สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2567

เปิดTOP10อสังหาฯครึ่งปีแรกรายได้ทะลุแสนล้าน!

  • แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีแรก 2567 จะเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัยลบ ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยปรับขึ้น การไม่ผ่อนคลายมาตรการแอลทีวี  และหนี้ครัวเรือนสูงระดับ 91.4% ต่อจีดีพี ซึ่งยังคงเป็นปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย
  • แต่บรรดาบิ๊กคอร์ปยังคงรักษาผลประกอบการได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการ  

อนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  กล่าวว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ รวบรวมผลผู้ประกอบการที่มีรายได้และกำไรมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 หรือ “TOP 10” อสังหาริมทรัพย์ อันดับ 1 แสนสิริ มีรายได้มากถึง 19,784 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,702 ล้านบาท รายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 7%

อันดับ 2 เอพี (ไทยแลนด์) รายได้รวม 17,845 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,277 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่รับรู้ในช่วงไตรมาสที่ 2 อันดับที่ 3 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ตามมาด้วยศุภาลัย ซึ่งทั้ง 4 อันดับแรกมีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาทขึ้นไปทุกราย และกำไรสุทธิมากกว่า 2,000 ล้านบาทขึ้นไปเช่นกัน ตามมาด้วย พฤกษา, เอสซี แอสเสท, ออริจิ้น, แอสเซทไวส์, คิว เฮ้าส์ และอนันดา ตามลำดับ

“ยังคงมีสัญญาณบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น การลดภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นตลาดได้ในบางส่วน ทั้งมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายสามารถรักษารายได้และกำไรต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาด”

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการมองหาโอกาสในการแข่งขัน หาจุดแข็งของตัวเองเพื่อตอบสนอความต้องการของลูกค้า บางกลุ่มมีการทำตลาดแบบกระจายหลากหลายเซกเมนต์ หรือเจาะ Niche Market มากขึ้น เช่น ที่อยู่อาศัยแบบ Pet Friendly กลุ่มแคมปัส หรือเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุน  เฉพาะตลาดให้เช่ากลับมาคึกคักด้วยแรงหนุนการกลับมาของชาวต่างชาติ

“ทุกฝ่ายยังคงจับตามองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอสังหาฯจากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูตลาดและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


‘แสนสิริ’ ตุนเงินสดหมื่นล้าน พร้อมรับโอกาส-ลงทุนใหม่

‘แสนสิริ’ เดินหน้าตุนกระสุนเงินสด เปิดทางเชนโรงแรมโลก ‘ไฮแอท’ ซื้อกิจการ ‘สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล’ มูลค่า 1.2 หมื่นล้าน เตรียมพร้อมรับโอกาสลงทุนใหม่ในอนาคต ด้านยักษ์ใหญ่ ‘ไฮแอท’ เพิ่มความหลากหลายแบรนด์ในพอร์ต รับเทรนด์นักท่องเที่ยวยุคใหม่นิยมแบรนด์ไลฟ์สไตล์

บิ๊กคอร์ปอสังหาริมทรัพย์ “แสนสิริ” ผู้ถือหุ้นใหญ่ราว 71% ของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) เครือโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด (The Standard) และ บังค์เฮาส์ (Bunkhouse) แบรนด์โรงแรมระดับ Top 10 จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure’s World Best Awards 2023 ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับไฮแอท (Hyatt) ผู้ประกอบการโรงแรมระดับโลก เพื่อเข้าลงทุนใน สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล โดยคาดว่าจะปิดบิ๊กดีลนี้ได้ภายในปลายปี 2567

“แสนสิริ”  เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ในปี 2560  มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจเติบโต ขยายเครือข่ายปักหมุดทำเลยุทธศาสตร์เมืองท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การฟื้นตัวและเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤติโควิด-19 ซึ่งอยู่ในทิศทางที่ดี 

สำหรับดีลซื้อขายกิจการที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ “แสนสิริ” ยังคงเป็นเจ้าของพร็อพเพอร์ตี้ ประกอบไปด้วย เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน, เดอะสแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ หัวหิน, เดอะ เภรี โฮเต็ลหัวหิน, เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่ และเป็นเจ้าของ The Manner โรงแรมระดับลักชัวรีที่กำลังจะเปิดตัวในย่านโซโหของเมืองนิวยอร์กในเดือน ก.ย. 2567

โดยการเข้าลงทุนซื้อกิจการ “สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล” ของ ไฮแอท ในครั้งนี้ จะส่งผลดีและสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ต่อแสนสิริเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ไฮแอท มีโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งทั่วโลก โดยเฉพาะโปรแกรมสมาชิก World of Hyatt ที่ประกอบไปด้วยสิทธิพิเศษและข้อเสนอมากมาย จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพร็อพเพอร์ตี้ของแสนสิริ

นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI  กล่าวว่า แสนสิริยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจ Hospitality ซึ่งการลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่ผ่านมา สะท้อนความสำเร็จและวิสัยทัศน์ของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจ และเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีมูลค่าการเติบโตในอนาคต (Future Growth Business) โดยหลังจากนี้แสนสิริยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ต่อเนื่อง 

 “โอกาสทางธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม มีโมเมนตัมเชิงบวกต่อภาพรวมของธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการติดต่อจากเชนโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง แต่มองว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก ต้องพิจารณาจังหวะโอกาส ปัจจัยพื้นฐาน สภาวะตลาด รวมทั้งนโยบายในการบริหารว่าสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่แสนสิริกำหนดไว้ นั่นคือ สร้างการเติบโตให้กับ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนลได้อย่างแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในระยะยาว”

“สแตนดาร์ด” ศักยภาพเติบโตสูง

ทั้งนี้ พันธมิตร “ไฮแอท” ได้มองเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจทางด้าน Hospitality ของแสนสิริ 

“ถือเป็นก้าวสำคัญในแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล และมั่นใจว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ของไฮแอท นอกจากจะสะท้อนถึงความสำเร็จในการลงทุน สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ของแสนสิริแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหลากหลายด้านให้กับลูกค้าและทีมงานของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล อีกด้วย”

นายอุทัย กล่าวต่อว่า สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ยังครอบคลุมสัญญาบริหารและแฟรนไชส์สำหรับโรงแรมมากถึง 21 แห่ง มีห้องรวมกันราว 2,000 ห้อง มีทั้งโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว อาทิ เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน, เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์ ในนิวยอร์ก, เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร และโรงแรมบูติคอย่าง โฮเทล เซนต์ เซซิเลีย ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และ โฮเทล ซาน คริสโตบัล ในเมืองบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก

โดยหลังจากบรรลุข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าว ไฮแอท จะชำระค่าตอบแทนเริ่มแรกจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเติมอีกสูงสุดไม่เกิน 185 ล้านดอลลาร์  สำหรับโรงแรมแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารโดยไฮแอท  หรือมูลค่ารวมซื้อขายกิจการในครั้งนี้ราว 335 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 12,000 ล้านบาท 

“ไฮแอท” โรงแรมที่พักทั่วโลกกว่า 1,350 แห่ง

รายงานข่าวจากเครือไฮแอท ระบุว่า ไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น (Hyatt Hotels Corporation) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในชิคาโก สหรัฐ เป็นบริษัทด้านการบริการชั้นนำระดับโลก จากข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567 ไฮแอทมีโรงแรมและที่พักมากกว่า 1,350 แห่งใน 78 ประเทศ ครอบคลุม 6 ทวีป

สำหรับแบรนด์โรงแรมที่พัก ปัจจุบันประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก รวม 29 แบรนด์ ได้แก่

กลุ่มที่ 1 Timeless Collection เช่น พาร์ค ไฮแอท, แกรนด์ ไฮแอท, ไฮแอท รีเจนซี่ และไฮแอท

กลุ่มที่ 2 Boundless Collection เช่น แอนดาซ และธอมป์สัน โฮเทลส์

กลุ่มที่ 3 Independent Collection เช่น ดิ อันบาวด์ คอลเลกชัน บาย ไฮแอท และ เดสติเนชัน บาย ไฮแอท

กลุ่มที่ 4 Inclusive Collection เช่น อิมเพรสชัน บาย ซีเคร็ตส์ 

เฉพาะประเทศไทย ปัจจุบันเครือไฮแอทมีโรงแรมให้บริการรวม 8 แห่งในเมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ, โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ, โรงแรมแอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ ภูเก็ต รีสอร์ต, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ เกาะสมุย, โรงแรมไฮแอท เพลซ กรุงเทพฯ สุขุมวิท และโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุด้วยว่า เมื่อต้นปี 2565 บริษัท วัน แบงค็อก จำกัด ได้ประกาศลงนามเซ็นสัญญาบริหารโรงแรมร่วมกับบริษัทในเครือไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น เพื่อเปิดตัวโรงแรมแอนดาซ (Andaz) แห่งแรกในกรุงเทพฯ โดยโรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี ขนาดห้องพัก 244 ห้องแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ วัน แบงค็อก (One Bangkok) มิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือของบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด

กูรูชี้เชน “สแตนดาร์ดฯ” ดึงดูดทัวริสต์ยุคใหม่

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) วิเคราะห์สถานการณ์ธุรกิจโรงแรมว่า ปัจจุบันเชนโรงแรมระดับนานาชาติรายใหญ่ได้มีการขยายพอร์ตโฟลิโอจำนวนแบรนด์โรงแรมที่พัก เพื่อให้นักลงทุนเลือกว่าแบรนด์ใดเหมาะสมที่สุดในการลงทุนทำตลาด 

ด้วยแนวโน้มตลาดลงทุนโรงแรมจะเห็นว่ามีโรงแรมอิสระ (Independent Hotel) สนใจว่าจ้างเชนโรงแรมมาช่วยบริหารมากขึ้น แน่นอนว่าบรรดาแบรนด์ต่างๆ ในพอร์ตโฟลิโอที่เลือกมาต้องสามารถสร้างความแตกต่างให้กับโรงแรมนั้นๆ ได้ ขณะเดียวกันเรื่องฐานลูกค้าลอยัลตี้โปรแกรม (Loyalty Program) ของเชนโรงแรมจะเป็นอีกแรงดึงดูดสำคัญในการพิจารณาของนักลงทุน เพราะไม่จำเป็นต้องพึ่งลูกค้าจากช่องทางแพลตฟอร์มของบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เพียงอย่างเดียวในยุคใหม่ของภาคการท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) เติบโต และเน้นมองหาโรงแรมดีมีคุณภาพ

“ธุรกิจโรงแรมกำลังเจอจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเชนโรงแรมต่างๆ เร่งดึงผู้ประกอบการหรือนักลงทุนโรงแรมในท้องถิ่น (Local) ให้หันมาว่าจ้างเชนโรงแรมบริหารมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานและยกระดับมาตรฐานด้านต่างๆ จึงมองว่าหนึ่งในเหตุผลที่เครือไฮแอทยื่นข้อเสนอเข้าลงทุนในสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จากแสนสิริ เพราะต้องการเติมความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอของเครือไฮแอท เนื่องจากแบรนด์โรงแรมของสแตนดาร์ดฯ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์แนวไลฟ์สไตล์ มีสีสัน สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากมูลค่าเรื่องแบรนด์ที่เครือไฮแอทจะได้รับแล้ว ยังได้ฐานลูกค้าในมือตามมาอีกด้วย”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22ส.ค. 67 แข็งค่าที่ระดับ 34.26 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ในจังหวะย่อตัว ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.15-34.40 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22ส.ค. 2567 ที่ระดับ  34.26 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.34 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงวันก่อนหน้า และยังอ่อนค่าลงได้ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมติ 6-1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ตามที่เราได้ประเมินไว้ในวันก่อน

 ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ Call Bottom USDTHB แถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (เราประเมินว่า เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าหลุดโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากเราคงมุมมองเดิมว่า

การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานั้นได้รับรู้ปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ไปมากแล้ว ขณะที่ เงินบาทก็เริ่มเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น หากตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในสัปดาห์นี้ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ

อีกทั้ง เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ในจังหวะย่อตัว ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ อาจขาดปัจจัยหนุนในช่วงนี้ได้ นอกจากนี้ จากการประเมินสถานะการถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงการประเมิน Valuation ของเงินบาท ก็ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจทยอยพลิกกลับมาอ่อนค่าจากโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้

อนึ่ง เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทได้กลับมาสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงชัดเจน หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ในเบื้องต้น เราประเมินว่า เงินบาทจะมีโซนแนวต้านแรกแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซนแนวต้านสำคัญในช่วง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับนั้นได้ขยับขึ้นมาแถว 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์

เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย (Jobless Claims) ไปจนถึงช่วง 20.45 น. (ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ) ซึ่งอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดในประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่รายงานข้อมูลดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ

การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.15-34.40 บาท/ดอลลาร์

นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแกว่งตัว sideways ในกรอบ 34.16-34.35 บาทต่อดอลลาร์ โดยแม้ว่าเงินบาทจะได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังการปรับปรุงรายงานข้อมูลการจ้างงานเบื้องต้น (Preliminary Annual Payrolls Benchmark Revision)

ชี้ว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในช่วง 12 เดือนที่สิ้นสุด ณ เดือนมีนาคมของปีนี้ นั้น ลดลงกว่า 8.18 แสน ตำแหน่ง จากที่ได้รายงานก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า

แนวโน้มการชะลอลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้นนั้น จะทำให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนอย่างแน่นอน (พร้อมเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมเดือนกันยายน)

และผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว -100bps ในปีนี้ ทว่า เงินบาทก็มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ และอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหนักกว่า -2.4% จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูไม่น่ากังวลมากนัก 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมีความหวังว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด

ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมากังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเสี่ยงชะลอตัวมากกว่าคาด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.42% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.33% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่ส่วนใหญ่รายงานผลประกอบการที่สดใส อาทิ Ferrari +2.5% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้รับอานิสงส์จากการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้าง ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการฝั่งยุโรป รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด

 ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวลดลงหลุดโซน 3.80% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้น ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่ระดับ 3.80% อีกครั้ง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 3.80% จนกว่าตลาดจะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด

รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น หากผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่ โดยอาจกลับมามองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมเดือนกันยายนและยังให้โอกาสราว 38% ที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ยได้ -50bps ในการประชุมดังกล่าว

หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้นและรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.9-101.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าในช่วงแรกราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับแถว 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่สุดท้ายราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมายังโซน 2,510-2,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และ

บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังตลาดรับรู้ทั้งการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้น และรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด ซึ่งความผันผวนของราคาทองคำดังกล่าว ก็ส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนด้วยเช่นกัน ตามโฟลว์ธุรกรรมทองคำที่เกิดขึ้น  

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนสิงหาคม ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น

โดยผู้เล่นในตลาดจะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งหากดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในฝั่งสหรัฐฯ นั้น ปรับตัวดีขึ้น หรือ อาจออกมาดีกว่าคาด ก็จะพอช่วยคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงชะลอตัวลงหนัก หลังตลาดรับรู้การปรับปรุงรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้นในคืนที่ผ่านมาได้บ้าง และอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย -100bps ในปีนี้

นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมถึงจับตาการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายการเงินของเฟด จากงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เม” ศุภนิดา เฉือนสาวไต้หวันหวิว เข้ารอบสองแบดมินตันเจแปน โอเพ่น

“เม” ศุภนิดา เกตุทอง หญิงเดี่ยวมือ 13 ของโลก ออกแรงถึง 3 เกมก่อนเฉือน เหวิน ชิซู จากไต้หวันไป 2-1 เกม ผ่านเข้ารอบสองแบดมินตันเจแปน โอเพ่น ไปแบบหวุดหวิด

การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29,750,000 บาท  ที่เมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อวันพุธที่ 21 ส.ค.67 เป็นการแข่งขันในรอบแรก 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก  “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มืออันดับ 13 ของโลก พบกับ เหวิน ชิซู มืออันดับ 24 ของโลกจากไต้หวัน 

เกมนี้ เม ศุภนิดา ต้องออกแรงเหนื่อยถึง 3 เกม ก่อนที่จะพลิกแซงเอาชนะไปได้แบบหวุดหวิด 2-1 เกม 12-21, 21-14 และ 21-13  “เม” ศุภนิดา ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ  เอสเธอร์ นูรูมี่ ทรี วาโดโย่ มืออันดับ 22 ของโลกจากอินโดนีเซีย ที่เอาชนะ “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 37 ของโลก มาได้ 2-0 เกม 21-14 และ 21-17 

ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก   “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 40 ของโลก เอาชนะ ไบรอัน หยาง มืออันดับ 23 ของโลกจากแคนาดา 2-0 เกม 21-9 , 21-19   “กัน” กันตภณ ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ 

ซาธิช คูมาร์ การุนคารัน มืออันดับ 42 ของโลกจากอินเดีย 

ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “เกน” ลักษิกา กัณละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มืออันดับ 23 ของโลก แพ้ให้กับ ฟรานเซสก้า คอร์เบตต์ กับ แอลลิสัน ลี คู่มืออันดับ 33 ของโลกจากสหรัฐฯ  1-2 เกม 11-21,21-18,19-21

ประเภทชายคู่ รอบแรก “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มืออันดับ 19 ของโลก แพ้ให้กับ คัง มินฮุ๊ก กับ โซว ซอนแจ คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากเกาหลีใต้ 0-2 เกม 13-21, 16-21  

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


โรคเนื้อเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน ระบาดหน้าฝน เสี่ยงเสียอวัยวะ-ชีวิต

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้ โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะระบาดในฤดูฝน ช่วงเกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน การติดเชื้อมักมีอาการรวดเร็ว และรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียอวัยวะและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

โรคเนื้อเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน คืออะไร ?

นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเนื้อเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลาย ๆ ชนิดพร้อมกัน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผลหรือรักษาใด ๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซด์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก

กลุ่มเสี่ยงโรคเนื้อเน่า

โรคเนื้อเน่าพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • โรคหัวใจ
  • โรคตับแข็ง
  • โรคมะเร็ง
  • โรคไตวาย
  • คนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์
  • คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
  • คนที่มีปัญหาของหลอดเลือดบริเวณขา
  • คนอ้วน
  • คนสูบบุหรี่
  • คนที่ติดแอลกอฮอล์

อาการโรคเนื้อเน่า

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการดังนี้

  • ผิวหนังบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ
  • ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ
  • พบมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง
  • มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว
  • เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน
  • อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • กรณีไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวลดน้อยลง ช็อค และเสียชีวิต การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว

การรักษาโรคเนื้อเน่า

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือการผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชีย คือชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของร่างกายและเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างการรักษา และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องมีการตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Phrasal Verb ที่ใช้บ่อย ในชีวิตประจำวัน

หลาย ๆ คนคงจะไม่ค่อยคุ้นเคยนักกับคำว่า Phrasal Verb ทั้ง ๆ ที่เราพบเห็นมันค่อนข้างบ่อยทั้งในเวลาเขียน หรืออ่านบทความภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับ Phrasal Verb ที่ใช้บ่อย ในเรื่องของความหมาย ส่วนประกอบ วิธีการใช้ และคำที่พบเห็นหรือใช้กันบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน จะขอแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้

  1. Phrasal Verb คืออะไร

ในการ เรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร นั้น ก่อนอื่นเราควรจะทำความเข้าใจคำว่า Phrasal Verb กันเสียก่อน คำถามแรกที่ก่อขึ้นมาคือ Phrasal Verb คืออะไร

Phrasal Verb หรือ two word verb หากเปรียบเทียบกันกับหลักไวยากรณ์ในภาษาไทยนั้นคงจะใกล้เคียงกับคำว่า กริยาวลีมากทีสุด กริยาวลีในภาษาไทยนั้นมีความหมายว่า คำที่ประกอบด้วยคำกริยา คำวิเศษณ์ หรือคำบุพบท ที่เมื่อนำมารวมกันแล้วจะมีความหมายแตกต่างไปจากเดิม

เพราะฉะนั้น Phrasal Verb หรือ two word verb ก็จะมีความหมายว่า คำที่เกิดจากการประกอบขึ้นมาใหม่ โดยมี verb, adverb, preposition หรืออาจจะเป็น preposition ทั้งสองคำ มาผสมกันจนเกิดคำศัพท์ใหม่ที่มีความหมายต่างจากเดิม

Phrasal Verb สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ดังนี้

1) กริยาวลีที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกคำบุพบท (preposition) ออกได้ และไม่ต้องมีกรรม (object) มารองรับ เรียกว่า inseparable verbs with no objects ยกตัวอย่างเช่น

wake up = ตื่นนอน

come in = เข้ามา

grow up = เติบโต

2) กริยาวลีที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกคำบุพบท (preposition) ออกได้ แต่ต้องมีกรรม (object) มารองรับ เรียกว่า inseparable verbs with objects ยกตัวอย่างเช่น

look for = มองหา

go away = ออกไป

take after = เหมือน

3) กริยาวลีที่สามารถแยกคำบุพบท (preposition) ออกได้ แต่ต้องมีกรรม (object) มารองรับ เรียกว่า separable verbs

turn on = เปิด

turn off = ปิด

take off = เครื่องบินขึ้น

4) กริยาวลีที่มีคำบุพบท (preposition) มากกว่าหนึ่งตัว อาจจะมีกรรม (object) หรือไม่มีก็ได้ เรียกว่า three-word Phrasal Verbs ยกตัวอย่างเช่น

look down on = ดูถูก

look out for = เตรียมพร้อม

catch up with = ตามให้ทัน

  1. Phrasal Verb ประกอบด้วยอะไรบ้าง

          เมื่อทราบความหมายแล้ว หัวข้อนี้จะกล่าวถึงส่วนประกอบที่ใช้ในการสร้าง Phrasal Verb หรือ two word verb

การสร้าง Phrasal Verb หรือ two word verb นั้นจะมีวิธีการผสมคำทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ

2.1  verb + preposition

คำกริยาตามด้วยคำบุพบท คือการนำคำบุพบท หรือ preposition มาต่อท้ายคำกริยา หรือ verb ที่จำเป็นจะต้องมีคำบุพบทมาต่อท้าย แต่ยังคงความหมายเดิมของคำกริยา (verb) ยกตัวอย่างเช่น

belong to = เป็นของ

wait for = รอ

protect form = ปกป้องจาก

arrive at = มาถึงที่

think about = คิดเกี่ยวกับ

agree with = เห็นด้วยกับ

believe in = เชื่อมั่นใน

etc.

2.2 verb + adverb หรือ verb + preposition

คำกริยาที่ตามด้วย คำวิเศษณ์ (adverb) หรือคำบุพบท (preposition) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม ความหมายของคำกริยาจะถูกเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม และกลายเป็นคำที่มีความหมายใหม่ ยกตัวอย่างเช่น

run in to = พบกันโดยบังเอิญ

grow up = เติบโตขึ้น

come in = เข้าไป / เข้ามา

watch out = ระวัง

break out = เกิดขึ้น

catch up = ติดตาม

calm down = ใจเย็น ๆ

etc.

2.3 verb + adverb + preposition

เป็นการนำคำกริยามาประกอบกันกับคำวิเศษณ์ (adverb) และคำบุพบท (preposition) ยกตัวอย่างเช่น

look forward to = รอคอย

get by with = พอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้

look down on = ดูถูก

keep up with = ตามให้ทัน

break up with = เลิกกันแล้วกับ

put up with = อดทน

get on with = ทำต่อไป

  1. วิธีการใช้ Phrasal Verb

3.1. หากในประโยคไม่มีกรรม (object) มารองรับ

จะต้องนำคำวิเศษณ์ (adverb) มาไว้ติดกับคำกริยา (verb) เช่น

  • May I come in, please?
  • Don’t give up.
  • I will dress up.
  • Let’s go to eat out.

3.2. หากมีคำนาม (noun) เป็นกรรม (object)

จะวางคำนาม (noun) ไว้ข้างหน้า หรือข้างหลังคำวิเศษณ์ (adverb) ก็ได้ เช่น

  • Keep the child out of my bedroom.
  • Tom put the pot down on the table.
  • Lin set the party up for her friend.
  • He take the radio apart and fix it.

3.3. หากมีคำสรรพนามเป็นกรรม (object pronoun)

จะต้องนำกรรม (object) ไว้ด้านหน้าของคำวิเศษณ์ (adverb) เช่น

  • I lost my ring, but she find it out.
  • Her mother made her up when she is going to party.
  • The shirt is very nice that I will try it on.
  • I can’t hear that sound. Can you tune it up?
  1. Phrasal Verb ที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน
break upเลิกกันkeep upเก็บรักษาturn onเปิด
call backโทรกลับlook down onดูถูกturn offปิด
clam downใจเย็น ๆlook forมองหาuse upใช้จนหมด
check inลงทะเบียนเข้าlook outระวังwake upตื่นนอน
check outลงทะเบียนออกmake upแต่งหน้าwarm upทำให้อุ่นขึ้น
cheer upมีความสุขmix upผสมwork outออกกำลังกาย
cut downตัดpay backใช้หนี้
dress upแต่งตัวput downวางลง
fall downตกrun awayวิ่งหนี
fall outหล่นออกไปset upจัดขึ้น
fill upเติมshow offแสดงออก
get backกลับบ้านswitch offปิด
get upตื่นนอนswitch onเปิด
give upยอมแพ้take apartแกะออกเป็นชิ้น ๆ
go aheadดำเนินการtake backคืน
go backกลับtake offเครื่องบินขึ้น
grow upเติบโตtake outนำออกไป
hang outสังสรรค์throw awayทิ้ง
hold onรอสักครู่turn downลดลง

Phrasal Verb หรือกริยาวลี นั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวหรือยุ่งยาก เพียงแค่หมั่นศึกษาค้นคว้าและขยันหาคำศัพท์ใหม่ ๆ ก็จะสามารถใช้ Phrasal Verb ที่ใช้บ่อย ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


การปฏิรูปสู่ ‘ดิจิทัล – AI’ สร้างจุดเปลี่ยน ‘โลกพลังงาน’

ทุกวันนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ นั้นให้ศักยภาพในการปฏิรูปพลังงาน ขณะเดียวกันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการผลิตที่สอดรับกับความต้องการได้อย่างเหมาะสม

ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดมุมมองว่า ดิจิทัลเร่งให้เปลี่ยนไปใช้ระบบพลังงานที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้เร็วขึ้น โดยขณะนี้หลายบริษัทกำลังพยายามทำความเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงในการใช้ AI  

แต่กระนั้นก็ยังคงมีอุปสรรคที่ขัดขวางการนำ AI มาใช้งานอย่างแพร่หลายอยู่ดี แม้ว่า AI สำหรับอุตสาหกรรมดูจะเป็นตัวเร่งให้มีการนำมาใช้งานก็ตาม ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องใช้ AI ทั้งหมด หรือว่าไม่ใช้เลย แต่ให้เริ่มจากกรณีการใช้งานที่เกี่ยวข้องที่สุดสำหรับธุรกิจ

ฟิลิปป์ แรมบาค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า การนำ AI มาใช้ให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของ AI นอกเหนือจากการสาธิตการใช้งานที่สวยหรูดูดี และเข้าใจถึงผลกระทบต่อธุรกิจ

“มุมมองที่เน้นธุรกิจเป็นศูนย์กลาง (Business-centric) จะช่วยให้บรรดาผู้นำสามารถตอบคำถามสำคัญได้ว่า “ควรใช้ AI ดีหรือไม่”

ให้ประโยชน์อะไรบ้าง?

ต่อคำถามที่ว่า “การปฏิรูปสู่ดิจิทัล และ AI สำหรับอุตสาหกรรมให้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้อย่างไร?” คำตอบมีอยู่หลากหลายมิติ

ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน : AI สามารถปรับกระบวนการที่ใช้พลังงานสูงในโรงงาน อาคาร และแม้แต่โรงบำบัดน้ำเสียให้มีการใช้งานได้เหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น ใช้เพื่อคาดการณ์ความต้องการในการใช้ความร้อน ปรับการใช้พลังงานได้เหมาะสม ลดต้นทุนการดำเนินงานและการบำรุงรักษา รวมถึงลดการปล่อยมลพิษ

ควบคุมความต้องการพลังงานให้เหมาะสม : AI สามารถบริหารจัดการไมโครกริด และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานเกินขอบเขต จัดการเรื่องดีมานด์และซัพพลายด้านพลังงาน การวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้

เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน : AI เข้ามาปฏิวัติเรื่องประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการใช้ความสามารถด้านการวิเคราะห์ของ AI ช่วยให้บริษัทปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดระยะเวลาดาวน์ไทม์ และบรรลุประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างน่าทึ่ง

AI สำหรับอุตสาหกรรม ศูนย์กลางของธุรกิจ : ในการนำ AI มาใช้งานไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือ การควบคุมคุณภาพของข้อมูล ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความเสี่ยงทางดิจิทัล

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

‘ค่อยเป็นค่อยไป’ ไม่ทันการณ์

คุณภาพของข้อมูลและความน่าเชื่อถือ : AI สำหรับอุตสาหกรรมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแมชีนเลิร์นนิ่ง หรือ GenAI ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกฝึกมา เพราะ AI ที่ถูกฝึกด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต ก็อาจจะไม่แม่นยำและเกิดความอคติได้เช่นกัน

เรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ว่า โมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ LLMs อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบเข้มงวดอย่างพลังงาน

ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือคือ การให้มนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ สามารถช่วยตรวจสอบและปรับปรุงรูปแบบด้วยการใช้ข้อมูลคุณภาพสูงทำให้มีความแม่นยำมากขึ้น

“หาก AI เข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานประจำวัน การให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพของข้อมูล และการจัดการกับอคติที่อาจเกิดขึ้นในข้อมูลฝึกถือเป็นสิ่งสำคัญ”

ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเสี่ยงทางดิจิทัล : ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเสี่ยงทางดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้บริหารหลายคน

สำหรับองค์กรที่กำลังกำหนดกลยุทธ์ในการใช้ AI ควรพิจารณาถึงการทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายที่มีประสบการณ์ยาวนาน เพื่อสร้างความสำเร็จ การผสานรวมเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ เข้ากับการบริหารจัดการความเสี่ยงของ AI ควรเป็นองค์ประกอบส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจ

อนาคตของพลังงานด้วย AI สำหรับอุตสาหกรรม : วันนี้ AI มีศักยภาพที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมพลังงานได้ชัดเจน ดังนั้นจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างรวดเร็ว ทั้งในฝั่งการผลิตและการนำไปใช้งานด้านความยั่งยืน

ขณะเดียวกัน การประสานความร่วมมือ และนโยบายที่ให้การสนับสนุน จะช่วยขยายการใช้โซลูชันและสร้างศักยภาพให้อุตสาหกรรมพลังงานในการเป็นหัวหอกนำพาไปสู่การปฏิรูประบบพลังงาน

“การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปนับว่าไม่ทันการณ์ เราต้องนำ AI มาปฏิรูปทั้งการผลิตและการใช้พลังงาน เพื่อก้าวไปสู่โลกที่สะอาดขึ้น และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


7 ต้นไม้สำหรับปลูกในบ้าน ช่วยคลายร้อน ปรับลดอุณหภูมิพร้อมขจัดมลพิษ

มีใครเคยทราบบ้างไหมคะว่าพืชประดับบ้านบางชนิด นอกจากจะปลูกเพิ่มความสวยงามและสร้าบรรยากาศสดชื่นภายในบ้านแล้ว มันยังมีคุณสมบัติช่วยคลายร้อนและลดมลพิษในบ้านได้ด้วย

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบต้นไม้ประดับหรือพืชพันธุ์สำหรับปลูกไว้ในห้องต่างๆ วันนี้ ในบ้านมีพืช 7 ชนิดที่เหมาะสำหรับปลูกภายในบ้านมาฝากค่ะ รวบรวมไว้ด้วยพืชหาง่ายอย่างเฟิน ว่านหางจระเข้ หรือไทรย้อยใบแหลม มีคุณสมบัติมากมายทั้งเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ แถมยังช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ด้วย จะมีชนิดไหนน่าสนใจบ้าง ลองไปชมกันเลยค่ะ

ต้นไม้ 7 ชนิดเหมาะปลูกในบ้านช่วยคลายร้อน

1. ลิ้นมังกร (Snake plant)

ลิ้นมังกรเป็นพืชที่เหมาะสำหรับปลูกไว้ในห้องนอน เพราะในช่วงเวลากลางคืนมันจะปล่อยออกซิเจนออกมาในขณะที่เรานอนหลับ ซึ่งออกซิเจนที่ได้จากลิ้นมังกรจะคอยช่วยให้ขับความเย็นและความสดชื่นไหลเวียนอยู่รอบกายเราตลอดคืน ทำให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่

2. ว่านหางจระเข้ (Aloe vera)

ว่านห่างจระเข้ หนึ่งในพืชที่เป็นยาดีสำหรับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดอุณภูมิความร้อนภายในห้อง และยังมีประสิทธิภาพในการเพิ่มคุณภาพของอากาศที่อยู่บริเวณนอกอาคาร โดยการปรับเปลี่ยนสารพิษและสารฟอร์มาลดีไฮด์ให้กลายเป็นอากาศบริสุทธิ์ เหมาะกับสภาพการอยู่อาศัย

3. หมากเหลือง (Areca palm tree)

หมากเหลือง เป็นพืชที่คนส่วนใหญ่นิยมนำไปประดับไว้ในห้องนั่งเล่น ซึ่งนอกจากมันจะช่วยเพิ่มสุนทรีย์ระหว่างการพักผ่อนแล้ว มันยังช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องและยังมีคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

4. เฟินงาม (Boston fern)

เฟินงาม พืชสำหรับปลูกในบ้านช่วยเพิ่มความชื้นและปรับให้ห้องอบอวลไปด้วยอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ พร้อมประดับเพิ่มความสวยงามและสร้างพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน

5. เปปเปอโรเมีย (Baby rubber plant หรือ Peperomia obtusifolia)

เปปเปอโรเมีย พืชฤทธิ์เย็นที่ช่วยปรับอุณหภูมิความเย็นภายในห้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกเหนือจากการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นพืชที่ไม่ต้องลดน้ำมาก แต่หมั่นใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้ดี

6. ไทรย้อยใบแหลม (Ficus tree หรือ weeping fig)

เพิ่มบรรยากาศสดชื่นภายในบ้านด้วยต้นไทยย้อยใบแหลม ที่นอกจากจะเป็นตัวช่วยปรับอุณหภูมิความเย็นแล้ว ยังช่วยกำจัดมลพิษทางอากาศ ลดกลิ่นรบกวนและเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ในห้องมากขึ้นอีกด้วย

7. พลูด่าง (Golden Pothos)

พลูด่างเป็นพืชที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากเท่าพืชชนิดอื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาทำสวนหรือรดน้ำต้นไม้บ่อยๆ และมันยังมีข้อดีในเรื่องของการปรับให้อากาศบริสุทธิ์มากขึ้น และยังช่วยขจัดสารพิษทางอากาศ เช่น ไซลีน เบนซีน คาร์บอนมอนอกไซด์ ตลอดจนสารฟอร์มาลดีไฮด์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/08/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,600.0040,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,630.0039,870.8041,200.00
ทองรูปพรรณ 90%2,367.0035,883.72n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,104.0031,896.64n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,184.0017,949.44n/a
ทองรูปพรรณ 40%921.0013,962.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,725.0041,311.00n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/08/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.6536.6536.9536.6536.6536.6536.6536.6536.6536.65
แก๊สโซฮอล์ 9136.2836.2836.5836.2836.2836.2836.2836.2836.2836.28
แก๊สโซฮอล์ E2034.5434.5434.8434.5434.5434.5434.5434.5434.54
แก๊สโซฮอล์ E8534.2934.2934.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.2449.8449.8449.8445.24
เบนซิน 9544.5449.8145.0444.6944.54
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า