ต้นทุนที่ดินกทม.สูงลิบ จับตา!แสนสิริทำเลสารสินทุบสถิติห้องละ600ล้าน
เอฟเฟกต์ ต้นทุนที่ดินกทม.สูงลิบ!ดันคอนโดราคาทะยาน จับตา!แสนสิริทำเลสารสินคอนโด 21 ขั้น จำนวน11 ยูนิต ทุบสถิติห้องละ600ล้าน หลังต้นทุนที่ดินตารางวาละ 3.9 ล้าน
ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD (Central Business District) ราคาที่ดินสูงเกินกว่าจะพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นได้นอกเหนือจากโครงการคอนโดมิเนียมเท่านั้น! เพราะผลตอบแทนจากการลงทุน “ไม่คุ้มค่า” หรือแม้แต่คอนโดมิเนียมก็จะมีสนนราคาแพงระยับ ราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า คอนโดมิเนียมราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป หรือไม่ต่ำกว่า 8 ล้านบาทต่อยูนิต เปิดขายใหม่ “ลดลง” ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยคอนโดมิเนียมระดับราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปในกรุงเทพฯ หากนับการเปิดขายตั้งแต่ปี 2560 ถึงปัจจุบัน มีจำนวน 8,570 ยูนิต มีอัตราการขาย 70% จึงอาจเหลือขายในตลาดไม่มากแล้ว เพราะมีโครงการเปิดขายใหม่ไม่มากนัก
อย่างไรก็ดี ปี2567 เริ่มมีโครงการระดับราคามากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปเปิดขายใหม่ออกมาอย่างเป็นทางการ ขณะที่บางโครงการเปิดขายแบบเงียบๆ ไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งได้การตอบรับที่ดี โครงการส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ซีบีดี เช่น รอบสวนลุมพินี พื้นที่ถนนพระราม 1 เพลินจิต วิทยุ สีลม สาทร พระราม 4 และสุขุมวิทบางช่วง รวมไปถึงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
“อาจมีบางพื้นที่อยู่นอกซีบีดีที่มีคอนโดมิเนียมราคาแพงเปิดขายในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก และอาจได้รับความสนใจน้อยกว่า ซึ่งคอนโดมิเนียมราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปมากที่สุด อยู่แนวถนนสุขุมวิทไม่เกินซอยสุขุมวิท 57 เปิดขายตั้งแต่ปี 2560 ราว 4,720 ยูนิต ขายแล้วประมาณ 65%”
เช่นเดียวกับพื้นที่รอบสวนลุมพินี ซึ่งครอบคลุมแนวถนนวิทยุ หลังสวน ราชดำริ พะราม 1 เพลินจิต ชิดลม และพระราม 4 บางส่วนมีคอนโดมิเนียมระดับราคานี้เปิดขายอยู่ไม่น้อยด้วยจำนวน 1,560 ยูนิต ขายไปแล้ว 85%
“ทำเลนี้ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อค่อนข้างมาก เพราะลักษณะทำเลมีความแตกต่าง แม้จะไกลจากสถานีรถไฟฟ้า แต่ได้ความสงบ บางโครงการอาจได้วิวสวนลุมพินี ทำเลนี้จึงมีอัตราการขายที่สูงมากกว่าทำเลอื่นๆ”
สุรเชษฐ คาดว่า ในปี 2567 จะเริ่มเห็นการเปิดขายโครงการระดับราคา 250,000 บาทต่อตารางเมตรมากขึ้น หลังดีเวลลอปเปอร์จับจองที่ดินหลายแปลง เช่น ที่ดินขนาดกว่า 8 ไร่บนถนนวิทยุที่มีข่าว บริษัท สไวร์ พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด เข้าถือหุ้น 40% ร่วมกับ บริษัท ซิตี้ เรียลตี้ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการบนที่ดินแปลงนี้
ด้วยทำเลของที่ดินแน่นอนว่าคงต้องพัฒนาเป็นโครงการราคาแพงเท่านั้น! ซึ่งบางแปลงซื้อขายกันมาก่อนหน้านี้ 2-3 ปี ในราคาสูงเป็นประวัติการณ์เริ่มมีความเคลื่อนไหว เช่น ที่ดินที่เป็นอาคารสำนักงานบนถนนสารสิน ซึ่ง “แสนสิริ” ซื้อมาตารางวาละ 3.9 ล้านบาท
แน่นอนว่าคงได้เห็นโครงการคอนโดมิเนียมราคาเริ่มต้นมากกว่า 600,000 บาทต่อตารางเมตร หรือเฉลี่ยห้องละ 600 ล้านบาท! ซึ่งบางโครงการที่เปิดขายมาก่อนหน้านี้มีราคา 500,000-600,000 บาทต่อตารางเมตร หรือมากกว่านี้ไปแล้ว ดังนั้น ราคาขายนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีโครงการมิกซ์ยูสที่พัฒนาบนที่ดินสิทธิการเช่าระยะยาวบางโครงการ เช่น วันแบงค็อก และ ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค มีส่วนของคอนโดมิเนียมด้วย ซึ่งทั้ง 2 โครงการ ได้การตอบรับที่ดี แม้จะยังไม่เปิดขายแบบเป็นทางการ
โดยเฉพาะ “วันแบงค็อก” ด้วยรูปแบบของทั้ง 2 โครงการ และทำเลที่ตั้งน่าสนใจจึงเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อทั้งไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งมีการเลือกพันธมิตรหรือผู้บริหารโครงการเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ครั้งแรก! เจน3ยัสปาล รุกพูลวิลล่าแหลมพันวา ภูเก็ตราคาเริ่มต้น 115 -195 ล้าน
ทายาทรุ่น3 ยัสปาล ประกาศรุกพูลวิลล่าภูเก็ต แหลมพันวา โซนตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต โดยตัวโครงการครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 7 ไร่ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 900 ถึง 1,700 ตารางเมตร จำนวนจำกัดเพียง 6 หลัง ราคาเริ่มต้น 115 -195 ล้าน
อนันต์ สิงห์สัจจเทศ ผู้อำนวยการ ISF Group ทายาทรุ่น 3 ยัสปาล กล่าวว่า โครงการ Crescent Bay Beachfront Villas ตั้งอยู่บนพื้นที่อันล้ำค่าที่เป็นที่รู้จักในระดับโลกอย่างแหลมพันวา ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟในโซนตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต โดยตัวโครงการครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 7 ไร่ และพิเศษด้วยจำนวนวิลล่าที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน จำนวนจำกัดเพียง 6 หลัง ! ราคาเริ่มต้น 115 -195 ล้านบาท
เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการอยู่อาศัยอย่างสงบ มีความเป็นส่วนตัว และมีแบบบ้านที่แตกต่างกันสามประเภท มอบพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 900 ถึง 1,700 ตารางเมตร พร้อมห้องนอนตั้งแต่ 4 ถึง 6 ห้อง และตั้งอยู่บนพื้นที่ดินกว้างตั้งแต่ 900ถึง 2,800 ตารางเมตร โครงการนี้มีสถาปัตยกรรมที่หรูหราและทันสมัย ผสานอย่างลงตัวกับทัศนียภาพของชายหาดและวิวทะเลที่ไม่เหมือนใคร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ และสามารถเข้าถึงชายหาดของแหลมพันวาได้อย่างสะดวกสบาย
ด้วยการตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ Crescent Bay Beachfront Villa มอบประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ และมีความสะดวกสบาย โดยโครงการห่างจากตัวเมืองภูเก็ตเพียง 15 นาที และประมาณ 1 ชั่วโมงจากสนามบินนานาชาติภูเก็ต นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สถาบันการศึกษาชั้นนำ เครือข่ายบริการด้านสุขภาพชั้นนำ รวมถึงศูนย์การค้า และโรงแรมชั้นนำ เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต, โรงเรียนนานาชาติ บริติช ภูเก็ต, คิงพาวเวอร์ ภูเก็ต, เซ็นทรัลภูเก็ต ฟลอเรสต้า, วี วิลล่า ภูเก็ต, โรงแรมศรีพันวา และอื่นๆ อีกมากมาย
การออกแบบสถาปัตยกรรมและตกแต่งภายในของวิลล่า เผยให้เห็นถึงความลงตัวระหว่างความหรูหราทันสมัยและโอบรับความธรรมชาติอย่างสอดคล้อง ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกชื่อดัง DBALP (Duangrit Bunnag Architect Limited) ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบอย่างของที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการรวบรวมพื้นที่ภายในและภายนอกอย่างไร้รอยต่อ
โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์ความเป็นธรรมชาติของชายหาดแหลมพันวา วิลล่าแต่ละหลังของโครงการจึงถูกออกแบบให้น้อมรับกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมในการสร้างที่พักอาศัยที่ได้รับรางวัลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
“Crescent Bay Beachfront Villas เป็นมากกว่าอสังหาริมทรัพย์หรู แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราในด้านความเป็นเลิศและนวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการออกแบบที่พิถีพิถันและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียม เราภาคภูมิใจในการนำเสนอประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตริมชายหาดในภูเก็ต การพัฒนานี้ไม่ใช่แค่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการลงทุนด้านไลฟ์สไตล์ที่การันตีการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสะดวกสบาย ความหรูหรา และความงามตามธรรมชาติสำหรับผู้ที่แสวงหาที่สุดของการใช้ชีวิตอันหรูหรา”
ตลาดวิลล่าหรูในจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นที่ต้องการสูง เช่น ชายฝั่งตะวันตกของภูเก็ต และแหลมพันวา จะเห็นได้ว่ามีกำลังความเคลื่อนไหวในด้านความต้องการอยู่ตลอดเวลา และด้วยจำนวนวิลล่าหรูของ Crescent Bay Beachfront Villas ที่จำกัดเพียง 6 หลัง จึงมีความพิเศษในแง่ของการลงทุนอย่างชาญฉลาดและคุ้มค่า ที่มอบทั้งความเป็นส่วนตัว ความหรูหรา การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างที่ครบครัน วิลล่าแห่งนี้จึงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในตลาด รวมถึงมีความน่าดึงดูดใจในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก แหล่งทำงานพร้อมกับท่องเที่ยวตามเทรนด์ Workcation และจุดหมายปลายทางของการลงทุน
สำหรับ ISF Group เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เชื่อถือได้และมากด้วยประสบการณ์ ซึ่งมีชื่อเสียงจากผลงานอันโดดเด่นในอุตสาหกรรม ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งมอบผลงานคุณภาพและความหรูหราในหลากหลายพื้นที่ โดยผลงานโดดเด่นของบริษัทมีตั้งแต่เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เช่น Somerset Sukhumvit Thonglor, Somerset Maison Asoke Bangkok, Hyatt House Bangkok Asoke และ The Jungle House Chiangmai ผลงานการพัฒนาเหล่านี้ตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญของบริษัทในการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่หรูหรา อีกทั้งยังแน่วแน่ในการนำเสนอโอกาสทางธุรกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยยุคใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23เม.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 37.06 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทสามารถผันผวนอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 37.10-37.15 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่แรงขายเงินดอลลาร์อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทบ้างในระยะสั้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23เม.ย.2567ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาททะลุโซนแนวต้าน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถผันผวนอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 37.10-37.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะในช่วงนี้ เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ยังมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด หรือ เพิ่มโอกาสที่เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยได้เลยในปีนี้
นอกจากนี้ การปรับฐานของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมาก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาด (ที่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ) ทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง
ทั้งนี้ เรามองว่า แรงขายเงินดอลลาร์และการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ) ของผู้เล่นในตลาดอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้างในระยะสั้นนี้
นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็อาจช่วยหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยเพิ่มเติมได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามความเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงตลาดค่าเงิน เพื่อหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเยนได้อ่อนค่าทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์
อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.95-37.15 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงเล็กน้อย (แกว่งตัวในช่วง 36.98-37.10 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะแกว่งตัวในกรอบ Sideways ทว่า ความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง
ขณะที่ตลาดยังคงกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ก็กดดันให้ราคาทองคำปรับฐานลงหนักกว่า -1.2% หรือ เกือบ -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
และการปรับตัวลดลงของราคาทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว เนื่องจากในช่วงหลังผู้เล่นในตลาดต่างมีมุมมองเชิงบวกต่อทองคำและรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว (Buy on Dip)
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังถูกจำกัดในโซน 37.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงขายเงินดอลลาร์รวมถึงการทยอยลดสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เทียบสกุลเงินหลัก) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้คลี่คลายลง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็ทยอยเข้าซื้อหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่เผชิญแรงเทขายหนักในช่วงที่ผ่านมา อาทิ Nvidia +4.4%
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่เพิ่มความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 และรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +0.87%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.60% หนุนโดยสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ก็ยังคงออกมาสดใสและดีกว่าคาด
ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ กลุ่มธนาคารฝั่งยุโรป และกลุ่มเทคฯ ในสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 4.60% โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ และอัตราเงินเฟ้อ PCE ก่อนที่จะตัดสินใจปรับสถานะถือครองบอนด์ที่ชัดเจนต่อไป
เราคงมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ (เรายังไม่ได้เชื่อในสมมติฐาน No Landing) ซึ่งจะนำไปสู่การทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดราว 3-4 ครั้งได้ ทำให้ เรามองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) โดยมี Risk-Reward ที่คุ้มค่ามากขึ้น
นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลในอดีตยังพบว่า การทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในช่วงก่อนเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้จริง สามารถทำผลตอบแทนในช่วงระยะเวลา 1 ปี ได้ดีกว่า การเริ่มซื้อบอนด์เมื่อเฟดเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้วราว +3%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อีกทั้ง ความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง
กอปรกับการเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ลดความน่าสนใจในการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังแกว่งตัวแถวโซน 106.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.0-106.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง ได้ลดความน่าสนใจในการถือครองทองคำ นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ยังคงมีอยู่ ก็ยิ่งกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวลงแรงกว่า -1.2% สู่โซน 2,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ ต่างก็ทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐานดังกล่าว และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก
ทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค รวมถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึง ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 6 เดือนครึ่งที่ 37.09 ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 37.01-37.03 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.45 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทยังคงอ่อนค่าสอดคล้องกับจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก แต่ภาพรวมยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบค่อนข้างแคบ เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และปัจจัยใหม่ๆ อาทิ ข้อมูล PMI ที่จะทยอยรายงานออกมาในวันนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.90-37.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาโลก สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนเม.ย. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
TOYOTA GAZOO Racing Thailand ขึ้นโพเดียม 1-2 Overall และรุ่น Touring Car มาราธอนทางเรียบ RAAT ที่บุรีรัมย์
“TOYOTA GAZOO Racing Thailand” ทีมแข่งรถที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างสูงของวงการมอเตอร์สปอร์ต ภายใต้การสนับสนุนของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดฤดูกาลความเร็วปี 2024 ลงสนามสู้ศึกรถยนต์ทางเรียบ คว้าแชมป์อันดับ 1 และ 2 แบบ Overall และรุ่น Touring Car เป็นแชมป์สนามแรก ในรายการมาราธอน “RAAT Thailand Endurance Championship 2024” เรซแรก ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 20-21 เมษายน 2567
สำหรับการแข่งขันมาราธอนทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย “RAAT Thailand Endurance Championship 2024” สนามแรก TOYOTA GAZOO Racing Thailand จัดทีมแข่งฝีมือเก๋าและนักแข่งรุ่นใหม่ลงสนาม ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุในสนามช้างฯ ปล่อยตัวพร้อมกันโดยมีรถยนต์กว่า 30 คันลงสนาม รถของทีมขึ้นนำตั้งแต่ออกสตาร์ทการแข่งขัน และชัดเจนทันทีตั้งแต่จบชั่วโมงแรก ครบ 6 ชม.การแข่งขัน
ปรากฏว่ารุ่น Touring Car ด้วยรถ Toyota Corolla Altis GR Sport Nürburgring หมายเลข 19 ขับโดย สุทธิพงศ์ สมิตชาติ, ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ และ มานัต กุละปาลานนท์ ประกาศศักดาความแกร่งจบการแข่งขันไปในอันดับที่ 1 ของรุ่นและแบบ Overall รวม 174 รอบสนาม ด้านรถหมายเลข 20 ขับโดย ณัฐพงษ์ ห่อทองคำ, กรัณฑ์ ศุภพงษ์ จบการแข่งขันในอันดับที่ 2 ของรุ่นและแบบ Overall รวม 173 รอบสนาม และทีมส่งรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง E-Fuel ซึ่งเชื้อเพลิง E-Fuel จะนำคาร์บอนที่มีอยู่แล้วมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง เมื่อเกิดการเผาผลาญในเครื่องยนต์ก็ไม่สร้างมลภาวะเพิ่มขึ้นเพราะมันเท่าเดิมกับที่นำมาใช้ ซึ่งรถทั้ง 2 คันจะถูกเก็บข้อมูลร่วมกับวิศวกรไทยเพื่อนำมาพัฒนายานยนต์ที่เป็นมิตรต่อโลก ตามนโยบาย Multi-Pathway ของ บ.โตโยต้าฯ ที่ต้องการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยในปีแรกนี้ลงแข่งขันในรุ่น Compact ด้วยรถหมายเลข 23 กับ Yaris 1.5 Turbo E-Fuel ขับโดย ธัญชนก เจริญสุขะวัฒนะ, ณ ดล วัฒนธรรม และนักแข่งคนใหม่ประจำปี นรรัศมิ์ อภิวาท ทำผลงานได้ในอันดับที่ 2 ของรุ่น และ 5 แบบ Overall และหมายเลข 37 รถ Corolla ALTIS 1.5 Turbo E- Fuel ขับโดย อัครพงษ์ อัคนีนิโรธ, กฤษฎิ์ วสุรัตน์ และชิบะ เคนทาโร่ DNF ไม่จบการแข่งขัน
หลังจบการแข่งขัน คุณสุทธิพงศ์ สมิตชาติ ผู้อำนวยการทีมและนักแข่งสังกัดโตโยต้า กาซู เรซซิ่ง ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ปีนี้เรายังมุ่งเน้นการใช้รถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนลงสนาม โดยเพิ่มรถแข่งที่ใช้เชื้อเพลิง E-Fuel เข้ามาอีก 2 คัน ซึ่งเราคาดหวังเรื่องของการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปวิจัยและพัฒนาต่อยอดเพื่อทำรถให้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของผลการแข่งขันเรามีโพเดียมในทุกรุ่น นับเป็นการประเดิมเปิดฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมเลยครับ”
แฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตร่วมติดตามชมและเชียร์ “TOYOTA GAZOO Racing Thailand” ที่จะลงสนามต่อในรายการ Thailand Super Series 2024 ระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2567 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ร่วมติดตามชมภาพการแข่งขันของทีมเพิ่มเติมได้ที่ Facebook และ Instagram: TOYOTAGAZOORacingTeamThailand
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ดื่มน้ำเปล่านั้นดี แต่ 4 วิธีดื่มแบบนี้เสียสุขภาพ เสี่ยงเสียชีวิต
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการดื่มน้ำเปล่านั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งยังช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดี ซึ่งปกติเรามักได้ยินว่าใน 1 วันให้ดื่มน้ำเยอะๆ แต่ระยะหลังก็มีข่าวเกี่ยวกับการดื่มน้ำเปล่าและส่งผลกระทบต่อสุขภาพ มาเช็กกันดีกว่าว่าดื่มน้ำเปล่าแบบไหนดีต่อสุขภาพ และดื่มน้ำเปล่าแบบไหนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
ดื่มน้ำแบบนี้เสียสุขภาพ
1.ดื่มน้ำมากเกินไป
สถาบันแพทยศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine) ได้แนะนำปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ที่ควรดื่มอยู่ที่ประมาณ 9-13 แก้วต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำที่แต่ละคนต้องการนั้นอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ factors (ปัจจัย) หลายอย่าง เช่น
- เพศ
- สภาพอากาศ
- ระดับกิจกรรม
- สุขภาพโดยรวม
โดยทั่วไปแล้วในสถานการณ์ต่อไปนี้ร่างกายต้องการน้ำมากกว่าปกติ
- สภาพอากาศร้อนจัด
- ออกกำลังกายหนัก
- ป่วยมีไข้
สำหรับใครที่ดื่มน้ำมากจนเกินไปอาจทำให้เกิดอาการของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) จากการดื่มน้ำมากเกินไป
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดศีรษะ เนื่องจากความดันที่ส่งต่อสมอง
- อาการทางจิต เปลี่ยนแปลง เช่น สับสน ประสาทหลอน
- ง่วงซึม
- ตะคริว
- ในกรณีที่รุนแรง เซลล์สมองจะบวม จนส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการชัก หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
การเสียชีวิตจากการดื่มน้ำมากเกินไปในผู้มีสุขภาพแข็งแรงพบได้น้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในนักกีฬา ส่วนใหญ่ภาวะน้ำเป็นพิษมักเกิดร่วมกับภาวะทางเดินปัสสาวะผิดปกติ ที่ทำให้ไตไม่สามารถขับน้ำออกจากร่างกายได้
2.ดื่มน้ำเร็วเกินไป
เพราะอะไรจึงแนะนำให้ดื่มน้ำแบบจิบไปเรื่อยๆ ทั้งวันมากกว่าดื่มทีละเยอะๆ ในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำเร็วเกินไปส่งผลต่อการสร้างสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เนื่องจากการดื่มน้ำเร็วเกินไปนั้นร่างกายจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนเกลือแร่ต่างๆ เพื่อสร้างสมดุลได้ ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำคั่งในเซลล์เกิดอาการตัวบวม
3.น้ำดื่มทุกชนิดใช่หมด
หากลองสังเกตจะพบว่าหลายคนชอบดื่มน้ำที่มีรสชาติและรู้สึกว่าสามารถช่วยดับกระหายได้ เช่นน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ รวมไปถึงชา กาแฟ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ถูกต้อง เพราะหากเราดื่มน้ำเหล่านี้ในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะถ้าใส่น้ำตาล จะส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า แถมยังไม่ได้ช่วยดับกระหายได้อย่างแท้จริงอีกด้วย
4.ข้าวคำ น้ำคำ
ถือเป็นเรื่องที่ทำให้เสียสุขภาพมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะการส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร การดูดซึมสำหรับการทานอาหารพร้อมกับการดื่มน้ำ โดยเฉพาะการดื่มน้ำเย็นจัดระหว่างการทานอาหาร ข้อแนะนำคือให้ดื่มน้ำก่อน หรือหลังรับประทานอาหาร 15-30 นาทีจะเหมาะสมกว่า ไม่ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหาร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จะบอกวัน เวลา สัปดาห์ และเดือนเป็นภาษาอังกฤษอย่างไร?
สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการเรียนภาษาใดก็ตามคือการเรียนวิธีบอกวันและวันที่ วันและวันที่เป็นสิ่งสำคัญในการนัดประชุม การวางแผนไปเที่ยววันหยุดและการนัดทำกิจกรรมต่าง ๆ
มาเริ่มดูกันที่การบอกวันในหนึ่งสัปดาห์กันดีกว่าค่ะ
วันในหนึ่งสัปดาห์
ด้านล่างนี้คือคำศัพท์เจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์พร้อมวิธีการออกเสียง
⦿ วันจันทร์ Monday – /’mun.dei/
⦿ วันอังคาร Tuesday – /’tiu:z.dei/
⦿ วันพุธ Wednesday – /’wenz.dei/
⦿ วันพฤหัสบดี Thursday – /’thurz.dei/
⦿ วันศุกร์ Friday – /’frai.dei/
⦿ วันเสาร์ Saturday – /’sa.ta.dei/
⦿ วันอาทิตย์ Sunday – /’sun.dei/
วิธีการออกเสียง ให้ลงเสียงหนักที่พยางค์แรกเสมอ สองวันที่ออกเสียงยากที่สุดคือวันอังคารและวันพฤหัสบดี เพราะฉะนั้นอย่าลืมให้เวลาฝึกมากเป็นพิเศษนะคะ
อย่างที่เห็นนะคะ เราจะเขียนพยัญชนะตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ ลองไปดูตัวอย่างกันค่ะ
–I work from Monday to Friday. I’m free on Saturday and Sunday.
–Our next lesson is on Wednesday.
–Saturday is his favorite day of the week because he plays football.
– The meeting is on Thursday at 10:30.
– We’ve got an appointment on Tuesday morning.
เห็นแล้วใช่ไหมคะ เราจะใช้ ‘on’ หน้าคำศัพท์บอกวันในสัปดาห์
เดือน
เดือนทั้งสิบสองพร้อมวิธีการออกเสียงมีดังต่อไปนี้ค่ะ
⦿ มกราคมJanuary – /’gian.iu.e.ri/
⦿ กุมภาพันธ์ February – /’fe.bru.e.ri/
⦿ มีนาคม March – /’ma:tc/
⦿ เมษายน April – /’ei.pril/
⦿ พฤษภาคม May – /’mei/
⦿ มิถุนายนJune – /’giun/
⦿ กรกฎาคม July – /giu’lai/
⦿ สิงหาคม August – /’o:.gust/
⦿ กันยายน September – /sep’tem.ba/
⦿ ตุลาคม October – /ok’tou.ba/
⦿ พฤศจิกายน November – /nou’vem.ba/
⦿ ธันวาคม December – /di’sem.ba/
สำหรับเดือน พยัญชนะตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอด้วยเช่นกัน มาดูตัวอย่างการใช้กันค่ะ
– February is the shortest month of the year, with only 28 days.
– They’re going away on holiday in May.
– The weather is very hot here in July.
– It’s very cold in December.
– Halloween is in October.
อย่างที่เห็นนะคะ ถ้าเป็นเดือนเราจะใช้ ‘in’ ค่ะ
วันที่
เวลาที่เราพูดถึงวันที่ในภาษาอังกฤษ เรามักจะใช้เลขบอกลำดับที่ (fist, second, third เป็นต้น) แทนที่จะใช้เป็นเลขบอกจำนวนนับ (one, two, three เป็นต้น) มาทำความรู้จักเลขบอกลำดับที่กันค่ะ
- 1st – first
- 2nd – second
- 3rd – third
- 4th – fourth
- 5th – fifth
- 6th – sixth
- 7th – seventh
- 8th – eighth
- 9th – ninth
- 10th – tenth
ตั้งแต่ลำดับที่ 11-19 จะใส่ -th ลงไปที่ท้ายตัวเลขเหมือนกันทั้งหมด
- 11th – eleventh
- 12th – twelfth (the letter v changes to f)
- 13th – thirteenth
- 14th – fourteenth
- 15th – fifteenth
- 16th – sixteenth
- 17th – seventeenth
- 18th – eighteenth
- 19th – nineteenth
ตัวเลขที่ลงท้ายด้วย -ty เช่น 20 และ 30 ให้เปลี่ยนจาก -y เป็น – i และเติม -eth ลงไป เช่น
- 20 – twentieth
- 30 – thirtieth
- 21st – twenty-first
- 22nd – twenty-second
- 23rd – twenty-third
- 24th – twenty-fourth
- 25th – twenty-fifth
- 26th – twenty-sixth
- 27th – twenty-seventh
- 28th – twenty-eighth
- 29th – twenty-ninth
- 30th – thirtieth
- 31st – thirty-first
สำหรับภาษาอังกฤษแบบบริติช การบอกวันที่จะเริ่มด้วยวันที่แล้วตามด้วยเดือน ในขณะที่อังกฤษแบอเมริกันมันจะเอาเดือนขึ้นก่อน กฎนี้ใช้เมื่อเวลาเราย่อวันที่ให้เหลือตัวเลขด้วย เช่น วันที่ 1st December 2017 ย่อเห็น
- 1/12/2017 สำหรับอังกฤษแบบบริติช
- 12/1/2017 สำหรับอังกฤษแบบอเมรกัน
เช่นเดียวกันวันในสัปดาห์ เราใช้ ‘on’ นำหน้าวันที่เช่นกัน ลองมาดูตัวอย่างกันค่ะ
– Paolo’s birthday is on June 3rd. (pronounced ‘on June the third’)
– New Year’s Day is on 1st January. (pronounced ‘on the first of January’)
– We’re flying back home on Tuesday, April 10th. (pronounced ‘on Tuesday, April the tenth’)
– They’re having a party on 16th November. (pronounced on the sixteenth of November.)
– Our Wedding Anniversary is on August 11th. (pronounced ‘on August the eleventh’.)
ปี
ในภาษาอังกฤษ วิธีอ่านปีค.ศ. จะแบ่งวิธีการนับเลขเป็นสองหลัก ตัวอย่าง
- 1750 – seventeen fifty
- 1826 – eighteen twenty-six
- 1984 – nineteen eighty-four
- 2017 – twenty seventeen
ตัวเลขบอกปีค.ศ.ที่เป็นปีถ้วน ให้อ่านดังต่อไปนี้
- 1400 – fourteen hundred
- 1700 – seventeen hundred
- 2000 – two thousand
ช่วงเก้าปีแรกของศตวรรษให้อ่านดังต่อไปนี้
- 1401 – fourteen oh one
- 1701 – seventeen oh one
- 2001 – two thousand and one
เราสามารถพูดถึงทศวรรษ (ช่วงระยะเวลาสิบปี) ดังต่อไปนี้
- 1960-1969 – The ‘60s – ออกเสียงว่า ‘the sixties’
- 1980-1989 – The ‘80s – ออกเสียงว่า ‘the eighties’.
- 2000 – 2009 – The 2000s – ออกเสียงว่า ‘the two thousands’
ยกตัวอย่างเช่น
– The Beatles were famous in the sixties.
– My parents got married in the seventies.
– Maradona played for Napoli in the eighties.
– Where were you living in the nineties?
– The internet became popular worldwide in the two thousands.
อย่างที่เห็นนะคะ เราใช้ ‘in’ หน้าปีค่ะ
สรุปการใช้บุพบทบอกวัน เวลา
ตัวอย่างประโยค:
– In my country, the schools start the academic year in September.
– Is he starting the new job on Monday?
– The company was founded in 1991.
– The Wedding is on July 25th.
– There was an economic boom in the 50’s.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
RAZER ขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2030 รองรับโดยองค์กร SBTI
Razer แบรนด์ผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ เพื่อเกมเมอร์ โดยเกมเมอร์ ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญด้วยแผนงานความยั่งยืนในช่วง 10 ปีข้างหน้าเนื่องในโอกาศวัน Earth Day 2024 แผนงานของ Razer สรุปชุดเป้าหมายครอบคลุมการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ การดำเนินงาน และห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ Razer ได้ประกาศการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อใช้วัสดุรีไซเคิลมากถึง 85% ในรุ่นเริ่มต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ในสามหมวกหลัก เมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟัง
เป้าหมายของ Razer ในการลดอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเชียสในทุกขบวนการหมายความว่าเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทสอดคล้องกับเป้าหมายของ Paris Climate Accord โดยการตั้งเป้าหมายภายในปี 2023 ได้รับการรองรับโดยองค์กร Science Based Target initiative (SBTi)
แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศล่าสุด นอกจากนี้ Razer ยังสานต่อวาระในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับการเล่นเกมผ่านนวัตกรรมที่ก้าวหน้าและแนวทางความยั่งยืนที่มุ่งมั่นโดยใช้วัสดุรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์
GoGreenwithRazer กับแผนงาน 10 ปีสู่ความยั่งยืน
ภายใต้โครงการ #GoGreenWithRazer แผนงาน 10 ปีสู่ความยั่งยืนของ Razer หวังที่จะรักษาธรรมชาติและปกป้องสิ่งแวดล้อม – เพื่อสร้างโลกที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับคนรุ่นหลังให้สามารถเล่นเกมกันได้ต่อไปในอนาคตอันไกล
การนำวัสดุรีไซเคลิเข้ามาใช้ในหมวดผลิตภัณฑ์หลักเป็นเพียงก้าวหนึ่งในการเดินทางสู่ความยั่งยืนของ Razer โดยคาดว่าหลังจากหนึ่งปีของการดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางวิศวกรรมแต่ละผลิตภัณฑ์จะใช้วัสดุรีไซเคิลมากถึง 65% นอกจากนี้ Razer ยังก้าวไปไกลกว่าการดำเนินงานของตนเองเพื่อเป็นผุ้นำด้านความยั่งยืนระดับอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงการร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่มีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกันกับ Razer โดยกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดหาอย่างมีความรับผิดชอบตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
จากการสนับสนุนจากชุมชนเกมเมอร์ที่เข้มแข็งและเชื่อมั่นในอนาคตทีดีกว่าสำหรับโลกของเรา Razer ทุ่มเท่เพื่อให้เกมเมอร์ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยื่น ด้วยการเลิกใช้พลาสติกจากบรรจุภัณฑ์ ปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสม ออกแบบที่เรียบง่าย และการใช้กระดาษที่ได้รับการรับรอง FSC ด้วยหมึกถั่วเหลือง Razer ได้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง Razer ยังเสนอทางเลือกการรีไซเคิลในรูปแบบโครงการให้รางวัลเกมเมอร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการกำจัดผลิตภัณฑ์อย่างมีความรับผิดชอบโดยแต่ละแนวทางแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สุดยอด 5 ผลไม้เพื่อสุขภาพกินลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูงได้
แน่นอนว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการคอเลสเตอรอลเพื่อช่วยในการผลิตฮอร์โมน วิตามิน รวมถึงเซลล์ใหม่ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีปริมาณคอเลสเตอรอลมากเกินไป ก็จะเป็นการสร้างอันตรายต่อร่างกายทันที เนื่องจากการมีคอเลสเตอรอลสูงจะทำให้เกิดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นด้วย วันนี้เราได้รวมเอาผลไม้ 5 ชนิดช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงมาแชร์ให้สาวๆ ได้เลือกกินเพื่อสุขภาพที่ดีกันค่ะ
5 ผลไม้ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง
1.อะโวคาโด
อะโวคาโด คือ ผลไม้ที่มีความสามารถในการช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารชนิดอื่นๆ ได้ดี และยังเป็นผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันเหล่านี้ล้วนให้ประโยชน์แก่หัวใจ ที่สำคัญการกินอะโวคาโด ยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี พร้อมทั้งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีได้อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
2.กล้วย
กล้วย คือ ผลไม้ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายมหาศาล และยังเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีสารอาหารสูงอีกด้วย เพราะกล้วยอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เส้นใย และน้ำตาลธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและไฟเบอร์ที่ดี ที่ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ดีเลยทีเดียว
3.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี จัดเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และยังเป็นผลไม้ที่ถือเป็นแหล่งของสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่หลากหลายอีกด้วย นั่นเป็นเพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีคุณสมบัติช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยต้านการอักเสบ อีกทั้งยังมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพอยู่มากมายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การกินผลไม้ตระกูลเบอร์รีจึงสามารถลดคอเลสเตอรอลและช่วยป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
4.ผลไม้ตระกูลส้ม
ผลไม้ตระกูลส้มจะมีเพคตินซึ่งเป็นเส้นใยละลายน้ำที่สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งยังอุดมด้วยวิตามินซีและเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้ผลไม้ตระกูลส้มยังมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เป็นอันตราย ที่สำคัญวิตามินซีที่ได้จากการกินผลไม้ตระกูลส้มยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตและการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย
5.ผลไม้ที่มีไฟเบอร์
ผลไม้ที่มีไฟเบอร์ โดยเฉพาะไฟเบอร์ที่สามารถละลายน้ำได้ เป็นผลไม้ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจอย่างมาก และยังช่วยลดภาวะคอเลสเตอรอลสูงได้อีกเช่นกัน ในส่วนของผลไม้ที่มีไฟเบอร์ที่แนะนำให้กินเพื่อลดคอเลสเตอรอล ได้แก่ ลูกแพร์ และแอปเปิล ซึ่งผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ล้วนช่วยแก้ปัญหาระดับคอเลสเตอรอลไม่สมดุล จากการกินอาหารที่มีโซเดียมและไขมันอิ่มตัวมากเกินไปได้เป็นอย่างดี
สำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดระดับคอเลสเตอรอลด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น จากการกินอาหารที่มีประโยชน์ แนะนำให้เลือกกินผลไม้ทั้ง 5 ชนิดที่เราได้กล่าวไปข้างต้นกันค่ะ วิธีนี้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/04/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,350.00 | 40,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,614.00 | 39,628.24 | 40,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,352.60 | 35,665.42 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,091.20 | 31,702.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,176.00 | 17,828.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 915.00 | 13,871.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,709.00 | 41,068.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/04/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.95 | 39.95 | 40.85 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.88 | 38.88 | 39.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.84 | 37.84 | 38.64 | 37.84 | 37.84 | – | 37.84 | 37.84 | 37.84 | 37.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.59 | 37.59 | – | – | – | – | – | – | – | 37.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 47.64 | 49.44 | 49.94 | 49.44 | – | – | – | – | – | 47.64 |
เบนซิน 95 | 47.84 | – | – | – | 49.01 | – | 48.34 | 47.99 | – | 47.84 |
ดีเซล B7 | 30.94 | 30.94 | 31.34 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
ดีเซล | 30.94 | 30.94 | – | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
ดีเซล B20 | 30.94 | 30.94 | – | – | 30.94 | – | – | – | – | 30.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.94 | 45.14 | 45.94 | 45.14 | 45.14 | – | – | – | – | 42.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |