพริน ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
  • สาเหตุอื่นของอาการปวดหัวข้างขวา เช่น การติดเชื้อ ความเหนื่อยล้า ความเครียด เนื้องอก โรคภูมิแพ้ การบาดเจ็บที่ศีรษะ ความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด กล้ามเนื้อตึง

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดหัวข้างขวา

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอาการปวดหัวข้างขวา มีดังนี้

  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • ความเครียด ความเหนื่อยล้า
  • สภาพอากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • ปัญหาสุขภาพ เช่น เนื้องอก โรคภูมิแพ้ การบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่

การวินิจฉัยอาการปวดหัวข้างขวา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

คุณหมออาจวินิจฉัยอาการปวดหัวข้างขวาด้วยการซักประวัติทางการแพทย์และอาการ การตรวจร่างกายและระบบประสาท หากอาการรุนแรงหรือผิดปกติ คุณหมออาจทดสอบเพิ่มเติม ดังนี้

  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (CT scan) คุณหมอจะฉายรังสีเอกซ์เพื่อสร้างภาพตัดขวางของสมองอย่างละเอียด ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยเนื้องอก การติดเชื้อ ความเสียหายของสมอง เลือดออกในสมอง หรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวดหัวข้าวขวาได้
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอ (Magnetic resonance imaging : MRI) เป็นการสแกนโดยใช้สนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุเพื่อสร้างภาพของสมองและหลอดเลือดอย่างละเอียด ช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยเนื้องอก โรคหลอดเลือดสมอง เลือดออกในสมอง การติดเชื้อ หรือภาวะอื่นๆ ของสมองและระบบประสาทได้

การรักษาอาการปวดหัวข้างขวา

การรักษาอาการปวดหัวข้างขวาอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยคุณหมอจะรักษาอาการปวดหัวข้างขวาจากสาเหตุหลักนั้นๆ เพื่อให้อาการปวดหัวข้างขวาดีขึ้น เช่น

ปวดหัวข้างขวาจากไมเกรน

  • ยาแก้ปวด ช่วยบรรเทาอาการเมื่ออาการปวดกำเริบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ทริปแทนส์ (Triptans) ไดไฮโดรเออร์โกตามีน (Dihydroergotamine) ลาสมิดิตัน (Lasmiditan) ยาโอปิออยด์ (Opioid medications) ยาต้านอาการคลื่นไส้ (Anti-nausea drugs)
  • ยาป้องกันอาการปวด ช่วยป้องกันไม่ให้อาการปวดกำเริบ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยากล่อมประสาท ยากันชัก ยาต้านสาร CGRP ยากลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) การฉีดโบท็อกซ์

ปวดหัวข้างขวาจากปวดหัวคลัสเตอร์

  • การรักษาชนิดออกฤทธิ์เร็ว ได้แก่ การสูดดมออกซิเจนบริสุทธิ์ผ่านหน้ากาก การฉีดยาทริปแทนส์ (Triptans) การฉีดยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน (Dihydroergotamine) การใช้ยาออคเทรโอไทด์ (Octreotide) การใช้ยาชาเฉพาะที่
  • การรักษาเชิงป้องกันอาการ ได้แก่ ยาต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers) ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ยาลิเธียมคาร์บอเนต (Lithium carbonate) การบล็อกเส้นประสาท (Nerve block)

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง เพื่อจัดการกับอาการปวดหัวข้างขวา อาจบรรเทาด้วยตนเองได้ ดังนี้

  • ประคบร้อนหรือเย็นที่หลังคอ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการปวดหัว เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ ผงชูรส
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • หลีกเลี่ยงการมัดหรือรวบผมแน่นเกินไป เพราะอาจทำให้ปวดหัวได้
  • หลีกเลี่ยงที่ที่มีแสงจ้าหรือไฟกะพริบ เสียงดัง และกลิ่นแรง
  • พักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต และโทรทัศน์อย่างน้อย 20 นาที
  • ทำกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียดและคลายวิตกกังวล เช่น เล่นโยคะ ฝึกหายใจเข้าออกเพื่อผ่อนคลาย ทำสวน วาดรูป
  • อาการปวดหัวจากความเครียดอาจบรรเทาอาการได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดแต่ไม่ควรใช้ยาบ่อยหรือใช้ยาเกินขนาด เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้
  • นวดหรืออาบน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่
  • ใช้น้ำมันหอมระเหย เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันเปปเปอร์มินต์ อาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากความเครียดได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วิธีการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือแบบสุภาพ Formal Language

หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ Formal Language

การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจและการทำงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างประสิทธิภาพและความมั่นใจระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยจำเป็นต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักการ มีความจริงจัง และเป็นแบบแผน เพื่อช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้มีความสุภาพเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

โดยจะมีหลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน

เข้าใจว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ

ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสถานการณ์การใดบ้างที่เราควรใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการ

  • การนำเสนองาน
  • การสัมภาษณ์งาน
  • การพูดในที่สาธารณะ
  • งานเขียนเชิงวิชาการ
  • เอกสารทางการ
  • เอกสารทางกฏหมาย
  • อีเมลธุรกิจ

การใช้ภาษาที่ชัดเจนสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา

ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการควรเลือกใช้คำศัพท์ และเรียบเรียงประโยคที่สื่อความหมายได้ชัดเจนไม่เกิดความสับสนให้แก่ผู้ฟัง หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

รูปแบบการใช้แกรมม่าในประโยค

ในการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการการใช้แกรมม่าโดยทั่วไปจะมีความซับซ้อนและยาวกว่าการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทั่วไป

  • Have you seen my glasses? [Formal]
    Seen my glasses?
  • I am sorry to have kept you waiting [Formal]
    Sorry to keep you waiting

วิธีการเลือกใช้สรรพนามในประโยค

ภาษาอังกฤษทางการจะใช้คำที่มีความเป็นส่วนบุคคลน้อยลง เช่น เราจะเลือกใช้ “ We ” เป็นสรรพนามแทนที่ “ I ”

  • We can assist in the resolution of this matter. Contact us on our help line number [Formal]
    I can help you solve this problem. Call me!
  • We regret to inform you that……[Formal]
    I’m sorry, but….

รูปแบบคำศัพท์ที่เลือกใช้

การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการจะมีการเลือกใช้คำศัพท์ที่มีระดับภาษาสูงขึ้น ตัวอย่าง เช่น

  • เลือกใช้คำว่า Discuss แทนคำว่า talk
  • เลือกใช้คำว่า Generate แทนคำว่า make
  • เลือกใช้คำว่า Inform แทนคำว่า tell
  • เลือกใช้คำว่า Illustrate แทนคำว่า show
  • เลือกใช้คำว่า Provide แทนคำว่า give

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เปิด 7 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด กู้คืนข้อมูลจากแรนซัมแวร์

Synology แนะ 7 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด กู้คืนข้อมูลจากแรนซัมแวร์ ระบุการสำรองข้อมูล ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในการป้องกันการโจมตีแรนซัมแวร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ได้ขยายตัว และพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบธุรกิจ ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในหลายอุตสาหกรรม และส่งผลให้เกิดการสูญเสียข้อมูล และสินทรัพย์ขององค์กรต่าง ๆ เป็นอย่างมาก 2022 SonicWall Cyber Threat Report เปิดเผยสถิติที่น่าตกใจว่ามีการรายงานการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์รวม 6.233 พันล้านครั้งทั่วโลกในปี 2022 เฉลี่ยการโจมตี 19 ครั้งต่อวินาที ถือเป็นการเน้นย้ำความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต่าง ๆ ต้องเสริมสร้างการป้องกันของตน

ด้วยเหตุนี้ การมีแผนกู้คืนจากแรนซัมแวร์ที่ครอบคลุมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ดูแลระบบ IT เนื่องจากจะสามารถลดผลกระทบของการโจมตี และทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่มีองค์กรใดที่จะป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ได้ทั้งหมด ดังนั้น องค์กรต่าง ๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับ “การกู้คืน (Recovery)” นั่นคือสาเหตุที่ “การสำรองข้อมูล” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในการป้องกันการโจมตีแรนซัมแวร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การมีข้อมูลสำรองล่าสุด ความปลอดภัย และการตรวจสอบจะเพิ่มโอกาสในการกู้คืนข้อมูลที่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันก็ลดการหยุดทำงาน (downtime) และลดความเสี่ยงของการสูญเสียข้อมูลให้เหลือน้อยที่สุด

องค์ประกอบสำคัญของแผนการกู้คืนจากแรนซัมแวร์

การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ท้าทายที่สุดสำหรับองค์กรต่าง ๆ ธุรกิจหรือสถาบันที่ได้รับผลกระทบอาจต้องพบกับปัญหาในการดำเนินงานที่เกิดจากการโจมตีดังกล่าว Synology ตระหนักถึงธรรมชาติของแรนซัมแวร์ จึงได้วิเคราะห์ และระบุองค์ประกอบสำคัญของแผนการกู้คืนข้อมูลจากแรนซัมแวร์

•             บอกลา Data silo : ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการพัฒนาที่หลากหลาย โดยปกติแล้วเครื่องมือต่าง ๆ ที่องค์กรใช้ในการดำเนินงานหรือการพัฒนามักจะกระจายอยู่ในหลายแพลตฟอร์ม การละเลยเวิร์กโหลดบางอย่างมีค่าเท่ากับการนำองค์กรสู่ความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ดังนั้น ในแง่ของการสำรองข้อมูล องค์กรจะต้องหลีกเลี่ยการใช้ไซโลข้อมูล (Data silo) และรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในกลไกการสำรองข้อมูลที่ครอบคลุม

การสำรองข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ : เนื่องจากข้อมูลขององค์กรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่จะต้องเก็บรักษาข้อมูลเหล่านี้ไว้เพื่อวิเคราะห์ในภายหลัง แต่ยังอาจมีการถ่ายโอนไปยังคลาวด์ หรือใช้กับอุปกรณ์ IoT ด้วย ดังนั้น ปริมาณข้อมูลที่ต้องสำรองในสภาวะการใช้งานขององค์กรจะมีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงต้องการระบบที่สามารถสำรองข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว แม้ว่าข้อมูลทั้งหมดจะได้รับการสำรองอย่างสมบูรณ์แล้ว ระบบดังกล่าวก็ยังสามารถลดช่วงเวลา Recovery Point Objective (RPO) ลงได้เป็นอย่างมาก

•             ช่วงเวลาการเก็บรักษาข้อมูลสำรอง : แรนซัมแวร์สมัยใหม่มีระยะเวลาแฝงตัวสูงสุด 30 ถึง 90 วัน ดังนั้นข้อมูลสำรองจะต้องได้รับการจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพื่อรับมือกับทุกเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพื่อให้มั่นใจถึงข้อมูลที่สะอาดและกู้คืนได้ เพื่อรักษาการดำเนินการของธุรกิจที่ต่อเนื่อง

•             การทดสอบความสามารถในการกู้คืนข้อมูลสำรอง : เนื่องจากองค์กรไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อใดจะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีของแรนซัมแวร์ จึงต้องมีการทดสอบและการฝึกซ้อมความสามารถในการกู้คืนข้อมูลสำรองในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการสำรองข้อมูลเท่านั้น แต่ยังทำให้มั่นใจได้ว่าองค์กรจะสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง และกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากแรนซัมแวร์

•             สถาปัตยกรรมการสำรองข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ (Inaccessible backup architecture) : วิธีการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์แบบทั่วไปจะมีการเข้ารหัสข้อมูลดั้งเดิมขององค์กร และลบข้อมูลสำรองที่มีอยู่ไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลสำรองขององค์กรจะต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ มีฟีเจอร์ป้องกันการยุ่งเกี่ยว และมีความสามารถในการแยกแรนซัมแวร์ในเครือข่ายหรือในสภาพแวดล้อมทางกายภาพโดยตรง (Physical environment) เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะมีสำเนาข้อมูลที่สะอาดและกู้คืนได้

•             การกู้คืนที่รวดเร็วและยืดหยุ่น : เมื่อองค์กรถูกโจมตีจากแรนซัมแวร์ เป้าหมายหลักคือต้องให้มั่นใจถึงการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะมีสองประเด็นสำคัญ ได้แก่ “เวลา” และ “ความยืดหยุ่น” ในการลดเวลาหยุดทำงาน จะต้องมีการกู้คืนแบบทันทีเพื่อลด Recovery Time Objective (RTO) ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากแรนซัมแวร์มักจะพุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์มเดี่ยว การสำรองข้อมูลจึงต้องมีความสามารถในการกู้คืนข้ามแพลตฟอร์ม และข้าม Hypervisor เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการกู้คืน

•             การจัดการแบบรวมศูนย์และใช้งานง่าย: ความซับซ้อนของสภาพแวดล้อม IT ภายในองค์กรกำลังเพิ่มขึ้น ในขณะที่องค์กรส่วนใหญ่ใช้กลไกการป้องกันดั้งเดิมสำหรับการสำรองข้อมูล การจัดการที่มีความซับซ้อนมากอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดหรือ human error ซึ่งเป็นช่องโหว่สำหรับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ดังนั้นการสำรองข้อมูลจำเป็นต้องมีฟังก์ชันการจัดการแบบรวมศูนย์พร้อมแสดงข้อมูลให้ตรวจสอบได้ว่าการสำรองข้อมูลทั้งหมดในสภาพแวดล้อมทำงานได้ตามปกติ

Synology ช่วยให้องค์กรต่างๆ ปรับใช้แผนการกู้คืนข้อมูลจากแรนซัมแวร์ได้อย่างไร

โซลูชันการปกป้องข้อมูลของ Synology นำเสนอองค์ประกอบที่สำคัญเพื่อช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ ในการต่อสู้กับแรนซัมแวร์ โดยจะปกป้องข้อมูลขององค์กรและทำให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่สำรอง และซัพพอร์ตการกู้คืนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยสร้างโซลูชันการปกป้องข้อมูลที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจ

ปกป้องข้อมูล

•             การสำรองข้อมูลแบบรวมศูนย์ข้ามแพลตฟอร์ม : ให้การปกป้องข้อมูลแบบรวมศูนย์สำหรับข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานหลักขององค์กร และแอปพลิเคชันคลาวด์ ทำให้มั่นใจได้ถึงการปกป้องข้อมูลที่ปลอดภัยทั่วทั้งระบบนิเวศ

•             ปฏิบัติตามกฎการสำรองข้อมูล 3-2-1 : สามารถสำรองข้อมูลไปยังหลายปลายทาง เช่น การทำสำเนาไปยังเซิร์ฟเวอร์สำรองข้อมูล offsite หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความพร้อมใช้งานของข้อมูลสำรอง

ปกป้องข้อมูลสำรอง

•             ความไม่เปลี่ยนแปลงของข้อมูล (Data Immutability) : รองรับการสำรองข้อมูลแบบเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงหรือการลบโดยไม่ได้รับอนุญาต ปกป้องข้อมูลสำรองขององค์กรจากผลกระทบของแรนซัมแวร์ และการโจมตีที่เป็นอันตรายอื่นๆ

•             Air-Gap : ตรงตามหลักการ “Safe Haven Project” ของ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency สหรัฐอเมริกา ทำให้มั่นใจได้ว่าสภาวะการใช้งานที่มีการสำรองข้อมูลจะสามารถแยกออกจากการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่อาจจะเกิดขึ้น

•             การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง: รองรับ Active Directory และ LDAP รวมถึง SAML 2.0 ช่วยให้องค์กรต่างๆสามารถปรับใช้การตรวจสอบตัวตนหลายปัจจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์สำรองข้อมูล

การกู้คืนข้อมูล

•             การฝึกซ้อมการกู้คืนเป็นประจำ : ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถกู้คืนข้อมูลไปยัง Hypervisor ในตัวสำหรับการทดสอบในสภาพแวดล้อม Sandbox เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยให้ฝึกซ้อมการกู้คืนได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อไซต์ที่ดำเนินงาน เพื่อมั่นใจได้ถึงความสามารถในการกู้คืนข้อมูล

•             รองรับวิธีการกู้คืนข้อมูลที่หลากหลาย : ให้ความสามารถในการกู้คืนที่หลากหลายและยืดหยุ่น รวมถึงการกู้คืนแบบ Bare-metal การกู้คืนระดับไฟล์ และการกู้คืนฐานข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเลือกวิธีการกู้คืนที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการเฉพาะได้

•             การกู้คืนแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน : ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นก็สามารถกู้คืนแบบเรียลไทม์ได้ในสภาพแวดล้อม Virtualization ของ VMware หรือ Hyper-V สามารถสำรองข้อมูลอิมเมจใน Virtual Environment เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วตรงตามข้อกำหนดของการกู้คืนข้ามแพลตฟอร์ม รวมถึง P2V และ V2V

บทสรุป

การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อธุรกิจและองค์กร การปกป้องข้อมูลและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องได้กลายมาเป็นสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ โซลูชันการปกป้องข้อมูลของ Synology ตรงตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยกำหนด “แผนการกู้คืนข้อมูลจาก Ransomware” ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันองค์กรจากการโจมตีแรนซัมแวร์ ช่วยให้องค์กรต่างๆ บรรลุการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เติมเอสโตรเจนให้ร่างกายด้วยผลไม้น่ากิน 8 ชนิด

ผลไม้ที่ช่วยเติมเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มความสวยให้สาวๆ นั้นมีหลากหลายชนิดให้ได้เลือกกิน ซึ่งแต่ละชนิดที่เราได้เอามาฝากกันในวันนี้ ล้วนเป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยปรับความสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันค่ะว่าจะมีผลไม้ชนิดใดบ้าง


1.ลูกพรุน
ลูกพรุนอุดมไปด้วยไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยไฟเบอร์ จึงช่วยในเรื่องของการขับถ่ายและช่วยปรับความสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีเลยทีเดียว


2.ลูกพลับ
ลูกพลับมีสารฟลาโวนอยด์ วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายของสาวๆ ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย บำรุงกระเพาะอาหารและลำไส้ แถมยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีอีกด้วย

3.ฝรั่ง
ฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดนี้มีส่วนช่วยทำให้ผิวพรรณของสาวๆ ผ่องใสอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการทำงานของคอลลาเจนบริเวณใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย


4.มะขาม
มะขามอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงและไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปรับความสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับของเอสโตรเจนได้ดี

5.กล้วย
กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุค่อนข้างสูง ซึ่งมีทั้งวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี โพแทสเซียม แมกนีเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระอย่างไบโอฟลาโวนอยด์ จึงถือเป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้เกิดความสมดุล แถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

6.อะโวคาโด
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารอาหารสำคัญไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันดี ไฟเบอร์สูง วิตามินบี วิตามินอี และกรดโฟลิก ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อการหลั่งฮอร์โมนในร่างกาย และยังช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7.ผลไม้ตระกูลส้ม
ผลไม้ตระกูลส้มล้วนอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งสารชนิดนี้มีส่วนช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง และยังช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ รวมทั้งอาการวัยทองอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี


8.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ในส่วนของผลไม้ตระกูลเบอร์รีทุกชนิด รวมทั้งองุ่น มีวิตามินซีสูง ซึ่งให้ผลดีต่อสุขภาพผิวของสาวๆ แถมยังมีสารเรสเวอราทรอลซึ่งมีหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกด้วย


อย่างที่สาวๆ ทราบกันดีอยู่แล้วว่าฮอร์โมนเพศหญิงนั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ด้วยหลากหลายปัจจัย แต่ทั้งนี้การเลือกกินผลไม้ที่ช่วยเติมเอสโตรเจนและมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง ก็ช่วยให้ความแปรปรวนของฮอร์โมนดังกล่าวทุเลาลงได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/03/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a36,700.0036,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,377.0036,035.3237,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,139.3032,431.79n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,901.6028,828.26n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,070.0016,221.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%832.0012,613.12n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,463.0037,339.08n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/03/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.2538.2538.7538.2538.2538.2538.2538.2538.2538.25
แก๊สโซฮอล์ 9136.7836.7837.2836.7836.7836.7836.7836.7836.7836.78
แก๊สโซฮอล์ E2036.1436.1436.6436.1436.1436.1436.1436.1436.14
แก๊สโซฮอล์ E8535.8935.8935.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.9449.4449.4449.4445.94
เบนซิน 9546.1447.3146.6446.2946.14
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า