ภูเก็ตเดือด! เลค อเวนิว ภูเก็ต หั่นราคาคอนโดต่ำกว่าคู่แข่ง 15-20%
คอนโดภูเก็ตเดือด! โรยัล ซีพีเอช ดีเวลล็อปเม้นท์ สบช่องดีมานด์ไทยเทศแห่ซื้ออสังหาฯผุดโครงการเลค อเวนิว ภูเก็ตงัดกลยุทธ์ราคาถูกกว่าคู่แข่ง 15-20%หวังแย่งแชร์ ชี้พฤติกรรมคนซื้อคอนโดในภูเก็ตนิยม2ห้องนอนราคาไม่เกิน8 ล้านเพื่อเป็นบ้านหลังที่2 หรือซื้อเพื่อการลงทุน
นางสาวสุกัญญา ตาเกอูจิ ผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท โรยัล ซีพีเอช ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า จากการสำรวจความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ซื้อห้องชุดในภูเก็ต พบว่าส่วนใหญ่ต้องการห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ราคาไม่เกิน 8 ล้านบาท รองรับกลุ่มครอบครัวที่ซื้อเก็บไว้เป็นบ้านหลังที่ 2
ส่งผลให้บริษัทพัฒนาโครงการเลค อเวนิว ภูเก็ต ให้มีห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 48 ตารางเมตร ออกมามากที่สุดถึง 54% ราคาขาย 7 – 8 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 141,000 บาทต่อตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 70 ตารางเมตร จำนวน 38 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 10 ล้านบาท ขณะที่ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 34 ตารางเมตร มีจำนวนแค่ 11 ยูนิตเท่านั้น เนื่องจากยังมีห้องชุดแบบ 1 ห้องนอนเหลือขายอยู่ในตลาดภูเก็ตค่อนข้างมาก
โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักจะเป็นคนไทยที่ต้องการซื้อห้องชุดเก็บไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 หรือบ้านพักตากอากาศ รวมถึงซื้อเพื่อการลงทุน และกลุ่มคนในท้องถิ่น ส่วนลูกค้าต่างชาติจะเป็นกลุ่มยุโรป รัสเซีย และอเมริกาเหนือ ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าต่างชาติจองซื้อห้องชุดเต็มโควตา 49%
สำหรับโครงการ เลค อเวนิว ภูเก็ต มูลค่า 1,940 ล้านบาทตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 5 ไร่ 40 ตารางวา ในซอยเชิงทะเล 3 ห่างจากถนนใหญ่ศรีสุนทรระยะทางไม่เกิน 200 เมตร ล้อมไปด้วยทะเลสาบขนาดใหญ่ถึง 2 ฝั่ง เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 206 ยูนิต เป็นห้องชุดที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยกว้างเริ่มต้นตั้งแต่ 34 ตารางเมตร สำหรับห้องแบบ 1 ห้องนอน ส่วนแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีขนาดพื้นที่ 48 – 61ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 67 – 70 ตารางเมตร และขนาด 92 – 142 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
นอกจากนี้ยังมีห้องชุดแบบจูเนียร์ เพนท์เฮาส์ ขนาดพื้นที่ 118 ตารางเมตร แบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และห้องเพนท์เฮ้าส์ขนาด 174 – 180 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ตกแต่งแบบ Fully Fitted มีทั้งชุดครัว เครื่องปรับอากาศ ตู้เสื้อผ้า และอุปกรณ์ในห้องน้ำ
โดยห้องพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 7 ปัจจุบันโครงการเลค อเวนิว ภูเก็ต ได้ผ่านการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว และได้ลงมือก่อสร้างในส่วนของการลงเข็มและฐานรากแล้ว โดยมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าได้ช่วงปลายปี 2569 และจะเริ่มเปิดพรีเซลเดือนส.ค.นี้
“การแข่งขันของตลาดคอนโดในเมืองภูเก็ตค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในรัศมีไม่เกิน 2 กิโลเมตร จากที่ตั้งโครงการ มีโครงการของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์เปิดขายอยู่ 3 – 4 โครงการ”
อาทิ โครงการ เดอะไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ของ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในเครือแอสเซทไวส์, โครงการโซ ออริจิ้น บางเทา บีช ของกลุ่มออริจิ้นฯ และโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทาของกลุ่มแสนสิริ
“เลค อเวนิว ภูเก็ตจึงใช้กลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง 15 – 20% และมีพื้นที่ทะเลสาบอยู่ด้านข้างโครงการ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการแรกของเมืองภูเก็ต ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนซื้อได้เป็นอย่างดี”
สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทในอนาคต วางแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบพูลวิลล่าราคาขายไม่เกิน 16 ล้านบาทในพื้นที่เชิงทะเล ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจาซื้อที่ดิน คาดว่าจะเปิดตัวโครงการได้ในช่วงปี 2569
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
SMEsอสังหาฯชง7มาตรการ กระตุ้นซัพพลายเชนฟื้นเศรษฐกิจ
SMEsอสังหาฯร่อนจดหมาย ชง7มาตรการกระตุ้นซัพพลายเชนฟื้นเศรษฐกิจให้ภาครัฐหวังเป็นยาแรงฟื้นไข้อสังหาฯบรรเทาความเดือดร้อนธุรกิจเกี่ยวเนื่องภาคอสังหาฯก่อนปัญหาลุกลามพร้อมเดินหน้าปรับตัว ตั้งการ์ดสู้วิกฤต
กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ออกแบบ โรงงานวัสดุก่อสร้าง กลุ่มผู้ประกอบการด้านการตกแต่งสถานที่และการจัดสวน ได้รวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืน
ขอความเห็นใจและเรียกร้องทุกภาคส่วนร่วมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสียงถึงรัฐบาลเร่งมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถพยุงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เดินหน้าผ่านวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัวในครั้งนี้ไปได้
ซึ่งได้มีการเตรียมพร้อมและวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ ยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็ได้รับผลกระทบมาเป็นระยะๆ ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำของ Supply Chain ได้รับผลกระทบแบบโดมิโน จนอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการเป็นจำนวนมาก
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่รวมตัวกันในครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้ประกอบการระดับสตาร์ตอัปที่เปิดดำเนินกิจการมาไม่ถึง 10 ปี ไปจนถึงกลุ่ม SMEs และโรงงานที่ดำเนินกิจการมาแล้วกว่า 60 ปี มีพนักงานสูงถึงระดับ500คน ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ ระบุว่า วิกฤตที่เผชิญอยู่ในขณะนี้รุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยเผชิญมา และเทียบได้กับวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ถึงแม้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะมองดูผิวเผินไม่ได้รุนแรงเท่าปี 2540 นั่นเพราะว่าปี 2540 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มองเห็นความเสียหายได้ชัดเจน
แต่ในวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเริ่มชัดเจนในช่วงโควิด – 19 และในครั้งนั้นผู้ประกอบการได้ปรับตัวรอบใหญ่ไปแล้ว ทั้งการปรับโครงสร้างพนักงาน การปรับลดสวัสดิการ ลดเวลาการทำงาน การขยายฐานลูกค้าใหม่
อย่างไรก็ตามภาระเงินกู้และดอกเบี้ยธนาคารที่กู้ยืมในช่วงโควิด-19 ยังคงส่งผลให้การเงินในปัจจุบันมีความฝืดเคือง ซึ่งหลายแห่งพยายามบริหารจัดการและรับมืออย่างเต็มกำลัง แต่หากสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ ยังไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จะส่งผลกระทบลุกลามไปสู่การปลดพนักงานก็เป็นได้ซึ่งส่วนนี้จะส่งผลต่อฐานกำลังสำคัญของประเทศ เนื่องจากภาค SMEs ถือเป็นผู้จ้างงานที่คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดของประเทศไทย
มาตรการสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และ Supply Chain ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นยาแรงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปัจจุบัน บรรเทาความเดือดร้อนอย่างทันท่วงที ประกอบไปด้วย 7 ข้อเรียกร้อง ได้แก่
1. มาตรการซอฟท์โลนสำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้สามารถนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน ให้สามารถรับมือกับสถานการลูกหนี้การค้าค้างชำระเงินนานขึ้นได้
2. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก รวมถึงยกเลิกมาตรการ LTV สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 และที่ 3
3. มาตรการดึงกำลังซื้อจากกลุ่มคนทำงานที่เป็นต่างชาติ (Expat) เช่นขยายเพดานการถือครองที่ดิน เป็น 99 ปี และขยายเพดานสัดส่วนการซื้อคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเป็น 75%
4. มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน ด้วยการลดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการโอนและการลดหย่อนภาษี
5. ลดภาษีนำเข้าสำหรับภาคการผลิต เพื่อช่วยลดราคาต้นทุนการผลิต
6. ลดค่าสาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงลดเงินสมทบในการนำส่งประกันสังคม
7. จัดตั้งหน่วยงานหรือองค์กรเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการ เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำ
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลออกมา รวมถึงอยู่ระหว่างการพิจารณา มองว่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี ซึ่งอยากจะร้องขอภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันในการทำงาน สนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง เพื่อบรรเทาปัญหาที่อาจจะก่อให้เกิดวิกฤตในกลุ่มของตนในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการหลายภาคส่วนได้ทำการปลดพนักงานไปแล้วจำนวนมาก บางแห่งลดพนักงานไปมากกว่าครึ่ง
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจเติบโตดี ผู้ประกอบการได้เกิดแนวคิดในการจ้างงานแนวใหม่ที่จะเติบโตได้ในขณะเดียวกันก็สามารถมีส่วนช่วยเหลือสังคมได้ เช่น ผู้ประกอบการรายหนึ่งที่มีนโยบายสร้างงานให้กับกลุ่มชาวบ้านที่เดิมยึดอาชีพทำไร่ ซึ่งกิจกรรมบางส่วนกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการ เผาป่า เผาหญ้า และการถางป่าเพิ่มพื้นที่ทำกิน แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมากในขณะนี้ส่งผลให้ต้องลดการจ้างงานและแรงงานจำนวนมากต้องกลับภูมิลำเนาเดิม จึงมีความเสี่ยงที่แรงงานเหล่านั้นจะหันกลับไปยึดอาชีพเดิมที่ยังมีกิจกรรมทำลายสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการบางรายได้นำเงินทุนสะสมมาใช้ในการจ่ายภาระที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed cost) ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นเงินทุนสะสมก็จะหมดลงไปและนำไปสู่การปลดคนงานทั้งหมด ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของประเทศในวงกว้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ก.ค. “อ่อนค่า”ที่ระดับ 35.92 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างจำกัด หลังตลาดการเงินเผชิญความผันผวนและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ฟันด์โฟลว์เริ่มเป็นฝั่งขายสุทธิ ควรระวังช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB เงินยูโรอาจถูกกดดันอ่อนค่า หาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจนพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ก.ค. 2567 ที่ระดับ 35.92 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.89 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มชะลอลงแถวโซนแนวรับ 35.85 บาทต่อดอลลาร์ จริงตามที่เราประเมินไว้ โดยเรายังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) จากผู้เล่นในตลาด ซึ่งคอยช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
นอกจากนี้ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบเข้ามาชะลอการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มเติมได้ ทำให้เงินบาทก็อาจยังมีโซนแนวรับหลักแถว 35.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ในช่วงนี้ จนกว่าจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน เราประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจเริ่มเป็นฝั่งขายสุทธิได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มเผชิญความผันผวนและเสี่ยงกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน โดยเงินบาทก็อาจยังติดโซนแนวต้านแถว 36.00-36.10 บาทต่อดอลลาร์
อนึ่ง ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB ซึ่งอาจส่งผลให้เงินยูโร (EUR) ผันผวน ได้พอสมควร โดยเฉพาะ หาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจนว่า พร้อมทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็อาจกดดันให้ เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้บ้าง
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.85-36.10 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.86-35.98 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ ซึ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์ได้ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากการทยอยปิดสถานะ Short JPY (มองเงินเยนอ่อนค่า) ของบรรดาผู้เล่นในตลาด ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็มองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงวันพุธที่ผ่านมา ก็อาจเกิดจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินของทางการญี่ปุ่นได้
นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมเดือนกันยายน และอาจลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้งในปีนี้ หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ Christopher Waller ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง พร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ที่รุนแรง นำโดย Nvidia -6.6% ท่ามกลางความกังวลว่า ทางการสหรัฐฯ อาจเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการควบคุมบรรดาบริษัทเทคฯ หากยังปล่อยให้บริษัทจีนเข้าถึงเทคฯ ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มอื่นๆ อาทิ กลุ่มการเงินที่ส่วนใหญ่ได้รายงานผลประกอบการออกมาสดใส ก็ยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.77% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.39%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.48% ท่ามกลางความกังวลว่า บรรดาบริษัทเทคฯ โดยเฉพาะกลุ่ม AI/Semiconductor อาจได้รับผลกระทบ จากความขัดแย้งด้านการค้าและเทคฯ ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่งผลให้หุ้นธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวลงหนัก อาทิ ASML -10.9%
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานบ้าง อาทิ TotalEnergies +0.9% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นกว่า +2% จากรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ลดลงกว่าคาด
ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้ และเฟดอาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่การประชุมเดือนกันยายน ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.16% ทั้งนี้ โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคงแกว่งตัว sideways ในกรอบ 4.10%-4.20% สอดคล้องกับมุมมองที่เราประเมินไว้ ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัว sideways ไปก่อน
โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตาผลการประชุมเฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือน-ต้นเดือนหน้า ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นจังหวะที่น่าพิจารณา “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาวได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้
ขณะเดียวกัน การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่โซน 155.5 เยนต่อดอลลาร์ ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 103.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.6-103.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) เผชิญแรงกดดันบ้างจากจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่โซน 2,450-2,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวเพิ่มเติม หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้างและสามารถทรงตัวเหนือโซน 2,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ในการประชุมครั้งนี้ ECB อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม แต่ผู้เล่นในตลาดก็จะรอลุ้นว่า ECB จะส่งสัญญาณพร้อมทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดๆ ไป หรือไม่
โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยลงอีกราว 2 ครั้งในปีนี้ (การประชุมเดือนกันยายนและเดือนธันวาคม) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนก็จะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดให้ความสนใจเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สาวไทยจบแชมป์กลุ่ม ลิ่วรอบชิงตั๋วกรุ๊ป 1 เทนนิสทีมหญิงโลก
นักหวดสาวไทย เฉือนชนะ อินโดนีเซีย 2-1 คู่ จบแชมป์กลุ่มเอ ลิ่วรอบชิงตั๋วกรุ๊ป 1 ในศึกเทนนิสชิงแชมป์โลก ประเภททีมหญิง “2024 บิลลี จีน คิง คัพ บาย เกนบริดจ์” ที่มาเลเซีย
การแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์โลก ประเภททีมหญิง รายการ “2024 บิลลี จีน คิง คัพ บาย เกนบริดจ์” โซนเอเชีย/โอเชียเนีย กลุ่ม 2 ที่ศูนย์เทนนิสแห่งชาติ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 17 ก.ค.67 ทีมไทย ลงสนามนัดที่สองพบ อินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองทีมต่างคว้าชัยในแมตช์แรกเหนืออิหร่านมาทั้งคู่ ทำให้แมตช์นี้มีความสำคัญกับทั้งสองทีม เพราะทีมที่ชนะจะคว้าแชมป์กลุ่มเอ ไปแข่งขันกับแชมป์อีก 2 กลุ่ม เพื่อลุ้นเลื่อนชั้นไปเล่นกลุ่ม 1 ปีหน้าทันที
คู่แรก เดี่ยวมือ 2 ไทยส่ง “อีฟ” พัชรินทร์ ชีพชาญเดช มือ 627 ของโลก พบ ฟิเตรียนี่ ซาบาตินี่ วัย 23 ปี โดยเซตแรก พัชรินทร์ที่พกความมั่นใจจากการคว้าแชมป์รายการอาชีพในประเทศไทย 2 รายการ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปก่อน 6-2 จากนั้นเซตสอง สาวไทยยังเล่นได้อย่างเหนือกว่า เหนียวแน่นและผิดพลาดน้อย ชนะไปอีก 6-2 สรุป พัชรินทร์ ชนะ 2-0 เซต 6-2, 6-2 พาทีมไทยขึ้นนำ 1-0 คู่
คู่สอง เดี่ยวมือ 1 “ไหม” มนัญชญา สว่างแก้ว มือ 206 ของโลก พบ เบียทริซ กุมุลยา ผลปรากฏว่า เซตแรก เกมสูสี มนัญชญายังเครื่องไม่ร้อน มีจังหวะผิดพลาดหลายคะแนน จบเกม 6 ยังเสมอ 3-3 ก่อนที่นักหวดไทยจะมาเบรกเกม 7 ขึ้นนำ 4-3 และชนะไป 6-3 เซตสอง กุมุลยาเบรกได้ตั้งแต่เกมแรก และรักษาเสิร์ฟขึ้นนำ 2-0 หลังจากนั้นเป็น มนัญชญา ที่เล่นได้ยอดเยี่ยม เก็บได้ 6 เกมรวด แซงเอาชนะไป 6-2 สรุป มนัญชญา ชนะ 2-0 เซต 6-3, 6-2 พาทีมไทยขึ้นนำ 2-0 คู่ ซึ่งชนะแน่นอนแล้ว
จากนั้นเป็นการแข่งขันประเภทหญิงคู่ มนัญชญา คู่มือ 683 ของโลก และ “เอิร์ธ” เพียงธาร ผลิพืช คู่มือ 120 ของโลก พบ มิสชก้า โกนาดี้ และ ซีโลว่า ฮุกมาซาบิย่า ผลปรากฏว่า คู่ไทยขอยอมแพ้ ในขณะที่ตามอยู่ 1-2 เกม ในเซตแรก เนื่องจาก เพียงธาร มีอาการเจ็บเข่า ส่งผลให้ มนัญชญา กับ เพียงธาร แพ้ไปด้วยสกอร์ 1-2 Ret. (รีไทร์)
สรุป ทีมไทย ชนะ ทีมอินโดนีเซีย 2-1 คู่ คว้าแชมป์กลุ่มเอ ด้วยผลงานชนะ 2 แมตช์รวด ผ่านเข้ารอบสอง ร่วมกับทีมแชมป์อีก 2 กลุ่ม โดยทั้ง 3 ทีม จะแข่งขันแบบพบกันหมดเพื่อคัดเอา 2 ทีม จาก 3 ทีม เลื่อนชั้นสู่กลุ่ม 1 ต่อไป
นายภุชงค์ เลาหศิริวงศ์ ผู้จัดการทีมเทนนิสทีมชาติไทย กล่าวว่า จากผลการแข่งขัน ถือว่าทำได้ตามเป้าหมายคือ ชนะให้ได้ทุกทีมในกลุ่ม เพื่อคว้าแชมป์กลุ่ม หลังจากนี้ยังมั่นใจว่าไทยจะเลื่อนชั้นกลับสู่กลุ่ม 1 ได้อย่างแน่นอน ซึ่งในวันที่ 18 ก.ค. 2567 นางสาวลดา ภู่มาศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ให้เกียรติเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร เพื่อเป็นเกียรติและให้กำลังใจแก่คณะเทนนิสทีมชาติไทยชุดบิลลี จีน คิง คัพ ที่เดินทางมาแข่งขันที่กรุงกัวลาเปอร์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการทำผลงานที่ดี ซึ่งต้องขอขอบพระคุณท่านเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และคณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตเป็นอย่างมาก
“โค้ชเอ็กซ์” นายพชรพล คำสมาน กัปตันทีมไทย กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันเล่นและเต็มที่กับทุกแต้ม พอใจกับผลงานในภาพรวมของรอบแบ่งกลุ่มที่ชนะมาได้ทั้ง 2 แมตช์ ตอนนี้ทุกคนเริ่มเรียกฟอร์มที่ดีของตัวเองมาได้แล้ว การเข้าสู่รอบต่อไปไม่ว่าเจอกับทีมไหนก็ต้องไม่ประมาท ยังมั่นใจมากว่าจะได้เลื่อนชั้นอย่างแน่นอน เรื่องร่างกายนักกีฬาได้มีการดูแลกันอย่างดีที่สุด ให้ทุกคนมีความพร้อม ในรายของเพียงธาร ที่เจ็บเข่าก็ไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด เพราะจะต้องเป็นกำลังสำคัญในอีก 2 แมตช์ที่เหลือ
ด้าน พัชรินทร์ กล่าวว่า พยายามเร่งเกมให้เร็วตั้งแต่เซตแรก เพื่อให้เกมเข้าทางตัวเองมากที่สุด แต่คู่แข่งเล่นแบบเน้นเหนียวแน่น ทำให้ต้องจับจังหวะอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก็เข้าทาง และสู้เต็มที่ทุกช็อต จนเอาชนะได้ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้สู้กับแมตช์ต่อไปได้มาก
ส่วน มนัญชญา กล่าวว่า เล่นได้ตามเกมที่วางไว้ แต่เซตแรกอาจจะมีจังหวะที่ยังขาดๆ เกินๆ บ้าง แต่ก็ปรับจังหวะให้เข้ากับแผนที่โค้ชวางมาก ดีใจที่ชนะได้และช่วยให้ทีมเข้ารอบ หลังจากนี้จะยังเต็มที่ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ต้องพยายามชนะให้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
7 วิธีคลายเครียด ลดความดันโลหิต ลดเสี่ยงโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองแตก
ความเครียด และความดันโลหิตสูง เป็นตัวการสำคัญของโรคหัวใจ และหลอดเลือด หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนเครียดง่าย หงุดหงิดง่าย และยังมีปัญหาในเรื่องความดันโลหิตสูง เรามาลดความเสี่ยงเหล่านี้ด้วยเคล็ดลับจาก Harvard Health Publishing กันดีกว่า
วิธีคลายเครียด
- นอนหลับให้เพียงพอ หากนอนหลับไม่เพียงพอ คือน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน รวมถึงหากนอนไม่ค่อยหลับ หลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน อาจทำให้คุณกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังทำให้เป็นคนเนือยนิ่ง ไม่กระตือรือร้น พลังงานตก และยังส่งผลถึงร่างกายโดยรวมอีกด้วย
- เรียนรู้วิธีผ่อนคลายความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ ยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกวิธีหายใจเข้าออก เล่นโยคะ ฟังเพลงช้าๆ เบาๆ เป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่น่าสนใจ
- เข้าหาเพื่อนฝูง รู้หรือไม่ว่าเพื่อนสนิทตัวดีของคุณเป็นยาผ่อนคลายความเครียดมือฉมังที่เราไม่ควรมองข้าม เมื่อไรก็ตามที่เครียด เรียกเพื่อนมานั่งคุยปรับทุกข์ด้วยกัน หรือจะทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน เท่านี้ก็ผ่อนคลายความเครียดได้มากกว่าที่คุณคิดแล้ว
- วางแผนเวลาในการทำงานให้ดี หากเราจัดตารางทำงานได้อย่างเป็นระเบียบล่วงหน้า แล้วสามารถทำตามเวลาที่วางแผนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จะทำให้งานสำเร็จลุล่วง และไม่ต้องกังวล หรือเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต
- อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาคาราคาซังนานๆ ต้นเหตุของความเครียดมักมาจากเรื่องราวที่ไม่ได้ถูกพูดคุยกันอย่างละเอียดตรงๆ การพูดคุยกันตรงๆ เพื่อหาข้อตกลง พร้อมวิธีแก้ไขให้มันดีขึ้น จะช่วยสางปัญหาที่ทำให้เครียดไปได้ทีละเรื่องๆ และทำให้สมองของคุณโล่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่มีปัญหา ควรรีบพูดคุยให้เข้าใจตรงกันทุกฝ่ายให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้ปัญหา และความไม่เข้าใจก่อตัวขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ และสุขภาพจิตของเรา
- ให้รางวัลตัวเอง ทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จตามแผนที่วางเอาไว้ หรือมีปัญหาที่ต้องแก้ไขจนทำให้เริ่มรู้สึกเครียด ให้บอกตัวเองว่า “เมื่อฉันทำสิ่งนี้เสร็จ ฉันจะไปหาของอร่อยๆ กิน” หรือ “หากฉันแก้ปัญหานี้ได้ ฉันจะรีบไปดูหนังเรื่องโปรดที่อยากดูมานานให้ได้” เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้กำลังใจตัวเองก่อนที่จะเริ่มมีความเครียดเกิดขึ้น
- ขอความช่วยเหลือ หลายครั้งที่มีความเครียดเกิดขึ้น เราอาจจัดการกับตัวเองได้อย่างเฉียบแหลม แต่ก็น่าจะมีหลายครั้งที่เราเริ่มรู้สึกจนตรอก ไร้ซึ่งวิธีที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น การคิดทบทวนอยู่คนเดียวอาจได้มุมมองด้านเดียว ดังนั้นเราจึงควรมองหาตัวช่วยที่เราไว้ใจได้ และถามหาความเห็นจากเขาเหล่านั้น คำตอบจากคนอื่นอาจเป็นคำตอบที่ดี และเราคาดไม่ถึงก็ได้
นอกจากการดูแลจิตใจ และสมองให้ปลอดโปร่ง เพื่อลดตึงความเครียดแล้ว ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงเป็นปกติอยู่เสมอ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานผักผลไม้ และอาหารที่มีใยอาหารมากๆ รวมถึงโปรตีนไขมันต่ำ และไขมันดีจากปลา น้ำมันมะกอก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เท่านี้จะช่วยควบคุมอารมณ์ และระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติได้อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
บทสนทนาภาษาอังกฤษ ง่าย ๆ ในโรงแรมเมื่อได้ไปเที่ยวต่างประเทศ
จะไปต่างประเทศทั้งที จะไม่ใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลเลยก็คงจะหลีกเลี่ยงได้ค่อนข้างยาก เมื่อเราวางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศสิ่งสำคัญแรกที่เราจะต้องทำคือ การจองโรงแรม หรือจองที่พัก หรือสอบถามเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะบอกวิธีการพูดคุยกับพนักงานในโรงแรมให้กับเข้าใจกับ บทสนทนาภาษาอังกฤษ ง่าย ๆ เหล่านี้
การจองห้องพัก
พนักงาน | Good morning / afternoon / evening | สวัสดีตอนเช้า / บ่าย / เย็น | |
Do you have a reservation? | คุณได้จองห้องพักไว้ไหมคะ | ||
Would you like me to reserve a room for you? | ต้องการให้ฉันช่วยจองห้องให้คุณไหมคะ | ||
How long will you be staying? | คุณจะพักอยู่นานแค่ไหนคะ | ||
How long do you plan to stay? | |||
What kind of room would you like? | คุณต้องการห้องพักแบบไหนคะ | ||
How many guests are with you? | แขกที่จะเข้าพักมีทั้งหมดกี่คนคะ | ||
Could you please fill out this form? | รบกวนคุณช่วยกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มด้วยนะคะ | ||
Could I see your I.D. / passport, please? | ขออนุญาตดูบัตรประชาชน / พาสสปอร์ตด้วยค่ะ | ||
May I have your name, please? | ขอทราบชื่อของคุณด้วยค่ะ | ||
Is there anything else we can help you with? | มีอะไรที่คุณต้องการให้ช่วยเพิ่มเติมไหมคะ | ||
Would you like any help? | |||
ลูกค้า | I want to book a room. | คุณมีห้องว่างหรือเปล่า | |
I’d like to make a reservation. | |||
Do you have room available? | |||
Do you have any vacant rooms? | |||
What promotions do you have at the moment? | ตอนนี้มีโปรโมชั่นอะไรหรือไม่ | ||
How much is it for the room? | ห้องพักราคาท่าไหร่ | ||
What are the room rates? | |||
Can you offer me any discount? | คุณช่วยลดราคาหน่อยได้ไหม | ||
Is the breakfast included? | รวมอาหารเช้าด้วยไหมคะ |
การสอบถามหรือบอกเส้นทางเพื่อเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ
How do I get to …? | ฉันจะสามารถเดินทางไป…ได้อย่างไร |
Is there a … near here? | มี…..อยู่ใกล้ที่นี่ไหม |
Can you tell me the way to …? | ช่วยบอกทางไป….หน่อยได้ไหม |
Could you show me the way to…? | กรุณาบอกทางไป…ได้ไหม |
Opposite | ตรงข้าม |
Behind | ข้างหลัง |
Next to | ถัดจาก |
In front of | ข้างหน้า |
between | ระหว่าง |
Go straight on | ตรงไป |
Turn right / Turn left / Turn back | เลี้ยวขวา / เลี้ยวซ้าย / ย้อนกลับ |
Cross the street | ข้ามถนน |
การเช็กอินและเช็กเอ้าท์
พนักงาน | What name is the reservation under? | คุณได้จองห้องพักไว้ในชื่ออะไร |
Do you have your booking confirmation? | คุณมีหลักฐานการจองไหม | |
I’ll give you a room key. | ฉันจะให้กุญแจห้องกับคุณ | |
How you will be paying? | คุณต้องการจะจ่ายเงินด้วยวิธีใด | |
How will you be paying for this? | ||
Are you ready to check out? | คุณจะเช็กเอาท์เลยไหม | |
What room were you in? | ขอทราบหมายเลขห้องด้วย | |
How was your stay? | ที่พักเป็นอย่างบ้าง |
ลูกค้า | I would like to check in, please. | ฉันต้องการเช็กอินค่ะ |
I have a reservation under …. . | ฉันจองห้องไว้ด้วยชื่อ……… | |
Is breakfast included in the price of the room? | อาหารเช้าได้รวมกับค่าห้องหรือไม่ | |
How do I get to our room from here? | ฉันจะไปที่ห้องของฉันอย่างไร | |
Is it too early to check in? | เร็วเกินไปไหมถ้าเราจะเช็กอิน | |
I’m checking out of room …. | ฉันจะเช็กเอาท์ห้อง……. | |
I’d like to check out please. | ฉันต้องการจะเช็กเอาท์ | |
I’d like to pay my bill, please. | ฉันต้องการที่จะจ่ายค่าห้อง | |
I’ll pay by …….. . | ฉันจะจ่ายโดย ……… |
การสอบถามเกี่ยวกับบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก
ลูกค้า | Can I get more information about hotel facilities? | ฉันสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมได้ไหม? |
Is there a .…? | ที่นี้มี …… ไหม | |
Are there any laundry facilities? | มีบริการซักรีดหรือไม่ | |
Do the rooms have …. ? | ในห้องมี …… ไหมคะ | |
Is there a ……….. in the hotel? | ที่โรงแรมมี ……. ไหม | |
What time is …….. open until? | …….. เปิดให้ใช้บริการถึงกี่โมง | |
Is there somewhere I can leave my luggage? | มีที่รับฝากกระเป๋าไหม | |
Do you have anywhere we could leave our luggage? | ||
Could we have some help bringing our luggage down? | มีคนช่วยยกกระเป๋าลงมาข้างล่างไหม | |
Could you book me a taxi? | คุณเรียกรถแท็กซี่ให้ได้ไหม | |
Could you call me a taxi, please? | ||
What time is ……… served at? | …… จะเสิร์ฟตอนกี่โมง | |
Where do I have breakfast? | ทานอาหารเช้าที่ไหน |
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
รู้จัก “อะโวคาโด” ผลคล้ายมะเขือยาวคือพันธุ์อะไร ต่างจากอะโวคาโดลูกกลมอย่างไร
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “อะโวคาโด” เป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดส์สำหรับคนรักสุขภาพ เนื่องจากอะโวคาโดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้กับร่างกาย แต่ถ้าสังเกตในช่วงเวลานี้เราจะได้เห็น “อะโวคาโด” รูปร่างคล้ายมะเขือยาว ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่าเป็นอะโวคาโดพันธุ์อะไร และมีประโยชน์เทียบเท่าอะโวคาโดพันธุ์ลูกกลม หรือพันธุ์อื่นๆ หรือไม่
“อะโวคาโดทรงมะเขือยาวคือ อะโวคาโด เอ.034”
อะโวคาโด เอ.034 ผลไม้ลูกผสมสายพันธุ์เด็ดจากเวียดนาม เกิดจากการผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ระหว่าง “ฮาส” ราชินีอะโวคาโด กับ “รัสเซล” สายพันธุ์ทนทาน จนได้เป็น “เอ.034” ยักษ์เขียวหวานมัน ขึ้นชื่อเรื่องลูกใหญ่ ทรงยาว เนื้อแน่น รสชาติเข้มข้น
จุดเด่นของอะโวคาโด เอ.034
- ต้นเตี้ย ปลูกง่าย ประหยัดพื้นที่
- ติดผลเร็ว เพียง 2-3 ปี ก็เก็บผลได้
- ผลดก ให้ผลผลิตต่อต้นสูง
- ผลใหญ่ น้ำหนักเฉลี่ยลูกละ 500 กรัม ขึ้นไป
- ทรงยาว แปลกตา ไม่เหมือนอะโวคาโดทั่วไป
- เนื้อหนา เนียนละเอียด
- รสหวานมัน เข้มข้น กลมกล่อม
ประโยชน์ของอะโวคาโด เอ.034 ไม่แตกต่างจากอะโวคาโดสายพันธุ์อื่นๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ปะยาง
ทุกวันนี้เวลาอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับรถยนต์ในโซเชียล มีเดีย ผมอดนึกไม่ได้ว่าแทบจะเป็นเรื่องย้อนยุคย้อนเวลา ไม่ต่างอะไรจากแฟชั่นของผู้คน
คือท้ายที่สุดก็กลับไปสู่ยุคที่เรียกกันว่า “เรโทร” เพราะปัญหาที่ผมเจอในอินเทอร์เน็ต กลายเป็นปัญหาที่เคยถามกันมาเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว เพียงแต่ความต่างอยู่ที่ว่า โลกยุคนี้มีคำตอบที่หลากหลายมากขึ้น หลากหลายจนไม่รู้ว่าจะเชื่อทางไหนดี
และที่แย่ไปกว่ายุคก่อนก็คือ คำตอบสมัยนี้จำนวนไม่น้อยไม่มีที่มาที่ไป กล่าวคือไม่มีคนตอบเป็นตัวเป็นตน ทำให้หาคนรับผิดชอบคำตอบนั้นๆ ไม่ได้ ต่างจากโลกยุคก่อนที่คำตอบจะอยู่ตามนิตยสารด้านรถยนต์ มีชื่อผู้ตอบหรือผู้เขียนคอลัมน์กำกับชัดเจน หรืออย่างน้อยก็มีบรรณาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะหัวเรือใหญ่
ไม่ว่าโลกของรถยนต์จะพัฒนาก้าวหน้าไปขนาดไหน ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนไปใช้พลังงานอะไรมาขับเคลื่อน ไม่ว่าจะมีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาควบคุมมากน้อยเพียงใด แต่สองสิ่งในรถยนต์ที่ยังเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก หรือจะบอกว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงว่าได้
หนึ่ง คือ ระบบช่วงล่าง ที่ทุกยี่ห้อยังคงใช้รูปแบบดั้งเดิมเป็นหลัก และถัดมาคือเรื่องของยางติดล้อ ที่ทั้งลักษณะทางกายภาพ หรือรูปร่างของยางและโครงสร้างหลัก ยังมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
การเลือกซื้อยางมาใช้จึงยังคงสามารถใช้หลักการหรือวิธีการเลือกแบบเดิมๆ ได้ เช่นเดียวกับการใช้ยางอย่างถูกต้อง, การดูแลรักษายางให้มีอายุยืนยาว การบำรุงรักษาหรือการซ่อมยางหรือปะยาง ก็ยังคงไม่มีวิธีการใดเปลี่ยนแปลง และข้อโต้แย้งถกเถียงกันระหว่างผู้ใช้รถยนต์ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันมากที่สุดในเรื่องของยางก็คือ เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ และควรปะยางด้วยวิธีการใด ซึ่งคำตอบก็แตกต่างกันออกไปไม่ต่างจากยุคก่อน
เพียงแต่คนยุคนี้มีข้อโต้แย้งกันที่รุนแรงกว่ายุคก่อน หลายครั้งถึงขั้นถกเถียงด่าทอกันด้วยซ้ำ เพราะโลกโซเชียลมีเดีย ทุกคนสามารถโต้ตอบกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
ผมเริ่มขับรถในสมัยที่การปะยางยังไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะยางรถยนต์, ยางรถจักรยานยนต์ และยางรถจักรยาน ยังเป็นยางที่ต้องมียางใน โดยมียางนอกเป็นตัวคอยคุ้มครองให้ปลอดภัยจากการถูกของมีคมทิ่มตำในระดับหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นตัวยึดเกาะถนน โดยมีดอกยางทำหน้าที่หลัก
ในยุคนั้นเมื่อยางรั่วจึงหมายถึงยางในรั่ว ไม่สามารถกักเก็บลมเอาไว้ได้ การปะยางจึงต้องนำยางในออกมา แล้วปะด้วยแผ่นยางและกาว โดยมีวิธีการปะสองแบบด้วยกัน คือ สตีมเย็น และ สตีมร้อน ซึ่งการปะสตีมเย็นนั้นช่างหรือคนปะยาง จะทำความสะอาดรอบๆ แผลที่รั่ว ด้วยกระดาษทรายหรือตะไบ มาขัดทำความสะอาดจากนั้นจึงเอาแผ่นยางสำหรับปะ มาทำความสะอาดผิวยางด้วยวิธีการเดียวกัน
หรือหากเป็นแผ่นปะยางสำเร็จรูป ก็เอาออกมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงเอากาวมาทาลงไปรอบบริเวณรูรั่ว และหากเป็นแผ่นปะยางทั่วไปไม่ใช่แผ่นปะยางสำเร็จ ก็ต้องเอากาวมาทาลงไปที่แผ่นยางสำหรับปะด้วย จากนั้นจึงเอาแผ่นปะยางแปะลงไปบนยางใน แล้วใช้เครื่องมืออัดให้ประกบกันจนแน่นสนิท เมื่อกาวแห้งแล้วจึงทำการสูบลมและนำไปใช้งานต่อไป
ส่วนการปะแบบสตีมร้อน ขั้นตอนจะคล้ายกับแบบสตีมเย็น เพียงแต่เมื่อนำแผ่นปะยางมาประกบกับยางที่รั่วแล้ว ก็นำเครื่องมือมาอัดให้ติดกันแน่น จากนั้นจึงเอาความร้อนมาทำให้เนื้อยางทั้งส่วนแผ่นปะยาง และตัวยางในที่รั่ว ประสานกันจนแน่นสนิท การปะยางแบบสตีมร้อน มักจะทำกับยางในที่ใช้ในรถยนต์ซึ่งต้องบรรทุกน้ำหนักมากๆ หรือรถยนต์ที่ต้องใช้ความเร็วสูงๆ ต่อเนื่อง จนทำให้ยางในเกิดความร้อนสูงกว่าปรกติ การปะแบบสตีมร้อนและสตีมเย็นดังกล่าว สามารถใช้กับยางแบบที่มียางใน และใช้ต่อมาจนถึงยางแบบที่ไม่มียางในจนทุกวันนี้
ต่อมาราวปี ๒๕๓๕ จึงมีการนำวิธีการแบบที่เรียกว่า “แทงไส้ไก่” เข้ามาใช้กันมากขึ้นในประเทศไทย โดยการปะยางด้วยวิธีที่ว่ามานี้ จะใช้กับยางแบบไม่มียางในเท่านั้น วิธีการปะก็ไม่ต้องถอดล้อและยาง ออกจากตัวรถเหมือนสองวิธีขั้นต้น เพราะเพียงแค่ยกล้อรถให้ลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นหากมีของแหลมคมทิ่มแทงคาอยู่ ก็เอาออกให้หมด แล้วจึงทำความสะอาดรอบๆ แผลรั่วที่ถูกทิ่มตำ ด้วยการใช้ตะไบหางหนูแทงเข้าไปในรูรั่ว
แล้วก็เอายางที่ใช้ปะซึ่งมีลักษณะเป็นเส้น จึงเรียกกันว่า “ไส้ไก่” มาชุบน้ำยาแล้วดันสอดเข้าไปในรูรั่วที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้ปะอุดรูรั่วสำเร็จแล้ว ช่างเพียงทำหน้าที่ตัดยางส่วนเกินที่ยื่นล้นออกมา ให้เสมอเรียบกับหน้ายางเท่านั้น จากนั้นจึงเติมลมแล้วก็นำรถไปใช้งานได้เลย การปะด้วยวิธีแบบที่เรียกว่าแทงไส้ไก่นี้ นิยมใช้กับรถยนต์เก๋งนั่งที่ไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมาก แต่จะไม่ถูกนำไปใช้กับรถยนต์ที่ต้องรับน้ำหนักบรรทุกมากๆ
ในโลกอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ยังมีข้อถกเถียงที่ไม่ต่างจากวันก่อน คือ ควรปะยางแบบไหนจึงจะดีที่สุด คำตอบของผมก็คือ หากเป็นรถยนต์เก๋ง หรือรถปิกอัพที่ใช้งานส่วนบุคคลทั่วไป หรือแม้กระทั่งรถตู้ที่ใช้งานบรรทุกคน หากไม่ได้ใช้ความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนดอย่างต่อเนื่อง การปะยางแบบแทงไส้ไก่จะเหมาะสมที่สุด เพราะไม่ทำให้กะทะล้อและโครงสร้างยางช้ำ และไม่มีปัญหาเรื่องการถ่วงล้อที่ไม่ลงตัวตามมา
ส่วนการปะยางแบบสตีมร้อนนั้น เหมาะกับรถยนต์ที่ต้องบรรทุกน้ำหนักมากๆ เพราะปะแล้วสามารถอุดรูรั่วได้เต็มที่ มีโอกาสผิดพลาดที่จะทำให้เกิดการรั่วซ้ำน้อยมาก ข้อเสียก็คือทำให้โครงสร้างยางบริเวณใกล้แผลรั่วบอบช้ำจากความร้อน และต้องถอดและใส่ยางจากกะทะล้อ อาจจะทำให้กะทะล้อเป็นรอยได้ เมื่อปะแล้วยังต้องทำการถ่วงล้ออย่างละเอียด เพราะน้ำหนักของยางปะซึ่งมีขนาดใหญ่และหนา จึงทำให้การถ่วงล้อเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก การปะแบบนี้จึงเหมาะกับรถยนต์ที่ต้องบรรทุกน้ำหนักมากๆ
ในขณะที่การปะแบบสตีมเย็นนั้น แม้จะไม่ทำให้โครงสร้างของยางบอบช้ำจากความร้อน แต่น้ำหนักของแผ่นปะยางก็ทำให้ต้องถ่วงล้ออย่างละเอียด และต้องทำการถอดยางออกจากกะทะล้อ ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดจนทำให้กะทะล้อเสียหายหรือช้ำได้
แต่ไม่ว่าจะปะยางด้วยวิธีใดก็ตาม ข้อแนะนำก็คือควรเอายางเส้นที่ปะแล้ว ไปไว้ในตำแหน่งล้อหลังมากกว่าล้อหน้า และในยางเส้นใดก็ตามที่ทำการปะไปมากกว่าสามครั้ง ก็ไม่ควรนำมาใช้งานต่อไป ไม่ว่าจะเป็นยางที่มีอายุน้อย หรือสภาพดอกยางยังดีมากเพียงใดก็ตาม
ส่วนยางที่แก้มยางมีความบอบช้ำมาก เช่น ครูดกับขอบทางเท้าจนตัวหนังสือเลือนหายไป หรือมีรอยฉีกที่แก้มยาง หรือโดนของแหลมคมทิ่มตำที่แก้มยาง หรือแม้แต่ที่บริเวณไหล่ยางต่อกับแก้มยาง ยางเส้นนั้นแม้ว่าจะปะมาแล้วก็ไม่ควรนำมาใช้งานอีกต่อไป หรือควรนำไปใช้เป็นยางอะไหล่สำรองเพื่อใช้แก้ขัดเท่านั้นครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/07/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,850.00 | 41,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,711.00 | 41,098.76 | 42,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,439.90 | 36,988.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,168.80 | 32,879.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,220.00 | 18,495.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 949.00 | 14,386.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,809.00 | 42,584.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/07/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.85 | 38.85 | 39.25 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.48 | 38.48 | 38.88 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.74 | 36.74 | 37.14 | 36.74 | 36.74 | – | 36.74 | 36.74 | 36.74 | 36.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.49 | 36.49 | – | – | – | – | – | – | – | 36.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 47.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 47.44 |
เบนซิน 95 | 46.74 | – | – | – | 49.81 | – | 47.24 | 46.89 | – | 46.74 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |