แสนสิริลุยลงทุน2.6หมื่นล้านผุดคอนโด20โครงการเมืองท่องเที่ยว-CBD กทม.
แสนสิริ ไม่หวั่นวิกฤติเศรษฐกิจเดินหน้าลงทุน2.6หมื่นล้านผุดคอนโด20โครงการในหัวเมืองท่องเที่ยว-ทำเลใจกลางเมือง ตั้งเป้ายอดขาย2.1หมื่นล้านยอดโอนคอนโด 1.3หมื่นล้าน
นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปีนี้บริษัทเดินหน้าขยายพอร์ตคอนโดมิเนียม 20 แบรนด์ เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทุกระดับราคา ครอบคลุมทำเลศักยภาพทั่วประเทศ เพื่อเติบโตตามแนวทาง RESILIENT GROWTH โดยแผนการเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า26,000 ล้านบาทเพื่อทุบสถิตสูงสุดในวงการอสังหาฯ คาดว่าปีนี้จะมียอดขายอยู่ที่21,000 ล้านบาท และยอดโอนอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท
“แสนสิริ เราให้ความสำคัญกับการบริหารพอร์ตโฟลิโอเพื่อให้บริษัทมีผลประกอบการที่โตอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนการรักษามาตรฐานความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาด ผ่านการออกแบบที่โดดเด่น รักษามาตรฐานด้านคุณภาพของสินค้าและการบริการ ”
นายองอาจ กล่าวว่า 5 เดือนที่ผ่านมาแสนสิริสามารถสร้างยอดขายแล้วกว่า 7,300 ล้านบาทคิดเป็น 35% ของเป้ายอดขาย และมียอดโอน 3,400 ล้านบาทคิดเป็น 26% ของเป้ายอดโอน และในช่วงที่เหลือของปี เรายังคงทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากโครงการที่เปิดขายอยู่ และพร้อมโอนในปีนี้รวม 14 โครงการ มูลค่า 15,700 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจคอนโดมิเนียมเน้น Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทุกระดับราคา รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ปัจจุบัน แสนสิริมีสัดส่วนโครงการคอนโดเปิดใหม่ ใน Strategic Locationถึง 45% (9 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท) โดยมุ่งเน้นทำเลในหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่
รวมถึงตลาดฝั่ง EEC โซนภาคตะวันออก เช่น พัทยา บางแสน ไปถึงขอนแก่น รวมทั้งหัวหิน ทำเลที่แสนสิริมีความเชี่ยวชาญมากว่า 40 ปี พร้อมชูไฮไลท์โครงการใหม่ แคนวาส เชิงทะเล มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ตั้งอยู่ในโซนเชิงทะเล-บางเทา จังหวัดภูเก็ต ที่กำลังเป็นทำเลฮอตยอดนิยมในกลุ่มชาวยุโรป ที่ส่วนใหญ่มาพักอาศัยแบบพำนักระยะยาว (Long stay )คาดว่าเปิดตัวปีนี้
การปักหมุดโครงการบนสุดยอดทำเลศักยภาพในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ที่มีดีมานด์ บนทำเลสุขุมวิท ได้แก่โครงการ เวีย 34 มูลค่า 1,400 ล้านบาท บนสุขุมวิท 34 และโครงการ เวีย 61 มูลค่า 1,200ล้านบาท บนสุขุมวิท 61 โดยทั้ง 2 โครงการ แสนสิริจะพัฒนาภายใต้แบรนด์เวีย (Via) ซึ่งเป็นแบรนด์คอนโดภายใต้ Aesthetic Collection ของแสนสิริ และอีกหนึ่งโครงการใหม่ จากซีรี่ส์ One of a Kind Project โครงการใหม่หนึ่งเดียว โดดเด่นบนทำเลศักยภาพบนสุขุมวิท 36
ทั้งนี้ แสนสิริพร้อมเปิดตัว 2 แคมเปญไฮไลท์ ได้แก่ Pets Welcome Condo แสนสิริลุยตลาดคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ รับกระแส Pet Parent หลังเล็งเห็นพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า ที่หันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในคอนโดมากขึ้น เพื่อรองรับพอร์ตคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ของแสนสิริ โดยจะมีโครงการ พินน์ ศูนย์วิจัย ที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้ พร้อมเตรียม Pets Welcome Kits
นอกจากนี้ แสนสิริเดินหน้าต่อยอดแบรนด์คอนโด ที่ประสบความสำเร็จ กับกลยุทธ์ Brand Refresh ปรับโฉมแบรนด์ เดอะ เบส ครั้งใหญ่ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ควบคู่กับการพัฒนาโปรดักส์ให้เข้ากับการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละโลเคชั่น ตั้งแต่ การขยายพื้นที่ด้วยแปลนหน้ากว้าง, เพิ่มพื้นที่สีเขียวมากขึ้น, ดีไซน์ห้องแบบลอฟท์ และครั้งแรกของแบรนด์เดอะ เบส ที่จะเป็น Pets Allowed ใน 2 ทำเลที่จะเปิดตัวในปีนี้ โดยจะมีโครงการ เดอะ เบส (THE BASE) รวม 4 โครงการ ได้แก่ เดอะ เบส ไรส์ ภูเก็ต ใกล้เซ็นทรัลภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท และ อีก 2 โครงการใหม่บนทำเลรัชดา และ วงศ์สว่าง รวมทั้งอีก 1 ทำเลใหม่ที่ขอนแก่น มูลค่าโครงการรวม 5,700 ล้านบาท
การเปิดตัว Affordable Condo อย่างต่อเนื่อง อย่างแบรนด์ ดีคอนโด เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงานและมีดีมานด์ความต้องการคอนโดสูง เตรียมเปิดตัวทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม 3,900 ล้านบาท และจ่อคิวโอน 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท
และเร็ว ๆ นี้ จะมีเปิดตัว ดีคอนโด เซนส์ มูลค่า 880 ล้านบาท และ ดีคอนโด คลามมูลค่า 820 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2 นี้ และเปิดตัวคอนโดภายใต้แบรนด์คอนโดมี (condo me) และเวย์ (Vay) กับจุดเด่นด้านราคาจับต้องได้ ให้เฟอร์ครบ ในหลากหลายทำเล รวม 3 โครงการ มูลค่า 1,110 ล้านบาท
และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่สำคัญคือการพัฒนา Super Luxury คอนโด ซึ่งนับเป็นจุดแข็งของแสนสิริ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ที่มั่นใจในแบรนด์และประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญ 40 ปี ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้เซ็ตมาตรฐานในการสร้างสรรค์ผลงานระดับ World Class Design ล่าสุดได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้ง หลังปิดการขายห้อง Penthouse พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว มูลค่าเกือบ 500 ล้านบาท ของโครงการแสนสิริในทำเลชิดลม แม้ยังไม่ได้เปิดตัว
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 โครงการใหม่ บนทำเลสารสินและสุขุมวิท 51 จ่อคิวสร้างความสำเร็จตามรอยโครงการในพอร์ต Sansiri Luxury Collection (SLC) และเตรียมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการอสังหาฯ ไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯ ไตรมาส 2 ส่อวิกฤติ ! ขาย – โอนดิ่งต่อแห่เบรกโครงการใหม่รักษาสภาพคล่อง
แม้รัฐบาลจะออก 5 มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ต้นเดือนเม.ย.แต่ภาพรวมตลาดไม่คึกคักเท่าที่ควร ทั้งแนวโน้มไตรมาส 2 ส่อวิกฤติ ! ขาย – โอนดิ่งจากไตรมาสแรกติดลบยกแผง! ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ชะลอเปิดตัวโครงการ เพื่อรักษาสภาพคล่อง
พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตัวเลขยอดขาย ยอดโอน ยอดเปิดตัว ตกลงอย่างรุนแรง แดงเต็มกระดาน! โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ต่ำสุดในรอบ 12 ปี หากเปรียบเป็นคนป่วย ก็ป่วยหนัก และมีหลายโรคแทรก ส่งผลให้แนวโน้มไตรมาส 2 อาจติดลบหนักกว่าไตรมาสแรก เพราะปัญหาหลักคือ คนไม่มีกำลังซื้อ และผู้ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ รัฐบาล
“5 มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาไม่ช่วยกระตุ้นตลาดได้ตามเป้าหมาย ยกตัวอย่าง บ้าน BOI ที่ขยับราคาเป็น 1.5 ล้านบาท จาก 1.2 ล้านบาท ไม่มีใครอยากทำเพราะขอกู้เงินพัฒนาโครงการธนาคารไม่ให้ หรือต่อให้พัฒนาโครงการออกมาขายได้แต่โอนไม่ได้”
ตัวเลขโอนที่ตกลง เพราะธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อ ลูกค้าไม่มีเงินโอน ซึ่งมาตรการที่รัฐบาลออกมาส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นซัพพลาย แต่ไม่มีมาตรการช่วยเหลือด้าน “ดีมานด์” ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ที่ฝั่งดีมานด์! ที่รัฐบาลสามารถช่วยได้ง่ายมากคือ ทำให้เศรษฐกิจดี จะทำให้คนมีเงินมาจับจ่ายใช้จ่าย ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งทำ เพื่อให้ทุกธุรกิจเดินต่อไปได้
“อยากจะให้ธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆ ยืดหยุ่นให้กลุ่มคนที่มีศักยภาพซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมได้มากขึ้น เพราะถ้าไม่ปล่อยลูกค้ารายย่อย ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะไปไม่รอดเหมือนกัน สุดท้ายจะกลายเป็นหนี้เสียโครงการกลายเป็นเรื่องใหญ่ตามมา เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีซัพพลายเชนจำนวนมาก”
อย่างไรก็ดี สภาพการณ์เช่นนี้ดีเวลลอปเปอร์ควรทบทวน “ชะลอ” การลงทุน หรือเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อลดความเสี่ยง รักษาสภาพคล่องไว้จนกว่าสถานการณ์กำลังซื้อ ตลาดปรับตัวดีขึ้น ค่อยพัฒนาโครงการใหม่ออกมา มิเช่นนั้นอาจเผชิญผลกระทบรุนแรงสู่ภาวะล้มหายตายจากไปก่อนที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องระมัดระวังการพัฒนาโครงการมากขึ้นจากปัจจัยลบที่รุมเร้าตลาด หนึ่งในนั้นคือ การชำระคืน “หุ้นกู้” ที่จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับภาวะตลาดหุ้นร่วง!
“เวลานี้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แม้ท่องเที่ยวจะดีขึ้น แต่ภาคครัวเรือนยังคงมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ลากยาวมาจากวิกฤติโควิด-19 กระทบทุกธุรกิจโดยเฉพาะรายกลาง และรายย่อย ความเชื่อมั่นทางการบริโภคลดลง สะท้อนจากตัวเลขยอดขาย ยอดโอน การเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสแรกต่ำสุดรอบ 6 ปี”
ในส่วนของภาคธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนในโครงการระยะยาว มีช่องทางดีลกับสถาบันการเงิน หรือแม้ว่าการออกหุ้นกู้จะเป็นเรื่องง่าย แต่กรณีที่โครงการที่มีระยะเวลายาวนานกว่าหุ้นกู้ การใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินมีความจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กัน เพราะกรณีเศรษฐกิจมีปัญหาสามารถเจรจาได้กับผู้ประกอบการรายเดียวคือ สถาบันการเงินที่มีความยืดหยุ่น แต่หากเป็นหุ้นกู้มีลูกค้าหลากหลายมาก ดังนั้น ต้องบาลานซ์ระหว่างสินเชื่อจากสถาบันการเงินกับการออกหุ้นกู้
ทายาท กาญจนะจิตรา นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์ระยอง กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนี้กระทบต่อซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องการดำเนินธุรกิจหยุดชะงักไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในฐานะผู้ประกอบการสิ่งที่ต้องระมัดระวัง ประการแรกคือ กระแสเงินสด (Cash Flow) รองลงมาคือ ทำตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้ารับรู้และจดจำแบรนด์
“แม้ว่าปลาในบ่อจะเหลือน้อยลงแต่ต้องจับปลาให้ได้ถึงจะอยู่รอดได้”
ถัดมาคือ การบริหารจัดการสต็อกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บางอย่างยังไม่จำเป็นต้องซื้อก็ชะลอไว้ก่อนจนกว่าจะมีลูกค้าเข้ามาค่อยทำ อาทิ ชะลอการซื้อที่ดิน เน้นพัฒนาที่ดินเดิมที่มีอยู่
ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์จังหวัดระยอง กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ได้รับผลกระทบจากการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูง 60-70% ส่วนระดับราคา 2-3 ล้านบาท ยอดปฏิเสธสินเชื่อ 40-50% เป็นผลมาจากหนี้เสีย แต่ถ้าเป็นบ้านระดับราคาสูงกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป ยังไม่มีปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อ เพราะคนกลุ่มนี้มีรายได้สูง ส่วนใหญ่เป็นวิศวกร ช่างที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเป็นแรงงานที่ย้ายเข้ามาอยู่ในระยอง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14มิ.ย. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 36.76 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจผันผวนตาม โฟลว์ธุรกรรมทองคำ รวมถึงปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่า ทั้ง “ผลการประชุมบีโอเจ ค่าเงินเยน เงินยูโร”
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14มิ.ย. 2567ที่ระดับ 36.76 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.65 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าลงต่อได้ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า BOJ จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น ต่อแนวโน้มการทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น และอาจมีการประกาศทยอยปรับลดการเข้าซื้อบอนด์ ซึ่งหาก BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณดังกล่าว
สวนทางกับความคาดหวังของตลาดก็อาจกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงต่อทดสอบโซนแนวต้านแถว 158 เยนต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง และการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่นในช่วงนี้ ที่มาพร้อมกับช่วงเงินยูโร (EUR) ก็เผชิญแรงกดดันจากประเด็นการเมืองยุโรป ก็อาจเป็นปัจจัยที่ยังหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ในระยะสั้น แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะเริ่มกลับมาเชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ก็ตาม
นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่จะเป็นอีกปัจจัยสร้างความผันผวนให้กับเงินบาทในระยะนี้ อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าไปได้มากนัก และ
อาจยังติดอยู่ในโซนแนวต้านแถว 36.85-36.90 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 37.00 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนการแข็งค่าในช่วงนี้ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ทำให้เงินบาทยังมีแนวรับแถวโซน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.90 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.60-36.78 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเร็วและแรง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของราคาทองคำ
หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ได้ชะลอลงสู่ระดับ 2.2% น้อยกว่าที่ตลาดคาด ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ล่าสุดก็เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.42 แสนราย แย่กว่าที่ตลาดคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามีความหวังว่า เฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ทว่าเงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ตามการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังได้แรงหนุนจากแรงซื้อของผู้เล่นในตลาด (Buy on Dip) หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ยังคงกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ขณะเดียวกัน เงินยูโร (EUR) ก็ทยอยอ่อนค่าลงตามตลาดหุ้นยุโรป ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสและยุโรป ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำเผชิญแรงขายต่อเนื่องและย่อตัวลงกว่า -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ นำโดย Nvidia +3.5% หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ออกมาชะลอลงกว่าคาด ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานล่าสุด ก็ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคาดหวังว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.33% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.23%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงกว่า -1.31% ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสและยุโรป นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลว่า ทางการจีนอาจตอบโต้ทางการยุโรป หลังทางการยุโรปได้สั่งเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่กับรถยนต์ EV จากจีน โดยภาพดังกล่าวได้กดดันให้บรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ต่างปรับตัวลงหนัก เช่น Volkswagen -3.5%, BMW -2.2%
ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ (สวนทางกับคาดการณ์ของเฟดใน Dot Plot ล่าสุด ที่ระบุว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง) หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ชะลอลงกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.25%
ทั้งนี้ เรามองว่า การปรับตัวลดลงต่อของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเป็นไปอย่างจำกัดในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และ เราคงมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในระยะข้างหน้ามีเพียงแค่ “คง” หรือ “ลง” มากกว่าที่เฟดจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนแข็งค่าขึ้น แม้เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงบ้างในช่วงที่ตลาดรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ที่ยังคงเผชิญปัจจัยกดดันจากสถานการณ์การเมืองในยุโรปและการปรับตัวลงของตลาดหุ้นยุโรป
รวมถึงการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.7-105.3 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ถือว่าผันผวนสูงพอสมควร โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นแรง จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI สหรัฐฯ ที่ชะลอลงกว่าคาด ก่อนที่จะเผชิญแรงขายเพิ่มเติมและแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 2,318 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้โฟลว์ธุรกรรมทองคำมีทั้งด้านขายทำกำไรและซื้อในจังหวะย่อตัว ส่งผลให้เงินบาทก็ผันผวนไปตามโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวเช่นกัน
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร คือ การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ในการประชุมครั้งนี้ แม้ BOJ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม แต่ BOJ อาจจะส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น
โดยอาจมีการประกาศทยอยปรับลดการเข้าซื้อบอนด์ญี่ปุ่นลง ซึ่งหาก BOJ มีการส่งสัญญาณดังกล่าวได้จริง อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังต่อการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ในปีนี้
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินโอกาสที่ ECB จะทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องในปีนี้
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยเฉพาะในส่วนของรายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.71-36.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.07 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทที่อ่อนค่าสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ทยอยฟื้นตัวกลับมาบางส่วน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ขาดแรงหนุนในช่วงก่อนผลการประชุม BOJ และเงินยูโรซึ่งมีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและบอนด์ยีลด์ฝั่งยุโรปที่ลดลง นอกจากนี้ ตลาดยังคงอยู่ระหว่างติดตามปัจจัยที่อาจสนับสนุนมุมมอง dot plot ล่าสุดของเฟดที่สะท้อนว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ของสกุลเงินในภูมิภาค ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เบื้องต้นสำหรับเดือนมิ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จุดนี้สำคัญ! “ทัดดาว” เผยสาเหตุ “ลูกยางสาวไทย” คว่ำ บัลแกเรีย VNL 2024
“ทัพลูกยางสาวไทย” ที่เก็บชัยเหนือ บัลแกเรีย ไปได้แบบลุ้นเหนื่อย 3-2 เซต ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2024 สัปดาห์ที่สาม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา
โดยเกมนี้สนุกตื่นเต้นตลอดทั้ง 5 เซต เรียกได้ว่าเกมพลิกไปพลิกมา แต่สุดท้ายเป็นทางฝั่งสาวไทย ที่ทำได้ดีกว่าเบียดเอาชนะไปได้ 3-2 เซต (25-23, 22-25, 25-18, 22-25 และ 15-10)
ซึ่งหลังเกม ทัดดาว นึกแจ้ง ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทำไป 15 คะแนน มากเป็นอันดับ 3 ของทีมไทย ได้เปิดใจหลังเกมว่า “เหนื่อยมาก เกมนี้สนุก หนูว่าเป็นเกมที่ดีมากๆ ทุกคนช่วยกันเล่นทุกจังหวะทุกแต้ม เต็มที่กันสุดๆ”
“บัลแกเรีย เขาก็มาดีจริงๆ เกมนี้เรายังมีข้อผิดพลาด อย่างเรื่องการเสิร์ฟ เราเสียค่อนข้างเยอะ” ลูกยางสาวไทย เปิดใจ
นอกจากนี้ นักตบสาวไทย ยังชี้ 2 ปัจจัยที่ทำให้สามารถพลิกเกมกลับมาเอาชนะได้ว่า “วันนี้ เกมบล็อก และเกมรุกของเราเล่นได้หลายหลาย ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยกันเล่น รวมถึงขอบคุณสตาฟฟ์โค้ช และทีมงาน”
สำหรับโปรแกรมต่อไปของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จะลงสนามพบกับ โปแลนด์ ในวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2566 นี้ เวลา 16.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD, ช่องทางออนไลน์ BUGABOO.TV และ Ch7HD ทั้งเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
8 วิธีดูแลตัวเองช่วงฤดูฝน ให้เป็นสาวสุขภาพดีไม่ป่วยง่าย
ฤดูฝนมาเยือนเตือนให้สาว ๆ ต้องระมัดระวังสุขภาพ เพราะเป็นฤดูกาลที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศและความชื้นสูง อาจเป็นสาเหตุให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการป่วยได้ง่าย ดังนั้น นี่คือ 8 วิธีไม่ควรมองข้าม ให้คุณสามารถดูแลตัวเองให้เป็นสาวสุขภาพดี ผ่านช่วงอากาศแบบนี้ไปได้อย่างแข็งแรงค่ะ
8 วิธีดูแลตัวเองในหน้าฝน
1.รักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า
การรักษาความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในช่วงฤดูฝน เนื่องจากความชื้นสูงเป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี ควรอาบน้ำทันทีเมื่อกลับมาจากข้างนอก และควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งสกปรกหรือสัมผัสใบหน้า นอกจากนี้ หากเสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกชื้น ให้รีบเปลี่ยนทันที
2.รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี
การทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและเสริมวิตามินซี จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ควรทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม, กีวี่, สตรอว์เบอร์รี่ และมะเขือเทศ เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ และเสริมสร้างความต้านทานต่อโรคให้แก่ร่างกาย
3.ดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้มากขึ้น
แม้ว่าฤดูฝนจะมีความชื้นสูง แต่การดื่มน้ำเพียงพอยังคงเป็นสิ่งสำคัญ น้ำจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและรักษาสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกาย ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวการทำให้ร่างกายขับน้ำออก
4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย แม้ในช่วงฤดูฝนคุณสามารถเลือกการออกกำลังกายภายในบ้าน เช่น โยคะ, แอโรบิค หรือการเดินบนลู่วิ่ง แทนกิจกรรมกลางแจ้ง
5.หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำฝน
น้ำฝนมักมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่สามารถทำให้คุณป่วยได้ง่าย หากต้องเดินทางในช่วงฝนตก ควรใช้ร่มหรือเสื้อกันฝนเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเปียก โดนน้ำฝนน้อยที่สุด และควรสวมใส่รองเท้าที่กันน้ำ หรือรองเท้าชนิดแห้งเร็ว
6.ดูแลสุขภาพจิตให้มากขึ้น
ฤดูฝนอาจทำให้หลายคนรู้สึกเหงาหรือเศร้าได้ง่ายแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากสภาพอากาศที่ดูอึมครึมชวนหดหู่ใจ การดูแลสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย ควรทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ, ฟังเพลง, ทำสมาธิ หรือทำงานฝีมือ เพื่อรักษาสมดุลในชีวิตประจำวันไม่ให้เกิดภาวะเครียด
7.นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับที่เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกาย ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และพยายามรักษาเวลานอนที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
8.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
ในช่วงฤดูฝน ผิวหนังมักจะแห้งกร้านและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อป้องกันการระคายเคือง
การดูแลตัวเองในช่วงฤดูฝนไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณทำตามวิธีเหล่านี้ ก็สามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและห่างไกลจากการเจ็บป่วยได้อย่างที่ต้องการแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ย้ายประเทศ ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร?
ใครที่กำลังอยากย้ายประเทศ ควรรู้จักคำว่า “Emigrate” แปลว่า ย้ายออกนอกประเทศ วันนี้ วอลล์ตรีท อิงลิช จะมาแนะนำ Word choice และวิธีพูดภาษาอังกฤษ “ย้ายประเทศ” ในประโยคภาษาอังกฤษง่าย ๆ มาบอก รับรองว่าคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติรู้เรื่องแน่นอน!
ย้ายประเทศ ประโยคภาษาอังกฤษพูดว่ายังไง
Emigrate (v) /ˈem.ɪ.ɡreɪt/ แปล ย้ายออกนอกประเทศถาวร เป็นกริยาภาษาอังกฤษที่เอาไว้ใช้บอกเวลาที่คุณต้องการสื่อสารว่า จะย้ายประเทศถาวร ซึ่งเป็นคำที่ค่อนข้างเป็นทางการ
ตัวอย่าง ประโยคภาษาอังกฤษ ย้ายประเทศ
- The Anderson family emigrated from England and eventually settled in Bangkok.
ครอบครัวแอนเดอร์สันย้ายประเทศมาจากประเทศอังกฤษ และลงหลักปักฐานที่กรุงเทพฯ
- People from the West coast are allowed to emigrate to the East coast.
ประชาชนจากฝั่งชายหาดตะวันตกได้รับอนุญาตให้ย้ายบ้านไปอยู่ฝั่งชายหาดตะวันออกได้
- Birds from the South always emigrate every autumn.
นกจากทางใต้มักบินอพยบออกไปช่วงฤดูใบไม่ร่วง
Word choice และ Synonym ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “ย้ายประเทศ” มีอะไรบ้าง
นอกจากคำว่า Emigrate ที่แปลว่า ย้ายประเทศ แล้ว ภาษาอังกฤษยังมีอีกหลายคำให้คุณเลือกใช้ แต่ควรเลือก Word choice และคำที่มีควาหมายเหมือนกันให้เหมาะสม ซึ่งในภาษาอังกฤษคุณสามารถเลือกใช้คำว่า Move aboard และ Migrate เพื่อลดความเป็นทางการของภาษาลงได้
ตัวอย่าง
- They are all packed to move abroad, so do I.
พวกเขาเก็ยกระเป๋าเรียบร้อย พร้อมที่จะย้ายประเทศ ฉันก็เหมือนกัน
- Some species of animals would migrate to different zones or disappear forever.
สัตว์บางสายพันธุ์จะอพยบย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ละแวกอื่น หรือไม่ก็อาจสูญพันธุ์ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
AIS เสริมโครงข่ายอัจฉริยะ หนุนนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ สู่ Smart Industrial 4.0
AIS จับมือ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ ชลบุรี นำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะ เสริมขีดความสามารถนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ก้าวสู่ Smart Industrial 4.0
นายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือ นำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะสนับสนุนและส่งเสริมประสิทธิภาพให้แก่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการผลิต ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ และ ภาคเอกชน อย่าง นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อวาง Digital Infrastructure
รวมถึงการพัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ในการที่จะเข้าไปผลักดัน ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถ และศักยภาพที่พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ
อีกทั้งเรายังเชื่อว่าการมีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีในทุกกระบวนการทำงานภายใต้ Digital Ecosystem จะสามารถช่วยสร้างความแตกต่าง รวมทั้งสร้างแรงดึงดูดจากนักลงทุนให้เข้ามาร่วมกันสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน”
สำหรับความร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญต่อการทำงานกับภาคธุรกิจในภาคตะวันออกที่นับว่าเป็นอีกพื้นที่ศักยภาพด้านการผลิต โดยเราได้วาง Digital Infrastructure จากโครงข่ายอัจฉริยะ 5G และ Fiber Optic เพื่อให้พร้อมรองรับและเสริมศักยภาพการบริหารจัดการ
ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการภายในนิคมฯ สามารถใช้ศักยภาพจากโครงข่ายสัญญาณได้เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งบริการ Smart Solution ต่างๆ อาทิ 5G Private Network, 5G Smart factory ระบบบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะ, Smart meter , Environment sensor, Smart tracking ระบบอุปกรณ์ติดตามรถ, บริการจัดเก็บข้อมูล on cloud ในรูปแบบ Enterprise Cloud, CCTV and video analytics, Smart parking และอื่นๆ ที่เรามีความพร้อมในการพัฒนาเพื่อร่วมกันยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชลบุรีให้มีขีดความสามารถและพร้อมแข่งขันในอนาคตต่อไป”
ด้านนายภคิน ชลรัตนหิรัญ General Manager บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมมือกับAISครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Industrial 4.0 และรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ในเขตพื้นที่อีอีซี
โดยนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ มีความไว้วางใจและเชื่อมั่นในบริการ Smart Solution ต่างๆ ของ AIS ไม่ว่าจะเป็น 5G Private Network, 5G Smart factory ระบบบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะ และอื่นๆ เพื่อร่วมกันยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชลบุรีให้มีขีดความสามารถและพร้อมแข่งขันในอนาคต
นิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ เป็นนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) มีพื้นที่กว่า 1,987 ไร่ แบ่งการจัดสรรพื้นที่ออกเป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป 1,501 ไร่ และพื้นที่สาธารณูปโภคและแนวกันชนประมาณ 486 ไร่ เม็ดเงินลงทุนกว่า 4,129.41 ล้านบาท จัดเป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 61 และเป็นนิคมอุตสาหกรรมล่าสุดที่จะเปิดให้บริการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve ตามนโยบายการพัฒนาพื้นที่อีอีซีของรัฐบาล
ซึ่งโครงการนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ ต้องบอกว่า เราพร้อมรองรับนักลงทุนที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก เพราะนิคมฯตั้งอยู่ในพื้นที่อีอีซี มีเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่สะดวก โดยอยู่ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดไม่ถึง 100 กิโลเมตร และห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 137 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสามารถเชื่อมโยงนิคมฯ ในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยองได้”
การพัฒนาโครงการฯ ทางนิคมฯ ได้มีการออกแบบภายใต้แนวคิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial) โดยจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ และนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาปรับปรุงคุณภาพและนำไปใช้ประโยชน์ภายในโครงการ (Recycle) เพื่อลดอัตราการระบายน้ำทิ้งออกนอกพื้นที่ รวมทั้งได้นำแนวคิดออกแบบอาคารส่วนกลางแบบอารยสถาปัตย์ (Universal Design) และออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (Green Building) เพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) เป็นทางเลือกเสริมพลังงานหลัก ซึ่งช่วยลดปัญหามลพิษส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนโดยรอบสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
นายสมภพ กล่าวในช่วงท้ายว่า “AIS ในฐานะ องค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-CO ยังคงเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลเทคโนโลยีที่สามารถส่งมอบประสบการณ์รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานของพาร์ทเนอร์ เพราะเราเชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่แข็งแรงจะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพภาคการผลิตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก รวมถึงผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ ให้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง เปิดรับโอกาส ความท้าทายและการแข่งขัน”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
10 อาหารเครื่องดื่มล้างสารพิษตกค้างในร่างกายแบบธรรมชาติ
ร่างกายของเราเผชิญกับมลภาวะ สารพิษ และของเสียต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ การดีท็อกซ์ร่างกายจึงเป็นวิธีสำคัญในการกำจัดสารพิษเหล่านี้ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม และต่อไปนี้คือ 10 อาหารเครื่องดื่มช่วยล้างสารพิษตกค้างใสร่างกายแบบธรรมชาติ
10 อาหารเครื่องดื่มช่วยล้างสารพิษ
1.น้ำมะนาวอุ่น ๆ
การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยน้ำมะนาวอุ่น ๆ เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ทรงพลังในการกระตุ้นกระบวนการดีท็อกซ์ของร่างกาย มะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขับสารพิษ ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
2.ชาเขียว
ชาเขียว ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณอันทรงพลัง ด้วยความอุดมไปด้วยสารแคททีชิน สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง การดื่มชาเขียวเป็นประจำ ช่วยสนับสนุนการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย จึงถือเป็นเครื่องดื่มดีท็อกซ์ชั้นเยี่ยม
3.ผักตระกูลกะหล่ำปลี
ผักตระกูลกะหล่ำปลี เช่น บรอกโคลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า และกะหล่ำปลีบรัสเซลส์ ล้วนอุดมไปด้วยใยอาหารและสารประกอบที่ช่วยเสริมสร้างกระบวนการดีท็อกซ์ของร่างกาย ผักเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับในการย่อยสลายสารพิษและขับออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
4.กระเทียม
กระเทียม ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเทศที่เพิ่มรสชาติให้กับอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นดีท็อกซ์จากธรรมชาติอีกด้วย กระเทียมมีสารประกอบกำมะถันที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ในตับ ทำหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย การนำกระเทียมมาประกอบอาหารเป็นประจำ จึงช่วยสนับสนุนกระบวนการดีท็อกซ์ของร่างกาย
5.บีทรูท
บีทรูท ไม่ได้เป็นเพียงผักที่มีสีสันสดใสเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและใยอาหาร ช่วยสนับสนุนการทำงานของตับและกระตุ้นการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย สีสันสดใสของบีทรูท มาจากสารเบทาอีน สารประกอบที่ช่วยย่อยสลายและกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
6.อะโวคาโด
อะโวคาโด ไม่ได้เป็นเพียงผลไม้ที่อุดมไปด้วยไขมันดีเท่านั้น แต่ยังมีกลูตาไธโอน สารต้านอนุมูลอิสระทรงพลังที่ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย การทานอะโวคาโดเป็นประจำ จะช่วยลดภาระของสารพิษในร่างกาย
7.ขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเทศที่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรดีท็อกซ์ที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา โดยเฉพาะสารเคอคูมินสารออกฤทธิ์หลักในขมิ้นชัน มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขับล้างสารพิษ และส่งเสริมสุขภาพระบบย่อยอาหารโดยรวม การนำขมิ้นชันมาประกอบอาหารหรือดื่มชาขมิ้นชัน เป็นประจำ จึงส่งผลดีต่อสุขภาพ
8.วอเตอร์เครส
วอเตอร์เครส ผักใบเขียวรสเผ็ดเล็กน้อย อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านและกำจัดสารพิษในร่างกาย วอเตอร์เครสยังมีคุณสมบัติขับปัสสาวะ ช่วยขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ
9.ขิง
ขิง ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเทศที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรดีท็อกซ์ที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ลดการอักเสบ และช่วยให้ร่างกายกำจัดของเสียออกไป
10.น้ำเปล่า
การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการดีท็อกซ์ใดๆ น้ำเปล่าช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจ การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน จะช่วยสนับสนุนกลไกการทำความสะอาดตามธรรมชาติของร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/06/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,050.00 | 40,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,594.00 | 39,325.04 | 40,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,334.60 | 35,392.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,075.20 | 31,460.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,167.00 | 17,691.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 908.00 | 13,765.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,688.00 | 40,750.08 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/06/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.75 | 37.75 | 38.25 | 37.75 | 37.75 | 37.75 | 37.75 | 37.75 | 37.75 | 37.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.38 | 37.38 | 37.68 | 37.38 | 37.38 | 37.38 | 37.38 | 37.38 | 37.38 | 37.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.64 | 35.64 | 35.94 | 35.64 | 35.64 | – | 35.64 | 35.64 | 35.64 | 35.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.39 | 35.39 | – | – | – | – | – | – | – | 35.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 46.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 46.34 |
เบนซิน 95 | 45.64 | – | – | – | 48.41 | – | 46.14 | 45.79 | – | 45.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |