ถึงเวลาผ่อนปรนแอลทีวี-ลดดอกเบี้ย? อสังหาส่อวิกฤติติดลบยกแผงต่ำกว่าโควิด
- ไตรมาสแรกปี2567ภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายติดลบ 25-30% ต่ำสุดในรอบ 6 ปี!
- ตลาดทาวน์เฮ้าส์ ยอดขายต่ำสุดในรอบ 12 ปีนับจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
- ยอดโอน “ติดลบ” ทุกตลาด ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์
- สะท้อนว่ากำลังซื้อเปราะบางอย่างมาก เป็นแนวโน้มต่อเนื่องไตรมาสสองนี้ด้วย
สัญญาณร้ายจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายติดลบ 25-30% ต่ำสุดในรอบ 6 ปี! ตลาดทาวน์เฮ้าส์ ยอดขายต่ำสุดในรอบ 12 ปีนับจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ขณะที่ยอดโอน “ติดลบ” ทุกตลาด ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ สะท้อนว่ากำลังซื้อเปราะบางอย่างมาก เป็นแนวโน้มต่อเนื่องไตรมาสสองนี้ด้วย
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการทบทวนมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ แอลทีวี (LTV : Loan To Value) ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
“เวลานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยชะลอตัวอย่างรุนแรงทั้งยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์รวมในทุกสินค้า เกือบทุกระดับราคา ยกเว้นเพียงกลุ่มราคาสูงกว่า 50 ล้านบาท และตลาดต่างชาติ”
อสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยอดขายต่ำสุดในรอบ 6 ปี เทียบไตรมาสต่อไตรมาสติดลบ 25% เทียบปีต่อปีติดลบ 28% เมื่อแยกตัวเลขเป็นรายสินค้าพบว่าติดลบหมดทุกรายสินค้า เฉพาะตลาดทาวน์เฮ้าส์ติดลบ 58% เทียบปีก่อน หากเทียบต่อไตรมาส ติดลบ 15% สถานการณ์นี้เทียบได้กับช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หรือยอดขายต่ำสุดในรอบ12 ปี!!
สะท้อนให้เห็นผลกระทบที่เกิดกับตลาด “กลาง-ล่าง” จากการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) และดอกเบี้ยสูง ทำให้ผู้คนไม่สามารถเข้าถึงบ้านได้ ขณะที่ยอดโอน เป็นครั้งแรกที่ตัวเลขแดงทุกตัว!
“ไม่เคยเห็นทั้งฝั่งยอดขายและยอดโอนในทุกเซ็กเมนต์ติดลบ เพราะปกติถ้าฝั่งคอนโดมิเนียมไม่ดี ฝั่งบ้านจะดี หรือถ้าฝั่งบ้านเดี่ยวดี คอนโดมิเนียมจะไม่ดี แต่ครั้งนี้ตัวเลขไม่ดีทุกตลาด เป็นครั้งแรกที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ในรอบ 30 ปีทีเดียว”
ขณะเดียวกัน การเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสแรกปี 2567 “ไม่ดี” โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมไม่มีการเปิดตัวเพิ่ม ซึ่งเริ่มมีการเปิดตัวปลายเดือน พ.ค. ในย่านหอการค้าไทย ส่วน “ห้วยขวาง” ยังขายดีโดยโควตาต่างชาติ 49% ขายหมด! ขณะที่การเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์ต่ำสุด สะท้อนดีมานด์ “ลดลง” ผู้ประกอบการปรับตัวเปิดโครงการลดลง หรือ ชะลอการเปิดโครงการใหม่ เพราะคนซื้อขอสินเชื่อไม่ได้ หรือ กู้ไม่ผ่านเพิ่มขึ้น
สวนทางกับดีมานด์ต่างชาติที่ซื้อถูกต้องตามกฎหมายตามโควตาที่กำหนดในไตรมาสแรก ยังคงเติบโต 10% เทียบปีที่ผ่านมา และตัวเลขการโอนคอนโดมิเนียมต่างชาติไตรมาสแรกสูงสุดในรอบ 6 ปี สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็น “โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้” ที่คนต่างชาติอยากได้เป็นบ้านหลังที่ 2 และต้องการซื้อเพื่อลงทุน
โดย 29% ของมูลค่าการโอนในไตรมาสแรกปีนี้เป็นการโอนของลูกค้าต่างชาติ หรือ 1ใน4 ของการโอนเป็นชาวต่างชาติ จีน เมียนมา ไต้หวัน ยังคงเป็นดีมานด์หลักในตลาดคอนโดมิเนียม ขณะที่รัสเซียส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อวิลล่าในรูปแบบนิติบุคคลหรือการเช่าระยะยาวมากกว่า
ระเสริฐ กล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องจัดระเบียบโครงสร้างอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นน้ำจรดปลายน้ำ เริ่มจากมาตรการระยะสั้นที่จะช่วยให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว เริ่มจากการยกเลิกมาตรการแอลทีวี เนื่องจากมีความสำคัญต่อการซื้อบ้านของกลุ่มเรียลดีมานด์ในประเทศ ส่วนต่างประเทศซื้อเงินสดไม่ใช้สินเชื่อ ฉะนั้นหากต้องการแก้ปัญหาระยะสั้น จึงอยากเสนอให้ ธปท.ระงับการใช้มาตรการแอลทีวีชั่วคราวแบบปีต่อปี หลังจากภาวะเศรษฐกิจเป็นปกติจึงปรับเกณฑ์มาตรการแอลทีวีใช้สำหรับบ้านหลังที่ 3
“ยืนยันว่า มาตรการแอลทีวีมีผลต่อยอดขายลดลงมาก สังเกตจากช่วงที่มีการใช้มาตรการแอลทีวีเข้มงวดยอดขายทาวน์เฮ้าส์ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงที่มีการผ่อนคลายแอลทีวี ยอดขายโตทุกครั้ง ดีมานด์คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น สามารถกระตุ้นตลาดได้จริง”
ทั้งนี้ ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย ได้เตรียมที่นำเสนอข้อมูลใหม่ให้ ธปท. เพื่อทบทวนอีกครั้ง ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไปแล้ว รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดกลาง บน เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะดึงเม็ดเงินของคนกลุ่มนี้เข้ามากระตุ้นตลาดโดยรวม หากช้ากว่านี้อาจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
“ปัจจุบันตลาดกลาง-ล่างเริ่มกระตุ้นไม่ขึ้นแล้วเพราะดอกเบี้ยสูง กระทบต่อดีมานด์ค่อนข้างแรง จากการประเมินพบว่า ผู้ซื้อจะได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ย 8-10% ถ้าผ่อน 30 ปี จะกระทบดอกเบี้ย 11% ถ้าผ่อน 20 ปี กระทบดอกเบี้ย 8% เพราะระยะเวลาในการผ่อนดอกเบี้ยมีผลต่อกำลังซื้อ”
นอกจากนี้ เสนอให้มีการปรับปรุงการถือครองสิทธิคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติจาก 49% เป็น 69% เป็น “ภาคสมัครใจ” ในอาคารชุดที่ถือครองต่างชาติเต็ม 49% ส่วนข้อเสนอในระยะยาว คือ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยการสร้างศักยภาพการแข่งขันให้อยู่ในระบบและถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยสำหรับคนที่อยากมีบ้าน
สอดคล้องกับ อธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้ว่ามาตรการรัฐที่ออกมาช่วยกระตุ้นตลาดในไตรมาส 2 แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์สะสมมานาน ปัจจุบันกู้ยากขึ้น ประกอบกับมาตรการแอลทีวี กำลังซื้อลดลงจากเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้ตลาดปีนี้มีแนวโน้มอาจติดลบ 10% หรือกรณีดีสุดโต 5%
“ตลาดคอนโดมิเนียมมีปริมาณหน่วยขายและโอนติดลบ และยอดขายบ้านเริ่มชะลอตัว ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนเพิ่มขึ้นจากต้นทุนราคาที่ดิน ค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น บวกกับค่าแรง 400 บาท ทำให้ราคาบ้านสูงขึ้น คนซื้อบ้านแพงขึ้น หวังว่าแบงก์ชาติ และสถาบันการเงินจะลดดอกเบี้ยบ้านลง ทุกครั้งที่ลด 0.25% จะมีผลต่อคนซื้อบ้าน ให้วงเงินผ่อนชำระลดลง ช่วยให้เบาตัวลง”
พร้อมกันนี้ อยากเสนอภาครัฐ 3 เรื่อง ได้แก่
1.การจัดตั้ง Mortgage Fund คล้าย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อค้ำประกันคนกู้บ้านในรูปแบบของกองทุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ Mortgage Fund จะช่วยให้คนมีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัย โดยรัฐต้องตั้งกองทุนค้ำประกัน 20-30% ให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐ และอยากเสนอ Mortgage Fund Insuranceใช้กับคนทุกระดับไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มรายได้น้อย
2.การลดขนาดบ้านจัดสรร บ้านเดี่ยว จากมาตรฐานต่ำสุด 50 ตารางวา เหลือ 40 ตารางวา ช่วยลดต้นทุนก่อสร้าง 20% และบ้านแฝดจาก 35 ตารางวา เหลือ 30 ตารางวา ช่วยลดต้นทุนก่อสร้าง 10% ทำให้คนซื้อบ้านเบาตัว คนซื้อบ้านในราคาถูกลง
3.นโยบายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อิงกับสีของผังเมือง เพื่อแก้ปัญหาจากปัจจุบันที่จัดเก็บอัตราเดียวกันหมด แต่ยังมีลดหย่อนของแต่ละประเภทที่แตกต่างกันสร้างความสับสนอยากให้มีการทบทวนและลดอัตราการจัดเก็บลงเพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง เพราะการขายยากขึ้น ปีนี้มีโอกาสเกิดสงครามราคาขึ้นอีกครั้งเพื่อระบายสต็อก!
เปิด 3 มาตรการเร่งด่วนสกัดวิกฤติ
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบธุรกิจที่เชื่อมโยงตั้งแต่ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เสาเข็ม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าฯลฯ กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ขณะนี้ผลกระทบจากการถูกปฏิเสธสินเชื่อขยายวงกว้างขึ้นจากกลุ่มสินค้าต่ำกว่า 3 ล้านบาท ขยับเป็น 5-7 ล้านบาท ตัวเลขปฏิเสธเพิ่มขึ้น ภาพรวมกระทบทุกระดับราคาเฉลี่ย 30-50% ทำให้ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี”
แม้ ธปท. จะมองว่ามาตรการแอลทีวีเหมาะสมแล้ว แต่ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์ไม่มีการเก็งกำไร! และไตรมาสแรกตัวเลขสินเชื่อปล่อยใหม่ จำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
“สมาคมอสังหาฯ จะทำหนังสือถึงแบงก์ชาติเพื่อให้ทบทวนมาตรการแอลทีวีอีกครั้ง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจหากกระตุ้นตลาดขยายตัวได้จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวเร็วขึ้น”
ในอดีตวิกฤติปี 2540 เกิดจากอสังหาริมทรัพย์โอเวอร์ซัพพลาย ทำให้ฟองสบู่แตก! แต่ครั้งนี้เศรษฐกิจโลกซึมยาวหลังถูกแช่แข็งจากวิกฤติโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อถดถอย (Recession) หากทุกฝ่ายไม่ช่วยกันมีโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้! ซึ่งหลายประเทศใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือฉุดเศรษฐกิจขึ้นมาได้
โดย 3 มาตรการเร่งด่วนผลักดันภาคอสังหาริมทรัพย์กระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1.หารือสถาบันการเงินรัฐในการปล่อยสินเชื่อนำร่อง 2.ผ่อนปรนมาตรการแอลทีวี 3.แก้กฎหมายระยะเวลาการเช่าผ่าน พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ให้เช่าไม่เกิน 50 ปี จากเดิม 30 ปี พร้อมต่ออายุได้ 1 ครั้ง รวม 90 ปี
“3 มาตรการดังกล่าวสามารถทำได้เลย เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการแล้ว หากออกมาเร็วจะเป็นประโยชน์และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวเร็วขึ้น จึงอยากให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ธปท.ช่วย เพราะมีข้อมูลและเครื่องมือพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ หากไม่ทำอาจส่งผลกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ติดลบ 10% ต่ำกว่าช่วงวิกฤติโควิด”
ขอบคุณข้อมุลจาก bangkokbiznews.com
การถือครองที่ดินของคนต่างด้าว กรมที่ดิน ชี้แจงแล้วถือครองได้หรือไม่
การถือครองที่ดินของคนต่างด้าว กรมที่ดิน เฉลยแล้วสามารถถือครองได้หรือไม่ ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดคลิกอ่านด่วน
การถือครองที่ดินของคนต่างด้าว กรมที่ดิน ได้ออกมาเปิดเผยว่า คนต่างด้าวสามารถถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ 3 กรณี ดังนี้
1.รับมรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 93 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
2. สำหรับคนต่างด้าวจะขอซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ ต้องเป็นคนต่างด้าวที่นำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่ได้ไม่เกิน 1 ไร่ และต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ตามนัยมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
3.รับโอนที่ดินตามกฎหมายอื่น เช่น พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 เป็นต้น
การถือที่ดินแทนคนต่างด้าว มีความผิดตามกฎหมาย..มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับบุคคลสัญชาติไทยที่มีคู่สมรสเป็นคนต่างด้าว และ ยังคงถือสัญชาติไทยเหมือนเดิม ไม่ได้สละสัญชาติไทย มีความประสงค์จะซื้อบ้านพร้อมที่ดิน สามารถซื้อได้โดยบุคคลสัญชาติไทย และ สามีที่เป็นคนต่างด้าว ต้องบันทึกยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรร่วมกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าเงินที่บุคคลสัญชาติไทยนำมาซื้อที่ดินทั้งหมดเป็นสินส่วนตัวของบุคคลสัญชาติไทยแต่เพียงฝ่ายเดียว มิใช่สินสมรสพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้กับผู้ขอได้ และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนฯ แล้ว ที่ดินย่อมตกเป็นสินส่วนตัวของบุคคลสัญชาติไทย
หญิงซึ่งมีสัญชาติไทยและได้สมรสกับคนต่างด้าว แต่ยังไม่ได้สละสัญชาติไทยยังคงมีสิทธิถือครองที่ดินได้เช่นเดียวกับคนสัญชาติไทย แต่ถ้าได้สละสัญชาติไทยแล้ว มีสิทธิขอได้มา ซึ่งที่ดินได้ ตามนัยมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
กรณีถือครองที่ดินก่อนสละสัญชาติไทย ต่อมาเมื่อได้สละสัญชาติไทย ก็ให้คงมีสิทธิถือที่ดินได้เท่าที่คนต่างด้าวนั้นจะพึงมี ตามนัยมาตรา 87 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เช่น ที่อยู่อาศัยครอบครัวละไม่เกิน 1 ไร่ นอกจากนั้นให้ทำการจำหน่าย.
หญิงซึ่งมีสัญชาติไทยและได้สมรสกับคนต่างด้าว แต่ยังไม่ได้สละสัญชาติไทยยังคงมีสิทธิถือครองที่ดินได้เช่นเดียวกับคนสัญชาติไทย แต่ถ้าได้สละสัญชาติไทยแล้ว มีสิทธิขอได้มา ซึ่งที่ดินได้ ตามนัยมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
กรณีถือครองที่ดินก่อนสละสัญชาติไทย ต่อมาเมื่อได้สละสัญชาติไทย ก็ให้คงมีสิทธิถือที่ดินได้เท่าที่คนต่างด้าวนั้นจะพึงมี ตามนัยมาตรา 87 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เช่น ที่อยู่อาศัยครอบครัวละไม่เกิน 1 ไร่ นอกจากนั้นให้ทำการจำหน่าย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6มิ.ย. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.57 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าจากปัจจัยนักลงทุนต่างชาติชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทย ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะแข็งค่าขึ้น แนะระวังความผันผวนจากข่าวการเมืองในประเทศ -การเปลี่ยนแปลงไปมาของมุมมองตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6มิ.ย. 2567 ที่ระดับ 36.57 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.69 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอยู่แถวโซนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB
โดยเราประเมินว่า ภาพตลาดการเงินที่เปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อาจช่วยชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้บ้าง ทำให้แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอาจลดลงบ้าง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าไปได้มากนัก
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงโซน 36.40-36.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งต้องระวังความผันผวนจากข่าวการเมืองในประเทศ (ซึ่งรวมถึงข่าวที่สะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการดำเนินนโยบายการเงิน)
ดังจะเห็นได้จากวันก่อนหน้าที่เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว จากข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลอาจต้องการควบคุมการทำงานของธปท. มากขึ้น ทั้งนี้ เรามองว่า ประเด็นดังกล่าวรวมถึงความวุ่นวายของการเมืองไทยจะเป็นเพียงแค่ Noise ในระยะสั้น ที่อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่เราจะคอยจับตาความเสี่ยงการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB โดยปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ มุมมองของ ECB ต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย ว่า ECB จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องได้หรือไม่ ซึ่งหาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจน ว่ามีโอกาสจะลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง หรือมากกว่า ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) ผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง
ในทางกลับกัน หาก ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง และการลดดอกเบี้ยจะขึ้นกับการประเมินภาพเศรษฐกิจในช่วงการประชุมนั้นๆ เราคาดว่า เงินยูโร (EUR) ก็อาจแกว่งตัว sideways หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะอย่างน้อย การลดดอกเบี้ยของ ECB ที่อาจเกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดได้รับรู้ไปแล้ว (fully priced-in) ทำให้ประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายหลังจากการประชุมในครั้งนี้
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.45-36.75 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.56-36.73 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว +20 ดอลลาร์ จากรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ที่ลดลงต่อเนื่องและออกมาแย่กว่าคาด
กอปรกับ ดัชนีย่อยการจ้างงาน (Employment) ในภาคการบริการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม ก็ยังอยู่ในระดับ 47.1 จุด สะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่หดตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสถึง 94% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ (จาก CME FedWatch Tool) อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ไม่ได้แข็งค่าลงมาก เนื่องจากเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ที่พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.8 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและกลับมาเชื่อว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้น นำโดย Nvidia +5.2%, Meta +3.8% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.96% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.18%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.81% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นในธีม Semiconductor/AI อย่าง ASML +8.1% หลังผู้บริหารออกมาระบุว่ายอดสั่งซื้อจากคู่ค้ามีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ทำให้โดยรวมผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก
ในส่วนตลาดบอนด์ ความหวังของบรรดาผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า เฟดมีโอกาสจะลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงสู่ระดับ 4.28%
อย่างไรก็ดี เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ ออกมาดีกว่าคาด แต่ทุกจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนในกรอบ sideways โดยมีจังหวะที่อ่อนค่าลงบ้าง ตามรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ก่อนที่จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการที่ออกมาดีกว่าคาด
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ลดความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถวระดับ 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นสู่โซน 2,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง อนึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในช่วงเวลาประมาณ 19.15 น. ตามเวลาประเทศไทย รวมถึงถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง Press Conference หลังรับรู้ผลการประชุม ECB
โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง -25bps สู่ระดับ 3.75% และอาจมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ (ตลาดคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งอาจจะเป็นการลดดอกเบี้ยในการประชุมรายไตรมาส)
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง คาดการณ์ GDP ในไตรมาสที่สอง โดย Atlanta Fed (GDPNow)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.47-36.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.22 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.69 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค สวนทาง Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ หลังจากการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแคนาดา และการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันนี้ กระตุ้นให้ตลาดกลับมาประเมินความเป็นไปได้ที่เฟดจะยังคงมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน (รายงานโดย ADP) ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.40-36.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ผลการประชุม ECB และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เมย์ รัชนก” ทุบดาวรุ่งอินเดีย ลิ่วรอบสองแบดมินตันอินโดนีเซีย โอเพ่น
“เมย์” รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยวมือ 13 ของโลก งัดฟอร์มเก่ง ไล่ต้อน อาคาชิ คัชยัพ มือ 41 ของโลกจากอินเดีย ไป 2 เกมรวด ผ่านเข้ารอบสองแบดมินตันอินโดนีเซีย โอเพ่น ส่วนชายคู่อย่าง “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือ 22 ของโลก พลาดท่าแพ้ให้กับ คู่เก๋าเจ้าถิ่นอย่าง โมฮาเหม็ด อัสซาน กับ เฮนดร้า เซเทียวาน ไป 1-2 เกม
การแข่งขันรายการ อินโดนีเซีย โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 1,350,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 49,950,000 บาท ที่อิสโตร่า เสนายัน ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันพุธที่ 5 มิ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก มีนักแบดมินตันไทยลงสนามเพียง 2 คู่
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 13 ของโลก พบกับ อาคาชิ คัชยัพ มืออันดับ 41 ของโลกจากอินเดีย
เกมนี้ในช่วงต้น รูปเกมค่อนข้างอึดอัด แต่เมย์ รัชนก ใช้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าเอาชนะไปได้ที่ 21-18 จากนั้นในเกมที่สอง เมย์ รัชนก เล่นได้อย่างไหลลื่นและทำเกมบุกได้ตลอดปิดแมตช์เอาชนะไปได้แบบขาดลอยที่ 21-6 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-0 เกม “เมย์” รัชนก ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ ซุน โชวยุน มืออันดับ 31 ของโลกจากไต้หวัน ที่เอาชนะผ่าน อากาเนะ ยามากูชิ มืออันดับ 5 ของโลกจากญี่ปุ่น
ประเภทชายคู่ รอบแรก “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มืออันดับ 22 ของโลก แพ้ให้กับ โมฮาเหม็ด อัสซาน กับ เฮนดร้า เซเทียวาน คู่มืออันดับ 16 ของโลกจากอินโดนีเซีย ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 21-19 ,12-21 , 13-21
สำหรับการแข่งขันแบดมินตันรายการ อินโดนีเซีย โอเพ่น 2024 ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มิ.ย.67 นี้ จะเป็นการแข่งขันในรอบสอง แฟนๆแบดมินตันสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง SPOTV (689) , SPOTV 2 (690) และ True Sport 7 (686)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“นกพิราบ” อันตรายกว่าที่คิด พาหะนำโรคที่อันตรายถึงชีวิต
“นกพิราบ” เป็นนกที่เราสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป เนื่องจากเป็นนกที่ไม่ค่อยกลัวคน และชอบลงมาคลุกคลีอยู่ตามอาคารบ้านเรือนของคนมากกว่าจะอยู่ตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม นกพิราบนั้นไม่ได้น่ารักแถมยังอันตรายกว่าที่คิด เนื่องจากเป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์ได้หลายโรค มูลของนกพิราบเต็มไปด้วยเชื้อโรค ด้วยนกพิราบที่ลงมาคลุกคลีอยู่ในชุมชนมักจะขับถ่ายจนเกิดความสกปรกไปทั่วบริเวณ หรือมูลของนกที่ติดมาตามตัวนก เวลาที่นกกระพือปีกบิน ก็จะทำให้ละอองของเชื้อโรคฟุ้งกระจายไปทั่ว ดังนั้น นกพิราบจึงเป็นภัยเงียบที่อาจทำให้เราเจ็บป่วยถึงแก่ชีวิตได้โดยไม่รู้ตัว
ด้วยความที่นกพิราบมักจะลงมาอยู่ในชุมชนใกล้ชิดกับคน จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบให้อาหารนกพิราบ ด้วยความสงสารและเข้าใจว่าเป็นการทำบุญทำทาน แต่การกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้นกพิราบเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนไม่สามารถควบคุมปริมาณได้ เพราะหาอาหารกินง่าย จึงก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจากฝูงนกและมูลนกจำนวนมาก กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค และทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียงมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโรคมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรรู้ก็คือ การให้อาหารนกพิราบมีความผิดตามกฎหมาย
การให้อาหารนกพิราบในที่สาธารณะ จะเข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 25 ประกอบมาตรา 27 วรรค 2 และมาตรา 74 ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ประกอบพระราชบัญญัติการสาธารณสุข แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้งยังเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 32 และมาตรา 54 ตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนนกพิราบ ป้องกันเหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากนกพิราบ
นกพิราบเป็นพาหะนำโรคได้หลายโรค ข้อมูลจากโรงพยาบาลเพชรเวช พบว่าเชื้อโรคที่มาจากนกพิราบ สามารถก่อโรคในคนได้มากถึง 7 โรคเลยทีเดียว ได้แก่
1. โรคคริปโตคอกโคสิส (Cryptococcosis)
เกิดจากเชื้อราคริปโตคอกคัส นีโอฟอร์แมนส์ (Cryptococcus Neoformans) ที่พบได้ในมูลของนกพิราบ ส่งผลกระทบต่อปอด ปกติจะก่อโรคในแมวและในคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ผู้ที่เคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน โดยการติดเชื้อ จะเกิดจากการหายใจเอาละอองของเชื้อราเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นเชื้อจะแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ คือที่ปอดและสมอง หากติดเชื้อที่ปอด ผู้ป่วยจะมีอาการไอเป็นเลือด หายใจไม่อิ่ม เลือดกำเดาไหลออกจมูก เจ็บหน้าอก มีไข้
ในกรณีที่ติดเชื้อที่สมองหรือระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ป่วยจะปวดศีรษะแบบเป็น ๆ หาย ๆ มองเห็นไม่ค่อยชัด มีไข้ ปวดคอ คลื่นไส้อาเจียน ไวต่อแสง รู้สึกสับสน มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เนื่องจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
2. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา บริเวณเยื่อหุ้มที่หุ้มรอบสมองและไขสันหลังจนทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดการอักเสบ การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ไม่สะอาดนัก หรืออาจเกิดจากการรับพยาธิที่มากับอาหารที่ไม่สะอาด อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบก็ได้ รวมถึงจากการสัมผัสมูลของนกพิราบ ซึ่งข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหะนำโรค พบว่าเชื้อคริปโตคอกคัส นีโอฟอร์แมนส์ จากมูลนกพิราบนั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สูงถึงร้อยละ 9.09 ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
การติดเชื้อสามารถติดเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยมักจะมีอาการ ปวดศีรษะ มีไข้ คอแข็งขยับไม่ได้ ตาแพ้แสง มีอาการสับสน ไม่มีสมาธิในการจดจ่อ เบื่ออาหาร โดยทั่วไปหากติดจากเชื้อไวรัส อาการจะไม่รุนแรงมาก แต่หากติดจากเชื้อแบคทีเรีย อาการจะรุนแรง จะมีอาการแทรกซ้อนอย่าง ชัก หมดสติ เป็นอัมพาต สมองพิการ ดังนั้น ความรุนแรงก็คือ อาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้
3. โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza)
โรคไข้หวัดนก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อเอเวียน อินฟลูเอนซา ไวรัส (Avian Influenza virus) ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลอินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus) แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิด A, B และ C โดยไข้หวัดนกอยู่ในชนิด A อาการและความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสและชนิดของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ โดยปกติแล้วโรคไข้หวัดนกจะเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์ปีกด้วยกันและไม่ติดต่อมาสู่คน ทว่าบางสายพันธุ์สามารถแพร่เชื้อมาสู่คนได้ เมื่อคนสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากสัตว์ปีกที่ป่วย เช่น มูล น้ำมูก น้ำลาย หรือเกิดจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากสัตว์ปีกที่ป่วย ส่วนการติดต่อจากคนสู่คนมีโอกาสเกิดได้น้อยมาก
ผู้ป่วยมักมีอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก ซึ่งจะคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องร่วง อาเจียน มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ หายใจเหนื่อยหอบจากปอดอักเสบ และอาจพบเลือดกำเดาหรือมีเลือดออกตามไรฟัน หากมีอาการแทรกซ้อนอาจมีอาการรุนแรงถึงปอดบวมและเกิดระบบหายใจล้มเหลวได้ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
4. โรคซิตตาโคซิส (Psittacosis)
หรือโรคไข้นกแก้ว เนื่องจากเชื้อชนิดนี้พบครั้งแรกในนกแก้ว เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียคลามัยเดีย ซิตตาซี (Chlamydia Psittaci) แบคทีเรียชนิดนี้จะทำให้เกิดการติดเชื้อในนกชนิดต่าง ๆ เช่น นกแก้ว นกพาราคีท นกพิราบ นกกระจอก และนกคีรีบูน นอกจากนี้ยังสามารถพบเชื้อนี้ได้ในสัตว์ปีกชนิดอื่น ๆ อย่างเป็ดและไก่งวง รวมถึงพบในสัตว์ที่ใกล้ชิดกับนกหรือสัตว์ปีก เช่น สุนัข แมว ม้า และหมูด้วย โดยคนจะได้รับเชื้อผ่านการสัมผัสมูลนกหรือสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจของนกที่ติดเชื้อ รวมถึงการสูดดมเอาละอองของมูลนกแห้งหรือขนนกที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป นอกจากนี้คนยังอาจมีโอกาสได้รับเชื้อจากการสัมผัสกับปากของนกหรือถูกนกกัดโดยตรง
หากติดเชิ้อนี้ ทั่วไปจะคล้ายกับโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดอื่น ๆ โดยอาการมักจะไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักจะมีอาการไม่รุนแรงมาก เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ไอแห้ง ปวดกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม โรคไข้นกแก้วยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคปอดบวมได้เช่นกัน
5. โรคปอดอักเสบ หรือปอดบวม (Pneumonitis)
โรคปอดอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุ คือปอดอักเสบจากการติดเชื้อ และปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ หากปอดอักเสบจากการติดเชื้อ สาเหตุจะมาจากการรับเชื้อโรคเข้าสู่ปอด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียที่พบมักได้แก่ เชื้อ Streptococcus pneumoniae, เชื้อ Haemophilus influenzae type b, เชื้อ Chlamydia pneumoniae, เชื้อ Legionella spp. และเชื้อ Mycoplasma pneumoniae เชื้อไวรัส ได้แก่ เชื้อ Respiratory Syncytial Virus (RSV), เชื้อ Influenza หรือเชื้อไข้หวัดใหญ่ และเชื้อรา Cryptococcus Neoformans จากมูลนกหรือซากพืชซากสัตว์
การติดเชื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเราหายใจและสูดดมเอาเชื้อเหล่านี้เข้าไปในปอด ก็อาจทำให้ปอดอักเสบได้ โดยเฉพาะเชื้อรา Cryptococcus Neoformans จากมูลนกพิราบ ซึ่งจะเริ่มจากอาการปอดติดเชื้อก่อน แล้วอาจค่อย ๆ ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อราประเภทนี้อันตรายมาก หากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้เลย นอกจากนี้ ในนกพิราบยังมีแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Chlamydia pneumoniae ที่ทำให้เกิดอาการปอดบวมได้อีกด้วย
6. โรคซาลโมเนลโลสิส (Salmonellosis)
เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียซาลโมเนลลา (Salmonella) โดยมีนกพิราบเป็นพาหะของโรค โรคนี้มักเกิดจากการที่เรารับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีสารปนเปื้อนของเชื้อจากแบคทีเรียชนิดนี้ การติดเชื้ออาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึง 2 วันจึงจะปราฏอาการของโรค ปกติแล้วเชื้อซาลโมเนลลา จะเป็นแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนหรือสัตว์และสามารถปนออกมากับอุจจาระได้ ดังนั้น การติดเชื้อส่วนใหญ่จึงเกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรีย เมื่อติดเชื้อแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย โดยอุจจาระอาจมีเลือดปน ถ่ายเหลว ปวดศีรษะ เป็นไข้ หนาวสั่น เบื่ออาหาร หรืออาเจียน
7. โรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis)
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อราฮิสโตพลาสมา (Histoplasma) ซึ่งมักพบในดินที่ปนเปื้อนไปด้วยมูลของนกหรือค้างคาว ในบริเวณที่พบฝูงนกพิราบจำนวนมาก และนกพิราบถ่ายมูลทิ้งไว้ ก็จะทำให้บริเวณนั้นมีเชื้อราชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ ในผู้ป่วยที่ร่างกายปกติแข็งแรงมักจะไม่แสดงอาการ แต่ผู้ติดเชื้อที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ส่งผลให้การติดเชื้อทวีความรุนแรงมากขึ้น เกิดการติดเชื้อในปอดรุนแรง เรื้อรัง หรือการติดเชื้อราแพร่กระจายจากปอดไปสู่อวัยวะส่วนอื่น ๆ
การติดเชื้อ เกิอขึ้นเมื่อเราสูดดมสปอร์ของเชื้อราที่ฟุ้งกระจายในอากาศ จนก่อให้เกิดการติดเชื้อราตามมาได้ ผู้ป่วยส่วนมากจะไม่มีอาการใด ๆ แต่บางรายอาจพบอาการเล็กน้อยหลังได้รับเชื้อ จะมีอาการเป็นไข้ ไอแห้ง เหนื่อยล้ามาก ตัวสั่น ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก ปวดร่างกาย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อต่อ หรือเกิดผื่น ทว่าในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวปอดหรือป่วยเป็นโรคปอดอย่างถุงลมโป่งพองอยู่แล้ว อาจเผชิญกับอาการป่วยเรื้อรัง ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลง ไอเสมหะเหนียวหรือเป็นเลือด หายใจลำบาก ไปจนถึงระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ในเด็กทารกและคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจเสี่ยงปอดติดเชื้อราแบบเรื้อรัง หรือเชื้อราอาจแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
การป้องกันเชื้อโรคที่เกิดจากนกพิราบ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสนกพิราบ หรือเข้าไปอยู่ในฝูงนกพิราบเยอะ ๆ รวมทั้งสัมผัสนกพิราบที่ตายแล้ว
- หากมีความจำเป็นที่ต้องอยู่ในบริเวณที่แวดล้อมไปด้วยนกพิราบ หรือมูลของนกพิราบ ควรสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือให้สะอาด ในขณะที่ทำความสะอาดบริเวณที่มีมูลนก ควรสวมถุงมือด้วย
- ไม่ให้อาหารแก่นกพิราบ
- ไล่นกพิราบออกจากที่อยู่อาศัย
- ทำลายรังนกพิราบ พร้อมทั้งทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากนกพิราบ เช่น บุคคลที่ต้องสัมผัสกับมูลนกพิราบ บุคคลที่อยู่ในบริเวณที่แวดล้อมด้วยนกพิราบ บุคคลที่ชอบให้อาหารนกพิราบ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ควรสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสนกพิราบ มูลนกพิการ และซากนกพิราบที่ตายแล้วให้มากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิดตัว ASUS Zenbook S 16 (UM5606) จอใหญ่สุดพรีเมี่ยม และสเปกมาครบครัน
ASUS Zenbook S 16 เป็นอีกคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เผยโฉมในงาน Computex 2024 ที่ผสมผสานงานออกแบบที่สวยงามผสมกับพลัง AI โดยรอบนี้เรามาดูรายละเอียดของรุ่นนี้กันว่ามันโดดเด่นแค่ไหน
ความโดดเด่นของ ASUS Zenbook S 16
ASUS เผยว่า Zenbook S 16 (ป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างศิลปะและเทคโนโลยี เป็นโน้ตบุ๊กพรีเมียม ตัวเครื่องงบางเพียง 1.1 ซม. พร้อมดีไซน์ทันสมัย น้ำหนักเบา 1.5 กก. เลือกใช้วัสดุตัวเครื่องพิเศษเฉพาะแบบใหม่ ‘เซราลูมิเนียม’ (Ceraluminum™)
ซึ่งเป็นการผสมผสานความสวยงามและสัมผัสของเซรามิกเข้ากับความแข็งแกร่งของอะลูมิเนียม ให้ความทนทาน พร้อมสัมผัสที่อบอุ่น และความรู้สึกพิเศษเมื่อเทียบกับอะลูมิเนียมทั่วไป โดยตัวเครื่องมาในสีขาวอันหรูหรา (Scandinavian White) และสีเทา (Zumaia Gray)
แต่รองรับการทำงานระดับสูงด้วยค่า TDP กว่า 28 W และความสามารถในการประมวลผล AI 50 TOPS จากชิป NPU ในโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI 9 HX 370 ทั้งยังใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระบบระบายความร้อนแบบ 3D vapor-chamber
ASUS Zenbook S 16 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 78 Wh พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ได้แก่ USB4®, USB 3.2 Type-A, HDMI®, พอร์ต audio jack และ SD card reader ตอบสนองได้รวดเร็วด้วยหน่วยเก็บข้อมูลสูงสุด 2 TB PCIe® 4.0 x4 SSD และ RAM สูงสุด 32 GB LPDDR5x
ให้หน้าจอคุณภาพสูง 3K 16:10 120Hz ขนาด 16 นิ้ว พร้อมถนอมดวงตาจากแสงสีฟ้า ผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ช่วยลดแสงสีฟ้าที่ทำลายดวงตาได้กว่า 70% ทั้งยังช่วยเติมเต็มประสบการณ์ด้านความบันเทิง ให้เสียงที่ทรงพลัง หลากหลายมิติด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos ®
และติดตั้งชิป Microsoft Pluton ช่วยรักษาความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์และข้อมูลที่ละเอียดอ่อน พร้อมกล้อง FHD AiSense IR รองรับ Windows Hello, Adaptive Lock ตรวจจับตัวตนของผู้ใช้ พร้อมจดจำใบหน้าเพื่อเข้าระบบโดยอัตโนมัติ
สัมผัสแรกของ ASUS Zenbook S 16
ต้องบอกว่าจากที่ได้เตอเครื่องจริงครั้งแรก รุ่นนี้มีขนาดที่ใหญ่พอสมควร แต่ว่าด้วยการออกแบบและจัดวางสิ่งต่างๆ ที่มาแบบครบครันไม่ว่าจะเป็นการวาง Keyboard, หน้าจอที่มีความสวยงาม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับขุมพลังที่มาแบบจัดหนักเหมือนกันครับ และนอกจากนี้ัยังมาพร้อมกับ วัสดุใหม่คือ เซราลูมิเนียม’ (Ceraluminum™) จับแล้วให้ความเนียนมือแต่แข็งแรงมากพอสมควร ดังนั้นใครที่สนใจคอมพิวเตอร์ใหม่นี้ไม่ควรพลาด เห็นว่าต่างประเทศเคาะเริ่มต้น 1,399 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 51,xxx บาท
คอมพิวเตอร์รุ่นนี้พร้อมวางจำหน่ายเร็วๆ นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำความรู้จัก Direct Speech และ Indirect Speech คืออะไร?
เรื่องเกี่ยวกับ Direct และ Indirect Speech เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำเอาหลายคนยังงงๆ กับการใช้อยู่ แต่รู้ไหมว่าถ้าเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะก็ เราจะสามารถเล่าเรื่อง ถ่ายทอด หรืออ้างอิงเรื่องราวต่างๆ ที่คนอื่นพูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นด้วยล่ะ ถ้าอย่างงั้นอย่ารอช้า เรามาทำความรู้จักกับ Direct และ Indirect Speech กันดีกว่า
Direct Speech
Direct speech คือ การยกเอาคำพูดของคนอื่นมาพูดซ้ำอีกครั้งแบบตรงๆ โดยไม่มีการต่อเติม หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประโยค โดยสิ่งที่พูดถึงอาจจะเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือจะเป็นการเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังทีหลังก็ได้ ซึ่งในการเขียนประโยคภาษาอังกฤษเราจะใส่เครื่องหมายคำพูด หรือ เครื่องหมาย Quotation mark แบบนี้ “…..” เอาไว้ ตัวอย่างเช่น
John said, “I like biology.” หรือจะสลับตำแหน่งเป็น “I like biology,” John said
*ข้อสังเกต* หลังประโยคหลักที่บ่งบอกว่าใครเป็นผู้พูดจะถูกคั่นด้วยเครื่องหมาย ( , ) comma เสมอและประโยคที่อยู่หลังเครื่องหมาย Quotation mark จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ แต่ถ้าสลับตำแหน่งกันแบบในตัวอย่างข้างต้น ตัวเครื่องหมาย comma จะมาอยู่ก่อนปิดเครื่องหมาย quotation mark แล้วจึงตามด้วยผู้พูด
Indirect Speech
Indirect Speech คือ อีกรูปแบบหนึ่งของการนำเรื่องไปเล่าต่อ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรูปประโยค ซึ่ง Indirect Speech สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- Indirect speech – statement คือ การรายงานประโยคแบบบอกเล่าหรือปฏิเสธ
- Indirect speech – commands, requests and suggestions คือ การรายงานประโยคที่เป็นประโยคขอร้อง ประโยคคำสั่ง หรือ ขออนุญาต
- Indirect speech – question คือ การรายงานประโยคที่เป็นคำถาม
หลักการเปลี่ยน Indirect Speech
หลังจากทำความรู้จัก Direct Speech และ Indirect Speech แล้ว เรามาดูกันต่อดีกว่าหลักการเปลี่ยนประโยคคำพูดให้เป็น Indirect Speech นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เปลี่ยน Direct statement (ประโยคบอกเล่าหรือปฎิเสธ) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนในข้อนี้คือ ตัดเครื่องหมาย ( , ) comma ออก เอาเครื่องหมายคำพูด Quotation mark ออก แล้วเติม that เข้าไปหลัง Reporting Verbs หรือจะใช้เป็นการเปลี่ยนคำระบุเวลาและสรรพนามให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่น
She said, “I will submit my homework tomorrow.” (Direct speech)
She said she would submit her homework the following day. (Indirect speech)
เปลี่ยน Commands, requests and suggestions (คำสั่ง อนุญาต เสนอแนะ และขอร้อง) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนรูปประโยคในข้อนี้จะคล้ายกับ statement แต่จะต่างกันตรงที่มีการใช้กริยานำ อย่างคำว่า tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง) และ command/commanded (สั่ง) เข้ามา แล้วเปลี่ยนสรรพนามให้เหมาะสม และหากมีคำว่า Please ในประโยคก็ให้ตัดออกด้วย ตัวอย่างเช่น
He asked, “Please let me go to the movie.” (Direct Speech)
He asked me to let her go to the movie. (Indirect Speech)
เปลี่ยน Direct Question (ประโยคคำถาม) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนประโยคำถามแบบ Yes/No Question ให้เป็น indirect speech ทำได้โดยการตัดดเครื่องหมาย ตัดเครื่องหมาย ( , ) comma ออก เปลี่ยนกริยานำ Reporting Verb จาก say, said, told เป็น ask, asked (ถาม), inquire, inquired of (สอบถาม)
ส่วนประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Verb to do, to have, to be, และกริยาช่วย (Auxiliary verbs) Will จะใช้ if, whether, whether…or not หรือ whether or not ในการเชื่อมประโยคแทน และจะไม่ใส่เครื่องหมาย ? ท้ายประโยค
และประโยคคำถามที่ขึ้นด้วย Wh-Questions อย่าง What, Where, When, Why, Who, Whom, Whose และ How สามารถใช้คำเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมประโยคได้เลย ตัวอย่างเช่น
He asked, “Can I borrow your pen?” (Direct Speech)
He asked if he could borrow my pen (Indirect Speech)
Is he a doctor?(Direct Speech)
I don’t know if he is a doctor.. (Indirect Speech)
Who is she? (Direct Speech)
Do you know who she is? (Indirect Speech)
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
10 อาหารโปรตีนสูงกว่าไข่ เบื่อไข่เมื่อไรจัดไป จุกๆ
ไข่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด เต็มไปด้วยประโยชน์ ราคาไม่แพง หาซื้อง่าย ทานได้หลากหลาย เหมาะสำหรับมังสวิรัติ และให้โปรตีนถึง 6 กรัมต่อไข่ขนาดใหญ่ แต่… ไข่ต้มยางมะตูมทานบ่อย ๆ ก็เริ่มเบื่อหน่ายแล้วใช่ไหม? ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดโลกทัศน์ของคุณด้วยอาหารเหล่านี้ที่มีโปรตีนต่อหน่วยการเสิร์ฟมากกว่าไข่
1.ทูน่า ปริมาณโปรตีน: 20 กรัมต่อ 3 ออนซ์ (ประมาณ 85 กรัม)
ทูน่าอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ตามที่ Amy Shapiro นักโภชนาการการันตี กรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ช่วยปกป้องโรคหัวใจและสมองเสื่อม นอกจากนี้ ทูน่ายังเป็นแหล่งโปรตีนราคาประหยัด หาซื้อสะดวก เก็บไว้ได้นาน (แถมยังไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม!) คุณสามารถนำทูน่าไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ใส่แซนด์วิช หรือสลัด นอกจากนี้ยังสามารถทานแบบซาชิมิเป็นมื้อพิเศษได้อีกด้วย
2.ถั่วเหลือง ปริมาณโปรตีน: 7 กรัมต่อ 1 ออนซ์ (ประมาณ 28 กรัม)
ถั่วเหลืองจัดเป็นพืชตระกูลถั่วที่ให้ทั้งโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ folate และวิตามินอี Amy Shapiro นักโภชนาการแนะนำว่า “คุณสามารถทำเนยถั่วเหลืองทานเองได้ง่ายๆ เพียงนำถั่วเหลืองมาบดแล้วทาบนขนมปัง หรือทาบนขนมปังโฮลวีทเพื่อเป็นอาหารมังสวิรัติทานง่ายๆ ยามรีบเร่ง”
3.ไก่งวง ปริมาณโปรตีน: 26 กรัมต่อ 3 ออนซ์ (ประมาณ 85 กรัม)
สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหานอนไม่หลับ ไก่งวงอาจเป็นตัวช่วยของคุณได้ Amy Shapiro นักโภชนาการอธิบายว่า “ไก่งวงมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งชื่อว่า ทริปโตเฟน ซึ่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและง่วงนอน เหมาะสำหรับทานมื้อเย็น” คุณสามารถหาซื้อไก่งวงสำเร็จรูปได้ตามร้านขายของชำหรือซูเปอร์มาร์เก็ต หรือลองอบไก่งวงทานเองก็ได้
4.เทมเป้ (Tempeh) ปริมาณโปรตีน: 16 กรัมต่อ 3 ออนซ์ (ประมาณ 85 กรัม)
เทมเป้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหมัก ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอดเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยใยอาหารอีกด้วย Amy Shapiro นักโภชนาการอธิบายว่า “เทมเป้มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลของไมโครไบโอมและระบบย่อยอาหาร เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้และระบบย่อยอาหาร”
เทมเป้ยังเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยที่สุด Shapiro จึงมักแนะนำให้ทานเทมเป้เป็นอันดับต้นๆ ข้อดีที่สุดคือ เทมเป้สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย คุณสามารถอบหรือผัดเทมเป้ได้ง่ายๆ “โดยส่วนใหญ่เทมเป้จะมาในรูปแบบพร้อมทาน คุณไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรเพิ่มเติมมากนักหลังจากแกะห่อแล้ว”
5.สไปรูลินา ปริมาณโปรตีน: 8 กรัมต่อ 2 ช้อนโต๊ะ
นอกจากปลาแล้ว ยังมีอาหารทะเลอีกชนิดที่อุดมไปด้วยโปรตีน นั่นคือ สไปรูลินา สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่แปรรูปเป็นผง ลองโรยสไปรูลินาบนสลัด หรือใช้เป็นเครื่องปรุงรสผักอบ (ผงสไปรูลินายังสามารถเปลี่ยนสีสมูทตี้จืดๆ ของคุณให้กลายเป็นสีฟ้าได้อีกด้วย)
6.โยเกิร์ตกรีกชนิดไม่มีไขมัน ปริมาณโปรตีน: 17 กรัมต่อถ้วย
สำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ โยเกิร์ตกรีกชนิดไม่มีไขมัน ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม โยเกิร์ตกรีกในถ้วยพลาสติกขนาดเล็กเหล่านี้ ให้โปรตีนสูงถึง 17 กรัม โดยมีแคลอรี่เพียง 100 แคลอรี่เท่านั้น
7.เมล็ดฟักทอง ปริมาณโปรตีน: 10 กรัมต่อ 1/4 ถ้วย
เมล็ดฟักทอง ไม่ได้โด่งดังแค่เรื่องแมกนีเซียมเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยโปรตีนอีกด้วย คุณสามารถทานเมล็ดฟักทองโดยโรยบนสลัด หรือทานเปล่าๆ เป็นของว่างได้
8.ถั่วลูกไก่ ปริมาณโปรตีน: 12 กรัมต่อ 1 ถ้วย
“ถั่วลูกไก่ อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ฟอสเฟต แคลเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส สังกะสี และวิตามินเค ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยในการสร้างและรักษาโครงสร้างและความแข็งแรงของกระดูก” อธิบายโดย Beth Warren นักโภชนาการจดทะเบียน และผู้เขียนหนังสือ Secrets Of A Kosher Girl นอกจากนี้ ถั่วลูกไก่ยังอุดมไปด้วยโปรตีนอีกด้วย เรียกได้ว่า ดีต่อสุขภาพครบถ้วน
9.เต้าหู้ ปริมาณโปรตีน: 9 กรัมต่อ 100 กรัม
เต้าหู้ เหมาะสำหรับมื้อเช้า กลางวัน หรือมื้อเย็น สามารถนำมาปรุงได้หลากหลาย ไม่ว่าจะทำไข่เจียวเต้าหู้ หรือผัดเต้าหู้ “เต้าหู้มีกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิด” อธิบายโดย Warren นอกจากนี้ เต้าหู้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียม ทองแดง สังกะสี และวิตามินบี1 ที่ดีอีกด้วย
10.อัลมอนด์ ปริมาณโปรตีน: 7.5 กรัมต่อ 1/4 ถ้วย
อัลมอนด์ ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งโปรตีนชั้นยอดเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับทานเป็นของว่างอีกด้วย เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินอี ทองแดง และแมกนีเซียม อธิบายโดย Warren
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/06/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,750.00 | 40,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,640.00 | 40,022.40 | 41,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,376.00 | 36,020.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,112.00 | 32,017.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,188.00 | 18,010.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 924.00 | 14,007.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,736.00 | 41,477.76 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/06/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.35 | 37.35 | 38.25 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.98 | 36.98 | 37.68 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.24 | 35.24 | 36.14 | 35.24 | 35.24 | – | 35.24 | 35.24 | 35.24 | 35.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.99 | 34.99 | – | – | – | – | – | – | – | 34.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 45.94 |
เบนซิน 95 | 45.24 | – | – | – | 48.01 | – | 45.74 | 45.39 | – | 45.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |