อสังหาฯ หวังปลดล็อก!‘แอลทีวี-ดอกเบี้ย’แรงส่งฟื้นยอดปีนี้‘ติดลบ’น้อยลง
- เปิดตัวเลข 6 เดือนแรกปี 2567 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกระเตื้องขึ้น
- รับอานิสงส์มาตรการรัฐ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ช่วยประคับประคองไตรมาส 2 ขยับดีกว่าไตรมาสแรก
- ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หวังเห็นแรงส่งสำคัญ จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยปลดล็อกมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ แอลทีวี
- “ลดดอกเบี้ย” จะช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ติดลบ ในระดับ 5% จากเดิมคาดการณ์ติดลบถึง 10%
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว แต่ไตรมาส 2 ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น! เทียบไตรมาสแรก สะท้อนจากมูลค่าและราคาเฉลี่ยการโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ขยับตัวดีขึ้น “ติดลบลดลง” จากไตรมาสแรก
เป็นผลจากปัจจัยจัยแรก มาตรการกระตุ้นของรัฐบาล ปัจจัยที่สอง ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยูู่อาศัย (คอนโดมิเนียม) ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หรือ ไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้รับอานิสงส์จากโครงการสินเชื่อ Happy Life ดอกเบี้ยต่ำไม่เกิน 3% ประกอบกับ คอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นบวกในเชิงจำนวนหน่วย แต่เชิงมูลค่าไม่มาก ทำให้ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ “ติดลบน้อยลง” จากไตรมาสแรก
สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มตลาดดีขึ้น! ซึ่งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ในเรื่องลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ จาก 1% เหลือ 0.01% เฉพาะที่จดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน สำหรับบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย ที่ซื้อบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ ที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด ราคาซื้อขาย ราคาประเมิน และวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7 ล้านบาท/สัญญา ไม่รวมกรณีขายเฉพาะส่วน มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึง 31 ธ.ค.2567 รวมทั้งมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ออกมาในช่วงนั้นด้วย
ล่าสุด ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดกรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท ทำโครงการสินเชื่อบ้าน DD (ดี๊ดีย์) อัตราดอกเบี้ยปีแรก 1.9% ผ่อนชำระต่ำเริ่มต้นล้านละ 3,000 บาท/เดือน เป็น “ตัวช่วยเสริม” จากมาตรการก่อนหน้า นอกจากนี้เริ่มมีบางธนาคารออกโครงการดอกเบี้ยต่ำมากขึ้น อาทิ ยูโอบี ออมสิน
นอกจากนี้ยังมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) จากธนาคารรัฐและพาณิชย์ รวม 16 แห่ง แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่เป็นการ “แก้หนี้” ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท
“มาตรการของรัฐบาลที่ออกมาอาจไม่ได้เร็วทุกเรื่อง แต่ก็ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้เดินหน้าต่อไปได้ ทำให้แนวโน้มไตรมาส 2/2567 ดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก”
ทั้งนี้ แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังนี้หากพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลควรกระตุ้นให้มี “โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ” ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทออกมา เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกันซึ่งจะมีผลต่อการกระตุ้นดีมานด์ในตลาด
“แนวโน้มครึ่งปีหลังภาครัฐบาลมุ่งกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจ จากนโยบายการคลังผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จึงไม่ได้คาดหวังว่า จะมีมาตรการกระตุ้นอะไรเพิ่มเติมออกมาเพราะตัวเลขที่ออกมาสะท้อนว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น”
ส่วนนโยบายการเงิน ที่ ธปท. ดูแลอยู่นั้น ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อยากให้ทบทวน “มาตรการแอลทีวี” เพื่อช่วยผู้ประกอบการ เอื้อให้คนเข้าบ้านมากขึ้น รวมถึง “ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ลง หลังมีกระแสข่าวว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่ง ธปท. ต้องดูภาพรวมของเศรษฐกิจก่อน ทั้งค่าเงิน ส่งออก และปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวแปรสำคัญหลายเรื่อง
“กรณีแอลทีวี หากดูจากปี 2565 เศรษฐกิจย่ำแย่ รัฐบาลออกแพ็กเกจลดค่าจดทะเบียนโอน ค่าจดทะเบียนจำนอง ออกมา ขณะที่ แบงก์ชาติปลดล็อกแอลทีวี เป็นการปลดล็อกทุกระดับราคาให้กลุ่มคนซื้อบ้านหลังที่สองสำหรับคนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว เพราะบ้านสัญญาที่สอง มีผลต่อเงินดาวน์”
จะเห็นว่า การยกเลิกมาตรการแอลทีวีชั่วคราวในทุกระดับราคาเป็นระยะเวลา 1 ปีนั้น ไม่ได้ก่อผลกระทบในเชิงลบ ทำให้สถาบันการเงินได้รับสัญญาณการผ่อนคลายจากแบงก์ชาติ จึงอยากให้ยกเว้น 1 ปี เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
ส่วนกรณีการลดดอกเบี้ยนโยบาย ต้องยอมรับว่ามีผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ในมุมมองของผู้ประกอบการเอกชน การลดดอกเบี้ย จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ การจับจ่ายใช้สอย เพราะลูกค้า 90% ต้องใช้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย มีผลต่อการแก้หนี้ ถ้าดอกเบี้ยต่ำช่วยประคับประคองคนที่เป็นหนี้อยู่แล้ว หรือคนที่ขอสินเชื่อใหม่ และต้นทุนผู้ประกอบการลดลง คาดว่า ลดลงอย่างมาก 0.25%
“หาก ธปท. ช่วยผ่อนคลายแอลทีวี 1 ปี และลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ติดลบน้อยลงประมาณ 5% แต่หากไม่มีการผ่อนคลายหรือลดอัตราดอกเบี้ยภาพรวมตลาดปีนี้น่าจะติดลบ 10%”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แอสเซทไวส์สร้าง‘นิว เอสเคิร์ฟ’ผุดคอนโด”อควารัส”หาดจอมเทียนจับต่างชาติ
การทำธุรกิจยุคนี้นับวันยิ่งทวีความท้าทายมากขึ้นเพื่อความอยู่รอดการสร้าง‘นิว เอสเคิร์ฟ’เสริมแกร่งจากความสำเร็จในการทำตลาดอสังหาฯในภูเก็ตทำให้แอสเซทไวส์ถอดโมเดลสู่โครงการอควารัส จอมเทียน พัทยา รองรับดีมานด์ต่างชาติ รัสเซีย ยุโรปและจีน
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การทำธุรกิจของแอสเซทไวส์จะกระจายสินค้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านและทุกทำเลที่มีศักยภาพกรุงเทพฯ-ปริมณฑล พัทยาและภูเก็ต ส่งผลให้ผลกระกอบการครึ่งแรกในปี 2567 ทุบสถิติ นิวไฮด้วยการกวาดรายได้ 4,642 ล้าน มีกำไรสุทธิ 849 ล้าน เติบโตจากปีก่อนหน้า 54% และ 93% ตามลำดับ
กุญแจความสำเร็จที่สำคัญมาจากโครงการคอนโดมิเนียมในจ.ภูเก็ตภายใต้ แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) ภายใต้การพัฒนาของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)กระแสตอบรับดี จากโครงการเดอะ ไทเทิล ฮาโล ซึ่งปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 93% เริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ ส่วนโครงการเดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา มียอดขาย 86% ,โครงการเดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทาตรงข้ามกับเซ็นทรัลมูลค่า 6,000ล้านบาทยอดขาย52% และโครงการเดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ หาดในยาง มียอดขาย 34% ทำให้มียอดขายสูงถึง7,000 ล้านบาทสููงสุดในภูเก็ต !! ทำให้มียอดการรับรู้รายได้ไปถึงปี2569
“จุดเด่นที่สร้างความแตกต่างของเราคือ ความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือ ต้องทำจริง ผ่านEIA มีผู้รับเหมา ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารทำให้เอเจนต์และลูกค้าให้ความเชื่อมั่น”
แอสเซทไวส์ จึงต่อ”จิ๊กซอว์”เสริมแกร่งด้วยการถอดโมเดลความสำเร็จของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมายังตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาเพื่อเจาะกลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง เนื่องจากที่ผ่านมายัง”ไม่มี”ดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อจับกลุ่มคนต่างประเทศอย่างจริงจัง
เพราะที่ผ่านมาจับกลุ่มโลคัลหรือคนกรุงเทพฯที่ต้องการที่พักในพัทยาเป็นหลัก ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ต่างชาติ ที่เน้นพัฒนาโครงการเพื่อขายชาวต่างชาติ จำนวน 1,000ยูนิต
“เรามองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ โดยการนำเสนอโครงการอควารัส จอมเทียน พัทยามูลค่า4,500ล้านบาทเพื่อรองรับดีมานด์รัสเซีย ยุโรปและจีน ในระดับราคา1.5แสนบาทต่อตร.ม. คาดว่าจะเปิดตัวไตรมาสสุดท้ายของปี”
ปัจจุบันพยายามดึงเอเจนต์ขายต่างชาติเข้ามาเป็นพันธมิตรเหมือนในภูเก็ต และสื่อสารให้ชาวต่างชาติรู้ว่า แอสเซทไวส์ มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อรองรับคนต่างชาติ ซึ่งแตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่พัฒนาสำหรับคนไทย อาทิ ระเบียงสำหรับชาวต่างชาติมีไว้นั่งดื่มเบียร์ สูบบุหรี่ ขณะที่คนไทยมีไว้เพื่อตากผ้า ทำให้การดีไซน์แตกต่างกัน
“หากเราทำได้ถือเป็นนิวเอสเคิร์ฟให้กับบริษัทและพัฒนาต่อยอดไปสู่ นิวบิสซิเนสใหม่ เช่น ธุรกิจเกี่ยวข้องกับสุขภาพเพื่อส่งเสริมธุรกิจหลักเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้”
นอกจากนี้บริษัทยังได้พัฒนาโครงการ “ฌาน เดอะ ริเวอร์ไซด์” ริมแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ระดับราคาเริ่มต้น15-30ล้านบาทสไตล์บูทีคทำเลริมแม่น้ำหายาก(Rare item)ขนาด40ไร่ ติดถนนเส้นบรมราชชนนี จำนวน120 ยูนิต ตอบโจทย์คนที่่ต้องการมีบ้านริมน้ำหรือการเป็นบ้านหลังที่สอง
“เราเพิ่งเปิดขายไปได้2สัปดาห์ขายได้8 ยูนิตจากเฟสแรก25ยูนิตตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความมงียบบสงบ มีฟังก์ชั่นและพื้นที่ใช้สอยครบใกล้เมือง(กทม.)คาดว่าจะสามารถปิดโครงการภายใน4ปี”
โดยก่อนหน้านี้้ได้ที่ดิน115 ไร่ แบ่งมาพัฒนาโครงการเอสต้า ซีรีนิตี้ จำนวน40ไร่ เป็นโครงการบ้านแฝดราคา4ล้านบาทและบ้านเดี่ยวราคา6-7ล้านบาท จำนวน 137ยูนิตปัจจุบันมียอดขาย28 ยูนิตและโอนแล้ว4ยูนิตเหลืออีก25ไร่ มีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ เวลเนส และคอนโดมิเนียมในอนาคต
“ทำเลดังกล่าวถือเป็นทำเลอนาคตที่มีศักยภาพแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัว คงยังไม่ผลีผลามเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก “
ทั้ง2 โครงการถือเป็นโครงการ”เรือธง” ซึ่งอยู่ในแผนการเปิดตัว6โครงการมูลค่ารวม 11,760 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อขับเคลื่อนรายได้ 8,700 ล้านบาทตามเป้าหมาย The New Frontiers ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในทุกมิติ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ส.ค. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทก็ยังมีโอกาสผันผวนบ้าง กรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.25 บาท/ดอลลาร์ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้คำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ และ ช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ส.ค. 2567 ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.16 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า อาจต้องปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ จากที่ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม เราได้ประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนในลักษณะ Sideways Up หรือทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง จากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่า อาทิ ปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศ เป็นต้น
กอปรกับในเชิงเทคนิคัล เงินบาท (USDTHB) ได้ส่งสัญญาณกลับตัว Bullish Reversal ใน Time Frame รายวัน ทำให้เรามีความมั่นใจต่อมุมมองดังกล่าว ทว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทในช่วงวันก่อนหน้า จนหลุดโซนแนวรับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ นั้น
ทำให้ ภาพ Bullish Reversal ดังกล่าวเปลี่ยนเป็นโดยสิ้นเชิง ทำให้เราประเมินใหม่ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ในช่วงหลังจากนี้ โดยเงินบาทอาจแกว่งตัวแถวโซนแนวรับสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ไปก่อน
แต่หากเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าวได้ชัดเจน ก็อาจแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับถัดไปแถว 34.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทนั้น จะค่อนข้างหน้าแน่น ตั้งแต่ช่วง 35.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่จะเป็นโซนแนวต้านสำคัญ
ทั้งนี้ แม้เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาท จาก Sideways Up เป็นเพียง Sideways ทว่า เงินบาทก็ยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยเฉพาะในช่วงวันนี้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด หรือ
ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยมากขึ้น หลังรับรู้คำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม (อาจเห็นการทยอยขายทำกำไรบอนด์ หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้น พร้อมการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์) กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY
ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.25 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้คำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ และ ช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราได้ประเมินไว้ (แกว่งตัวในช่วง 34.99-35.17 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดย การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ที่ชะลอลงสู่ระดับ 2.2% (+0.0%m/m) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นต่อแนวโน้มการชะลอของเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ (ดัชนี PPI มีความสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามพอสมควร)
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวต้านแถว 2,470 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะย่อตัวลงมาบ้างตามแรงขายทำกำไร
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 4 ครั้งในปีนี้ หากแนวโน้มเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.68%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.52% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ยังคงออกมาสดใส ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปก็ได้รับอานิสงส์จากรายงานดัชนี PPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 4 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน Shell -0.6% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงราว -1.6%
ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ที่ชะลอลงกว่าคาด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดจะมั่นใจมากขึ้น ว่าสามารถคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ เปิดโอกาสให้เฟดสามารถทยอยลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้งในปีนี้ได้
หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.85% หลังจากที่ในช่วงสัปดาห์ก่อน บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.00%
อนึ่ง เราคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways (3.70%-4.00%) ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม จนมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน และเรายังคงคำแนะนำเดิม “เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip” หรือ
เข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น ส่วนจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นนั้น ก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดพิจารณาขายทำกำไรได้บ้าง หากมีกลยุทธ์ Range-Bound Trading
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่าเฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 4 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็เป็นอีกปัจจัยที่ลดความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 102.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.5-103.3 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 2,510 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าราคาทองคำก็เผชิญแรงขายทำกำไรพอสมควรในโซนดังกล่าว กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงกลับมาแถว 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ของสหรัฐฯ ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จะชะลอลงต่อเนื่อง
ทำให้เฟดคลายกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อและเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 4 ครั้งในปีนี้ (ตามมุมมองล่าสุดของผู้เล่นในตลาด) อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด สวนทางกับสิ่งที่ตลาดคาดหวัง
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนกรกฎาคม ของอังกฤษ หลังในวันก่อนหน้า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ BOE ในปีนี้ลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ในช่วงวันที่ผ่านมา
ทางฝั่งเอเชียนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ซึ่งอาจเริ่มมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ จากระดับปัจจุบันที่ 5.50% หลังอัตราเงินเฟ้อของนิวซีแลนด์ได้ชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนภาพเศรษฐกิจก็เริ่มมีแนวโน้มชะลอเช่นกัน
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป โดยควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน หากผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจากจาก thansettakij.com
เข่าลั่น หรือ สะบ้าเข่าตกร่อง มีเสียงเวลาเดิน ลุกนั่ง คืออะไร?
อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับ เข่า มักจะเป็นผู้หญิงที่ประสบพบเจอกับปัญหานี้มากกว่าผู้ชาย ด้วยสรีระของผู้หญิงที่มีสะโพกผายมากกว่าผู้ชาย ส่งผลให้กล้ามเนื้อขายาวไปถึงข้อเข่ามีลักษณะโค้งนิดๆ ไม่ตรงพอดีกับกระดูกด้านในเหมือนผู้ชาย และด้วยปัญหานี้ทำให้ผู้หญิงเกิดปัญหา เข่าลั่น หรือข้อเข่ามีเสียงดังเปรี๊ยะๆ เวลาเดิน หรือลุกนั่งจากพื้น หรือเก้าอี้ต่ำๆ ได้
อาการ “เข่าลั่น” เกิดจากอะไร?
นพ. จตุพล คงถาวรสกุล ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ อธิบายว่า อาการเข่ามีเสียงเวลาเดิน หรือลุกนั่ง เกิดจากการที่ลูกสะบ้าที่รับกับกระดูกเข่ามีการเคลื่อนตัวยามขยับ เกิดขึ้นได้กับคนที่อายุ 25-40 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ด้วยเหตุสรีระของผู้หญิงที่ทำให้ลักษณะของกล้ามเนื้อเข่างอเข่านิดๆ จนทำให้ลูกสะบ้าที่รับกับกระดูกที่เข่าเกิดการเคลื่อนตัวขึ้นได้
เข่าลั่น รักษาได้ด้วยการออกกำลังสะโพก
เมื่อต้นเหตุ มาจากสรีระของสะโพก ดังนั้นการออกกำลังสะโพก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อสะโพกยาวไปถึงเข่า จึงช่วยให้การขยับขาไม่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเข่าพลิกออกจากลูกสะบ้าได้ง่าย ช่วยให้ลูกสะบ้าไม่เลื่อนตกร่องจนเกิดเสียงลั่น
ท่าออกกำลัง ที่ทำให้กล้ามเนื้อขาช่วงเข่าแข็งแรงขึ้น คือ การนั่งบนเก้าอี้ แล้วยกขาให้ตึงค้างเอาไว้ 10 วินาที และการยืนแล้วเหยียดขาข้างที่มีอาการไปทางด้านหลังให้ตึงแล้วค้างไว้ 10 วินาที อาจทำท่าละ 10 ครั้ง
สำหรับท่าออกกำลังสะโพกที่ทำให้กล้ามเนื้อสะโพกแข็งแรง รวมไปถึงกล้ามเนื้อข้างเข่าแข็งแรงด้วย คือการนอนตะแคง เหยียดขาตรง แล้วยกขึ้นกลางอากาศข้างไว้ 10 วินาที 10 ครั้ง และท่านอนตะแคง งอเข่าเล็กน้อย แล้วแหกขาให้ต้นขาด้านในเปิดออก ยกค้างไว้ 10 วินาที 10 ครั้ง ทุกวัน ราว 80-90% ของผู้ที่มีอาการเข่าลั่น เมื่อทำท่ากายบริการเหล่านี้ มักจะมีอาการที่ดีขึ้น หรือไม่มีอาการอีกเลยภายในระยะเวลา 8 เดือน
นอกจากนี้ การออกกำลังกายตามปกติ รักษาน้ำหนักของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ รวมไปถึงการทานอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูกอย่าง นม ไข่ ปลาเล็กปลาน้อย ที่มีแคลเซียมมาก และการได้รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า ก็ช่วยบำรุงกระดูกจากภายในให้แข็งแรงขึ้นได้เช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อันดับโลกหาย! จับตาอนาคต กิ๊ฟ-วิว บนเส้นทางแบดมินตัน
จับตาอนาคต “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ นักแบดมินตันประเภทหญิงคู่ทีมชาติไทย หลังเสร็จสิ้นการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ 2024
หลังจากที่สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้ประกาศอันดับโลกนักแบดมินตันล่าสุด ปรากฏว่า ไม่มีชื่อของ “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ วัย 31 กับ “วิว” รวินดา วัย 31 นักแบดมินตันประเภทหญิงคู่ ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในอันดับ 9 ของโลก ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งคู่อาจจะแยกคู่ หรือมีสิทธิอำลา หลังอยู่ในเส้นทางวงการขนไก่มาถึง 14 ปี ในขณะที่ “วิว” รวินดา ได้โลดแล่นมาถึง 11 ปี โดยต้องรอความชัดเจนจากปากทั้งสองคนอีกครั้ง
ผลงานที่ผ่านมาของคู่กิ๊ฟ กับ วิว ในการเป็นพาร์ทเนอร์มาตลอด 11 ปี ที่ผ่านมา แชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์ และ ระดับกรังด์ปรีซ์รวมทั้งสิ้น 7 รายการ อาทิ เหรียญทองแดงชิงแชมป์เอเชียปี 2023, แชมป์เวียดนาม โอเพ่น ปี 2015, แชมป์บิตเบอร์เกอร์ โอเพ่น 2017, แชมป์มาเลเซีย มาสเตอร์ส 2017, แชมป์ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2018, แชมป์ไชนีส ไทเป โอเพ่น 2019, แชมป์ออร์เลอ็อง มาสเตอร์ส 2021 และล่าสุดแชมป์โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมไปถึงเหรียญทองหญิงคู่ ซีเกมส์ ปี 2017 และได้เข้าร่วมการแข่งขันแบดมินตันโอลิมปิกเกมส์มาแล้วถึง 2 สมัย ในปี 2020 และ ปี 2024 เคยขึ้นอันดับโลกสูงสุดถึงคู่มืออันดับ 5 ของโลก เมื่อเดือนมกราคมปี 2023
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังมีส่วนช่วยให้ทีมแบดมินตันไทยคว้าทองแดงทีมผสมชิงแชมป์โลก สุธีรมาน คัพ ปี 2017 และ 2019, ทีมหญิง อูเบอร์คัพ รองแชมป์ปี 2018 และ เหรียญทองแดงปี 2020 2022, เอเชียนเกมส์ประเภททีมหญิง ปี 2018 และ 2022, รองแชมป์ทีมหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2024, เหรียญทองซีเกมส์ทีมหญิงถึง 5 สมัย ในปี 2015, 2017, 2019, 2021 และ 2023
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
‘แคสเปอร์สกี้’ ถอดรหัสภัยไซเบอร์ ‘แรนซัมแวร์’ ตัวร้ายจอมขโมยข้อมูล
- อาชญากรรมไซเบอร์ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดทั่วโลกคือแรนซัมแวร์
- ผู้ก่อภัยคุกคามใช้ AI แพร่กระจายเชิงรุก เพิ่มความซับซ้อนและความล้ำหน้าในการโจมตี
- การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลกระทบแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของ “แคสเปอร์สกี้” ประเมินความเสี่ยงด้านภัยคุกคามพบ “แรนซัมแวร์ (ransomware)” ยังคงเป็นภัยคุกคามหลัก เนื่องจากผู้ก่อภัยคุกคามใช้ AI แพร่กระจายในเชิงรุก ซึ่งอาจเพิ่มความซับซ้อนและความล้ำหน้าในการโจมตี
โดยการสร้างอีเมลและอินพุตสำหรับการโจมตีแบบฟิชชิงที่ดูปกติมากขึ้น สร้างพาสเวิร์ด ช่วยเข้ารหัสมัลแวร์ และการโจมตีรหัสผ่าน
กล่าวได้ว่า การถือกำเนิดของ AI ทำให้อาชญากรไซเบอร์สามารถกำหนดเป้าหมายเหยื่อด้วยการโจมตี adversarial attack โดยทำการปรับเปลี่ยนไฟล์เล็กน้อยเพื่อให้สามารถจัดการระบบ AI เพื่อจัดประเภทมัลแวร์อย่างไม่ถูกต้อง ให้กลายเป็นไฟล์ที่ปลอดภัย
อิกอร์ คุซเนตซอฟ ผู้อำนวยการทีมวิจัยและวิเคราะห์ระดับโลกแคสเปอร์สกี้(GReAT) มีมุมมองต่อภาพรวมภัยคุกคามทางไซเบอร์ว่า อาชญากรรมไซเบอร์ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดทั่วโลกคือแรนซัมแวร์ โดยผู้ก่อภัยคุกคามจัดการเหมือนการดำเนินธุรกิจ (RaaS)
ขณะที่ ช่องทางการติดมัลแวร์ที่พบบ่อยที่สุด คือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของแอปพลิเคชันที่เผยแพร่สู่สาธารณะ รองลงมาคือการบุกรุกและละเมิดข้อมูลรับรองตัวตน
นอกจากนี้ ภัยคุกคามใหม่ที่ควรคำนึงถึงคือ การละเมิดซัพพลายเชน ซึ่งเหตุการณ์จำนวนครึ่งหนึ่งถูกตรวจพบหลังจากการโจมตีประสบความสำเร็จไปแล้ว โดยอุตสาหกรรมที่ถูกเพ่งเป้าโจมตีมากที่สุด คือหน่วยงานของรัฐ สถาบันการเงิน และบริษัทการผลิต
AI หลีกเลี่ยงไม่ได้
เอเดรียน เฮีย กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์และองค์กรที่จ้างผู้ให้บริการต้องปรับเปลี่ยนท่าทีด้านความปลอดภัยไซเบอร์และตระหนักถึงผลทางกฎหมายในภูมิภาคที่ตนปฏิบัติงานอยู่
การผสานรวม AI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับองค์กรจำนวนมาก เนื่องจาก AI มีความสามารถอันล้ำค่าในการประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่
อย่างไรก็ดี ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องตระหนักถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ AI จำเป็นต้องมีการนำนโยบายมาใช้ในการจัดการข้อมูล
โดยพิจารณาว่าข้อมูลนี้เป็นความลับอย่างไร และข้อมูลด้านใดที่ AI เข้าถึงได้ ขณะเดียวกันก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่องค์กรต้องปฏิบัติตามในพื้นที่ที่ตนดำเนินงานอยู่
ขณะที่ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งที่องค์กรต่างๆ ต้องพิจารณาในยุคที่ “เวลาทำงาน” หรือ “uptime” เป็นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์
ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับมือภัยคุกคามนั้นต้องใช้การวัดเทเลมิทรีและการบันทึกข้อมูลเพื่อระบุและตอบสนองต่อเหตุการณ์ไซเบอร์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงนโยบายการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ครอบคลุม เพื่อให้สามารถฟื้นตัวจากการโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็ว
ระวัง !! การโจมตีซัพพลายเชน
อเล็กซี่ แอนโทนอฟ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับ AI เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
โดยการโจมตีบางส่วนยังคงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลที่มีทักษะสูงและชำนาญอย่างมาก แต่ก็พบว่าการโจมตีอื่นๆ ได้ถูกนำไปใช้ในเครื่องมือที่มีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ สามารถแบ่งได้เป็นสองส่วนหลัก ประการแรกคือ Offensive AI ซึ่งผู้โจมตีจะใช้เทคนิคขั้นสูงเพื่อเร่งขั้นตอนการทำงาน ค้นหาเวกเตอร์ภัยคุกคามใหม่เพื่อนำไปใช้ เช่น deep fakes ซึ่งแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในปีนี้ ประการที่สองคือช่องโหว่ของ AI โมเดล AI บางโมเดลอาจถูกผู้โจมตีบังคับให้ทำสิ่งที่ถูกจำกัดหรือคาดไม่ถึง ตัวอย่างเช่น การโจมตีโมเดลภาษาขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ปัญหาเร่งด่วนที่สุดประเด็นหนึ่งคือ การโจมตีซัพพลายเชนที่อาจสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร สายการบิน และอื่นๆ
โดยประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งเมื่อบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากสหรัฐ Crowdstrike อัปเดตซอฟต์แวร์ผิดพลาด ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์หน้าจอสีน้ำเงินแห่งความตายบนเครื่อง Windows กว่า 8.5 ล้านเครื่องทั่วโลก และก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
วิทาลี คัมลุค ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ทีมวิจัยและวิเคราะห์ระดับโลก (GReAT) แคสเปอร์สกี้ กล่าวเสริมว่า แนวทางที่เป็นไปได้ของการโจมตีซัพพลายเชนต่อโมเดลแมชีนเลิร์นนิง คือการปรับข้อมูลการฝึกอบรมเพื่อสร้างช่องโหว่ในโมเดล หรือปรับเปลี่ยนโมเดล AI ด้วยเวอร์ชันที่แก้ไขเพื่อสร้างผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง
เนื่องจาก AI จะอยู่คู่โลกต่อไป และการโจมตีดังกล่าวจึงอาจส่งผลกระทบแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างที่เราเคยประสบมา
ท้ายที่สุด องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องวางแผนและมีกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบสำหรับการโจมตีทางไซเบอร์ รวมถึงแผนการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ มีการฝึกอบรมพนักงานเรื่องช่องทางการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น การฟิชชิง บังคับใช้แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่ดีที่สุด และมีข้อมูลภัยคุกคามล่าสุดของพันธมิตรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งสามารถรับรองการป้องกันเชิงลึกได้ ฯลฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
วิธีเขียนวันที่ วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ อย่างไรให้ถูกต้อง
สำหรับการเขียนวันที่ วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากเกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ในการเขียนก็อาจทำให้เกิดความสับสน เข้าใจผิดได้ อีกทั้งเรายังดูไม่โปรพออีกต่างหาก ดังเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเรียนรู้เรื่องวิธีเขียนวันที่ วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ อย่างไรให้ถูกต้องไปพร้อมกันเลยดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ การใช้เลขลำดับ คำย่อทั้งแบบทางการและไม่ทางการ รวมไปถึงสไตล์การเขียนแบบอังกฤษและอเมริกันอีกด้วย
รูปแบบการเขียนวัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ ทั่วไป
โดยทั่วไปเราจะเขียนตามแบบสากลทั่วไป ซึ่งเป็นแบบการเขียนแบบอังกฤษที่เราจะพูดกันในหัวข้อท้าย ๆ ของบทความนี้ โดยจะเริ่มจากวันเดือนปีเหมือนภาษาไทยเลย โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
14 August 2019 = 14 สิงหาคม 2019 (พ.ศ. 2562)
นอกจากนี้วันที่ยังสามารถเขียนเป็นตัวย่อได้ เช่น 14/08/2019 หรือ 14/8/19 เป็นต้น นอกจากนี้ยีงสามารถเขียนโดยใช้ – ได้อีกด้วย เช่น 14-08-2019 หรือ 14-8-19 สำหรับการเขียนวีนที่แบบไม่เป็นทางการ
ตัวอย่างในประโยค
- His nephew was born on 14 August 2019, in a hospital in the USA.
- Our wedding in 3 April 1993 was beautiful.
- Tomorrow is her birthday 1 July 2022.
การใช้เลขลำดับและคำย่อในการเขียน วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ
รูปแบบรูปแบบการเขียนวัน เดือน ปีเป็นภาษาอังกฤษมีหลากหลายรูปแบบด้วยกันที่จะช่วยให้เราเขียนดูมือโปรมากขึ้น อ่านเข้าใจมากขึ้นเมื่อเราต้องอ่านจดหมาย หรือ ข้อความต่าง ๆ ดังนั้นต่อไปเราจะมาพูดถึงการใช้เลขลำดับและคำย่อในการเขียน วัน ภาษาอังกฤษ เดิมทีภาษาอังกฤษจะไม่ได้มีแค่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเลขลำดับต่าง ๆ เพื่อใช้ระบุเลขระบุตำแหน่งหรือลำดับของวัตถุและสิ่งต่าง ๆ รวมถึงวันที่อีกด้วย โดยเน้นตัวอักษรท้ายเป็นหลักเมื่อเขียนวันที่ โดยเราสามารถเห็นได้จากลำดับ 1-100 ดังต่อไปนี้
ลำดับที่ภาษาไทย | เลขลำดับที่ (ตัวย่อ) | ลำดับที่ภาษาอังกฤษ |
ลำดับที่ 1 | 1st | first |
ลำดับที่ 2 | 2nd | second |
ลำดับที่ 3 | 3rd | third |
ลำดับที่ 4 | 4th | fourth |
ลำดับที่ 5 | 5th | fifth |
ลำดับที่ 6 | 6th | sixth |
ลำดับที่ 7 | 7th | seventh |
ลำดับที่ 8 | 8th | eighth |
ลำดับที่ 9 | 9th | ninth |
ลำดับที่ 10 | 10th | tenth |
ลำดับที่ 11 | 11th | eleventh |
ลำดับที่ 12 | 12th | twelfth |
ลำดับที่ 13 | 13th | thirteenth |
ลำดับที่ 14 | 14th | fourteenth |
ลำดับที่ 15 | 15th | fifteenth |
ลำดับที่ 16 | 16th | sixteenth |
ลำดับที่ 17 | 17th | seventeenth |
ลำดับที่ 18 | 18th | eighteenth |
ลำดับที่ 19 | 19th | nineteenth |
ลำดับที่ 20 | 20th | twentieth |
ลำดับที่ 21 | 21st | twenty first |
ลำดับที่ 22 | 22nd | twenty second |
ลำดับที่ 23 | 23rd | twenty third |
ลำดับที่ 24 | 24th | twenty fourth |
ลำดับที่ 25 | 25th | twenty fifth |
ลำดับที่ 26 | 26th | twenty sixth |
ลำดับที่ 27 | 27th | twenty seventh |
ลำดับที่ 28 | 28th | twenty eighth |
ลำดับที่ 29 | 29th | twenty ninth |
ลำดับที่ 30 | 30th | thirtieth |
ลำดับที่ 31 | 31st | thirty first |
จากนี้เรามาดูประโยคตัวอย่างเลขลำดับที่ในรูปแบบวันที่กันดีกว่า เพื่อที่เราจะได้เข้าใจการเขียนวันที่โดยมีอักษรของลำดับ 2 ตัวสุดท้ายต่อเลขนั้น ๆ
- This disaster is going to happen on March 9th.
ภัยพิบัตินี้จะเกิดขึ้นในวันที่ 9 มีนาคมนี้
- Today is the 3rd of April, and our teacher’s birthday.
วันนี้เป็นวันที่ 3 เดือนเมษายนและเป็นวันเกิดของคุณครูของเรา
- The 14th of February is Valentine’s Day. I will reveal my love to her.
14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ ฉันจะไปสารภาพรักกับเธอ
หากแต่งเป็นประโยคดังกล่าวด้านบน ก็อย่าลืมเติมคำบุพบทให้กับเดือนในวันนั้น ๆ ด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็น on… + วันที่ in …. +เดือน of …. + เดือน เช่นนี้เป็นต้น
การเขียนวันที่ วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
การเขียนวันที่ก็มีการเขียนทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการเช่นกัน ซึ่งการเขียนแบบเป็นทางการจะเป็นเหมือนหัวข้อแรกที่เราเจอใน รูปแบบการเขียน วันที่ ภาษาอังกฤษ ทั่วไป โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
แบบเป็นทางการ
- We celebrate the Independence Day in July 4th each year.
เราเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพทุก ๆ วันที่ 4 กรกฎาคมในแต่ละปี
- My birthday is the 24th of December as also Christmas Eve!
วันเกิดของฉันวันที่ 24 ธันวาคม แถมยังเป็นวันคริสต์มาสอีฟอีกด้วย
- We think we will travel to Hongkong from 12 to 14 August this year.
เราว่า เราจะไปเที่ยวฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 สิงหาคมในปีนี้
แบบไม่เป็นทางการ
- I will make an appointment for you at 12/6/24 to see the dentist.
ฉันจะทำนัดหมายให้คุณในวันที่ 12/6/24 เพื่อพบกับทันตแพทย์
- The latest 13 Apr, was the beginning of the big Songkran days after the COVID-19
วันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมาถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ครั้งใหญ่หลังจากมีการระบาดของโรค COVID-19
- The next children day in Thailand is going to be on Saturday, Jan 11, 2025.
วันเด็กครั้งหน้าในประเทศไทยจะเป็นวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2025
การเขียน วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ แบบอังกฤษและแบบอเมริกัน
ทุกคนอาจจะสงสัยกันเป็นอย่างมากว่า ทำไมการเขียนวัน เดือน ปี เป็นภาษาอังกฤษถึงมีรูปแบบหลากหลายเพียงนี้ นอกจากรูปแบบดังกล่าวที่เรากล่าวไปข้างต้นแล้ว มันก็ยังมีการเขียนสไตล์อังกฤษและแบบอเมริกันที่เราควรทราบไว้ ไม่มีแบบไหนผิด หรือ ถูก แล้วแต่ความชอบในการเขียนของเราแต่ละคนเลย เพราะแบบไหนก็สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน
สำหรับการเขียน วัน เดือน ปี แบบอังกฤษ จะเริ่มด้วยวัน เดือนและปี เหมือนกับรูปแบบทั่วไปตามที่เราเห็นดังนี้
- 31 December 1999
- 15 April 2017
- 2nd September 2013
- 21st March 1992
ตัวอย่างประโยค
- My kid was born at our house in 24 May 1
ลูกของฉันเกิดที่บ้านของเราวันที่ 24 พฤษภาคม 1996
- I remember that once I have lived here since 18 August 2022 and moved to the city.
ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งแต่ 18 สิงหาคม 2022 และก็ย้ายเข้าไปในเมือง
- 31st December 2024 is the end of the year; we need to celebrate!
31 ธันวาคม 2024 เป็นวันสิ้นปี เราต้องมาฉลองกันนะ
- 15th April is the end of Songkran Festival.
15 เมษายนเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์
สำหรับ การเขียน วัน เดือน ปี แบบอเมริกัน ซึ่งถือเป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด ซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา เพราะถือเป็นแบบที่ค่อนข้างเป็นทางการพอสมควร โดยเรียงลำดับจากเดือน วันและปี โดยมี , เครื่องหมายลูกน้ำคั่นระหว่างวันกับปี
- January 1, 2011
- May 1, 2021
- June 20th, 2024
- December 12th, 2022
ตัวอย่างประโยค
- We began our new lives on January 1, 2011, in Italy.
เราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราวันที่ 1 มกราคม 2011 ที่ประเทศอิตาลี
- May 1, 2021 was the day we met and saw the fireworks together.
วันที่ 1 พฤษภาคม 2021 เป็นวันที่เราได้พบกันและได้ดูพลุด้วยกัน
- June 20th, 2024, is my vacation day, so let’s get to the trip!
วันที่ 20 มิถุนายน 2024 นี้เป็นวันหยุดของฉัน ดังนั้นเราไปเที่ยวกันเถอะ!
- December 12th will be our meeting. Please note that. Do not forget it.
วันที่ 12 ธันวาคมจะเป็นการประชุมของเรา โปรดโน้ตไว้ด้วย อย่าลืมล่ะ
ข้อแนะนำหลักในการเขียน วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ ให้ชัดเจน
ไม่ว่าเราจะเขียนรูปแบบเป็นทางการ หรือ ไม่เป็นทาง สไตล์อังกฤษ หรือ อเมริกัน เราก็ควรคำนึงและเช็คข้อมูลให้ถูกต้องเป็นหลักอยู่เสมอ มิฉะนั้นข้อความที่เราส่งออกไปอาจก่อให้เกิดความเข้าใจและการสื่อสารที่ผิดได้ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมว่า เมื่อใดเราควรจะใช้แบบทางการและเมื่อใดควรใช้แบบไม่เป็นทางการ เช่น การเขียนจดหมายหาเพื่อน การอีเมลหาเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงโอกาสอื่น ๆ เพราะสมัยนี้การสื่อสารภาษาที่สองเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยเรายิ่งไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
อยากอิ่มนานต้องจัด 5 ผักผลไม้ไฟเบอร์สูงปรี๊ด กินลดน้ำหนัก ขับถ่ายก็คล่อง
ถ้าคุณต้องการอิ่มนานขึ้น และช่วยทำให้การขับถ่ายมีความคล่องตัว แนะนำผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เพราะจะเป็นส่วนช่วยสำคัญทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น โดยจะต้องเป็นเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ นอกจากการทำให้สาว ๆ ขับถ่ายดีกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องของระดับคอเลสเตอรอลสูง โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงขอแนะนำกลุ่ม 5 ผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง รับประทานแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเต็มที่เลยค่ะ
5 ผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง
1.ชิกพี
ชิกพีคือถั่วที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์และโปรตีนสูง พร้อมการเป็นแหล่งรวมของวิตามินบี 6 กับแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์หลายประเภท ทั้งยังมีโฟเลตสูงกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่รับประทานถั่วชิกพีพร้อมสลัดหรือโรยลงในซุป จะมีเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ถึง 4 กรัม จึงช่วยเพิ่มผลดีต่อสุขภาพและการขับถ่ายอย่างมาก
2.บลูเบอร์รี่
บลูเบอรี่เป็นหนึ่งในกลุ่มผลเบอร์รี่ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวหวาน อร่อย ถูกนำมาทำเป็นอาหารและขนมที่ถูกใจใครหลาย ๆ คน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในแบบแอนโทไซยานินที่มีประสิทธิภาพสูง และอุดมไปด้วยไฟเบอร์ พร้อมทำให้การขับถ่ายมีความคล่องตัวและป้องกันความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงสามารถรับประทานได้อย่างสบายใจ ซึ่งผลของบลูเบอรี่ 1 ถ้วยจะสามารถให้ไฟเบอร์ละลายน้ำได้สูง 1.8 กรัมเลยทีเดียว
3.กระเจี๊ยบเขียว
ผักสีเขียวที่ใครหลาย ๆ คน เห็นครั้งแรกอาจรู้สึกว่าไม่น่ารับประทาน แต่ความจริงแล้วกระเจี๊ยบเขียว เมื่อนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกแล้วอร่อยมาก หรือจะรับประทานสดก็รสชาติดีไม่แพ้กัน โดยอุดมไปด้วยเส้นใยละลายน้ำ วิตามินแร่ธาตุ ที่เรียกได้ว่ามีความครบถ้วนของอาหารคุณภาพ แต่ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้
4.แครอท
ผักสีส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายประเภท รสชาติดี อย่างแครอท มีสารประกอบไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ถือว่าให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์มากพอสมควร และมีแคโรทีนอยด์ให้ผลดีต่อดวงตากับสุขภาพโดยรวม พร้อมการสร้างวิตามินเอที่จะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย โดยภายในแครอท 1 หัว สามารถให้ไฟเบอร์ได้สูงกว่า 2.4 กรัม
5.มันฝรั่ง
มันฝรั่งรสชาติอร่อย นำมาทำอาหารได้หลากหลาย อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี 16 และแร่ธาตุสำคัญอย่างแมกนีเซียมกับโพแทสเซียม พร้อมไปด้วยเส้นใยละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ซึ่งคุณสามารถเลือกรับประทานได้ทั้งมันฝรั่งเปลือกสีเหลืองอ่อน เปลือกสีม่วง และสีแดง ที่จะให้เส้นใยละลายน้ำได้สูงกว่า 3.6 กรัมเลยค่ะ
การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ได้ช่วยแค่การลดน้ำหนักและการขับถ่ายที่คล่องตัวของคุณผู้หญิงเท่านั้นนะคะ แต่ยังช่วยให้ผิวพรรณสดใส พร้อมการรักษาสุขภาพ ป้องกันภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด จึงเป็นตัวช่วยป้องกันทั้งโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดัน รวมไปถึงการบำรุงสายตาและสมองอีกด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/08/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,650.00 | 40,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,633.00 | 39,916.28 | 41,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,369.70 | 35,924.65 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,106.40 | 31,933.02 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,185.00 | 17,964.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 922.00 | 13,977.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,728.00 | 41,356.48 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/08/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.05 | 37.05 | 37.85 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.68 | 36.68 | 37.48 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.94 | 34.94 | 35.84 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.69 | 34.69 | – | – | – | – | – | – | – | 34.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.64 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 45.64 |
เบนซิน 95 | 44.94 | – | – | – | 49.81 | – | 45.44 | 45.09 | – | 44.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |