สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2567

‘เจนวาย’จ่อค้างชำระหนี้บ้านเฉียด2.5แสนล้าน

“เครดิตบูโร” เผยหนี้เสีย 1.09 ล้านล้าน เป็นหนี้เสียบ้าน 2 แสนล้าน “เจนวาย” แชมป์ ส่อทะยาน 2.5 แสนล้าน ชี้สถานการณ์ ‘น่าห่วง’มีหนี้เสียจากบ้านสัดส่วน 20% ของพอร์ตรวม เติบโตถึง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายงานของ “เครดิตบูโร” หรือบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ พบหนี้เสียโดยรวมของครัวเรือนไทยพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.09 ล้านล้านบาท เกือบเทียบเท่าระดับสูงสุดของวิกฤติโควิด-19 ที่หนี้เสียทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท หนึ่งในนั้นคือ “หนี้บ้าน” แม้เป็นหนี้ที่ได้มาจากการกู้เพื่อใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแต่เป็นปัจจัย 4 ที่ลูกหนี้พึงอยากจะมีในชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ด้วยภาระหนี้ครัวเรือนดังกล่าว

ขณะที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ประกอบต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ปรับสูงขึ้น กระทบต่อการชำระหนี้อย่างมาก ทำให้สถาบันการเงินยิ่งเพิ่มความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) พุ่งสูงระดับ 60-70% โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต

นายสุรพล โอภาสเสถียรผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยข้อมูลสินเชื่อบ้านไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า “ค่อนข้างน่าห่วง” หากดูจากหนี้เสียครัวเรือนไทย 1.09 ล้านล้านบาท มีหนี้เสียจากบ้านสัดส่วน 20% ของพอร์ตรวม เติบโตถึง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

“ยังมีหนี้ค้างชำระแต่ไม่เกิน 90% หรือที่รู้จักกันดี คือ กลุ่ม SM ที่มียอดค้างชำระถึง 120,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน และไม่น่าแปลกใจว่าเกินกว่าครึ่งเป็นหนี้ค้างชำระจากลูกหนี้แบงก์รัฐที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรายได้ต่ำ มีความสามารถซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางของกลุ่มฐานรากเปราะบางขึ้นไปอีก”

นอกจากนี้ กลุ่มที่น่าห่วงสุด คือกลุ่ม เจนวาย (Gen Y) ที่กำลังสร้างตัว หรือกลุ่มเริ่มทำงาน พบว่าเป็นหนี้เสียถึง 83,281 สัญญา คิดเป็นวงเงิน 124,000 ล้านบาท และมีลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้ แต่ไม่เกิน 90 วัน อีก 76,276 สัญญา อีก 118,000 ล้านบาท

“หากคิดเร็วๆ เจนวาย กลุ่มเดียวเป็นหนี้เสียและหนี้ค้างชำระ สัดส่วนเกินกว่า 50% ของหนี้เสียทั้งหมด หรือยอดค้างชำระทั้งหมด คนเจนวายเป็นหนี้เสียแล้ว 124,000 ล้านบาท ของหนี้เสียบ้านทั้งหมด 200,000 ล้านบาท และเป็นหนี้ค้างชำระที่กำลังจะเป็นหนี้เสียอีก 118,000 ล้านบาท ของยอดค้างชำระหนี้รวมที่ 180,000 ล้านบาท”

“หนี้เสีย-หนี้กำลังจะเสีย”เจนวายพุ่ง 2.5 แสนล้าน

หากรวมทั้งสองกลุ่ม ทั้งหนี้เสียและหนี้ค้างชำระ “เจนวาย” เป็นหนี้เสียทั้งสิ้นเกือบ 242,000 ล้านบาท หรือมียอดสัญญาค้างชำระเกือบ 160,000 สัญญา หรือเทียบเป็นบ้านเท่ากับค้างชำระหนี้เกือบ 160,000 หลัง สอดคล้องกับสถานการณ์ยื่นขอสินเชื่อบ้าน พบว่ามีแนวโน้มถูกปฎิเสธสูง หรือ ​ 100 ใบสมัครผ่านการพิจารณา​เบื้องต้น​เพียง 50 ใบ จากการตรวจประเมินรายได้ที่เข้มข้น​ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขอกู้มีศักยภาพ ซึ่งหมายถึงมีรายได้แน่นอน​ มั่นคง​ เพียงพอ​ สม่ำเสมอ ตามเกณฑ์​ความสามารถ​ในการชำระหนี้ตามตารางการชำระหนี้ได้ตลอด​รอดฝั่ง

“​ตรวจรายได้เสร็จก็ไปตรวจเครดิตบูโร​ต่อว่า​ มีหนี้มากแค่ไหน​ มีประวัติการค้างชำระหรือไม่​ เพื่อประเมินความตั้งใจในการชำระหนี้​เป็นไปตามกฎว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”

หากพิจารณาบัญชีที่เปิดใหม่ของสินเชื่อบ้าน พบว่าเจนวายมี​สัดส่วนสูงขึ้นทุกปี​ โดยมี​วงเงินสินเชื่อบ้านระดับไม่เกิน​ 3 ล้านบาทเป็นกลุ่มหลัก ทั้งนี้ ปี​ 2561 มีจำนวนเกินกว่า​ 430,000 บัญชี​ ปีก่อนโควิดอยู่ที่ระดับ​ 370,000 บัญชี​ ปี 2565 อยู่ที่​ 330,000 บัญชี​ ไตรมาสแรก ปี 2567 มี 59,000 บัญชี​ ค่อนข้างแผ่วตัวลง

“ฝั่งผู้ประกอบการต่างก็บ่นกันมากในเรื่องขายได้ยาก​ กู้ไม่ผ่าน​ ของเหลือมากขึ้น ​จึงนำมาสู่ข้อเสนอที่อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนเงื่อนไข เช่น​ LTV ​หลังที่ 2 หลังที่ 3 ​แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับที่ปลายสาย”

แบงก์หันเจาะกลุ่มรายได้สูง

สอดคล้องกับข้อมูลของ ธปท.ล่าสุดที่มีการเปิดรายงานสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ พบว่าปรับตัวลดลง สะท้อนการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินซึ่งหันไปเจาะกลุ่มที่มีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบนเพื่อลดความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้จากการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มซื้อบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท

นายภัทรพงศ์ รักตะบุตร ประธานสายธุรกิจสินเชื่อรายย่อย และประธานสายเครือข่ายสาขา ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) กล่าวว่า สินเชื่อของธนาคารที่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันของดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าระดับบน โดยปกติสินเชื่อบ้านของ KKP อยู่ในกลุ่มลูกค้าระดับบน (Mass Affluent) ขณะที่กลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ธนาคารไม่ได้ลงไปแข่งขันปล่อยสินเชื่อ จึงไม่ได้รับกระทบจากสถานการณ์หนี้เสีย

เช่นเดียวกับ นายเอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB) กล่าวว่า ยอดปฏิเสธสินเชื่อบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น เป็น 70% จากเดิม 50-60% เนื่องจากคุณภาพผู้กู้ด้อยลงมาก ทำให้ทิศทางหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายของผู้กู้เพิ่มสูงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อสังหาอ่วมยอดโอน-สินเชื่อใหม่ต่ำสุดรอบ6ปี เปิดตัววูบ ขายติดลบ เหลือเพียบ

  • สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยสูง 90% ของจีดีพี น่าห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล
  • มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (NPL)  และยอดค้างชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM : ค้างชำระ 31-90 วัน) ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทยอยปรับเพิ่มขึ้น 
  • ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) พุ่งสูงระดับ 60-70% โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต  

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยสูง 90% ของจีดีพี น่าห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ล้วนมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (NPL)  และยอดค้างชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM : ค้างชำระ 31-90 วัน) ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทยอยปรับเพิ่มขึ้น  ทำให้สถาบันการเงินยิ่งเพิ่มความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) พุ่งสูงระดับ 60-70% โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบการชะลอตัวอย่างมากในด้านอุปสงค์ ทั้งจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศและสินเชื่อปล่อยใหม่ที่ขยายตัวลดลง 13.8% และ 20.5% ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง “ต่ำสุด” ในรอบ 6 ปี ส่งผลให้อุปทานเกิดใหม่ “ชะลอตัว” รวมทั้งใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศลดลง 19.7%  การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศลดลง 12%

ด้านอุปสงค์พบว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 72,954 หน่วย ต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาแรก ปี 2567 ลดลง 13.8% เมื่อเทียบไตรมาส 1/2566 มีจำนวน 84,619 หน่วย โดยแนวราบลดลงมากสุดถึง 18.9% และอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ลดลง 0.6%  เทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าโอนอยู่ที่ 208,732 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 19 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 3/2562-ไตรมาส 1/2567 และขยายตัวลดลง 13.4% เทียบไตรมาส 1/2566 ที่มีมูลค่า 241,167 ล้านบาท โดยแนวราบลดลงมากสุด 14.6% อาคารชุด ลดลง 10.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย “ลดลง” ทุกระดับราคา โดยกลุ่มราคา 5- 7.5 ล้านบาท ลดลงสูงสุดถึง 20% รองลงมา คือ ระดับราคา 1.5-2 ล้านบาท ลดลง 19.8% ราคา 3-5 ล้านบาท ลดลง 18.2% ราคา 2-3 ล้านบาท ลดลง 18%  เทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

“ตลาดระดับราคาเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ที่มากกว่าบ้านมือสอง ขณะที่ตลาดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์่เป็นบ้านมือสองสูงกว่าบ้านใหม่”

สำหรับ หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบลดลงทุกระดับราคา กลุ่มราคา 1.5- 2 ล้านบาท ลดลงมากสุด 30.2% ตามมาด้วย ราคา 2-3 ล้านบาท ลดลง 26.5% ราคา 3-5 ล้านบาท ลดลง 20.2%  ขณะที่หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลงมากสุดถึง 30.3% คือ กลุ่มราคา 5-7.5 ล้านบาท รองลงมา ราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 26% ราคา 7.5-10 ล้านบาท ลดลง 20.9%  ราคา 3-5 ล้านบาท ลดลง 13.4%

โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในไตรมาส 1/2567 ต่ำสุดในรอบ 6 ปี  พบว่ามียอดเพียง 121,529 ล้านบาท ลดลงถึง 20.5% เป็นผลจากความสามารถในการขอสินเชื่อที่ลดลง และการที่สถาบันการเงินมีเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมาก

เปิดตัวใหม่ในกทม.-ปริมณฑลลดลง38.5%

นอกจากนี้ ยังพบการ ”ลดลง” ของอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีจำนวน 13,312 หน่วย ลดลง 38.5% เป็นบ้านแนวราบ 7,214 หน่วย อาคารชุด 6,098 หน่วย ลดลง 16.9% และ 53% ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มูลค่า 114,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ขณะที่ยอดขายใหม่ “ติดลบ” 20% และหน่วยเหลือขายเพิ่ม 16%

ทั้งนี้ หลังรัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 คาดว่าปี 2567 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีจำนวน 386,861 หน่วย เพิ่มขึ้น 5.5% กรณีที่มีโอกาสเป็นไปได้มาก แต่กรณีเลวร้ายสุด อาจลดลง 5-16%  โดยคาดว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ตลาดจะพลิกฟื้นให้ภาพรวมทั้งปีโต 5 -10%

“แต่หากสามารถสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อมากขึ้นอาจทำให้ตลาดได้รับผลกระทบลดลง อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาสูงที่เริ่มมียอดขายชะลอตัว หน่วยเหลือขายสะสมเริ่มมากขึ้น ต้องระวังโอเวอร์ซัพพลาย”

ชงดึงกำลังซื้อต่างชาติพยุงตลาด

นายวิชัย กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการห้องชุดที่มียอดการซื้อจากชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นและต่อเนื่องในภาวะที่กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอนั้น  สะท้อนให้เห็นความจำเป็นและโอกาสที่จะต้องดึงกำลังซื้อใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงสั้น โดยให้มีผลกระทบเชิงลบน้อย 

“จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการดึงกำลังซื้อใหม่ เข้ามาในตลาดอสังหาริมทรัพย์”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17พ.ค “อ่อนค่า”ที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเริ่มแกว่งตัว sidewaysมองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17พ.ค “อ่อนค่า”ที่ระดับ  36.23 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.13 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทย ระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง ทำให้ เงินบาทเริ่มแกว่งตัว sideways แถวโซน 36.20-36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในอดีต พบว่า การแข็งค่าหลุดโซนแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันนั้น อาจทำให้ในระยะสั้นเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นและแกว่งตัว sideways หลังจากนั้นได้บ้าง 
และหากมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ากลับเข้ามา เงินบาทก็อาจผันผวนกลับไปอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันได้บ้าง ซึ่งต้องจับตาแนวต้านแรกระยะสั้นจะอยู่แถว 36.35 บาทต่อดอลลาร์

เพราะหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ชัดเจน ก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าลงกลับไปทดสอบแนวต้านสำคัญแถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยเรามองว่า ปัจจัยที่อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าในระยะสั้น อาจต้องรอจับตาทิศทางเงินหยวนจีน หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน รวมถึงรอลุ้น รายงาน GDP ไตรมาสแรกของไทย ในสัปดาห์หน้า

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทพลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.10-36.25 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จนทดสอบระดับแนวต้านระยะสั้นแถว 155.50 เยนต่อดอลลาร์
ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในปีนี้ หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวมากกว่าคาดในไตรมาสแรกของปีนี้
อีกทั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ยังคงย้ำจุดยืน ไม่รีบลดดอกเบี้ย จนกว่าจะเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อที่ชัดเจน 
นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา ซึ่งการพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินบาทก็สอดคล้องกับที่เราได้ประเมินไว้ในวันก่อนว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวแถวโซน 36.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับหลัก 36.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง หลังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ โดยบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ได้ย่อตัวลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไร อาทิ Meta -1.7%
ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของ Walmart +7.0% ก็พอช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกได้บ้าง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.21%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.21% กดดันโดยการประกาศจ่ายเงินปันผลและขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ BMW -6.3%, BP -1.5% นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าคาดของทาง Siemens -6.8% ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นยุโรปได้บ้าง
ทั้งนี้ โดยรวมตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากความหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นบ้างเล็กน้อย สู่ระดับ 4.38% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ขณะเดียวกันบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ยังคงส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย จนกว่าจะมั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ
โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็สอดคล้องกับที่เราประเมินไว้ว่า ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
เช่น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึงข้อมูลตลาดแรงงาน ซึ่งหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ พลิกกลับมาดีกว่าคาด ก็อาจกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ผันผวนสูงขึ้นได้ โดยเราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดเน้นรอจังหวะ Buy on Dip ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง หนนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากการทยอยปรับลดความคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในปีนี้ ตามรายงาน GDP ไตรมาสแรกของญี่ปุ่นที่ออกมาแย่กว่าคาด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ได้บ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) รีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 104.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.4-104.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีการรีบาวด์กลับขึ้นมาบ้าง ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ ก่อนที่จะเผชิญแรงขายกดดันให้ย่อตัวลงสู่โซน 2,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้บ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน ทั้งยอดค้าปลีก ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม และยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

ส่วนในฝั่งยุโรป รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนเมษายน ก็จะเป็นข้อมูลที่ตลาดต่างรอลุ้น เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

และนอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไทย VS เซอร์เบีย เทียบสถิติก่อนเกม วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2024

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2024 สัปดาห์แรก ที่สนามกินาซิโอ โด มาราคานาซินโญ เมืองรีโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 14-19 พฤษภาคมนี้

โปรแกรมลงสนามนัดที่สอง ทีมชาติเซอร์เบีย พบ ทีมชาติไทย

เราลองย้อนไปดูผลงานกันว่า 5 นัดล่าสุดที่ผ่านมา สาวไทย กับ สาวเซิร์บ พบกันแล้วผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง? ก่อนจะได้ดวลกันอีกครั้งในวันนี้

สถิติพบกัน 5 ครั้งหลังสุด : ไทย ชนะ 1, เซอร์เบีย ชนะ 4

  • 17/06/23    ไทย แพ้ เซอร์เบีย 2-3 (เนชันส์ ลีก)
  • 07/10/22    ไทย แพ้ เซอร์เบีย 0-3 (ชิงแชมป์โลก)
  • 02/06/22    ไทย ชนะ เซอร์เบีย 3-2 (เนชันส์ ลีก)
  • 01/06/21    ไทย แพ้ เซอร์เบีย 0-3 (เนชันส์ ลีก)
  • 02/08/19    ไทย แพ้ เซอร์เบีย 0-3 (โอลิมปิก รอบคัดเลือก)

สำหรับ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จะลงสนามพบกับ ทีมชาติเซอร์เบีย ในวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคมนี้ ตามเวลาประเทศไทย 23:30 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD กด 35, ช่องทางออนไลน์ BUGABOO.TV และ Ch7HD ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน และทาง TERO Digital

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


6 กลุ่มอาหารกินแล้วลดกระ จุดด่างดำ ช่วยฟื้นฟูผิวด้วยวิธีธรรมชาติ

จุดด่างดำ กระบนผิวหนัง เป็นปัญหาผิวที่พบได้ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวขาว หรือผู้ที่โดนแดดเป็นเวลานาน โดยจุดด่างดำ กระเหล่านี้มักปรากฎตามจุดต่างๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นมือ ไหล่ แขน หรือลำตัว และโดยเฉพาะบนใบหน้าก็ยิ่งสร้างความรู้สึกไม่มั่นใจ จึงทำให้หลายๆ คนพยายามหาวิธีกำจัด ลดกระ จุดด่างดำเหล่านั้นด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามเรายังสามารถช่วยลดปัญหาเหล่านี้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยลดจุดด่างดำ กระ และนี่คือ 6 กลุ่มอาหารทานแล้วลดกระ จุดด่างดำ

6 กลุ่มอาหารทานแล้วลดกระ จุดด่างดำ

นอกจากการงดอาหารแปรรรูป ขนมขบเคี้ยว และลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างในการดูแลผิวที่เป็นฝ้า กระ คือ การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระมีส่วนช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการฟื้นฟูเซล และปกป้องเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ในยุคที่เราเผชิญมลภาวะและรังสี UV อยู่เสมอ ผิวหนังต้องการการปกป้องจากภายใน สารต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นกุญแจสำคัญจากธรรมชาติที่ช่วยปกป้องผิวจากภายในสู่ภายนอก

อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

  • วิตามินซี อี เอ Resveratrol ฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน ลูทีน และซีลีเนียม

ตัวอย่างอาหารมากคุณค่า

  • เบอร์รี่ (บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ ทับทิม กีวี)
  • ถั่ว (ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วพินโต)
  • ผัก (มะเขือเทศ หัวหอม อาร์ติโช๊ค บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลีแดง บีทรูท)
  • ผักใบเขียวเข้มและสมุนไพร (คะน้า ผักโขม บ๊อกชอย ผักชีฝรั่ง โรสแมรี่ โหระพา)
  • เครื่องเทศ (ขมิ้นชัน อบเชย กานพลู ยี่หร่า ขิง)
  • ถั่ว (พีแคน อัลมอนด์ บราซิลนัท)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คำทรงพลัง ใช้เขียน Resume ภาษาอังกฤษ ได้งานชัวร์

เรซูเม่ (Resume)

เรซูเม่ (Resume) คือ ประวัติส่วนบุคคล แบบย่อ เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักคุณแบบคร่าวๆ ในเวลาอันรวดเร็ว เรซูเม่ถือเป็นเอกสารสำคัญชนิดหนึ่ง ประกอบการสมัครงาน โดย Resume เปรียบเสมือนการโฆษณาตัวเอง ในเรื่องประสบการณ์ ทักษะ คุณสมบัติ ความสามารถ “โดยเน้นถึงความสำเร็จ อธิบายให้เห็นถึงความสำเร็จที่เราจะทำให้กับบริษัทได้ ไม่ใช่แค่ทำอะไร” จะทำให้คุณดูโดดเด่น มัดใจทั้ง HR และ ผู้ว่าจ้าง

คำศัพท์สุดสตรองในการเขียนเรซูเม่

10 คำศัพท์ทรงพลัง ที่ควรใช้ใน Resume พร้อมตัวอย่างประโยค

• Initiate (v.) ริเริ่ม

Initiate good conceptual ideas with practical applications.
ริเริ่มไอเดียที่ดีพร้อมการใช้งานจริง

• Create (v.) สร้าง, จัดทำ

Create flexible plans to meet changing opportunities.
สร้างแผนที่ยืดหยุดสำหรับโอกาสที่มีการเปลี่ยนแปลง

• Monitor (v.) ดูแลความเรียบร้อย

Accurately monitor performance against objectives.
ดูแลตรวจสอบการปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์
อย่างแม่นยำ

• Evaluate (v.) ประเมินผล

Carefully evaluate alternative risks.
ประเมินความเสี่ยงในทางเลือกอย่างระมัดระวัง

• Achieve (v.) ความสำเร็จ

Achieve consistently high results.
บรรลุผลลัพธ์ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

• Collaborate (v.) ให้ความร่วมมือ

Collaborate with marketing team to develop new products.
ร่วมมือกับทีมการตลาดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

• Assist (v.) ช่วยเหลือ

Assist subordinates in reaching new levels of skills, knowledge and attitudes
ช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาในการเข้าถึงทักษะ ความรู้ และทัศนคติที่ดีขึ้น

• Mentor (v.) ให้คำแนะนำ

Mentored employees on sales strategy.
ให้คำแนะนำพนักงานด้านกลยุทธ์การขาย

• Motivate (v.) สร้างแรงจูงใจ

Strongly motivated to achieve higher expectations.
มีแรงจูงใจอย่างมากที่จะทำให้ได้ตามความคาดหวังที่สูงขึ้น

• Responsible for (v.) มีหน้าที่รับผิดชอบ

Responsible for meeting monthly sales goals.
รับผิดชอบเป้าหมายยอดขายประจำเดือน

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


เพิ่งจะรู้! Porsche ไม่ได้ออกเสียงทั้ง “ปอร์-เช่” และ “พอร์ช” แต่อ่านว่าแบบนี้

หลายคนคงจะได้ยินผู้คนออกเสียงแบรนด์รถยนต์ Porsche หลากหลายรูปแบบทั้ง “ปอร์เช่”, “พอร์ช” หรือแม้กระทั่ง “ป๊อด” ก็มี แต่ทราบหรือไม่ว่าที่ถูกต้องแล้วต้องออกเสียงอย่างไร? บทความนี้ Sanook Auto จะมาฟันธงให้รู้กันไปเลย

Porsche ไม่ได้ออกเสียงทั้ง “ปอร์-เช่” และ “พอร์ช”

Porsche เป็นแบรนด์รถยนต์เก่าแก่จากเยอรมนี ถูกก่อตั้งโดย Ferdinand Porsche มาตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1931 (ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก) ดังนั้น หากออกเสียงตามแบบภาษาอังกฤษเป๊ะ 100% ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก

เพราะอันที่จริงแล้วแบรนด์รถยนต์ยี่ห้อ Porsche สามารถออกเสียงตามหลักสัทศาสตร์ (Phonetics) ว่า /ˈporʃɛ/ ซึ่งหากเปล่งเสียงออกมาจะมีลักษณะเป็น “พอ-เฉอะ” แต่เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาที่ออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ คนไทยจึงนิยมเรียกเป็น “ปอ-เช่” ซึ่งออกเสียงง่ายกว่า รวมถึงเขียนเป็นภาษาไทยว่า “ปอร์เช่” นั่นเอง (อ้างอิงตามบริษัท AAS ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการในประเทศไทย)

ส่วนการเรียก Porsche ว่า “พอช” แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามหลักการออกเสียงใดๆ เลยก็ตาม แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมเรียกกัน เสมือนว่าเป็นชื่อเล่นเพื่อให้ง่ายต่อการเรียก คล้ายกับที่คนไทยนิยมเรียกรถยนต์ยี่ห้อ Mercedes-Benz ว่า “เบนซ์” เฉยๆ หรือคนอเมริกันเรียกว่า “เมอ-เซ-ดีส” รวมถึงคนอังกฤษที่บ่อยครั้งจะได้ยินออกเสียงว่า “เมิร์ก” สั้นๆ ซึ่งมาจากการออกเสียงเฉพาะ 4 ตัวอักษรแรกซึ่งก็คือ “Merc” นั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 โปรตีนจากพืช กินเพิ่มกล้ามเนื้อ แถมลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลเร็ว

ถ้าพูดถึงโปรตีน เราต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นสารอาหารที่ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย และถ้าสาวๆ กำลังอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญที่การกินอาหารประเภทโปรตีนให้มากๆ เนื่องจากโปรตีนช่วยทำให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย วันนี้เราได้รวม 5 โปรตีนจากพืชที่กินแล้วช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ และช่วยทำให้การลดน้ำหนักเห็นผลเร็วมาแชร์ให้สาวๆ ได้ทราบดังนี้

5 โปรตีนจากพืชที่กินแล้วช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ

1.ควินัว

ควินัวปริมาณ 1 ถ้วย ให้โปรตีนแก่ร่างกายประมาณ 8 กรัม และไฟเบอร์ประมาณ 5 กรัม โดยควินัวถือเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ดีเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะให้โปรตีนแก่ร่างกายแล้ว ยังให้สารต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกายสูงอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดได้ด้วยเช่นกัน

2.เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย คือโปรตีนจากพืชที่แนะนำให้เพิ่มลงไปในจานอาหารบางมื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนและไฟเบอร์ ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดนี้มีส่วนช่วยทำให้อิ่มท้องง่าย อิ่มนาน และช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นถ้าสาวๆ ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ และลดน้ำหนักให้เห็นผลเร็ว แนะนำให้เพิ่มเมล็ดเจียลงไปในจานอาหารบางมื้อสลับกันไป

3.ถั่วชิกพี

ถั่วชิกพีในปริมาณ 43 กรัม ให้โปรตีนแก่ร่างกายมากถึง 4.1 กรัมเลยทีเดียว อีกทั้งยังให้สารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด สำหรับสาวๆ ที่อยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักหรือต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ แนะนำให้กินถั่วชิกพีเป็นของว่างแทนการกินขนมขบเคี้ยว รับรองว่าร่างกายได้รับโปรตีนที่ดีอย่างเพียงพอแน่นอน

4.ถั่วลันเตา

ถั่วลันเตาก็เป็นอีกหนึ่งโปรตีนจากพืชที่แนะนำให้กินในช่วงที่สาวๆ ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อและลดน้ำหนัก โดยถั่วลันเตาไม่เพียงแต่จะให้โปรตีนที่ดีแก่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังให้สารอาหารอื่นๆ เช่น ใยอาหาร วิตามินเอ วิตามิเค และโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันอีกด้วย

5.อัลมอนด์

อัลมอนด์ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ อย่างมากในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก ซึ่งอัลมอนด์ไม่เพียงแต่จะให้โปรตีนแก่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลากหลาย แต่ที่เด่นอย่างมากเลยก็คือ แมกนีเซียมและวิตามินอี สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การกินอัลมอนด์วันละ 1 กำมือทุกวัน ยังช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน

สาวๆ ที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ หรืออยากลดน้ำหนักให้เห็นผลเร็ว แนะนำให้ลองเปิดใจบริโภคโปรตีนจากพืชทั้ง 5 ชนิดนี้กันค่ะ นอกจากจะช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักหรือเพิ่มกล้ามเนื้อได้ดีแล้ว ยังมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจไปพร้อมๆ กัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/05/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,750.0040,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,640.0040,022.4041,350.00
ทองรูปพรรณ 90%2,376.0036,020.16n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,112.0032,017.92n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,188.0018,010.08n/a
ทองรูปพรรณ 40%924.0014,007.84n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,736.0041,477.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/05/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.5538.5539.3538.5538.5538.5538.5538.5538.5538.55
แก๊สโซฮอล์ 9138.1838.1838.7838.1838.1838.1838.1838.1838.1838.18
แก๊สโซฮอล์ E2036.4436.4437.2436.4436.4436.4436.4436.4436.44
แก๊สโซฮอล์ E8536.1936.1936.19
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม46.7449.8449.9449.8446.74
เบนซิน 9546.4448.0146.9446.5946.44
ดีเซล31.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลหมุนเร็ว31.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1447.4446.1446.1443.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า