“แสนสิริ” เผยความสำเร็จ Hyatt แบรนด์ระดับโลก ยื่นข้อเสนอเข้าลงทุนใน Standard International ปิดดีลปลายปีนี้
SIRI ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Standard International เครือโรงแรม The Standard และ Bunkhouse แบรนด์โรงแรมระดับ Top 10 จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure’s World Best Awards 2023 คาดปิดบิ๊กดีลนี้ได้ภายในปี 2567
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําของประเทศไทย ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) เครือโรงแรม The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) และ Bunkhouse (บังค์เฮาส์) แบรนด์โรงแรมระดับ Top 10 จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure’s World Best Awards 2023 เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจากับ Hyatt (ไฮแอท) ผู้ประกอบการโรงแรมระดับโลก เพื่อเข้าลงทุนใน Standard International สะท้อนความสำเร็จและวิสัยทัศน์ของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจ และเข้าลงทุนใน Future Growth Business (ธุรกิจที่มีมูลค่าการเติบโตในอนาคต) โดยแสนสิริ ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Standard International ในปี พ.ศ. 2560 และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจมาโดยตลอด และคาดว่าแสนสิริและ Hyatt จะสามารถปิดบิ๊กดีลนี้ได้ภายในปี 2567
การเข้าลงทุนซื้อกิจการ Standard International ของ Hyatt ครั้งนี้ จะส่งผลดีและสร้าง value added ต่อแสนสิริเป็นอย่างมาก เนื่องจาก Hyatt มีโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งทั่วโลก โดยเฉพาะโปรแกรมสมาชิก World of Hyatt ที่ประกอบไปด้วยสิทธิพิเศษและข้อเสนอมากมาย จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่พร็อพเพอร์ตี้ของแสนสิริ เนื่องจากดีลซื้อขายที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ แสนสิริยังคงเป็นเจ้าของพร็อพเพอร์ตี้ ประกอบไปด้วย The Standard, Hua Hin (เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน) The Standard Residences, Hua Hin (เดอะสแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ หัวหิน) The Peri Hotel, Hua Hin (เดอะ เภรี โฮเต็ลหัวหิน) The Peri Hotel, Khao Yai (เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่) และเป็นเจ้าของ The Manner โรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ที่กำลังจะเปิดตัวในย่านโซโหของเมืองนิวยอร์กในเดือนกันยายน 2567 และที่สำคัญ แสนสิริยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจ Hospitality และมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคตเช่นกัน
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการติดต่อจากเชนโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งเราวิเคราะห์ว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี เนื่องจากพิจารณาจังหวะโอกาส ปัจจัยพื้นฐาน สภาวะตลาด ตลอดจนนโยบายในการบริหารว่าสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่แสนสิริกำหนดไว้ คือการสร้างการเติบโตให้กับ Standard International ได้อย่างแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในระยะยาว ปัจจุบัน โอกาสทางธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ส่งผลให้แนวโน้มความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม มีโมเมนตัมเชิงบวกต่อภาพรวมของธุรกิจ
“แสนสิริในฐานะ No.1 แบรนด์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําของประเทศไทย ขอขอบคุณ Hyatt แบรนด์โรงแรมชั้นนำชั้นนำระดับโลก ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของ Standard International หนึ่งในธุรกิจทางด้าน Hospitality ของแสนสิริ ถือเป็นก้าวสำคัญในแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของ Standard International โดยมั่นใจว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ของ Hyatt นอกจากจะสะท้อนถึงความสำเร็จในการลงทุน Standard International ของแสนสิริแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหลากหลายด้านให้กับลูกค้าและทีมงานของ Standard International อีกด้วย” นายอุทัย กล่าว
ทั้งนี้ สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ยังครอบคลุมสัญญาบริหารและแฟรนไชส์สำหรับโรงแรมมากถึง 21 แห่ง มีห้องรวมกันราว 2,000 ห้อง มีทั้งโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว อาทิ The Standard, London (เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน) The Standard, High Line (เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์) ในเมืองนิวยอร์ก The Standard, Bangkok Mahanakhon (เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร) และโรงแรมบูติคอย่าง Hotel Saint Cecilia (โฮเทล เซนต์ เซซิเลีย) ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และ Hotel San Cristóbal (โฮเทล ซาน คริสโตบัล) ในเมืองบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก
หลังจากที่บรรลุข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าว Hyatt จะชำระค่าตอบแทนเริ่มแรกจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเติมอีกสูงสุดไม่เกิน 185 ล้านดอลลาร์ สำหรับโรงแรมแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารโดย Hyatt
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 แสนสิริมีผลงานยอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 25,000 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของเป้าทั้งปีที่ 52,000 ล้านบาท ทางด้านรายได้ ครึ่งปีแรกทำได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 บาท โตขึ้น 8% (เทียบ Year on Year) กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิเมื่อเทียบในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ศุภาลัยลงทุนเพิ่ม 2 จังหวัดขายดี ผุด “ลากูน หัวหิน” กับ “ปาล์มวิลล์ ม่อนกระทิง-ลำปาง”
ศุภาลัย เชื่อมั่น ! ตลาดบ้านเดี่ยว 2 ชั้น กระแสตอบรับดี วางหมากเพิ่ม 2 จังหวัดขายดี ขานรับความต้องการลูกค้าในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับลำปาง เตรียมเปิด Presales 24-25 สิงหาคมนี้ โครงการ “ศุภาลัย ลากูน หัวหิน” และ “ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ ม่อนกระทิง-ลำปาง”
วันที่ 19 สิงหาคม 2567 นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ลงสนามตลาดที่อยู่อาศัยภูมิภาคอย่างจริงจังและมากขึ้น ส่งผลให้ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในแบรนด์ศุภาลัย ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากลูกค้าคนท้องถิ่น
ล่าสุด บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ฝั่งหัวหิน แบรนด์ “ศุภาลัย ลากูน หัวหิน” ทำเลติดถนนใหญ่ ใกล้ถนนเลี่ยงเมือง (Bypass) ออกแบบเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอย 178-417 ตารางเมตร สไตล์ Classic European บรรยากาศยุโรปทัสคานีที่เป็นได้ทั้งบ้านอยู่อาศัย และบ้านพักตากอากาศ โอบล้อมด้วยวิวภูเขา รายล้อมด้วยธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 3 ไร่…
ควบคู่กับเปิดโครงการใหม่ “ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ ม่อนกระทิง-ลำปาง” ออกแบบเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 138-190 ตารางเมตร พร้อมแบบบ้านขายดียอดนิยมสไตล์ Modern Tropical บนทำเลศักยภาพสูง ใกล้ถนนเลี่ยงเมืองลำปางและถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง
ทั้งนี้ ศุภาลัยทำการบ้านรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ดินเพื่อเตรียมพัฒนา สินค้าที่จะส่งมอบต้องสะท้อนความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแต่ละจังหวัด จากการที่บริษัทมีการสนับสนุนจ้างงานบุคลากรที่เชี่ยวชาญในพื้นที่ ทำให้ ศุภาลัย เข้าใจวิถีการใช้ชีวิต และความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ ส่งผลให้สินค้าบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สามารถครองใจ และครองตลาดภูมิภาคได้เสมอ
รายละเอียดโครงการ ศุภาลัย ลากูน หัวหิน มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท พัฒนาบนที่ดินผืนใหญ่ 94 ไร่
สัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติ ผสานความมีระดับ กับบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดใหญ่ ตกแต่งหรูหราในสไตล์ Classic European ดีไซน์บ้านเน้นใช้ชีวิตอยู่อาศัยกับครอบครัว หรือเปลี่ยนเป็นบ้านพักตากอากาศ พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 3 ไร่
แบบบ้านมีให้เลือกหลากหลาย ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ สไตล์ทัสคานี พื้นที่ใช้สอย 178-417
ตารางเมตร จัดเต็มฟังก์ชั่น 4-5 ห้องนอน 2-3 ที่จอดรถ ห้องนอนชั้นล่างที่จะได้สัมผัสกับความสะดวกสบายในทุกด้าน พร้อมติดตั้งโซลาร์เซลล์ทุกหลัง ราคา 5.19-15 ล้านบาท
ในโอกาสแนะนำโครงการใหม่ ลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์ฟรีแอร์ทุกห้องนอน พร้อมระบบ Home Automation & Security รวมถึงรองรับ EV Charger พิเศษ นอกจากนี้มีออปชั่นสระว่ายน้ำส่วนตัว (เฉพาะแปลงที่กำหนด)
มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ สระว่ายน้ำระบบน้ำแร่, Coworking space, Fitness และ Putting Golf เติมเต็มการใช้ชีวิตประจำวันและการพักผ่อนอย่างสมบูรณ์แบบ บริษัทกำหนดจัดอีเวนต์ Presales วันที่ 24-25 สิงหาคมนี้ มีโปรโมชั่นพิเศษรับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท
รายละเอียดโครงการ “ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ ม่อนกระทิง-ลำปาง” ดีไซน์บ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์ Modern Tropical มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ทำเลติดถนนใหญ่ เดินทางสะดวกใกล้ถนนเลี่ยงเมืองลำปาง และถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง จำนวน 191 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 138-190 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
ไฮไลต์ออกแบบเป็นบ้านประหยัดพลังงาน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ กับฟังก์ชั่นที่ลงตัว
3-4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, Fitness, CoWorking Space, สวนสาธารณะ, สนามเด็กเล่น, ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
กล้อง CCTV
พร้อมระบบเข้าออกโครงการด้วยระบบ LPR อ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ รวมทั้งบ้านทุกหลังติดตั้งระบบ Home Automation & Security โดยมีกำหนดจัดอีเวนต์ Presales วันที่ 24-25 สิงหาคมนี้ ณ สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ ม่อนกระทิง-ลำปาง หรือสอบถามเพิ่มเติม Facebook : ศุภาลัย ลำปาง
“เรายังคงมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มและความต้องการตลาดบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ราคา 4-15 ล้านบาทขึ้นไป ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดที่เคยเปิดโครงการแล้วอย่าง ลำปางและประจวบฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในพื้นที่ จนสามารถขยายพอร์ตเปิดโครงการเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าภายในจังหวัดเพิ่มเติมได้”
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ส.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.15 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทกรอบการเคลื่อนไหวในวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.25 บาท/ดอลลาร์ ตลาดจับตากนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50%
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ส.ค. 2567 ที่ระดับ 34.15 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่มากกว่าที่เราประเมินไว้พอสมควร ดังจะเห็นได้จากการที่เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลุดโซนแนวรับที่ประเมินไว้ ซึ่งเรามองว่า การแข็งค่าขึ้นดังกล่าวของเงินบาทได้รับอานิสงส์จากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ (หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่)
แต่ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทก็ยังมีความเสี่ยงกลับมาอ่อนค่าได้บ้าง หลังการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องดังกล่าวของเงินบาทได้รับรู้ปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าไปมากแล้ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าว อย่าง แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงหนัก หรือ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดย้ำว่า เฟดอาจไม่ได้จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองไทยก็อาจยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง จนกว่าการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่จะเสร็จสิ้น
ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทก็อาจแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ตามโมเมนตัมการแข็งค่าที่ยังคงมีกำลังอยู่ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยในวันนี้ เรามองว่า แม้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ตามคาด แต่หาก กนง. ยังคงมุมมองเดิมต่อแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและไม่ได้ส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยนโยบาย ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทได้
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า กนง. อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยทยอยปรับตัวลดลง ซึ่งเราก็เห็นแรงซื้อจากฝั่งนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในช่วงดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้น หาก กนง. ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน
โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสถานะการลงทุนบอนด์ออกไปบ้าง อนึ่ง เรามองว่า แม้เงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ก็อาจติดโซนแนวต้านแรกแถว 34.20 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวต้านสำคัญในช่วง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งก็อาจยังไม่เห็นได้ในเร็ววันนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.25 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแกว่งตัว sideways ในกรอบ 34.13-34.26 บาทต่อดอลลาร์ โดยแม้ว่าเงินบาทจะได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ทว่า เงินบาทก็มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ และอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ตามรายงานข่าวว่า ทางการอิสราเอลยอมรับข้อเสนอการทำข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาแล้ว ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในโหมด wait and see เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมโดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธานเฟดในงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง ตามแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Exxon Mobil -3.3% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.20%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.45% กดดันโดยการปรับตัวลงหนักของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ Shell -2.8% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปในช่วงนี้ออกมาบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการฝั่งยุโรป รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงราว -6bps สู่ระดับ 3.81% หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยในปีนี้ ได้ราว -100bps นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงคืนที่ผ่านมาก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น หากผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่ โดยอาจกลับมามองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทั้งนี้ ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน อาจยังไม่น่าดึงดูดใจมากพอ
ทำให้เรายังคงคำแนะนำเดิม “เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip” หรือเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น ส่วนจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นนั้น ก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดพิจารณาขายทำกำไรได้บ้าง หากมีกลยุทธ์ Range-Bound Trading
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนช่วยหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นจากโซน 146.50 เยนต่อดอลลาร์ สู่ระดับ 145 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.3-101.9 จุด)
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็เริ่มเจอโซนแนวรับและอาจแกว่งตัว sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธานเฟด ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าในช่วงแรกราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะทยอยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ตามการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ทว่า ราคาทองคำก็พลิกกลับมาปรับตัวลดลงราว -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามแรงขายต่อเนื่องของผู้เล่นในตลาด หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มคลี่คลายลง หากอิสราเอลและฮามาสสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ ทั้งนี้ ราคาทองคำมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซน 2,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หนุนโดยแนวโน้มเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ยังคงปรับตัวลดลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราประเมินว่า กนง. อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6-1 หรือ 5-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% ตามเดิม ทว่า ควรจับตาอย่างใกล้ชิด ว่า กนง. จะมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทยอย่างไร จากพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงนี้ รวมถึงจากรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ซึ่งได้ประกาศไปในช่วงต้นสัปดาห์
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานเบื้องต้น (Preliminary Annual Payrolls Benchmark Revision) ซึ่งอาจสะท้อนว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในช่วงที่ผ่านมานั้น อาจน้อยกว่าที่ได้รายงานก่อนหน้า
สอดคล้องกับยอดการจ้างงานในส่วนของ Household Survey (ที่ใช้คำนวณอัตราการว่างงาน) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ซึ่งจะเปิดเผยในช่วงเช้าตรู่ ของวันพฤหัสบดี ราว 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 13 เดือน (นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค. 2566) ที่ระดับ 34.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.13-34.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.36 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.21 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดประเมินว่า น่าจะเห็นท่าทีในเชิง Dovish ที่สะท้อนโอกาสการลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. นี้เป็นต้นไป จากทั้งรายงานการประชุมเฟดเมื่อ 30-31 ก.ค. ที่จะเปิดเผยคืนนี้ และถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลประธานเฟดจากงานสัมมนาประจำปีของเฟดที่แจ็กสัน โฮล ในช่วงปลายสัปดาห์ นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากราคาทองคำในตลาดโลกที่ยังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,500 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.95-34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ของสกุลเงินเอเชีย สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ของไทย รวมถึงรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 30-31 ก.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ครีม บุศนันทน์ ปราบสาวแคนาดา ทะยาน 16 คน แบดมินตัน เจแปน โอเพ่น
“ครีม” บุศนันท์ อึ๊งบำรุงพันธ์ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะสาวแคนาดา 2 เกมรวด ทะยานรอบ 16 คน ด้าน “มุก-แอนฟิล” คู่สาวไทยพลิกชนะคู่ยูเครน ลิ่วรอบสองเช่นกัน
การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ 28,900,000 บาท ที่เมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น เป็นรายการเก็บคะแนนสะสมแรก หลังจบศึกโอลิมปิกเกมส์ 2024 แข่งขันระหว่าง 20-25 ส.ค.นี้ ที่โยโกฮาม่า คานากาวะ ประเทศญี่ปุ่น
ล่าสุดเมื่อ 20 ส.ค. 2567 เปิดฉากทำการแข่งขันเป็นวันแรก มีนักกีฬาไทยมีคิวลงทำการแข่งขันด้วย โดยเป็นเกมในรอบแรก (32 คน/คู่) ประเภทหญิงเดี่ยว “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 14 ของโลก เจ้าของแชมป์โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น 2024 เมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ประเดิมสนามรอบแรก พบกับ เหวิน ยู่ชาง มือ 46 ของโลก จากแคนาดา แมตช์นี้เป็น “ครีม” ที่เหนือกว่าใช้เวลา 39 นาที ตบเอาชนะไป 2-0 เกม 21-15 และ 21-13 ผ่านเข้ารอบสอง หรือรอบ 16 คนสุดท้ายไปพบกับ หวัง ซี่ยี่ มือ 6 ของโลก และมือวางอันดับ 3 ของรายการจากจีน
ด้านประเภทหญิงคู่ “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิล” สุกฤตา สุวะไชย คู่มือ 120 ของโลก ระเบิดฟอร์มเอาชนะ โพลิน่า บูห์โรว่า กับ เยฟเฮเนีย คันเทมีร์ คู่มือ 44 ของโลก จากยูเครน ไปได้ 2-0 เกม 21-17, 21-17 ผ่านเข้ารอบ 16 คู่สุดท้ายไปพบกับ นามิ มัตสึยาม่า กับ ชิฮารุ ชิดะ คู่เหรียญทองแดง โอลิมปิกเกมส์ 2024 ดีกรีคู่มือ 4 ของโลก และคู่มือ 3 ของรายการ จากญี่ปุ่น ต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
5 วิธีลดเสี่ยง “ภูมิแพ้” ที่พบบ่อยในหน้าฝน
ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ช่วงนี้ ใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ อาจจะต้องรับมือหนักหน่อย เพราะโรคเหล่านี้จะมาเยือนเราบ่อยในหน้าฝน สาเหตุก็เพราะช่วงฝนตก อากาศจะมีความชื้นสูง และถ้าเจออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน และบางทีก็ต้องเข้าไปอยู่ในห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ ก็อาจทำให้มีอาการแพ้ง่ายขึ้น
พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช จะมาให้ความรู้ว่าในช่วงหน้าฝนนี้ เราควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะกับเด็กเล็กซึ่งเป็นแต่ละที อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว
โรคภูมิแพ้ ที่พบบ่อย มีอะไรบ้าง
- โรคแพ้อากาศ หรือ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)
เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์ ละอองหญ้า เชื้อรา สารก่อระคายเคือง เช่น ฝุ่น PM2.5 ควันไฟ ธูป บุหรี่ และมลภาวะต่างๆ โดยเฉพาะท่อไอเสีย ซึ่งเด็กๆ มักจะมีอาการคัดจมูก คันจมูก จามบ่อย มีน้ำมูกใสๆ ไอแบบคันคอ มีน้ำมูกไหลลงคอ กระแอมบ่อยๆ บางรายอาจมีอาการคันตาร่วมด้วย แต่จะไม่มีไข้ โดยอาการมักเป็นๆ หายๆ ตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือตอนค่ำก่อนเข้านอน หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดโรคไซนัสอักเสบตามมาได้
- โรคหอบหืด (Asthma)
เกิดจากหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าปกติ เช่นเดียวกันกับการแพ้อากาศ ทำให้เกิดอาการหลอดลมหดเกร็งและบวมเนื่องจากการอักเสบ หรือเมื่อโดนฝนติดหวัด ก็อาจกระตุ้นให้หอบหืดกำเริบได้เช่นกัน ซึ่งเด็กๆ มักมีอาการไอเหนื่อย ไอเวลาวิ่งเล่นออกกำลังกาย โดยเฉพาะไอตอนกลางคืน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกหายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ดๆ อาการหอบเหนื่อยอาจเป็นๆ หายๆ และเรื้อรังได้
- โรคหลอดลมฝอยอักเสบ หรือ หลอดลมไว (Bronchiolitis)
โรคนี้มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการอักเสบบริเวณหลอดลมฝอย ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะ RSV (Respiratory syncytial virus) และไวรัสอื่นๆ เช่น Influenza Parainfluenza Adenovirus Enterovirus และ Humanmetapneumovirus นอกจากนี้ยังเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycoplasma ได้ด้วย ซึ่งเด็กๆ มักจะมีอาการไข้สูง น้ำมูก ไอ คล้ายไข้หวัดนำมาก่อน 2-3 วัน จากนั้นจะมีอาการไอเหนื่อย หายใจเหนื่อยหอบ เสมหะมากขึ้น และหายใจมีเสียงผิดปกติ มีเสียงวี๊ดได้ ซึ่งเด็กๆ จำเป็นต้องรักษาด้วยการพ่นยาขยายหลอดลม ล้างจมูก ดูดน้ำมูกเสมหะ จนถึงบางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
สำหรับในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่มีประวัติเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว อาจกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ จนถึงโรคหอบหืดได้
การหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ คือ วิธีที่ดีที่สุด
เด็กไทยแพ้ไรฝุ่น แมลงสาบ และขนสัตว์ มากที่สุดตามลำดับ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงฝุ่นทั้งนอกบ้านและในบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้พรม การมีตุ๊กตาหรือผ้าขนสัตว์ในบริเวณที่เลี้ยงเด็ก และรักษาความสะอาดของบริเวณบ้าน เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ แนะนำให้ล้างจมูกเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่มีอาการ
การดูแลสุขภาพในหน้าฝน
- ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
- ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นอย่างเฉียบพลัน เมื่ออากาศเย็นลงควรใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป
- หากโดนละอองหรือตากฝน ควรรีบอาบน้ำสระผมด้วยน้ำอุ่น เช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งโดยไว
- กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น
- หากเพิ่งเดินผ่านอากาศร้อนจัดๆ ควรต้องยืนพักในที่ร่มก่อนจะเปลี่ยนเข้าไปในบริเวณห้องแอร์ที่มีอากาศเย็น เพื่อให้ร่างกายและจมูกปรับสภาพ จะช่วยลดอาการกำเริบของภูมิแพ้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำถามฮิต “สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ” พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
สัมภาษณ์งาน ภาษาอังกฤษ (Job Interview)
สัมภาษณ์งานทีไร กังวลทุกทีเลย เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จะเผยเคล็ดลับ “ตอบคำถามสัมภาษณ์งานอย่างไร” ให้ถูกคัดเลือก ไม่ใช่คัดออก
การสัมภาษณ์งาน HR ถือว่าเป็นด่านแรก ที่จะพิจารณา เราในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ คุณสมบัติในการทำงาน มุมมองในการทำงาน และบุคลิกภาพ เราจึงควร ยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มที่ดูจริงใจและผ่อนคลายทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอยากร่วมงานด้วย และแสดงให้เห็นว่าคุณก็อยากร่วมงานกับเขาเช่นกัน
และที่สำคัญคุณจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมกับการตอบคำถาม สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ ได้รวบรวมคำถาม สัมภาษณ์งานสุดฮิต มาให้แล้ว
คำถามฮิต สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
(Job interview questions and best answers)
Please introduce yourself?
แนะนำตัวเองให้ฟังหน่อย?
My name is (…ชื่อจริง…).
I’m (…อายุ…) years old.
I graduated from (…คณะที่จบ…)
from (…มหาวิทยาลัยที่จบ…)
I am (a / an …งานที่เคยทำ…)
Can you tell me about your career?
เล่าเกี่ยวกับการทำงานของคุณได้ไหม
I used to be (a / an …อาชีพ…). I have an experience in (…ทักษะที่ใช้ทำงาน…) for a (…ระยะเวลาที่ทำงาน… years / month).
ถ้ายังไม่เคยทำงาน ให้พูดถึงประสบการณ์ฝึกงาน หรือใน มหาวิทยาลัย
What is your strength?
จุดแข็งของคุณคืออะไร?
I have an extremely strong (…ทักษะที่ถนัด…) skills. หรือ My greatest strength is a / an ……. .
พูดถึงทักษะที่ถนัดแล้วอธิบายต่อว่า เราถนัดเพราะอะไร
ตัวอย่าง
My greatest strength is my problem-solving skills.
จุดแข็งฉัน คือ ทักษะการแก้ปัญหา
What is your weakness?
จุดอ่อนของคุณคืออะไร?
For my weakness, I can speak English but I think I have to learn more.
การพลิกจุดอ่อนให้เป็นข้อดี เช่น ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ฉันคิดว่าต้องเรียนเพิ่มมากกว่านี้
What do you know about our company?
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง?
I know that your company is (…..ข้อมูลบริษัท…..)
ข้อนี้ต้องศึกษาข้อมูลบริษัทเยอะๆ เลย ว่าบริษัทที่เราสมัครทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีคู่แข่งเป็นใครบ้าง
Why do you want this job?
ทำไมคุณถึงอยากได้งานนี้?
I want this job because (…เหตุผลที่อยากได้งาน….).
อาจจะพูดต่อว่าอาชีพนี้จะสามารถเพิ่มทักษะของเราอย่างไร ให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด
Why should we hire you?
ทำไมเราถึงต้องจ้างคุณ?
I believe that my experience with (…ทักษะที่มี….) and …… skills to be an asset to your company.
*ถ้ายังไม่เคยทำงาน ให้พูดถึงประสบการณ์ฝึกงาน หรือใน มหาวิทยาลัย
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
IBM ถอดรหัส ‘เทรนด์เอไอ’ ผ่านงาน Think 2024 ชี้ทางรอดธุรกิจยุคดิจิทัล
เจาะลึกเทรนด์ AI กำลังมาแรงและมีผลกระทบต่อธุรกิจ พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริงในอาเซียน ผ่านเวที IBM Think 2024 คาด ‘ตลาดเอไอไทย’ โต 6.3 หมื่นล้านในปี 2030
ในงาน IBM Think 2024 ที่จัดขึ้น ณ ประเทศสิงคโปร์ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง IBM ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของภูมิภาคอาเซียน ภายใต้แนวคิด “Empowering Possibilities with AI” หรือ “เสริมพลังแห่งความเป็นไปได้ด้วย AI” สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทอันทรงพลังของเทคโนโลยี AI ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการธุรกิจและเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ทั่วโลกจะมีการใช้จ่ายด้าน AI สูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 108 ล้านล้านบาท) ในช่วงปี 2023-2027 และยิ่งไปกว่านั้น ภายในปี 2030 เทคโนโลยี AI จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 16 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 576 ล้านล้านบาท)
ในส่วนของภูมิภาคอาเซียน หลายประเทศกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลให้กับการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในหลากหลายภาคส่วน เช่น
- อินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน คาดการณ์ว่า AI จะสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 366 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13 ล้านล้านบาท)
- มาเลเซีย ตั้งเป้าสร้างโรงงานอัจฉริยะที่ใช้ AI ถึง 3,000 แห่งภายในปี 2030 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำ AI มาปฏิวัติภาคอุตสาหกรรมการผลิต
- สิงคโปร์ ประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีของภูมิภาค ประกาศลงทุนมหาศาลถึง 740 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 26,640 ล้านบาท) ใน AI ในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมกับแผนการเพิ่มบุคลากรด้าน AI เป็น 15,000 คน
- ไทย คาดการณ์ว่าตลาด AI จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 1,773 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63,828 ล้านบาท) ในปี 2030
3 แนวโน้มสำคัญของ AI
IBM ได้เผยถึง 3 แนวโน้มสำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงการ AI อย่างมีนัยสำคัญ ไว้ดังนี้
1) โมเดลภาษาขนาดเล็ก (Smaller Language Models: SLM) – “AI ขนาดเล็กลง แต่ฉลาดขึ้น” บริษัทกำลังพัฒนา AI ที่ใช้พลังงานและทรัพยากรน้อยลง แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้ AI ได้ง่ายขึ้น แม้แต่บนสมาร์ทโฟน เราก็จะเห็นได้ว่าสามารถเข้าถึงเอไอได้มากกว่าเดิม
2) Bring Your Own Foundational Model (BYOM) – “AI ที่ปรับแต่งได้” แนวคิดนี้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะขององค์กร โดยเปิดโอกาสให้แต่ละบริษัทสามารถปรับแต่ง AI ให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจและข้อมูลเฉพาะของตน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน
กล่าวให้เห็นภาพมากขึ้น อโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประจำประเทศไทยได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ BYOM ไว้ว่า “องค์กรหลายๆ องค์กรนั้นขาดความเข้าใจเรื่อง เอไอสาธารณะ (Public AI) และ เอไอประจำองค์กร (Private AI) แต่ไปบอกว่าให้พนักงานใช้เอไอ เมื่อพนักงานเอาข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าหรือความลับของบริษัทโยนเข้าไปในเอไอเหล่านั้นมันขึ้นไปอยู่บนคลาวด์ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้
ดังนั้น การใช้เอไอภายในองค์กรอยากให้บริษัทสนใจ Private AI มากขึ้น เพื่อความปลอดภัย และสามารถแก้ไขปัญหา ปรับแต่งให้เข้ากับงานแต่ละด้านขององค์กรได้ถูกจุด”
3) AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) – “AI ที่น่าเชื่อถือ” แนวโน้มนี้เน้นการพัฒนา AI ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และมีจริยธรรม หรือ “Trust” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานและสังคมโดยรวม
นอกจากนี้ IBM ยังได้เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดชื่อ “Granite” ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ มีความน่าเชื่อถือสูง และที่สำคัญคือเปิดเผยซอร์สโค้ดให้นักพัฒนาสามารถนำไปต่อยอดได้
อาเซียนนำ AI ไปใช้จริงมากแค่ไหน?
IBM ยังได้เปิดเผยว่าหลายองค์กรชั้นนำในอาเซียนได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI ของบริษัทไปประยุกต์ใช้แล้ว ได้แก่
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยาในไทยใช้ AI ช่วยพัฒนาแอปพลิเคชัน
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้ AI ในศูนย์บริการลูกค้า ช่วยลดเวลารอสายได้ถึง 80%
- มาเลเซีย บริษัท SMART Modular Technologies ใช้ AI ในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในโรงงาน
- ธนาคาร Bank Islam นำ AI มาช่วยปรับปรุงระบบการเงิน
อย่างไรก็ดี AI กำลังมีบทบาทสำคัญในหลายภาคส่วนของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน HR, Marketing และ IT ที่มีแนวโน้มว่าจะนำเทคโนโลยีใหม่นี้เข้ามาปรับใช้ก่อนเป็นวงการแรก
ด้านทรัพยากรบุคคล (HR) AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน เช่น การใช้ AI ในการแปลเอกสารหรือปรับแต่งระบบต่างๆ ทำให้พนักงานสามารถทุ่มเทเวลาไปกับงานที่สร้างสรรค์และมีคุณค่ามากขึ้น IBM พบว่าการนำ AI มาใช้ภายในองค์กรสามารถลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคลได้ถึง 40%
ด้านการตลาด (Marketing) AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ด้านไอที AI กำลังปฏิวัติวงการการพัฒนาแอปพลิเคชัน ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจโค้ดและโครงสร้างของแอปพลิเคชันเดิม ทำให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยสร้างโค้ดใหม่ได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์
IBM มองว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจในอาเซียนอย่างรวดเร็วโดยช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ
ท้ายที่สุด IBM คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นการใช้ AI แพร่หลายมากขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กรที่ต้องการความสำเร็จในยุคดิจิทัล
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“ผักกระสัง” ผักอุดมเบต้าแคโรทีน ช่วยสร้างภูมิ ป้องกันหัวใจขาดเลือด เจอแล้วอย่าถอนทิ้ง
เวลาพบเจอผักกระสังตามแปลงผักหรือกระถางต้นไม้ เรามักจะรีบถอนทิ้งโดยไม่ลังเล? เพราะส่วนใหญ่แล้ว เราจะมองว่ามันเป็นเพียงวัชพืชที่แย่งอาหารและน้ำจากพืชที่เราปลูก แต่ถ้าได้ลองมาทำความรู้จักกับกระสังให้มากขึ้น คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับมันไปเลยก็ได้
รู้จักผักกระสัง
กระสัง เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มักขึ้นตามที่ร่มชื้น มองดูเหมือนจะไร้ค่า แต่แท้จริงแล้ว กระสังมีคุณประโยชน์มากมายเลยค่ะ ทั้งสามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพรในการรักษาโรคต่างๆ และยังมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่ากระสังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้ กระสังยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว และไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก ทำให้เป็นพืชผักสวนครัวที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผักกินเอง
กระสัง หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Peperomia pellucida เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์พริกไทย (Piperaceae) มีชื่อเรียกขานหลากหลายตามท้องถิ่น เช่น ผักฮากกล้วย (ภาคเหนือ), ผักราชวงศ์ (แม่ฮ่องสอน), ชากรูด (ภาคใต้), ผักสังเบา (สุราษฎร์ธานี), ผักกูด (เพชรบุรี), ตาฉี่โพ (กะเหรี่ยง) และ กระสัง (ภาคกลาง)
กระสัง เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีลักษณะเด่นคือลำต้นและใบอวบน้ำ สีขาวอมเขียวใส ทำให้มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-30 เซนติเมตร เมื่อเติบโตขึ้น ลำต้นจะโน้มลงและแตกรากตามข้อ ทำให้ขยายพันธุ์ออกไปได้เรื่อยๆ
ใบกระสัง มีรูปร่างคล้ายหัวใจ ผิวใบด้านบนมันวาว ส่วนด้านล่างมีสีอ่อนกว่า ดอกกระสังมีขนาดเล็กมาก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด มีสีเขียวอ่อนหรือสีครีม
สรรพคุณของกระสัง
กระสังไม่ได้เป็นเพียงแค่พืชล้มลุกธรรมดา แต่ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น ช่วยแก้โรคเกี่ยวกับธาตุลม และมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่ามีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้กระสังยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว และไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก ทำให้เป็นพืชผักสวนครัวที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผักกินเอง
ผักกระสัง ไม่ใช่แค่พืชริมรั้วธรรมดา แต่เป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมากทีเดียวค่ะ ในทุก ๆ 100 กรัมของผักกระสัง จะให้พลังงาน 10 กิโลแคลอรี ประกอบไปด้วยน้ำ 60 กรัม แป้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี และวิตามินซี
ประโยชน์ของผักกระสังด้านสุขภาพ
- อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ: ผักกระสังเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิด เช่น วิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระในผักกระสังช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ
- ช่วยระบบย่อยอาหาร: ผักกระสังมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคท้องผูก
- มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ: ผักกระสังมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามข้อ
นอกจากคุณค่าทางอาหารแล้ว ผักกระสังยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น
- ช่วยรักษาแผล
- ลดอาการอักเสบ
- แก้ไข้
- บรรเทาอาการปวดข้อ
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/08/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,600.00 | 40,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,630.00 | 39,870.80 | 41,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,367.00 | 35,883.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,104.00 | 31,896.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,184.00 | 17,949.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 921.00 | 13,962.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,725.00 | 41,311.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/08/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.65 | 36.65 | 36.95 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 36.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.28 | 36.28 | 36.58 | 36.28 | 36.28 | 36.28 | 36.28 | 36.28 | 36.28 | 36.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.54 | 34.54 | 34.84 | 34.54 | 34.54 | – | 34.54 | 34.54 | 34.54 | 34.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.29 | 34.29 | – | – | – | – | – | – | – | 34.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 45.24 |
เบนซิน 95 | 44.54 | – | – | – | 49.81 | – | 45.04 | 44.69 | – | 44.54 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |