สาระน่ารู้ประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2567

ตลาดบ้านแนวราบมูลค่า 1.7แสนล้านส่งสัญญาณชะลอตัวสวนทางซัพพลาย

ตลาดบ้านแนวราบมูลค่า 1.7แสนล้านชะลอตัวสวนทางซัพพลายโดยเฉพาะราคามากกว่า 10 ล้านขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ขณะที่จำหน่วยโอนกรรมคอนโดเพิ่มขึ้นมีจำนวน2.8หมื่นหน่วยแต่มูลค่าลดลงซึ่งระดับราคาที่มีขยายตัวราคาไม่เกิน5ล้าน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าภาวะการณ์โอนกรรมสิทธิ์แยกตามประเภทที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ระหว่างบ้านแนวราบและห้องชุด ในไตรมาส 2 ปี 2567 ภาพรวมบ้านแนวราบปรับตัว”ลดลง”ร้อยละ -9.9 โดยมีจำนวน 58,567 หน่วย และ มูลค่าภาพรวมบ้านแนวราบลดลงร้อยละ -6.4 โดยมีมูลค่า 172,889 ล้านบาท 

สำหรับระดับราคาที่มีการขยายตัวลดลงน้อยกว่าภาพรวม ได้แก่ ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท และบ้านแนวราบราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ 3.2 และ 12.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบใหม่และมือสอง พบว่า บ้านแนวราบมือสอง มีการ”ชะลอตัว”ทั้งหน่วยและมูลค่า โดยลดลงร้อยละ -7.0 และ -7.1 ขณะที่บ้านแนวราบใหม่”ชะลอตัว”ลดลงร้อยละ -16.2 และ -5.7 ตามลำดับ โดยระดับราคาของบ้านแนวราบใหม่ที่ลดลงน้อยกว่าภาพรวมได้แก่ ระดับราคา 1.01-2.00 ล้านบาท  และ 5.01-10.00 ล้านบาท และบ้านแนวราบใหม่ราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวร้อยละ 10.1

ในขณะที่จำหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด/คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 โดยมีจำนวน 28,431 หน่วย และมูลค่าลดลงร้อยละ -3.9 โดยมีมูลค่า 70,515 ล้านบาท ซึ่งระดับราคาที่มีขยายตัวเป็นบวก เป็นกลุ่มอาคารชุดที่ราคาไม่เกินกว่า 5 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ยังพบการ”ชะลอตัว”ด้านอุปสงค์ต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2567 แต่ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกพอสมควร แม้ว่าการขยายตัวของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และจำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ ในไตรมาส 2 ปี 2567 ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง แต่มีการขยายตัวจากไตรมาส 1 ปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 9 เมษายน 2567 

หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวน 86,998 หน่วย มูลค่า 243,404 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -4.5 และ มูลค่าลดลง ร้อยละ -5.7 ซึ่งน่าจะเป็นผลจาการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยพบว่ามูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศมีจำนวน 144,115 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -10.1  เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 แต่การชะลอตัวของด้านอุปสงค์ในไตรมาสนี้ มีการติดลบน้อยลงจากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่เคยติดลบสูงถึงร้อยละ -13.8 ร้อยละ -13.4 และ ร้อยละ -20.5 ตามลำดับ 

หากพิจารณาถึงการขยายตัวจากการปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แล้ว พบว่า จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวถึงร้อยละ 19.3 และ 16.6 ตามลำดับ ขณะที่จำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่มีการขยายตัวร้อยละ 18.6 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


สิงห์ เอสเตท รุกเดินหน้าทั้งตลาดบ้าน-โรงแรม ดันรายได้ครึ่งปีโต 14%

สิงห์ เอสเตท โชว์ศักยภาพการเติบโต รายได้ครึ่งปีแรกพุ่ง 14% เผยแผนรุกหนักตลาดบ้าน-โรงแรม ตั้งเป้าสร้างรายได้ปี 67 ทะลุ 18,000 ล้านบาท

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 โดยมีรายได้รวมจากการขายและการบริการจำนวน 7,798 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พร้อมพลิกกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท จากการขาดทุน 76 ล้านบาทในปีก่อนหน้า 

ความสำเร็จครั้งนี้มาจากการฟื้นตัวของธุรกิจในทุกกลุ่ม ทั้งบ้านและโรงแรม สะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าและการตอบรับที่ดีจากการรุกตลาดใหม่ที่ประสบผลสำเร็จ

โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำยอดขายได้ถึง 1,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่โดดเด่นในโครงการสำคัญ เช่น โครงการสริน ราชพฤกษ์ สาย 1 และ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ

ธุรกิจโรงแรมของสิงห์ เอสเตท ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโต โดยทำรายได้ 5,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า จากความต้องการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในทุกภูมิภาค นอกจากนี้ โรงแรมในพอร์ตโฟลิโอได้รับการตอบรับที่ดีต่อห้องพักรูปแบบใหม่ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพัก (ADR) เติบโตถึง 18% จากปีก่อน

คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีความพึงพอใจกับการเติบโตของรายได้และกำไรในครึ่งปีแรกนี้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและปัจจัยฤดูกาล สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพ ความแข็งแกร่ง และกระจายตัวที่ดีของพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ

รวมถึงกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดศักยภาพที่มีความแข็งแกร่งด้านกำลังซื้อ

ควบคู่ไปกับการยกระดับผลิตภัณฑ์และรังสรรค์บริการที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในระดับกลาง-บน ซึ่งส่งผลให้สามารถบรรลุกลยุทธ์การตั้งราคาที่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงพีคของการดำเนินงานแล้ว และทุกพอร์ตโฟลิโอได้ทำงานเต็มที่ จึงมีความเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างโดดเด่น

ด้านธุรกิจโรงแรมของสิงห์ เอสเตทประสบความสำเร็จในครึ่งปีแรกจากการยกระดับอัตราค่าห้องพัก โดยเฉพาะการปรับปรุงห้องพักให้ตอบสนองเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ส่งผลให้โรงแรมบางแห่งสามารถเพิ่มอัตราค่าห้องพัก (ADR) ได้ถึง 40%

บริษัทใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก การกำหนดราคาแบบ Dynamic Pricing และการทำตลาดกับนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวหลายประเทศ ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ของโรงแรมในมัลดีฟส์และไทยเพิ่มขึ้น 12% และ 17% ตามลำดับ

ปัจจัยดังกล่าวหนุนศักยภาพในการสร้างรายได้และ EBITDA ที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวของปีก่อน แม้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวทั้งจากการปิดปรับปรุงห้องพักจำนวน 173 ห้องของโรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต รวมถึงแรงกดดันจากผลการดำเนินงานในช่วงต้นของการเปิดให้บริการโรงแรม SO/ Maldives

ทั้งนี้ หากพิจารณาโดยไม่คำนวณรวมสองปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ผลการดำเนินงานของโรงแรมอื่นๆ ในพอร์ตโฟลิโอสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ เห็นสัญญาณเชิงบวกต่อยอดจองห้องพักในช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ผ่าน SHR สามารถบรรลุเป้าหมายผลการดำเนินงานที่วางไว้ได้ในปี 2567

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอโรงแรม โดยการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Ascott เพื่อยกระดับโรงแรมในสหราชอาณาจักร และการปรับปรุงห้องพักใหม่ของโรงแรมในพอร์ตโฟลิโออื่นๆ

สำหรับธุรกิจที่พักอาศัยของ สิงห์ เอสเตท มีการเติบโต 49% จากโครงการใหม่ โดยเฉพาะ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเดือนมีนาคม สร้างรายได้ 800 ล้านบาทในครึ่งปีแรก คิดเป็น 21% ของมูลค่าโครงการ 

โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในด้านคุณภาพและบริการ ส่วนโครงการสริน ราชพฤกษ์ สาย 1 ก็ได้รับความนิยม และจะมีการเปิดโครงการใหม่บนถนนพรานนกตัดใหม่ มูลค่า 4,200 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวปลายปี 2567

บริษัทคาดการณ์ว่าอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว และมั่นใจว่าจะรักษาสถานะ “Mastery of Luxury”

พร้อมประกาศความสำเร็จในการปิดโครงการสำคัญหลายแห่งอย่าง สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส, ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ และ คอนโดมิเนียม ดิ เอส สุขุมวิท 36 ได้ภายในปี 2567

สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน ได้แก่ S-OASIS, S-METRO, SUNTOWERS และ SINGHA COMPLEX ที่เดินหน้าผลประกอบการที่มีความมั่นคง และส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี พร้อมช่วยยกระดับสุขภาพคนเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาคารสำนักงาน S-OASIS ซึ่งโดดเด่นในด้านความเป็น Sustainable office และได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold Version 4 และมีการทยอยเข้าใช้พื้นที่จากผู้เช่าหลักอย่างต่อเนื่อง 

และเมื่อผนวกรวมกับกลยุทธ์การตลาดเฉพาะเจาะจงของสิงห์ เอสเตท จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายพื้นที่ในระยะถัดไปให้ดียิ่งขึ้น

รวมถึง การขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีจุดแข็งด้านความพร้อมของระบบทรัพยากรไฟฟ้าและน้ำ พร้อมข้อได้เปรียบด้านต้นทุนสาธารณูปโภคที่ต่ำกว่าพื้นที่เศรษฐกิจอื่น จะเป็นจุดดึงดูดดีมานด์ของนักลงทุนที่สำคัญ และช่วยให้ขยายฐานลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมายได้ในอนาคต

คุณฐิติมา กล่าวปิดท้ายว่า “สิงห์ เอสเตท พร้อมที่จะเดินหน้าด้วยความระมัดระวังและความมุ่งมั่นเสมอ เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ระดับ 18,000 ล้านบาทตามที่วางแผนไว้

โดยเราจะทุ่มเทด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม วิเคราะห์ตลาดอย่างลึกซึ้ง และพร้อมปรับรูปแบบการลงทุนในครึ่งปีหลังนี้

ท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ท้าทาย การปรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ เราก้าวสู่การเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญการลงทุนและพัฒนาระดับนานาชาติอย่างแท้จริง 

ความสำเร็จของเราไม่ได้วัดจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้เรามาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการนำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งไปต่อยอดสู่การสร้างคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์และบริการของ สิงห์ เอสเตท ให้แตกต่างในตลาดปัจจุบัน”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ส.ค. “แข็งค่าขึ้นมาก”ที่ระดับ 34.59 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ส.ค. “แข็งค่าขึ้นมาก”ที่ระดับ 34.59 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าได้ ตลาดรอลุ้นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รายงานการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสที่ 2 ที่อาจส่งผลต่อมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ส.ค. 2567 ที่ระดับ  34.59 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  34.99 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลุดทั้งโซนแนวรับ 34.85 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ (แกว่งตัวในกรอบ 34.55-35.02 บาทต่อดอลลาร์)

โดยแม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนสิงหาคม ออกมาดีกว่าคาด

หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง ทว่าภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ลดความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์และกดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง

ทำให้เงินบาทได้แรงหนุนจากทั้งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (ทะลุโซน 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์)

นอกจากนี้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทดังกล่าว อาจได้แรงหนุนจากการปรับสถานะ Short THB ของผู้เล่นในตลาด ที่อาจโดน Stop Loss ไปได้ หลังเงินบาทได้แข็งค่าหลุดโซนแนวรับระยะสั้นลงมา

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ จังหวะอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทยที่ทยอยลดลง

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น ที่อาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ECB และ BOJ พร้อมรอลุ้นรายงาน GDP ไตรมาสที่ 2 และผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing and Services PMIs) เดือนสิงหาคม รวมถึงการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานเบื้องต้น (Preliminary Annual Payrolls Benchmark Revision)

ซึ่งจะสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ชัดเจนขึ้น พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงาน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการเดือนสิงหาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนสิงหาคม และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อยูโรโซน (Inflation Expectations) ซึ่งสำรวจโดย ECB

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามประเด็นการเมืองฝรั่งเศส ทั้งการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่และการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี หลังมหกรรมกีฬาโอลิมปิกได้เสร็จสิ้นลง โดยเราประเมินว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส อาจเป็นปัจจัยที่กดดันภาพตลาดทุนฝรั่งเศส และส่งผลให้เงินยูโร (EUR) เสี่ยงผันผวนอ่อนค่าในช่วงนี้

▪ ฝั่งเอเชีย –  เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดจากการปรับสถานะ JPY Carry Trade หรือ Short JPY เพิ่มเติมของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับมุมมองของตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายของเฟดและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยในส่วนของ BOJ นั้น ผู้เล่นในตลาดอาจมองว่า BOJ ยังมีโอกาสทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในปีนี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจทั้ง

ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการเดือนสิงหาคม ยอดการส่งออกและนำเข้าเดือนกรกฎาคม รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ดีอยู่ ในส่วนของผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชียนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะมีการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามธนาคารกลางอื่นๆ ในโซนเอเชีย เช่น ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) หรือไม่ 

▪ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนและการเบิกจ่ายของภาครัฐ ว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าหรือไม่ ซึ่งภาพเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้

โดยในส่วนของการประชุม กนง. นั้น เราประเมินว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% และอาจยังไม่ได้มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย หากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีและมีแนวโน้มเป็นไปตามคาดการณ์ของ กนง. ส่วนประเด็นการเมืองนั้น เรามองว่า ควรติดตามการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ เพื่อประเมินว่า ภาพดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเบิกจ่ายและการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาล อย่าง Digital Wallet หรือไม่

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่ายังมีอยู่ แต่อาจชะลอลงบ้าง ทำให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าได้ หากการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่มีแนวโน้มล่าช้า กดดันฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง หรือราคาทองคำเริ่มกลับมาย่อตัวลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมจังหวะที่ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยผันผวนสูงขึ้น

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ทิศทางเงินดอลลาร์จะขึ้นกับ 1) มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด 2) บรรยากาศในตลาดการเงิน ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และ 3) ทิศทางบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อาจแข็งค่าขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า BOJ จะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.35-35.15 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.70 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ผู้หญิงวัยทำงาน ร่างกายควรรับโภชนาการอย่างไรให้เหมาะสม ที่นี่มีคำตอบ

ผู้หญิงทุกคนต่างต้องการดูดีและรู้สึกดีที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน สาว ๆ หลายคนอาจลืมดูแลตัวเอง ซึ่งรวมถึงการนอนหลับไม่เพียงพอ นั่งทำงานที่โต๊ะเป็นเวลานาน และรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ โภชนาการของคุณผู้หญิงมีความสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นใดในชีวิต จึงจะมาแบ่งปันเคล็ดลับการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพและความงามที่ดีสำหรับผู้หญิงวัยทำงาน เพื่อให้ดูแลตัวเองในระยะยาวอย่างมีคุณภาพไปเลยค่ะ

1.เน้นโปรตีนไร้ไขมัน

สาววัยทำงานเหมาะต่อการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงแต่ไร้ไขมัน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพราะในวัยนี้จะสูญเสียกล้ามเนื้อไปมากพอสมควร จึงทำให้ทั้งผิว ผม และเล็บแย่ลง ซึ่งส่วนสำคัญที่กล่าวมานี้ ย่อมต้องใช้โปรตีนเป็นส่วนประกอบทั้งหมด จึงควรเลือกรับประทานอกไก่ไม่ติดมัน เนื้อปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม เต้าหู้ หรือโปรตีนจากพืชจะดีที่สุด

2.เลี่ยงรสชาติเข้มข้นเกินไป

รสชาติของอาหารที่มีความเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นเค็ม มัน หรือหวานมากจนเกินไป ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะการปรุงแบบรสจัดทำให้อร่อยและเจริญอาหารก็จริง แต่ก็แฝงมาด้วยความอันตรายจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน หัวใจ หรือไขมันอุดตันในเส้นเลือด จึงควรเลือกเป็นรสชาติแบบกลาง ๆ และไร้มันจะดีที่สุด

3.เลือกทานไขมันดี

ถ้าชอบอาหารที่มีไขมัน แนะนำให้เลือกเป็นไขมันดี เพื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะไปทำลายไขมันเลวภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่วนใหญ่แล้ว การสะสมไขมันจนกลายเป็นลงพุง หรือความอ้วนของผู้หญิงในวัยทำงาน มักจะมาจากการสะสมไขมันอิ่มตัวที่มากจนเกินไป โดยมาจากเนื้อสัตว์และอาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ การรับประทานไขมันดีจะมาจากเนื้อปลาทะเล ถั่ว ธัญพืช อะโวคาโด และน้ำมันจากธรรมชาติต่าง ๆ จะช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันปัญหาโรคเรื้อรัง ในกลุ่มผู้หญิงทำงานได้เป็นอย่างดี

4.ทานให้เหมาะต่อการใช้พลังงาน

สิ่งสำคัญที่ผู้หญิงในวัยทำงานควรรู้ คือ การใช้พลังงานเท่าไหร่ ควรจะต้องกินเข้าไปเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งหน้าจอจนอาจจะแทบไม่ได้ใช้พลังงานเลย ดังนั้นการทานให้เหมาะสมของผู้หญิงวัยนี้ จะต้องมีพลังงานประมาณ 1,500-1,800 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เมื่อคุณต้องรับประทานอาหาร จึงควรเลือกอาหารที่ให้พลังงานในปริมาณที่แนะนำ เพื่อทำให้ใช้ได้อย่างเหมาะสมและไม่เหลือเกินมา จนกลายเป็นไขมันไม่ดีภายในร่างกาย

5.ดื่มน้ำอย่าให้ขาด

การดื่มน้ำมีความสำคัญมากต่อผู้หญิงทุกวัย ซึ่งภายในผู้หญิงทำงานควรจะต้องมีการดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้วต่อวัน ด้วยการจิบไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อให้เกิดความสดชื่น ทำให้เกิดความตื่นตัว ลดปัญหาผิวแห้งที่จะนำมาสู่ผิวหยาบกร้าน  นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นให้ระบบภายในทำงานอย่างคล่องตัว ลดความเหนื่อย ลดปัญหาสมองไม่แล่น และทำให้เกิดความสดชื่นอยู่ตลอดเวลา

เพื่อให้บรรลุถึงความงามและสุขภาพที่ดี ไม่เพียงแต่ออกกำลังกายเป็นประจำและนอนหลับให้เพียงพอ แต่คุณผู้หญิงยังต้องทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดด้วย สำหรับผู้หญิงวัยทำงานทุกคนต้องไม่ลืมที่จะดูแลตัวเอง โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะทำให้คุณเปล่งประกายจากภายในได้อย่างแท้จริงเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วาตานาเบ้ เตรียมแยกคู่ ฮิกาชิโนะ หลังจับคู่นาน 13 ปี

ยูตะ วาตานาเบ้ นักแบดมินตันชาวญี่ปุ่น ประกาศเตรียมแยกคู่กับ อลิสะ ฮิกาชิโนะ พาร์ทในการแข่งขันประเภทคู่ผสม หลังจบการแข่งขันในรายการ เจแปน โอเพ่น 2024

โดย วาตานาเบ้ และ ฮิกาชิโนะ เพิ่งคว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2024 มาครอง และเป็นสมัยที่ 2หลังเคยทำได้ที่โอลิมปิก 2020 มาแล้ว อย่างไรก็ตามนักแบดมินตันวัย 27 ปี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดีย ประกาศเตรียมแยกคู่กับพาร์ทเนอร์ หลังจากจับคู่กันมายาวนานกว่า 13 ปี

จากโพสต์ของ ยูตะ วาตานาเบ้  ระบุว่า “ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจอันอบอุ่นที่ให้กันมาอย่างต่อเนื่อง ผมขอแจ้งให้ทราบว่าการลงเล่นคู่กัน (กับอาริสะ ฮิกาชิโนะ) จะจบลงในหลังการแข่งขัน ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2024 ซึ่งจะเริ่มการแข่งขันในวันที่ 20 ส.ค.นี้”

“เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว ที่เราได้มาจับคู่กัน และ 13 ปีนั้นก็ทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างมาก เราได้แบ่งปันทุกสิ่งที่เกิดในสนามแบดมินตัน ทั้งชัยชนะ และ ความพ่ายแพ้ รวมถึงความสุขและความเศร้าด้วย

“ผมไม่มีอะไรนอกจากคำว่าขอบคุณ และผมก็ไม่สามารถที่จะขอบคุณได้มากพอ แต่ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกๆคนที่สนับสนุนและให้กำลังใจเรามาเป็นเวลานาน ทุกความสำเร็จและการเติบโตส่วนใหญ่ของเรา ต้องขอบคุณพลังที่เราได้รับมาจากทุกคนที่ส่งมาให้เรา”

“ผมหวังว่าจะได้แข่งขันต่อไปในฐานะผู้เล่นและมีส่วนช่วยวงการแบดมินตัน แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆก็ตาม ผมจะเล่นแบดมินตันให้ดี้ะทาให้เด็กๆ ที่มีอนาคตสดใส สามารถเลือกเล่นแบดมินตันได้ท่ามกลางตัวเลือกต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย”

“ผมอยากใช้โอกาสนี้ แสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อโค้ช เจ้าหน้าที่ แฟนคลับ และทุกคนที่เกี่ยวข้องที่สนับสนุนเรามาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณครับ เราหวังว่าจะได้รับคำแนะนำและการสนับสนุนต่อไปจาทกุคน”

“สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เราหวังว่าจะได้พบพวกคุณทุกคนในการแข่งขัน ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2024 เรายินดีอย่างมากหากคุณสามารถที่หาเราที่สนามได้ เจอกันที่ โยโกฮามา อารีน่า

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


บทบาทของ AI กับวงการสื่อสารในอีก 5 ปีข้างหน้า

  • จับตาเมกะเทรนด์อย่าง AI ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจการสื่อสารและการทำงานของสื่อมวลชนในอนาคต
  • AI สามารถช่วยประหยัดเวลาการทำงานของนักข่าวลงได้ถึง 20%
  • ช่วยให้นักสื่อสาร และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ สามารถพัฒนาคอนเทนต์ร่วมกันได้เร็วขึ้นและตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ยุคที่วงการสื่อสารถูกดิสรัปและยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง AI จะเข้ามาขับเคลื่อนอนาคตของวงการสื่อสาร โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2572) แนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเครื่องมือมากมาย

อย่างระบบ Automation, Crowdsourcing และ Programmatic จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์และส่งผลต่อกระบวนการทำงานในวงการสื่อสารอย่างแน่นอน

โสพิส เกษมสหสิน รองประธานอาวุโส พาร์ทเนอร์และผู้จัดการทั่วไป บริษัท เฟลชแมน ฮิลลาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า เมกะเทรนด์อย่าง AI ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจการสื่อสารและการทำงานของสื่อมวลชนในอนาคต ผลักดันให้ต้องปรับตัวให้ทันกับทุกสภาวะความเปลี่ยนแปลง

ไม่ใช่แค่การปรับตัวเพื่ออยู่รอดไปเรื่อยๆ เท่านั้น แต่ยังต้องสามารถคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อปรับตัวเข้าหาและอยู่กับความเปลี่ยนแปลงในโลกของสื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เฟลชแมน ฮิลลาร์ด ได้ทำการสำรวจข้อมูลเชิงลึกและใช้ประสบการณ์ มาวิเคราะห์พบประเด็นน่าสนใจดังนี้

AI เสริมพลังวงการสื่อสาร

จากการสำรวจพบว่า AI ได้เข้ามาเสริมพลังการทำงานในโลกของสื่อยุคใหม่ โดยปัจจุบัน สื่อชั้นนำระดับโลกอย่าง BBC, CNN, The Washington Post, AP, รวมถึงสื่อไทยชั้นนำหลายสำนักข่าว ได้นำเทคโนโลยีด้าน AI มาช่วยประมวลชุดดาต้าที่มีความซับซ้อน และแปลงผลสู่การสร้างคอนเทนต์ข่าวในรูปแบบต่างๆ แบบอัตโนมัติ (Automation)

อาทิ ข่าวผลประกอบการทางธุรกิจ ข่าวการแข่งขันกีฬา รวมถึงข่าวการเลือกตั้ง ทั้งนี้ จากการสำรวจและติดตามผลลัพธ์ พบว่า AI สามารถช่วยประหยัดเวลาการทำงานของนักข่าวลงได้ถึง 20%

นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยมอนิเตอร์คุณภาพของเนื้อหาข่าว และการเผยแพร่ข่าวบนช่องทางต่างๆ ผ่านระบบอัลกอริทึม ซึ่งจะทำให้สื่อสามารถศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคข่าวยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

รวมไปถึงการช่วยคัดกรองข่าวที่มีคุณภาพ ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าว รับมือกับข่าวปลอม และติดตามการแยกขั้วของการนำเสนอข่าว ซึ่งจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ คือกระบอกเสียงสำคัญของการสื่อสาร ทั้งวันนี้และวันข้างหน้า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าไมโครอินฟลูเอนเซอร์ ที่สามารถนำเสนอคอนเทนต์ที่มีความสมจริง (Authentic) และเข้าถึงใจผู้บริโภค (Relevant) จะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อวงการสื่อสารอย่างไม่สิ้นสุด

ดังนั้นการเติบโตของเครื่องมือ Crowdsourcing กับเครือข่ายไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (Micro-influencer Networks) แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงนักสื่อสารเข้ากับไมโครอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก จะช่วยส่งเสริมการวางแผนการสื่อสารการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และประหยัดค่าใช้จ่าย

โดยเครื่องมือดังกล่าว ยังจะช่วยให้นักสื่อสาร และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ สามารถพัฒนาคอนเทนต์ร่วมกันได้เร็วขึ้นและตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

พลังแห่งการสร้างสรรค์คอนเทนต์ ต้องสมจริงและทันเหตุการณ์

เครื่องมือ Automation และ Programmatic จะเข้ามายกระดับการผลิตคอนเทนต์ข่าวให้มีความสมจริง รวดเร็ว และทันเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะสามารถช่วยผลิตคอนเทนต์ในรูปแบบเสียง และวิดีโอได้แทนการนำเสนอข่าวในรูปแบบเดิมผ่านตัวหนังสือ

ทั้งนี้ ความสำคัญของการสร้างสรรค์คอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, ไลฟ์สตรีม, เวอร์ช่วลเรียลลิตี้, Augmented Reality, วิดีโอ 360 องศา หรือคอนเทนต์ที่ผ่านการตัดต่อแล้ว ควรจะต้องนำมาใช้ซ้ำได้และรองรับเมตาดาต้า อีกทั้งทุกคอนเทนต์ที่ถูกแชร์ออกไป จะต้องสามารถติดตามผลบนช่องทางที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด

โดยเหล่านักสร้างสรรค์คอนเทนต์ยุคใหม่ก็สามารถใช้ระบบอัลกอริทึม ช่วยติดตาม performance รวมถึงศึกษาลักษณะและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสื่อยุคใหม่ เพื่อนำข้อมูลไปต่อยอดการพัฒนาคอนเทนต์ต่อๆ ไป

AI และ มนุษย์ ในวงการสื่อสาร: พันธมิตรที่เสริมพลังกัน

การบรรจบกันของเทคโนโลยี AI และความเชี่ยวชาญของมนุษย์ กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อวงการสื่อสาร ในขณะที่ AI นำมาซึ่งประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วยดาต้า และการทำงานแบบอัตโนมัติ มนุษย์ก็จะเป็นผู้นำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงกลยุทธ์ และความเข้าใจในอารมณ์และความรู้สึก

ดังนั้นในอนาคต 5 ปีข้างหน้า ถึงแม้ AI จะเข้ามามีบทบาทในวงการสื่อสารมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถมาทดแทนศักยภาพเฉพาะทางของมนุษย์ไปได้

สื่อและนักสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่ต้องก้าวนำทุกสภาวะความเปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. Talent คือ ความเข้าใจในเทคโนโลยีที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคของ AI อย่างชาญฉลาด
  2. Techniques คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ผลจากระบบอัลกอริทึมของ AI เพื่อเข้าถึงกลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ สื่อ และกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. Technology คือ การยกระดับและสร้างความได้เปรียบในการสื่อสารผ่านการใช้เครื่องมือใหม่ๆ เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โสพิส เกษมสหสิน กล่าวสรุป

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


10 เพลงภาษาอังกฤษใช้ส่งแทนใจ ความหมายดี

หลายคนอาจกำลังมองหาเพลงภาษาอังกฤษความหมายดีๆ เพื่อส่งให้กับคนที่รู้ใจ ในบทความนี้มาเรียนภาษาอังกฤษกับเพลงไปด้วยกัน โดยจะยกเพลงภาษาอังกฤษ ที่สามารถใช้ส่งแทนใจ มีความหมายดี พร้อมคำแปล 

Taylor Swift – Snow on the Beach feat. Lana Del Rey (หิมะบนหาดทราย)

Life is emotionally abusive

And time can’t stop me quite like you did

And my flight was awful, thanks for asking

I’m unglued, thanks to you

ชีวิตมันช่างทารุณความรู้สึกฉันเหลือเกิน

และเวลาก็หยุดฉันไม่ได้ แบบที่เธอทำ

เที่ยวบินฉันมันแย่มาก ขอบคุณนะที่ถาม

ฉันไม่ได้ยึดติดแล้ว ต้องขอบคุณเธอนะ

Lana Del Rey – Yes To Heaven (ตอบตกลงกับสวรรค์)

If you go, I’ll stay

You come back, I’ll be right here

Like a barge at sea

In the storm, I stay clear

ถ้าเธอไป ฉันจะอยู่

แต่ถ้าเธอกลับมา ฉันก็จะรอเธอตรงนี้นะ

เหมือนเรือบรรทุกขนาดใหญ่กลางทะเล

แม้จะอยู่กลางพายุ ฉันก็ยังอยู่นิ่งเสมอ

Jesse Barrera & Albert Posis – Hold On Tight (จับมือไว้ให้แน่น)

Could wake up to you every day

I never ever plan to be away from you

From this world to the next

Believe me when I say that it’s

สามารถตื่นขึ้นมาพบคุณทุกวัน

ฉันไม่เคยคิดจะอยู่ห่างไกลจากคุณเลย

จากโลกนี้ไปถึงโลกหน้า

เชื่อฉันเมื่อฉันบอกว่ามันจะเป็นแบบนั้น

Bruno Mars – Just The Way You Are (แค่ในแบบที่คุณเป็น)

And when you smile

The whole world stops and stares for a while

Cause girl, you’re amazing

Just the way you are

ทุกๆครั้งที่คุณยิ้ม

โลกทั้งโลกก็หยุดหมุน เพื่อมองดูรอยยิ้มนั้นของคุณ

เพราะคุณน่ะช่างมหัศจรรย์

เป็นคุณในแบบที่คุณเป็น

Ed Sheeran – Perfect (สมบูรณ์แบบ)

Baby, I’m dancing in the dark with you between my arms

Barefoot on the grass, listening to our favorite song

When you said you looked a mess, I whispered underneath my breath

But you heard it, darling, you look perfect tonight

ที่รัก ฉันกำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางความมืด พร้อมกับมีเธอในอ้อมกอด

มีเพียงเท้าเปล่าบนพื้นหญ้า พร้อมกับฟังเพลงโปรดของเธอ

เวลาที่เธอบอกว่าเธอดูไม่สวยหรือดูดีเอาเสียเลย ฉันกระซิบเบาๆในลมหายใจของฉัน

แต่เธอก็ได้ยินนะ ที่รัก ฉันบอกว่าเธอน่ะเพอร์เฟ็กต์ที่สุดในค่ำคืนนี้

Stephen Sanchez – Until I Found You  (จนกระทั่งฉันพบคุณ)

“I would never fall in love again until I found her”

I said, “I would never fall, unless it’s you I fall into”

I was lost within the darkness, but then I found her

I found you

“ฉันไม่อาจจะหลงรักใครได้อีกจนกระทั่งฉันได้พบเธอ”

ฉันพูดว่า “ฉันจะไม่ตกหลุมรักใคร ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่คุณ”

ฉันหลงทางอยู่ในความมืดมิดแต่แล้วฉันก็ได้พบเธอ

ฉันได้พบเจอคุณ

Girl In Red – We Fell In Love In October (เราตกหลุมรักกันในเดือนตุลาคม)

You look so pretty and I love this view

Don’t bother looking down

We’re not going that way

At least I know I am here to stay

คุณดูสวยมากและฉันชอบวิวนี้

อย่ามัวแต่ก้มหน้า

เราจะไม่ไปทางนั้นกัน

อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เพื่ออยู่ข้างเธอ

Pink Sweat$ – At My Worst (ในช่วงเวลาที่เลวร้ายของฉัน)

If you stay forever, let me hold your hand

I can fill those places in your heart no one else can

Let me show you love, oh, no pretend, yeah

I’ll be right here, baby, you know it’s sink or swim

ถ้าคุณจะอยู่ตลอดไป ให้ฉันได้กุมมือคุณไว้นะ

ฉันจะเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของคุณ แบบที่ไม่มีใครจะทำให้ได้

ให้ฉันได้เเสดงความรัก โอ้ โดยไม่มีการเสเเสร้งเลย

ฉันจะอยู่ตรงนี้ ที่รัก คุณรู้ไว้นะว่าฉันพร้อมจะเผชิญกับอุปสรรคไปกับคุณ

Gavin.D – A Rocket to the Moon (จรวดมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์)

Let’s get on a rocket ship and ride to the moon

There will be my heart waiting for you, my baby

And this time around, yeah

I will be waiting. Be waiting for only you. My dear.

ขึ้นจรวดมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์กันเถอะ

ณ ที่ตรงนั้นมีหัวใจของฉันกำลังรอคอยคุณอยู่ ที่รัก

และในช่วงเวลานี้ 

ฉันจะเฝ้ารอคอย เฝ้ารอคอยเพียงแค่คุณเท่านั้น ที่รัก

Lana Del Rey – Young & Beautiful (อ่อนเยาว์และสวยงาม)

Oh that grace, oh that body

Oh that face makes me wanna party

He’s my sun, he makes shine like diamonds

ความสง่างามนั้น เรือนร่างนั้น
ใบหน้านั้นทำให้ฉันอยากจะไปสนุก
เขาคือดวงตะวันของฉัน เขาทำให้ฉันเปล่งประกายดั่งเพชร

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


วิธีกิน “มันเทศ” เพื่อลดอาการท้องผูกของสาวญี่ปุ่น

มันเทศเป็นผักประเภทหัวที่คนญี่ปุ่นนิยมนำมารับประทาน โดยมีรายงานว่ามันเทศเป็นหนึ่งในผักที่คนบนเกาะ Tokunoshima ซึ่งเป็นเกาะที่มีคนอายุมากกว่า 100 ปี จำนวนมากนิยมรับประทานเป็นประจำทุกวัน โดยพบแบคทีเรียบิฟิโดแบคทีเรียมซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ของผู้รับประทานมันเทศเป็นประจำในปริมาณที่สูง แบคทีเรียชนิดนี้มีประโยชน์ในการช่วยรักษาสภาพภาพแวดล้อมที่ดีของลำไส้และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย มารู้ประโยชน์ของมันเทศในแง่การช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก และเมนูอาหารจากมันเทศที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกจากคนญี่ปุ่นกัน

ประโยชน์ของมันเทศในแง่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก

มันเทศ 100 กรัมมีเส้นใยอาหาร 3  กรัม เส้นใยอาหารจากมันเทศญี่ปุ่นจะช่วยป้องกันอาการท้องผูกโดยช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้และปริมาณอุจจาระ ซึ่งช่วยให้การขับถ่ายคล่อง นอกจากนี้มันเทศญี่ปุ่นยังอุดมไปด้วยสารยาราปิน (Yarapin) ซึ่งเป็นของเหนียวเหลวข้นที่สังเกตได้ง่ายเมื่อหั่นมันเทศญี่ปุ่นดิบ คนญี่ปุ่นสกัดยาราปินมาใช้เป็นยาถ่าย สารชนิดนี้จะทำงานร่วมกับเส้นใยอาหารเพื่อช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี

วิธีการรับประทานมันเทศเพื่อช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นแนะนำให้คนญี่ปุ่นรับประทานเส้นใยอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ชายวันละ 20 กรัม สำหรับผู้หญิงวันละ 18  กรัม และจากรายงานล่าสุดพบว่าคนญี่ปุ่นมีค่าเฉลี่ยการรับประทานเส้นใยอาหารต่อวันประมาณ 14 กรัม ดังนั้นการรับประทานมันเทศเพิ่มวันละประมาณ 200 กรัมหรือประมาณ 1 หัว ก็เพียงพอที่จะเสริมเส้นใยให้ครบตามความต้องการของร่างกายเพื่อการขับถ่ายที่ดี อย่างไรก็ดี มันเทศมีสัดส่วนของเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำและเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้เป็น 2:1 เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำจะทำให้อุจาระที่มีปริมาณมากในลำไส้อ่อนตัวและขับถ่ายได้คล่อง ดังนั้นวิธีการรับประทานมันเทศเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกให้มีประสิทธิผลที่ดี คือ การรับประทานมันเทศญี่ปุ่นร่วมกับผักหรือผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้สูง เมนูที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี มีดังนี้

ซุปมิโซะมันเทศญี่ปุ่น รากโกโบและบุก

นอกจากเส้นใยอาหารแล้ว การดื่มน้ำที่เพียงพอก็ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี ซุปมิโซะจึงเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อรับประทานทั้งน้ำและเส้นใยอาหารเข้าสู่ร่างกาย เปลือกมันเทศอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและสารยาราปิ ซึ่งหากปรุงเป็นซุปมิโซะจะทำให้ง่ายต่อการรับประทานมันเทศได้ทั้งเปลือก อีกทั้งรากโกโบและบุกก็อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำซึ่งช่วยเสริมให้การขับถ่ายคล่องขึ้น

สลัดมันเทศญี่ปุ่นและโยเกิร์ต

มันเทศญี่ปุ่นอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร และโยเกิร์ตอุดมไปด้วยแลคติกแอซิดแบคทีเรีย ซึ่งช่วยปรับสภาพแวดล้อมของลำไส้ให้ดีไปพร้อมกับการป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก รสชาติที่หวานอร่อยของมันเทศจะเข้ากันได้ดีกับรสเปรี้ยวของโยเกิร์ต ซึ่งจะทำให้เมนูนี้เป็นที่ถูกใจของสมาชิกทุกวัยในครอบครัว

มันเทศญี่ปุ่นและอะโวคาโดอบชีส

อะโวคาโดเป็นผักที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยเสริมให้ร่างกายมีการขับถ่ายที่ดีเมื่อนำมารับประทานกับมันเทศญี่ปุ่น ทำได้โดยการ หั่นมันเทศญี่ปุ่นต้มและอะโวคาโดให้มีขนาดที่รับประทานได้ง่าย โรยด้วยชีสและมายองเนส นำเข้าเตาอบที่ 200 องศาเซลเซียสเป็นเวลาประมาณ 10 นาที ก็จะได้เมนูมันเทศญี่ปุ่นและอะโวคาโดอบชีสอร่อยถูกปากและมีประโยชน์ถูกใจ แต่ทั้งนี้หากไม่ชอบชีสก็รับประทานเพียงมันเทศปรุงสุกและอะโวคาโดก็ได้

นอกจากประโยชน์ในด้านการป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกแล้ว เส้นใยอาหารในมันเทศญี่ปุ่นยังทำหน้าที่กดการเพิ่มของระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด รวมถึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงจากปริมาณวิตามินซีที่มีมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 5 เท่า บ้านเรามันเทศญี่ปุ่นอาจมีราคาแพงก็เปลี่ยนเป็นรับประทานมันเทศไทยแทนได้ มีประโยชน์ไม่แตกต่างกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/08/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,700.0040,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,636.0039,961.7641,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,372.4035,965.58n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,108.8031,969.41n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,186.0017,979.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%923.0013,992.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,732.0041,417.12n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/08/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.0537.0537.5537.0537.0537.0537.0537.0537.0537.05
แก๊สโซฮอล์ 9136.6836.6837.1836.6836.6836.6836.6836.6836.6836.68
แก๊สโซฮอล์ E2034.9434.9435.4434.9434.9434.9434.9434.9434.94
แก๊สโซฮอล์ E8534.6934.6934.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.6449.8449.8449.8445.64
เบนซิน 9544.9449.8145.4445.0944.94
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59


About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า