เคล็ด(ไม่)ลับเตรียมพร้อมซื้อบ้าน-คอนโดยุคดอกเบี้ยสูง
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เผยเคล็ด(ไม่)ลับกับ5แนวทางเตรียมความพร้อมเมื่อต้องซื้อบ้าน-คอนโดในยุคดอกเบี้ยสูง วิธีไหนที่จะช่วยให้ซื้อได้อย่างคุ้มค่า นำไปสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้
แม้สภาพเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะสร้างความลังเลใจให้คนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐและโปรโมชั่นพิเศษจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เป็นโอกาสอันดีในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินหรือมีเงินเก็บเพียงพอ
- ประเมินความพร้อมทางการเงินให้แน่ใจ สิ่งสำคัญในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ คือผู้บริโภคต้องวางแผนทางการเงินให้มั่นคงเสียก่อน โดยสร้างวินัยทางการเงินให้ดีตั้งแต่เริ่มต้น ควรเริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เป็นระบบ เก็บออมเงินเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์และเงินสำรองฉุกเฉิน พยายามปิดหนี้ที่มีให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
ซึ่งจะทำให้ทราบความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนของตนเองได้ และนำมาคำนวณวงเงินกู้สูงสุดที่คาดว่าจะได้รับ ทั้งนี้ ผู้กู้ควรมีรายจ่ายไม่เกิน 40% ของรายได้ และลองซ้อมผ่อนบ้าน/คอนโดฯ โดยหักเงินตามจำนวนที่ใช้ผ่อนจริงเป็นระยะเวลา 3-6 เดือนติดต่อกัน จะช่วยให้สามารถประเมินความพร้อมทางการเงินเบื้องต้นได้ว่าควรซื้อบ้านในเวลานี้จริงหรือไม่
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถทำ “Pre-approve สินเชื่อบ้าน” หรือการยื่นประเมินสินเชื่อที่อยู่อาศัยในเบื้องต้นกับธนาคาร เพื่อขอตรวจสอบสถานภาพทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะพิจารณาจากราคาขายบ้าน/คอนโดฯ ที่ผู้ขอสินเชื่อแจ้งไว้ ประกอบกับรายได้-รายจ่าย รวมทั้งเครดิตหรือความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ เช่น ประวัติทางการเงินกับเครดิตบูโร หากทำ Pre-approve ผ่าน หมายความว่าผู้บริโภคมีโอกาสที่จะขอสินเชื่อผ่านสูง แต่ถ้าผลไม่ผ่านก็ยังไม่ควรที่จะซื้อในเวลานี้ เพราะหากยื่นกู้จริงไม่ผ่าน จะได้ไม่เสียเงินจอง เงินดาวน์ หรือเสียค่าปรับเมื่อผิดสัญญากับโครงการ
- คำนวณหาดอกเบี้ยที่คุ้มค่าในระยะยาว สำหรับเคล็ดลับในการเลือกสินเชื่อ หากเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ควรเลือกในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มที่จะปรับลดลง ซึ่งสามารถติดตามได้จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ จะทำให้ยอดดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องชำระลดลงตามไปด้วย แต่หากอยู่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้น ผู้กู้ควรเลือกสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ทั้ง 3 ปี แม้ค่าเฉลี่ย 3 ปีจะสูงกว่าแบบลอยตัว แต่จะช่วยลดความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่อาจปรับสูงขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นได้
วิธีเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุดคือการนำอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อแต่ละตัวมาเฉลี่ยเป็นอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุของสินเชื่อ โดยปรับให้เป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปี ซึ่งจะทำให้สามารถเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ผู้กู้ควรพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปีแรกเป็นหลักว่าธนาคารใดให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด และเมื่อผ่อนชำระครบ 3 ปีแล้วจึงยื่นเรื่องขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม (Retention) หรือดำเนินการรีไฟแนนซ์ (Refinance) กับธนาคารใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยได้มากขึ้น
- เลือกโครงการสร้างเสร็จในต้นทุนเดิม ในช่วงที่ผ่านมาผู้พัฒนาอสังหาฯ จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาที่อยู่อาศัยเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นรอบด้าน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีหลายโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างด้วยต้นทุนเดิมและยังไม่ได้ปรับราคาขาย จึงถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย เนื่องจะได้รับบ้าน/คอนโดฯ ที่มีมาตรฐานการก่อสร้างและคุณภาพที่ดีในราคาที่ย่อมเยากว่าการซื้อโครงการที่เพิ่งเปิดตัว ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการบางส่วนหันมาเน้นระบายสต็อกสินค้าคงค้างเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ จึงมีการจัดโปรโมชั่น/แคมเปญการตลาดที่น่าสนใจออกมากระตุ้นการขายมากขึ้นเช่นกัน
- เพิ่มความคุ้มค่าด้วยมาตรการจากภาครัฐ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในปี 2567 ถือเป็นโอกาสอันดีของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ในการพิจารณาเลือกซื้อโครงการที่ตรงตามเงื่อนไขมาตรการภาครัฐ เพื่อช่วยให้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น ดังนี้
มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาฯ จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567
โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3,000,000 บาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี
โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life โดย ธอส. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.98% ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2,500,000 บาทขึ้นไป
โครงการสินเชื่อบ้านออมสินเพื่อประชาชน โดยธนาคารออมสิน อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 7,000,000 บาทต่อราย
- ได้บ้าน/คอนโดฯ ตรงปกเมื่อซื้อโครงการพร้อมอยู่ การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ซื้อ เนื่องจากจะได้เห็นสภาพที่อยู่อาศัยจริง สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ทันที และพร้อมเข้าอยู่แน่นอน นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังเลือกขอสินเชื่อธนาคารในแคมเปญที่สนใจในเวลานั้นได้ทันที ไม่ต้องรอเหมือนการซื้อโครงการที่กำลังก่อสร้างซึ่งอัตราดอกเบี้ยอาจเปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้ได้
อีกหนึ่งข้อควรพิจารณาคือเมื่อผู้ซื้อวางเงินจองและเงินดาวน์ให้กับโครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จ อาจต้องเผชิญความเสี่ยงจากการที่โครงการก่อสร้างล่าช้าหรือถูกระงับการก่อสร้างหากไม่ผ่านการอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment Report) เนื่องจากบางโครงการอาจเปิดขายไปด้วยในระหว่างที่ยื่นขอ EIA ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงที่กระทบต่อผู้ซื้อในภายหลังได้
นอกจากนี้ การเลือกซื้อโครงการพร้อมอยู่จะมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งพื้นที่ส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการ ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้ซื้อเห็นภาพการอยู่อาศัยในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือจะได้รับโปรโมชั่นที่คุ้มค่าทั้งจากผู้ประกอบการเองหรือการร่วมมือกับธนาคารมอบโปรโมชั่นสินเชื่อและจัดแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์คนหาบ้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
UHGรุกมิกซ์ยูสโปรเจคลดความเสี่ยงลุยรัชโยธิน-รามชูกลยุทธ์ราคาดึงลูกค้า
ความร้อนแรงของโครงการมิกซ์ยูสพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากกลุ่มบิ๊กคอร์ปในทำเลกลางใจเมืองจ่อโอเวอร์ซัพพลาย ! ทว่ายังมี “ช่องว่าง” ตลาดมิกซ์ยูส ที่กลุ่ม UHG เล็งเห็นการแทรกเข้าไปอยู่ในพื้นที่ New CBDs ตามแนวรถไฟฟ้ารัชโยธิน-รามพร้อมทั้งลดความเสี่ยงในการลงทุน
วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการกลุ่ม บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของโครงการมิกซ์ยูสประกอบด้วยอาคารสำนักงานแบรนด์ “ฮิลล์” พื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม “เดอะ ควอเตอร์” กล่าวว่า การพัฒาโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ถือเป็นการ“ลดความเสี่ยง”ในการลงทุน ที่ดี โดยเฉพาะในมุมของสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ เพราะผู้พัฒนาโครงการมีแหล่งรายได้หลายทาง ในกรณีธุรกิจโรงแรมมีปัญหา ยังมีรายได้หรือค่าเช่าจากอาคารสำนักงาน ธุรกิจยังอยู่ได้แทนที่จะพึ่งโรงแรมอย่างเดียวหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
“ในแง่รายได้ช่วยกันอย่างอาคารสำนักงานจะเช่าห้องประชุม หาที่พักพนักงานสามารถใช้บริการโรงแรมได้สะดวก ร้านค้าที่เข้ามาเช่ามั่นใจกว่าเช่าอาคารสำนักงานแบบสแตนอโลน สามารถดึงร้านที่มีชื่อเสียงเข้ามาเช่าได้ง่าย ขณะเดียวกันต้องมีร้านที่ตอบโจทย์คนเข้ามากพัก เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านอาหารจานด่วน หรือผับบาร์ ใกล้คอมมูนิตี้มอลล์ ”
โดยล่าสุดบริษัทได้เตรียมเปิดโครงการ“รัชโยธิน ฮิลล์”มูลกว่า3,000 ล้านบาทห้องสูง 32 ชั้นซึ่งมีอาคารสำนักงานพื้นที่2,000ตร.ม.พื้นที่รีเทล และโรงแรมจำนวน 190 ห้องในเดือนส.ค.นี้เปิดให้บริการโรงแรมราคาห้องละ 3,000บาท กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นลูกค้าคนไทย 70% ที่เหลืออีก30%เป็นต่างชาติใกล้เคียงกับโครงการลาดพร้าว ฮิลล์ เป็นลูกค้าคนไทยที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นนิยมมากช่วงที่มีคอนเสิร์ต ที่ ยูเนี่ยน มอลล์ จะเข้ามาพักที่โรงแรม
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ได้เปิดเช่าพื้นที่รีเทลราคา1,500 บาทต่อตรม.ต่อเดือน ปัจจุบันมีผู้เช่า 80% และอาคารสำนักงานเปิดแล้ว โดยมีบาร์ชื่อ “สเตตัส ”(Status) จากทองหล่อเข้ามาเช่าพื้นที่เป็นครั้งแรก ถือเป็น“แม่เหล็ก” (Magnet)ที่ดีในการช่วยดึงลูกค้าโรงแรม นอกจากนี้มีคลินิกทำฟัน คลินิกเสริมความงาม มีเซเว่น พรีเมียม เป็นต้น ทำเลสามารถขายได้กลุ่มคนที่ต้องการที่่ประชุม หรือ มาพักเพื่อรอฝึกอบรม ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มคอร์ปเรท
ปัจจุบันมีผู้เช่า 20% ราคา 850 บาทต่อตรม.ต่อเดือน คาดว่าจะดีมานด์จากลูกค้าทำเลวิภาวดีมาใช้บริการ รวมทั้งพนักงานใน SCB ที่มีศูนย์ฝึกอบรม มีบริษัทขนาดใหญ่อย่างเชฟรอน และคอนโดมิเนียม
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการ “รามคำแหง ฮิลล์” ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 3,500 ล้านบาท บนพื้นที่ดิน 8 ไร่ 40 ตารางวา เป็นอาคารสูง32 ชั้น มีอาคารสำนักงานพื้นที่2,000ตร.ม. ราคา550บาทต่อตรม.ต่อเดือนจากเดิมตั้งไว้750บาทต่อตรม.ต่อเดือนลดราคาลงมาเหลือ550 บาทต่อตรม.ต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่รีเทล และโรงแรมจำนวน 338 ห้อง อยู่ระหว่างการก่อสร้างคืบหน้าใกล้เสร็จแล้ว น่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนพ.ย.ปีนี้ ราคาห้องละ 1,600-2,000บาท
ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าที่สนใจเข้ามาเช่าพื้นที่ เช่น ธนาคารอิสลาม กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธุรกิจโฆษณาเป็นทำเลสะดวกเพราะสามารถทะลุไปถนนลาดพร้าว ศรีนครินทร์ พระราม9 พัฒนาการเชื่อมต่อได้หมด ใกล้โอสถสภา การกีฬาแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่กรีนฟิลด์ให้เช่าเหลืออยู่อีก4 ไร่ ซึ่งมีกลุ่มธุรกิจสนใจเช่ามาเช่า อาทิ โรงพยาบาลสนใจทำเวลเนสเซ็นเตอร์ ร้านอาหาร สนามเด็กเล่นในร่มสไตล์ฮาร์เบอร์แลนด์ ติดท่าเรือ เดอะมอลล์ราม 3 คาดว่า ต้องใช้เวลาในการคืนทุนในโครงการนี้8ปีจากเดิมตั้งเป้า6ปี!
ทั้งนี้เนื่องจากการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มล่าช้าไปกว่า 3 ปี แต่ในฐานะคนทำธุรกิจต้อง“ปรับตัว”แก้เกมให้เข้าสถานการณ์ด้วยการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใช้“กลยุทธ์ราคา”เข้ามาดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อาทิ กลุ่มทัวร์จากต่างชาติเข้ามาพักในโรงแรม พร้อมมีรถชัตเตอร์บัส รับส่งลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาพักไปยังสถานีแอร์พอร์ตลิงค์รามคำแหง ดึงกลุ่มอาจารย์นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง, เอแบค, การกีฬาแห่งประเทศไทย, จัดงานประชุมสัมมนา รวมถึงรองรับงานรับปริญญา งานกีฬา คอนเสิร์ต ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน รวมถึงธุรกิจจากกลุ่มคนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
“มั่นใจว่าปีนี้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอแต่จากการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็ว โดยการทำตลาดออนไลน์ผ่านโซเซียลมีเดียต่างๆเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงสามารถปรับราคาขึ้น-ลงให้สอดรับกับดีมานด์ในตลาดได้ตลอดเวลาเพราะได้เรียนรู้การรับมือกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่จากวิกฤติโควิดที่ผ่านมาแล้ว”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26ก.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 36.22 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดัน มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินอาจส่งผลกระทบต่อฟันด์โฟลว์ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทยโดยเฉพาะหุ้นบ้าง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26ก.ค. 2567 ที่ระดับ 36.22 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.14 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมบ้าง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ธีม US Exceptionalism รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด (Risk-Off) อาจยังคงช่วยหนุนเงินดอลลาร์ในช่วงนี้
ส่วนโฟลว์ธุรกรรมลดสถานะ Short JPY (Short JPY = มองเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่า)ของบรรดาผู้เล่นในตลาดก็อาจลดลงไปพอสมควรแล้ว ทำให้ค่าเงินเยนก็อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปได้มากนักในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในคืนวันศุกร์นี้ รวมถึงรอลุ้น ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักในสัปดาห์หน้า ที่จะเริ่มต้นด้วย BOJ ในวันพุธ ต่อด้วย เฟด และ BOE ในวันพฤหัสฯ นอกจากนี้ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็อาจส่งผลกระทบต่อฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ทำให้ผู้เล่นต่างชาติอาจยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทยโดยเฉพาะหุ้นได้บ้าง
อนึ่ง แม้ว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ แต่เราก็มองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจติดอยู่ในโซน 36.30-36.35 บาทต่อดอลลาร์ (แถวเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน) แต่หากเงินบาทผันผวนอ่อนค่ากว่าคาด ก็อาจอ่อนค่าต่อได้ถึงโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ พร้อมกันนั้น
เรายังคงประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดแถวโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงชัดเจน รวมถึง ผู้เล่นในตลาดเริ่มมั่นในมากขึ้นว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ ถึงจะเห็นการแข็งค่าของเงินบาทที่ต่อเนื่อง และอาจหลุดโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้
สำหรับในคืนนี้นั้น เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE ตั้งแต่ช่วงเวลาราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 36.12-36.28 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
หลังคาดการณ์ครั้งแรกของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ออกมา +2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้พอสมควร นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD)
ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่โซน 2,350-2,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (สอดคล้องกับโซนแนวรับที่เราได้ประเมินไว้ในต้นสัปดาห์) ส่งผลใหค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวผสมผสานอย่างเห็นได้ชัด โดยบรรดาหุ้นเทคฯ ยังคงเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง จากความผิดหวังผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มอื่นๆ อาทิ กลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +2.1%) ก็สามารถปรับตัวขึ้นได้ จากรายงาน GDP ไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาดีกว่าคาด และช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นราว +2% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ยังคงลดลง -0.93% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.51%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.72% กดดันโดยความผิดหวังจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาดในช่วงนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องและออกมาแย่กว่าคาด
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็สามารถหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นสู่โซน 4.25% ทว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะเป็นไปอย่างจำกัด ตามที่เราได้ประเมินก่อนหน้า
โดยเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ ทำให้โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ที่ต้องทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างชัดเจน เช่น จากเดิมตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ในปีนี้ เป็นเพียง 2 ครั้ง หรืออาจน้อยกว่านั้น
ด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด (รวมถึงออกมาดูดีกว่าประเทศฝั่งพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่นกัน) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 104.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่โซน 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้างตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนมิถุนายน โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE จะมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ทำให้เฟดยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้
และในฝั่งไทย เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า ยอดการส่งออก (Exports) ของไทยในเดือนมิถุนายน จะยังคงสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องหรือไม่ และอัตราการเติบโตจะเป็นอย่างไร รวมถึงดุลการค้าของไทยจะยังคงเกินดุลได้หรือไม่
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะติดตามอย่างใกล้ชิด และเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควรในช่วงนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 36.18-36.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ทยอยฟื้นตัวกลับมาตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยมีแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด
โดยจีดีพีไตรมาส 2/67 ขยายตัว 2.8% QoQ, saar สูงกว่าที่ตลาดคาด 2.1% และสูงกว่าไตรมาส 1/67 ที่ขยายตัวเพียง 1.4% ขณะที่ ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 10,000 ราย มาที่ 235,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่า 237,000 รายที่ตลาดคาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.10-36.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดเงินรางวัลกองทุนฯ อัดฉีด “ทัพนักกีฬาไทย” หากหยิบเหรียญโอลิมปิก 2024
การแข่งขันมหกรรมกีฬาสุดยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ครั้งนี้จะจัดขึ้นที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 24 กรกฏาคม – 11 สิงหาคม นี้
โดยตามระเบียบของ กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย (NSDF) พร้อมสนับสนุน และส่งเสริมทัพนักกีฬาไทยให้แสดงศักยภาพในโอลิมปิกครั้งนี้
แน่นอนในการแข่งขันสำคัญ กองทุนฯ ก็ได้เตรียมเงินรางวัลอัดฉีดไว้ให้สำหรับนักกีฬาทุกคนที่ทำได้ตามเป้าหมาย ซึ่งจะมีจำนวนเงินรางวัลที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่ง รายการโอลิมปิกเกมส์ ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีเงินรางวัลมากที่สุด และทาง กองทุนฯ ได้ให้ทางเลือกกับนักกีฬาว่าจะรับเงินครั้งเดียว หรือรับแบบแบ่งจ่ายในระยะเวลา 4 ปี
สำหรับเกณฑ์เงินรางวัลอัดฉีด โอลิมปิก 2024 มีดังนี้
- เหรียญทอง
รับเงินรางวัล 10,000,000 บาท : จ่ายครั้งเดียว
รับเงินรางวัล 12,000,000 บาท : แบ่งจ่ายโดยรับก่อน 50% และที่เหลืออีก 50% จะจ่ายรายเดือนในเวลา 4 ปี - เหรียญเงิน
รับเงินรางวัล 6,000,000 บาท : จ่ายครั้งเดียว
รับเงินรางวัล 7,200,000 บาท : แบ่งจ่ายโดยรับก่อน 50% และที่เหลืออีก 50% จะจ่ายรายเดือนในเวลา 4 ปี - เหรียญทองแดง
รับเงินรางวัล 4,000,000 บาท : จ่ายครั้งเดียว
รับเงินรางวัล 4,800,000 บาท : แบ่งจ่ายโดยรับก่อน 50% และที่เหลืออีก 50% จะจ่ายรายเดือนในเวลา 4 ปี
สำหรับ “ทัพกีฬาไทย” ชุดลุยกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 33 จะมีนักกีฬาได้สิทธิ์ผ่านการตัดตัวเข้าแข่งขันในครั้งนี้ทั้งหมด 51 คน จากทั้งหมด 16 ชนิดกีฬา ถือว่ามากที่สุดจากบรรดาชาติอาเซียน 11 ชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อยู่อย่างไรให้รอดกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่เป็นพิษ
นักจิตวิทยาการปรึกษาและการทำจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญ
Dr.Marid Kaewchinda (Psychologist & Psychotherapist)
สภาพแวดล้อมที่ทำงานแย่ เพื่อนร่วมงานมีแต่พวกความคิดลบ งานโอเวอร์โหลด ไม่มีเวลาเบรค เจ้านายไม่เคยเห็นคุณค่า ไม่มีการชมเชยหรือให้รางวัล วันหยุดหรือตอนดึกยังต้องทำงาน เช่น ติดตามข้อความ หรือตอบอีเมล์ เมื่อขอลาพักร้อนเจ้านายมักโมโหหงุดหงิด การสื่อสารมีปัญหา เพื่อนร่วมงานใส่ร้ายป้ายสีชอบนินทา เจ้านายชอบจับผิด ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ไม่ให้เกียรต์กัน เหล่านี้มักทำให้เรารู้สึกหมดพลังงานไม่มีแรงกลับมาทำงาน และรู้สึกเหมือนทุกวันคือเช้าวันจันทร์ที่ยากลำบากต่อการตื่นไปทำงาน และเป็นสาเหตุทำให้คนลาออกเปลี่ยนงานบ่อย นอกจากนั้นการไม่เห็นโอกาสเติบโตก้าวหน้าเช่นกัน ทำให้อยากเปลี่ยนงานไปหาสิ่งที่ดีกว่า
ในทางตรงกันข้ามที่ทำงานที่เป็นมิตร สังเกตได้อย่างไร?
มีหลายสิ่งที่สร้างให้เกิดความประทับใจต่อการทำงานได้มากมายในที่ทำงานที่ดี แต่อาจพิจรณาดูจากข้อหลักที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพจิตของคนทำงาน และบรรยากาศที่เป็นมิตรได้ดังนี้ ลองสำรวจดูว่าที่ทำงานของเรามี 4 ข้อหลัก ๆ ดังนี้หรือไม่
1. พนักงานมีเวลาพักเบรคเพื่อผ่อนคลายจากความตึงเครียด และมีเวลาดูแลตัวเองหรือไม่
2. พนักงานได้รับการส่งเสริมให้ทำกิจกรรมอื่นนอกเหนือการทำงานหรือไม่
3. คนในที่ทำงานใส่ใจในความรู้สึกของกันและกันหรือไม่
4. เจ้านายเป็นตัวอย่างที่ดีในการมีสุขภาวะทางอารมณ์และพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสมหรือไม่
หากคุณพบคำตอบว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าคุณกำลังทำงานอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร หากเป็นเช่นนั้นต้องทำอย่างไร และควรทำอย่างไรหากการเปลี่ยนงานอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมตอนนี้
เราควรทำวิธีไหนหากจำเป็นต้องไปทำงานทุกวันในสภาพแวดล้อมแบบนี้ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้
8 เทคนิคสำหรับการเอาตัวรอดในที่ทำงานที่ไม่เป็นมิตร
1. อย่าแบกงานกลับบ้าน
เวลาสำหรับครอบครัวที่คุณควรใช้เวลาอยู่กับพวกเขา ไม่ควรนำพลังงานด้านลบจากที่ทำงานกลับมาบ้าน หัดปฎิเสธงานที่เพิ่มขึ้นและไม่สามารถทำเสร็จในที่ทำงานบ้าง
2. หาวิธีปลดปล่อยความเครียดอย่างถูกวิธี
คุยกับคนที่ไว้ใจในครอบครัว หรือพบนักจิตวิทยา หรือเขียนบันทึกระบายความอึดอัดใจหากไม่มีใคร และหาเวลาผ่อนคลายด้วยการทำกิจกรรมอื่นด้วย เช่น ออกกำลังกาย เดินเล่น ทำอาหาร เป็นต้น
3. เลี่ยงการเกิดดราม่า
หากได้เพื่อนร่วมงานที่มีความคิดลบ เจ้านายขี้นินทา ควรขีดเส้นขอบเขตความเป็นส่วนตัวกับเรื่องงานให้ชัดเจน และอย่าไปร่วมวงนินทา หลีกเลี่ยงเรื่องดราม่าและห่างไว้ คุยแค่เรื่องงาน ควรหาวิธีปกป้องตัวเองหากโดนล้ำเส้น
4. เป็นตัวของตัวเอง
เพื่อนร่วมงานที่ขี้นนินทาหรือมีความคิดลบมักมีวิธีทำให้เราหมดพลังงาน ควรหาเวลาเบรค ปกป้องความเป็นส่วนตัว ปฎิเสธการรับโทรศัพท์เมื่ออยู่ที่บ้านหรือเวลาพักผ่อน
5. ฝึกทักษะการทำสมาธิเพื่อทำใจให้สงบ และมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน
6. สร้างพลังบวกให้กับตัวเองเสมอ
คิดถึงความทรงจำที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ดูรูปครอบครัว ภาพถ่ายทำให้คิดถึงช่วงเวลาดีๆเพื่อให้ได้ใจได้แวะไปหาพลังงานบวกเพิ่ม
7. จัดการกับความเข้าใจผิด
หากเพื่อร่วมงานไม่เป็นมิตร ใส่ร้ายป้ายสี ควรจัดการเคลียร์ปัญหาไม่ควรปล่อยให้ตัวเองโดนโจมตี ควรไปคุยกับผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพื่อเป็นการบหยุดพฤติกรรมเหล่านั้น
8. รอจังหวะในการหาทางเลือกใหม่
ไม่มีใครสามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่แย่แบบนี้ได้ตลอดไป ดังนั้นต้องอดทนรอหากโอกาสยังมาไม่ถึงเรา หาวิธีต่อสู้แก้ปัญหาและ เผชิญหน้ากับความเครียดความกดดันอย่างชาญฉลาด เพื่อรอเวลาในการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปสู่การเติบโตที่ดีกว่าต่อไป
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านเอาชนะอุปสรรคที่เจออยู่ และควรทำใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และไม่นานก็จะผ่านไป หากรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบากควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเพื่อปรับการใช้ชีวิตให้มีสุข
ขอบคุณข้อมูลจาก bettermindthailand.com
Transitive Verbs และ Intransitive Verbs ใช้ต่างกันอย่างไร
โครงสร้างในประภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม เป็นหลัก Transitive Verbs และ Intransitive Verbs คือกริยาแท้ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีการใช้ที่แตกต่างกัน Transitive Verbs และ Intransitive Verbs คืออะไร ใช้ต่างกันอย่างไร ตามบทความนี้ไปดูกัน
Transitive Verbs คืออะไร?
Transitive Verbs หรือ สกรรมกริยา เป็นคำกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ หากไม่มีกรรมมา รองรับ จะทำให้ประโยคที่ได้ไม่สมบูรณ์
ตัวอย่างสกรรมกริยา ที่มักพบเจอบ่อยๆ
เช่น Eat (กิน), Drink (ดื่ม), Give (ให้), Buy (ซื้อ), Cut (ตัด), Catch (จับ), Make (ทำ), Meet (พบ), Take (เอา), Teach (สอน), Throw (เหวี่ยง, ขว้าง), Wear (สวม, ใส่), Write (เขียน)
ตัวอย่างประโยคสกรรมกริยา
- She cut her hair. (เธอตัดผมของเธอ)
(ในประโยคนี้จะเห็นว่า cut เป็นสกรรมกริยาที่มี her hair เป็นกรรมมารองรับ เพราะหากไม่มี her hire มารองรับ จะเป็น She cut แปลว่า เธอตัด ซึ่งได้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเธอตัดอะไร)
- She loses her weight. (เธอลดน้ำหนัก)
(ในประโยคนี้จะเห็นว่า loses เป็นสกรรมกริยาที่มี her weight เป็นกรรมมารองรับ หากไม่มี her weight มารองรับ จะเป็น She loses แปลว่า เธอลด หรือเธอสูญเสีย ซึ่งได้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเธอลด หรือสูญเสียอะไร)
- I make you dinner. (ฉันทำอาหารเย็นให้คุณ)
(ในประโยคนี้จะเห็นว่า make เป็นสกรรมกริยาที่มี dinner เป็นกรรมตรงมารองรับ หากไม่มี dinner มารองรับ จะเป็น I make you แปลว่า ฉันทำให้เธอ ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าฉันทำอะไรให้เธอ)
Intransitive Verbs คืออะไร?
Intransitive Verbs หรือ อกรรมกริยา เป็นคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เนื่องจากมีความหมายสมบูรณ์ในตัวมันเอง
ตัวอย่างสกรรมกริยาที่มักพบเจอบ่อยๆ
เช่น Draw (วาดภาพ), Drive (ขับรถ), Fly (บิน), Grow (เติบโต), Hurt (ทำร้าย), Read (อ่าน), Run (วิ่ง), Say (พูด), Sing (ร้องเพลง), Sit (นั่ง), Sleep (นอนหลับ), Speak (พูด), Swim (ว่ายน้ำ), Win (ชนะ)
ตัวอย่างประโยคอกรรมกริยา
- He sleeps. (เขาหลับ)
(ในประโยคนี้จะเห็นว่า sleep เป็นอกรรมกริยาที่มีไม่ต้องการกรรมมารองรับ ประโยคมีความสมบูรณ์ สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเขาหลับ)
- Businesses grow. (ธุรกิจเติบโต)
(ในประโยคนี้จะเห็นว่า grow เป็นอกรรมกริยาที่มีไม่ต้องการกรรมมารองรับ ประโยคมีความสมบูรณ์ สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าธุรกิจมีการเติบโต)
- We win. (เราชนะ)
(ในประโยคนี้จะเห็นว่า win เป็นอกรรมกริยาที่มีไม่ต้องการกรรมมารองรับ ประโยคมีความสมบูรณ์ สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเราชนะ)
นอกจากนี้ยังมีกริยาที่เป็นได้ทั้ง Transitive Verb และ Intransitive Verb ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยค ซึ่งจะให้ความหมายที่ต่างกันเล็กน้อย
ตัวอย่างกริยาที่เป็นได้ทั้ง Transitive Verb และ Intransitive Verb
เช่น
- Open (เปิด)
สกรรมกริยา: He opens the door for his guests. (เขาเปิดประตูให้แขกของเขา)
อกรรมกริยา: The door opens with a creak. (ประตูเปิดออกด้วยเสียงเอี๊ยด)
- Write (เขียน)
สกรรมกริยา: She writes novels in her free time. (เธอเขียนนิยายในเวลาว่าง)
อกรรมกริยา: He is writing at his desk. (เขากำลังเขียนอยู่ที่โต๊ะของเขา)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“พริกหนุ่ม” กับ “พริกหยวก” ต่างกันอย่างไร พริกไหนเผ็ดกว่ากัน
พริกน่าจะเป็นพืชผักที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งในท้องตลาดบ้านเรานั้นมีพริกหลากหลายสายพันธุ์มาก แถมพริกบางชนิดยังหน้าตาใกล้เคียงกันจนแยกแทบไม่ออก โดยเฉพาะพริกหนุ่ม กับพริกหยวกที่มีลักษณะ และสีใกล้เคียงกันมากจนหลายๆ คนงง
พริกหนุ่ม กับ พริกหยวกต่างกันอย่างไร
พริกหนุ่ม ผลสดมีหลายรูปร่างและขนาด แต่มักจะเป็นรูปกรวยกว้างและยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร เมื่อยังอ่อนอยู่มีสีเขียว เหลือง ครีม หรือม่วง เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลืองหรือน้ำตาลเมล็ดแบนรูปโล่ใหญ่กว่าเมล็ดพริกขี้หนู เป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาล เป็นพริกที่ผู้บริโภคทางภาคเหนือนิยมนำผลอ่อนมาทำเป็นน้ำพริกหนุ่ม ซึ่งพริกหนุ่มที่ผู้ปรุงพริกหนุ่มต้องการจะเป็นพริกเนื้อหนา สีเขียวค่อนไปทางเขียวอ่อน ไม่ต้องการพริกอ่อนสีเขียวเข้ม ดังนั้นพริกที่เป็นพันธุ์ลูกผสมของบริษัทเอกชนจึงได้รับความนิยมจากเกษตรกร หากมีลักษณะเข้าเกณฑ์ข้างต้นใบมีรสเผ็ด ผลมีรสเผ็ดจัด ช่วยเจริญอาหารขับลม ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ผลอ่อนและแก่ใช้เป็นเครื่องประกอบอาหาร
พริกหยวก เป็นพืชล้มลุกอายุสั้น มีลำต้นเป็นพุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1 เมตร ใบเรียวยาว ขอบใบเรียบ ดอกเดี่ยวสีขาวนวลห้อยลง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และสุกจัดจะเป็นสีแดง ผลมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมหรือหกเหลี่ยม เนื้อหนา ผิวเรียบเนียน โคนผลใหญ่ ปลายผลเรียวเล็ก เมล็ดแบนสีขาว ขนาดใหญ่กว่าพริกชนิดอื่น ๆ เช่น พริกเหลืองหรือพริกชี้ฟ้า แต่แตกต่างจากพริกชนิดอื่นตรงที่พริกหยวกแทบจะไม่มีรสเผ็ดเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/07/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,550.00 | 40,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,627.00 | 39,825.32 | 41,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,364.30 | 35,842.79 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,101.60 | 31,860.26 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,182.00 | 17,919.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 919.00 | 13,932.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,722.00 | 41,265.52 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/07/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.35 | 38.35 | 38.95 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.98 | 37.98 | 38.58 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.24 | 36.24 | 36.84 | 36.24 | 36.24 | – | 36.24 | 36.24 | 36.24 | 36.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.99 | 35.99 | – | – | – | – | – | – | – | 35.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 46.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 46.94 |
เบนซิน 95 | 46.24 | – | – | – | 49.81 | – | 46.74 | 46.39 | – | 46.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |