สาระน่ารู้ประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2567

คุณาลัยผุดโครงการไฮเอนด์หนีรีเจกต์เรตพุ่ง 50%ลูกค้าซื้อเงินสด

‘คุณาลัย’ผุดโครงการไฮเอนด์หนีรีเจกต์เรตพุ่ง ระบุ 50%ลูกค้าซื้อเงินสด นำร่องโครงการนาวาร่า ทำเลรังสิต-คลอง2 มูลค่ากว่า6,700ล้าน ระดับราคาหลังละ 5-10 ล้านคาดใช้เวลาพัฒนาและขาย12ปี

ประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2567 ยังเผชิญกับปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน (Rejection Rate )ในกลุ่มระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท ผู้ประกอบการอสังหาฯจึงหันไปพัฒนาโครงการระดับราคา5- 10ล้านบาทมากขึ้นหนึ่งในนั้น คือ  วิลล่า คุณาลัย ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ “นาวาร่า รังสิต-คลอง2” มีมูลค่าโครงการกว่า 6,700 ล้านบาท โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 8 เฟส เฟสละ119 ยูนิต 

 “ในเฟสแรกจะเป็นแปลงด้านหน้ามีเพียง 64 แปลงเท่านั้น ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปเมื่อเดือนเม.ย.2567 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวขนาดที่ดินตั้งแต่ 64-90 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 4.59-10 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 34 ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 12 ยูนิต และเดือนส.ค.นี้ จะโอนอีก15 ยูนิต ซึ่งสัดส่วนประมาณ 50% ลูกค้าจะซื้อด้วยเงินสด คาดว่าทั้งโครงการจะใช้ระยะเวลาในการขายและพัฒนา 12 ปี”

ประวีรัตน์ กล่าวว่าการพัฒนาโครงการของเราอาจจะแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ด้วยความที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการก่อนวิกฤติ 2540  หลายโครงการใช้วิธีการซื้อโครงการเก่าที่มีศักยภาพมาพัฒนาใหม่ ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ว่าการพัฒนาโครงการนั้นเป็นสิ่งที่ยากแล้ว แต่การที่จะมุ่งมั่นและรักษาสิ่งสำคัญนั้นยากกว่า และใช้อุปสรรคเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจในการหาที่ดินหรือโครงการที่มีศักยภาพ
 

โดยบริษัทตั้งเป้าเติบโตจากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)ไปสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และมีรายได้1,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างผลกำไรสุทธิ 12-15% โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “สุขใจอยู่บ้านชานเมือง” ทำเลชานเมืองใกล้ชิดธรรมชาติ ระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป  หลังจากก่อนหน้านี้ประสบปัญหายอดการปฏิเสธสินเชื่อสูง 40-50% จากการพัฒนาโครงการบ้านในระดับราคา 2-5 บ้านบาท ย่านบางบัวทอง  คิดเป็นสัดส่วน 60% ของพอร์ต

อย่างไรก็ตามหลังจากบริษัทพัฒนาโครงการเพิ่มครบ 4 มุมเมืองตามแผนจะทำให้ในปี 2567 บริษัทจะมีสินค้าระดับราคา 2-5 ล้านบาท ในสัดส่วน 40%  สินค้าระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป 60% ภายใต้แบรนด์ “นาวาร่า” และมีสัดส่วนโครงการบ้านนอกพื้นที่นนทบุรี 40% เพื่อสร้างผลกำไรมากขึ้นแทนที่ไปแข่งขันราคากับคู่แข่งในตลาดในระดับราคาต่ำว่า 3ล้านบาท
 

ขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการในการทํางานแบบไปป์ไลน์ (Pipeline)จำนวน 9 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาทที่สามารถพัฒนาได้ 10 ปีนับจากนี้ และปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการไปจนถึงปี 2570 โดยขณะนี้มีที่ดินย่านบางบัวทอง1 แปลง ขนาด 38 ไร่ และที่อำเภอบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา 4 ไร่ หากต้องการพัฒนาสามารถซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงเพิ่มได้อีก ซึ่งต้องรอจังหวะและโอกาส เพราะปัจจุบันที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวยังมียอด การปฏิเสธสินเชื่อสูง สำหรับในปี 2567 วางเป้ารายได้เติบโต 10-15% หรือมีรายได้1,000 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ ทำเลบางบัวทองในช่วงปลายปี 2567

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


พลิกวิกฤตอสังหาฯ ก่อนลามจากฐานรากสู่ระดับบน แนะธปท.ลดดอกเบี้ย -แก้หนี้

พลิกวิกฤตอสังหาฯ ก่อนลามจากฐานรากสู่ระดับบน แนะธปท.ลดดอกเบี้ย -แก้หนี้

กูรู อสังหาฯ ห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือนลุกลาม ฉุดธุรกิจอสังหาฯล้มทั้งระบบ  แนะธปท.-แบงก์พาณิชย์ ร่วมมือลดดอกเบี้ย หนุนรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินทุน กระตุ้นกำลังซื้อ “อิสระ บุญยัง”หวั่นลามจากระดับล่างถึงระดับบน วอนรัฐปรับโครงสร้างการเงินทั้งระบบ

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา มีผลมาจากปัจจับลบ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงกว่า90% ฉุดกำลังซื้อหดหาย สถาบันการเงินปฎิเสธสินเชื่อ ระดับไม่เกิน3บ้านบาทและมีทีท่าลามถึงกลุ่มระดับบน ขณะทางออกผู้ประกอบการสนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยลงเพื่อช่วยเหลือคนผ่อนบ้านรวมถึงกลุ่มที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ 

โอกาสเข้าถึงสินเชื่อต่ำมาตรการเข้ม

 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในงานสัมมนาหัวข้อ “ดอกเบี้ยลด…ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ – อสังหาฯ – ตลาดทุน…?”เมื่อไม่นานมานี้ว่า  อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายที่อยู่อาศัย

ทำให้เกิดการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สัดส่วน  11%อาจจะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้คนเดินเข้าไปดูบ้านมากขึ้นและจองมากขึ้น แต่สุดท้ายเมื่อซื้อแล้วก็โอนไม่ผ่าน ไม่เกิดการจอง

สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญสะท้อนไปถึงความมั่นใจในการหารายได้ จึงไม่ต้องการเพิ่มหนี้ในระยะยาว  นั่นจึงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่เมื่อกำลังซื้อหายไปในตลาด ก็ลดการขยายโครงการ

“สิ่งที่สำคัญต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่การเพิ่มรายได้ จึงสามารถเพิ่มกำลังซื้อ ภาคอสังหา ใน เหมือนผืนดินที่ขาดน้ำ จากที่เคยเป็นแหล่งชลประทาน ปล่อยน้ำ ไปตามชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ตอนนี้ ต้องการน้ำ มาเยียวยา เพราะใบไม้ร่วงหมดแล้ว ประชาชนคนไทยขาดน้ำ ขาดเงินในการไปทำอะไรหลายอย่าง สินเชื่อบ้านจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)  7หมื่นล้าน หมดภายในเวลารวดเร็ว รวมถึง สินเชื่อแฮปปี้ โฮม 2 หมื่นล้านบาท สะท้อนได้ว่า ตลาดต้องการกำลังซื้อ” ดร.วิชัย กล่าว

ลดดอกเบี้ย ลดการติดลบในตลาดอสังหาฯ

อัตราดอกเบี้ย ในปัจจุบันมีอัตราสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างต่ำ บางสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อัตราดอกเบี้ย ต่ำมากกว่า 50% ของMRR เฉลี่ยที่อยู่อาศัย 3 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 3.5%

หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ทุก 0.25% จะเพิ่มมูลค่าสินเชื่อใหม่ได้ 4,400 ล้านบาท เพิ่มหน่วยการโอนได้ 5,000 หน่วย และมีมูลค่าการโอน 35,000 ล้านบาท

ดังนั้น หากมีมาตรการที่ 6 ธนาคารพาณิชย์ในชาติ ลดอัตราดอกเบี้ย 2.5% คาดว่าจะส่งผลทำให้ยอดโอนฯเพิ่มขึ้น 372,877 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ อยู่ที่  1,078,080 ล้านบาท หรือขยายตัว 2.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น  678,151 ล้านบาท หรือติดลบเหลือ 0.03% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

สถานการณ์ปัจจุบัน ดีมานด์ยังต้องการซื้อบ้าน แต่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ  เพราะมีเกณฑ์ต่างๆ เข้มข้น ทำให้กำลังซื้อหดตัว นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ตลาดหดตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จากคนฐานล่างไปสู่ธุรกิจระดับบน

จากที่สินเชื่อในกลุ่มคอนโดฯหดตัว ลามไปสู่บ้านเดี่ยว  แตกต่างจากวิกฤติในปี 2540 ที่กระทบจากบนลงล่าง เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจะส่งผลไปสู่กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ กลุ่มคนที่ซื้อเพื่อการลงทุนและเป็นหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วน 20-30% ในตลาดหรือประมาณ 2-3 แสนล้านบาทในตลาด ที่หายไป เพราะมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(LTV) ส่งผลทำให้ผลตอบแทนในการลงทุนลดลง

จึงหันไปลงทุนในภาคอื่นแทนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นการเกิดขึ้นใหม่ของโครงการเมื่อตลาดลงทุนหายไปจึงมองไปที่การพัฒนาโครงการตอบโจทย์ด้านอื่น

หวั่นลามวิกฤติจากล่างสู่บน วอนลดดอกเบี้ย

 พร้อมปรับโครงสร้างแหล่งเงินทั้งระบบ

นายอิสระ บุญยัง ประธานกรรมการ สมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนี้แตกต่างจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 มาก โดยในช่วงปี 2540 ปัญหาจะเริ่มต้นจากส่วนบนของเศรษฐกิจ

ในส่วนของผู้ประกอบการ เจ้าหนี้ล้มลงก่อนลูกหนี้ ดังนั้นจึงมีข้อมูลพื้นฐานของผู้มีปัญหาครบถ้วย และเข้าไปแก้ปัญหาได้ถูกทาง และผู้ที่ผ่านช่วยต้มยำกุ้งมาได้ก็มีภูมิคุ้มกัน เช่น กลุ่มอสังหาฯ ธนาคาร สามารถประคองธุรกิจจนผ่านหลายวิกฤติมาได้แทบทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ไม่ประสบปัญหาช่วงต้มยำกุ้งกลับเริ่มสะสมปัญหาพอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เอสเอ็มอี และถาคประชาชน ที่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และส่วนหนึ่งยังเป็นหนี้นอกระบบ ทำให้ภาครัฐมีข้อมูลของผู้ที่ประสบปัญหาหนี้สินมีน้อย

จึงทำให้หลังจากช่วงโควิด 19 การฟื้นตัวของประเทศไทยจะเป็นแบบ K เชฟ คือ ผู้ที่ได้รับผลประทบช่วงโควิด 19 น้อย และผู้ที่มีฐานะดีก็จะฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนพวกเอสเอ็มอี และรายย่อยก็ค่อน ๆ ลดลง จนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังมีภาวะสงครามเข้ามาซ้ำเติมอีก จึงทำให้ฟื้นตัวได้ยากขึ้น

 ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหากดอกเบี้ยสูงจะมีค่าใช้จ่ายในการโอนสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2567

ธนาคารของรัฐได้เข้ามานำร่องลดดอกเบี้ยในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มเอสเอ็มอี ได้ผลสูงมาก วงเงินสินเชื่อในแต่ละครั้งก็หมดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มาตรการลดดอกเบี้ยสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วมากกว่าแนวทางอื่น

 ดังนั้นภาครัฐจึงต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ผ่านกลไกธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ให้มีการปล่อยสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ให้ภาคธุรกิจ ภาคประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ลดลดภาระหนี้ ให้กับลูกค้ารายย่อย เข้าถึงแหล่งทุน และแก้ไขปัญหาหนี้

 “การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น แต่กว่าจะเป็นผลเป็นรูปธรรมต้องใช้เวลานานมาก ผู้ประกอบการอาจรอไม่ได้ แต่การลดดอกเบี้ยสามารถทำได้ทันทีและเห็นผลอย่างรวดเร็ว เช่น การลดดอกเบี้ยและค่าโอนในกลุ่มผู้ซื้อบ้านมือ 2 ส่งผลให้ยอดขายบ้านมือ 2 เพิ่มขึ้นเร็วมากจนมีสัดส่วนกว่า 55% รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้ในระยะยาว” นายอิสระ กล่าว

ปี 67 วิกฤติอสังหาฯ หนักกว่าโควิด

ผู้ประกอบการปรับตัวทำบ้านขายฝาก

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ในช่วงปี 2563 – 2564 ซึ่งอยู่ในช่วงโควิด 19 กลุ่มอสังหาฯ แทบจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวขายดีมาก เพราะผู้คนหลบออกจากคอนโดฯที่แออันมาสู่บ้านเดี่ยว พอมาถึงในปี 2564 – 2565 กลุ่มอสังหาฯทะยานขึ้นมามียอดสูงสูงสุด

ผู้ที่ทำโครงการแนวราบจะขายได้ดี รองลงมาจะเป็นพวกคอนโดฯ เนื่องจากต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้ออสังหาฯของไทยมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจนี้ต้องพึ่งพายอดขายให้กับชาวต่างชาติสูงมาก  แต่ก็ประสบปัญหาการโอนเงินที่ยุ่งยาก

อย่างไรก็ตาม พอมาถึงปี 2566 กลุ่มอสังหาฯก็เริ่มขายได้ยากขึ้น แต่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก ยังขายได้ดี แต่ยอดขายในกลุ่มภูมิภาคเริ่มแย่ลง แต่มาถึงปี 2567 สถานการณ์ก็ย่ำแย่มากขึ้น เพราะธนาคารเริ่มมีหนี้เสียสูงถึงระดับ 6%

ทำให้เริ่มปล่อยสินเชื่อยากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก เนื่องจากโรงงานปิดกิจการมากขึ้น จึงทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อน้อยลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ยอดขายอสังหาฯลดลงมาก

 “เมื่อก่อนช่วงที่โรงงงานเฟื้อฟู มียอดขายและการส่งออกสูง ธนาคารเพียงแต่ดูที่ชื่อเสียงของบริษัทที่ผู้ขอกู้ทำงานอยู่ หากมีชื่อเสียงดี ก็จะปล่อยกู้ทันที แต่ในขณะนี้ โรงงานจำนวนมากเริ่มลดโอที ลดเงินเดือน และลามไปจนถึงปิดกิจการ จึงทำให้ธนาคารแทบจะไม่ปล่อยกู้ให้กับผู้ขอสินเชื่อกลุ่มนี้” นายพรนริศ กล่าว

 จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องปรับตัวจากการขายบ้านไปสู่การทำธุรกิจขายฝาก จนทำให้ธุรกิจนี้เติบโตเพิ่มขึ้นมาก แต่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็แค่ประคองตัว เพราะธุรกิจขายฝาก หรือการให้เช่า มีต้นทุนการดำเนินงานสูง

และเป้าหมายหลักของผู้ประกอบการคือการสร้างบ้านออกมาขาย แต่ทั้งนี้ยังมีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามาสูงมาก โดยเฉพาะชาวจีน แต่กฎหมายของไทยยังมีข้อจำกัดอยู่มาก จึงทำให้เกิดนอมินีแฝงเข้ามาเป็นจำนวนมาก

รายได้คนหด กำลังซื้อลดตาม

เสนาฯ ทบทวนโครงการ ลดไซส์ หยุดแข่งทำเลราคาถูก

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้มยำกุ้ง เป็นเรื่องของรายบริษัท แต่ในครั้งนี้เป็นเรื่องรายบุคคล จึงทำให้กำลังซื้อลดลงไปมาก

แม้ว่ายังมีดีมานด์อีกเป็นจำนวนมากยังต้องการที่อยู่อาศัยเพราะเป็นปัจจัยสี่ แต่ก็ซื้อไม่ได้ ทั้งนี้สาเหตุของปัญหาเกิดที่คนจึงแก้ได้ยาก และมีข้อมูลอยู่น้อย

ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหานี้ที่ได้ผลมากที่สุด จะต้องเข้าไปหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อให้มีแรงในกาจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นได้ ส่วนการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

จะเข้ามาช่วยลดดอกเบี้ย น่าจะทำให้อสังหาฯฟื้นตัวได้บ้าง แต่ถ้าจะแก้ให้ตรงจุด ธปท. จะต้องเข้าไปคุมธนาคารพาณิชย์ให้ลดดอกเบี้ยด้วย ซึ่งหาช่วยกันทั้ง 2 ส่วนก็จะช่วยลูกหนี้ได้มาก

“หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยเพียงฝ่ายเดียว อาจจะช่วยกระตุ้นกลุ่มอสังหาฯได้บ้าง เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าซื้อ แต่หากทั้ง ธปท. และธนาคารพาณิชย์เข้ามาช่วยลดดอกเบี้ย ก็จะช่วยลดภาระให้กับผู้กู้ ซึ่งจะทำให้กล้าซื้ออสังหาฯ ที่ต้องผ่อนในระยะยาวมากขึ้น” ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว

สำหรับทางออกของธุรกิจอสังหาฯนั้น ทาง เสนาฯ จะไม่ไปแข่งตัดราคา แต่จะพิจารณาตามศักยภาพของสินค้า หากสินค้าใดสู้ได้ และมีกำไร ก็จะเดินหน้าต่อ

หากโครงการใดอยู่ในทำเลที่ดี มีอนาคตที่ดี แต่ในช่วงนี้ตลาดไม่มีกำลังซื้อก็จะหยุดการขายไว้ก่อน เพราะทำเลทองหาได้ยาก หากขายในราคาถูกก็จะเสียโอกาส ส่วนสินค้าที่ดูแล้วสู้คู่แข่งได้ยาก ก็จะตัดขายออกไปเพื่อเก็บเงินสด

วิกฤติเริ่มต้นจากรายย่อยหนี้ท่วม

คนไทยย้ายลงทุนที่ดินและคอนโดฯ

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานชมรมวานิชธนกิจ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (IB ClUB) กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาหลัก 2 เรื่อง คือ 1. ในช่วงโควิด 19 ผู้ประกอบการ และประชาชนจำนวนมากพยายามประคองชีวิต

โดยการก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาก และมีหนี้นอกระบบสูงขึ้น จากในหลังโควิด 19 ก็ประสบปัญหาดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก และยังมีปัญหาสงครามเข้ามาซ้ำเติม และ 2. การดิสรัปชันของเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการใช้บุคลากรน้อยลง รวมทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ก็เพิ่มมูลค่าได้ยาก เช่น สินค้าเกษตรที่มีราคาต่ำ รวมทั้งยังมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

 จากสาเหตุดังกล่าว จึงทำให้ในปัจจุบันไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงมาก สวนทางกับรายได้ที่ลดลงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ประกอบกับยังมีคนจำนวนมากที่มีค่านิยมที่ฟุ่มเฟือย จึงซ้ำเติมภาวะหนี้มากขึ้น รวมทั้งคนไทยยังไม่สามารถสู้กับทุนต่างชาติได้ และยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติอีกเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้มีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 “กำลังซื้อของคนไทยลดลงมาก จนทำให้ต้องเปลี่ยนจากการซื้อบ้านไปเป็นการเช่าบ้านแทน ส่วนกำลังซื้ออสังหาฯ กลับไปตกอยู่ในมือต่างชาติแทน เพราะว่ามีต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นมาก แต่รายได้ที่เกิดขึ้นกลับเข้าถึงมือคนไทยน้อย ซึ่งหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข คนไทยก็จะเข้าถึงอสังหาฯได้ยากขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว

 นอกจากนี้ ค่านิยมในการลงทุนในที่ดินและอสังหาฯ เพื่อเก็งกำไรของคนไทยก็ลดลง ทำให้กำลังซื้อจากกลุ่มนี้ลดลงไปมาก เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ทำให้ลงทุนในด้านอื่นทำได้ง่ายขึ้น และมีผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น การเล่นหุ้นต่างประเทศ การลงทุนในตลาดทองคำ หรือเงินดิจิทัล

 “ในสภาวะที่เกิดขึ้นนี้ ทุกคนจะต้องปรับตัว ทุกวิกฤตย่อมมีจุดเปลี่ยนเกิดช่องทางใหม่ในการทำธุรกิจ”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้26ส.ค. “แข็งค่าขึ้นมาก” ที่ระดับ 33.98 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอลง หลังรับรู้ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าไปมากแล้ว ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้26ส.ค. 2567  ที่ระดับ  33.98 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  34.25 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลง หลังระดับเงินบาท ณ ปัจจุบัน ได้รับรู้ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าไปมากแล้ว

ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทเช่นกัน โดยเงินบาทจะมีโซนแนวรับถัดไปแถว 33.75-33.80 บาทต่อดอลลาร์ หลังแข็งค่าทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ส่วนโซนแนวต้านแรกจะอยู่ในช่วง 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซนแนวต้านถัดไปแถว 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อาจชะลอลง หลังตลาดได้รับรู้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว ทว่า เงินดอลลาร์ก็อาจไม่ได้แรงหนุนเพิ่มเติม หากตลาดไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทั้งนี้ ควรจับตาสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส และบรรยากาศในตลาดการเงินหลังรับรู้ผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.75-34.40 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.05 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลุดทั้งโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ (แกว่งตัวในกรอบ 33.90-34.27 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) จากถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ล่าสุด

ที่ไม่เพียงทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้ แต่ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดมีโอกาสที่จะเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมที่เหลือของปีนี้ได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อประคองไม่ให้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนัก และโดยรวมผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ และอีกราว -125bps ในปีหน้า

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ และราว -125bps ในปีหน้า

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ECB และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่  รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนสิงหาคม ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ในเดือนสิงหาคม

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังล่าสุด ในงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดมีโอกาสเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และ

แม้ว่าประธานเฟดจะไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดจะมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยราว -50bps ในแต่ละการประชุมหรือไม่ ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดมีโอกาสไม่น้อยกว่า 30% ในแต่ละการประชุมที่เหลือของปีนี้ ในการลดดอกเบี้ยถึง -50bps และ

โดยรวมผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ถึง -100bps ในปีนี้ และราว -125bps ในปีหน้า อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างชัดเจนอีกครั้ง หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ที่จะประกาศในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน

ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อาจยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟดมากนัก อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบริษัทเทคฯ ใหญ่ อย่าง Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนในเดือนสิงหาคม รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามประเด็นการเมืองฝรั่งเศส

ทั้งการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่และการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยเราประเมินว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส อาจเป็นปัจจัยที่กดดันภาพตลาดทุนฝรั่งเศส และส่งผลให้เงินยูโร (EUR) เสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้

▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราผลกำไรของภาคอุตสาหกรรมของจีน (Industrial Profits) และรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของจีน ในเดือนสิงหาคม (รายงานในช่วงวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม)

ซึ่งจะสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและการบริการของบรรดาบริษัทขนาดใหญ่เป็นหลัก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนสิงหาคม  

▪  ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนกรกฎาคม โดยนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า ยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวราว +5.9%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) อาจโตราว 1.5%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจขาดดุลเล็กน้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ครีม บุศนันทน์ สู้สุดใจ พ่าย อากาเนะ ซิวรองแชมป์แบดมินตันเจแปน โอเพ่น

“ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ หญิงเดี่ยวมือ 14 ของโลกก็ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่แล้ว แพ้ให้กับ อากาเนะ ยามากูชิ มือ 5 ของโลกจากญี่ปุ่น 2 เกมรวด คว้ารองแชมป์แบดมินตันเจแปน โอเพ่น 2024

การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29,750,000 บาท  ที่เมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ส.ค.67 เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 14 ของโลก พบกับ อากาเนะ ยามากูชิ มืออันดับ 5 ของโลกจากญี่ปุ่น  สถิติการพบกันมาของทั้งคู่ 12 ครั้ง เป็นทางอากาเนะ ยามากูชิ ทำได้ดีกว่า เอาชนะไปถึง 10 ครั้ง แต่ครั้งล่าสุดที่พบกันในรายการ อินเดีย โอเพ่น 2024 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็นครีม บุศนันทน์ เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 

เกมแรก ช่วงต้น อากาเนะ เปิดเกมได้ดีกว่าเน้นหาจังหวะเอาลูกลงที่ยอดเยี่ยม และจู่โจมอย่างรวดเร็วนำห่างถึง 11-4 ครึ่งเกมหลัง ครีม บุศนันทน์ พยายามทำแต้มไล่ขี้นมาบ้าง แต่อากาเนะ ก็ยังรักษามาตรฐานการเล่นไว้ได้ดีกว่าแล้วมาปิดเกมแรกไปได้ก่อนที่ 21-11 

เกมสอง ช่วงต้น ครีม บุศนันทน์ สู้ได้อย่างยอดเยี่ยม หาจังหวะเข้าทำอย่างเฉียบขาด แต่อากาเนะ กลับมาสู่เกมได้รวดเร็วใช้ลูกตบที่เฉียบขาดกว่าค่อยๆทำแต้มขึ้นนำที่ 11-6 จากนั้น เกมเป็นของอากาเนะ ที่ยังเล่นเกมบุกได้เด็ดขาดและทำแต้มเป็นชุดใหญ่ๆ จนมาปิดแมตช์เอาชนะไปได้ที่ 21-10 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 

อากาเนะ ยามากูชิ คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 4 ต่อจากปี 2013 , 2019 และ 2022 พร้อมรับเงินรางวัล 59,500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,023,000 บาท ส่วน “ครีม” บุศนันทน์ รองแชมป์รับเงินรางวัล 28,900 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 982,600 บาท  โดยรับเกียรติจาก จ้าหญิง ฮิซาโกะ ทาคามาโด๊ะ แห่งประเทศญี่ปุ่น , คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซี เมมเบอร์ และ รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก ,   นายทาเคฮารุ ยามานากะ นายกเทศมนตรีเมืองโยโกฮาม่า และ  นายมิตสึรุ มุไร ประธานสมาคมแบดมินตันของญี่ปุ่น  ได้ร่วมมอบรางวัลให้กับนักแบดมินตันทั้ง 2 คน 

ด้าน คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล , รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และ นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กล่าวว่า ” ต้องขอเป็นกำลังใจและชื่นชมความความเป็นนักสู้ของ “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ ที่ต่อกรกับเจ้าของแชมป์เจแปนโอเพ่น 3 สมัย อากาเนะ ยามากูชิ มืออันดับ 5 ของโลกจากญี่ปุ่น อย่างสุดความสามารถ แม้ว่าจะพลาดคว้าแชมป์แต่ด้วยหัวจิตหัวใจนักสู้ในทุกๆคะแนนที่ต่อสู้กันก็สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆกีฬาชาวไทยทั่วประเทศ

การผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ครั้งแรกของ “ครีม” บุศนันทน์ ต้องฝ่าด่านนักกีฬาชั้นนำของโลกอาทิ หวัง ฉียี่ มือวาง 3 ของรายการจากจีน , อายะ โอโฮริ  มือวาง 6 ของรายการจากญี่ปุ่น ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศจะชนะผ่าน ไถ้ ซื่อหยิง มือวาง 1 ของรายการจากไต้หวัน ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่เข่า ที่สำคัญยังเป็นการเข้าชิงชนะเลิศรายการระดับเวิลด์ทัวร์ที่สองติดต่อกันต่อจากศึกแคนาดา โอเพ่น 2024

ตนมั่นใจว่าถึงตอนนี้ “ครีม” บุศนันทน์ ที่เป็นนักกีฬาที่มีระเบียบวินัยที่ดีมากๆ และหายจากอาการบาดเจ็บที่รบกวนมาในระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งจะส่งผลให้เดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จได้อีกอย่างแน่นอน

สำหรับทัวร์นาเมนต์ต่อไปของทีมนักกีฬาแบดมินตันไทยจะมีโปรแกรมลงสนามแข่งขันในศึก “โคเรีย โอเพ่น 2024″ รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 27 ส.ค.- 1ก.ย.67 ฝากให้แฟนๆกีฬาชาวไทยส่งแรงเชียร์ให้บรรดานักกีฬาแบดมินตันไทยในการลงสนามแข่งขันในทุกๆรายการต่อจากนี้ไป” 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา ทำงานแตกต่างกันอย่างไร?

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำกล่าว หรือคำถามที่ว่า คุณถนัดใช้สมองซีกซ้าย หรือสมองซีกขวามากกว่ากัน หรือเคยได้ยินว่า คนถนัดใช้สมองซีกซ้ายจะเก่งเรื่องตัวเลขและชอบใช้เหตุผลเป็นหลัก ส่วนคนถนัดใช้สมองซีกขวาจะเก่งเรื่องความคิดสร้างสรรค์และชอบใช้อารมณ์เป็นหลัก แต่ว่า คำกล่าวเกี่ยวกับ สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา เหล่านี้จะใช่เรื่องจริงไหม จริงๆ แล้วสมองของเราทำงานอย่างไร

สมองของคนเราทำงานอย่างไร

สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อน แม้จะมีน้ำหนักแค่ประมาณ 1.3 กิโลกรัม แต่ก็ประกอบด้วยเซลล์ประสาทกว่าแสนล้านเซลล์ และมีส่วนเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทถึงร้อยล้านล้านส่วน สมองของเราแบ่งออกเป็นสองซีก 2 ซีก ได้แก่ สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา โดยสมองแต่ละซีกก็ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกันออกไป

แม้สมองทั้งสองซีกจะดูคล้ายคลึงกัน แต่วิธีการประมวลข้อมูลของสมองทั้งสองซีกก็แตกต่างกันมาก แต่ถึงอย่างนั้น สมองสองซีกของเราก็ไม่ได้ทำงานแยกกันโดยสิ้นเชิงแบบที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยปกติแล้ว สมองแต่ละส่วนจะเชื่อมต่อกันด้วยเส้นใยประสาท (nerve fibers) หากสมองได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่อของสมองแต่ละส่วนหรือแต่ละซีก ร่างกายของคุณก็จะยังสามารถทำงานต่อไปได้ แต่การสอดประสานกันก็อาจจะไม่ดีเท่าปกติ หรือทำให้ร่างกายทำงานบกพร่องไปบ้าง

ทฤษฎีว่าด้วยเรื่อง สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา

มีทฤษฎีที่ว่าสมองแต่ละซีก ทั้งสมองซีกซ้าย และสมองซีกขวานั้นควบคุมความคิดคนละด้านกัน และคนเราแต่ละคนก็มักจะถนัดใช้สมองซีกใดซีกหนึ่งมากกว่าสมองอีกซีก เช่น คนถนัดใช้สมองซีกซ้ายมักจะเก่งเรื่องการคิดวิเคราะห์ การคิดคำนวณ การใช้เหตุผล และมองอะไรตามพื้นฐานของความเป็นจริง ตรงข้ามกับคนถนัดใช้สมองซีกขวา ที่จะเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการมากกว่า เก่งเรื่องศิลปะ ชอบแสดงอารมณ์ ชอบทำอะไรตามสัญชาตญาณ หรือทำอะไรตามความรู้สึก

หากว่ากันในทางจิตวิทยา ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากกระบวนการทำงานของสมองซีกซ้ายและซีกขวาที่แตกต่างกัน คือ สมองของเราแบ่งออกเป็นสองซีก ได้แก่ สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา โดยสมองทั้งสองซีกมีหน้าที่แตกต่างกันไป และสื่อสารหรือเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายของใยประสาทที่เรียกว่า “คอร์ปัส แคลโลซัม” (Corpus Callosum) ซึ่งทำหน้าที่คอยประสานให้สมองทั้งสองซีกทำงานร่วมกันได้โดยไม่ติดขัด

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าสมองของคุณจะใช้ความคิดในแง่ของตรรกะหรือในแง่ความคิดสร้างสรรค์ สมองทั้งสองซีกก็จะต้องส่งข้อมูลถึงกันตลอด ไม่สามารถทำงานแค่ซีกเดียวได้ เช่น หากคุณต้องคิดค่าอาหารที่กินเข้าไป สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่คำนวณสมการทางคณิตศาสตร์ ส่วนสมองซีกขวาก็จะช่วยเปรียบเทียบข้อมูลและประมาณค่าคร่าว ๆ

วิธีลับสมอง ให้เฉียบคมอยู่เสมอ

สมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า การลับสมองให้เฉียบคมอยู่เสมอด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้ อาจช่วยเพิ่มพลังให้สมอง และกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองใหม่ได้ ทั้งยังอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ได้ด้วย

  • หาเวลาอ่านหนังสือ หรือเขียนไดอารีบ้าง
  • อย่าหยุดเรียนรู้ คุณควรเข้ารับการฝึกอบรม หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ
  • เล่นเกมลับสมองและช่วยพัฒนาความจำ เช่น คอร์สเวิร์ด ซูโดกุ ต่อจิ๊กซอว์ บอร์ดเกม เกมทดสอบความจำ วิดีโอเกม เกมไพ่
  • หางานอดิเรกใหม่ๆ ที่ต้องใช้สมาธิ หรือทักษะการเรียนรู้ เช่น การเล่นดนตรี การวาดรูป ศึกษาไอเดียใหม่ๆ จากผู้อื่นเสมอ
  • เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • พยายามอย่าเครียด และหัวเราะให้เยอะๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


นาซ่าเผย ปี 2023 ทำลายสถิติโลกร้อนอีกครั้ง

นาซาเผยผลวิเคราะห์ล่าสุดยืนยันปี 2023 อุณหภูมิโลกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 1951-1980 ถึง 2 องศาฟาเรนไฮต์ (1.1 องศาเซลเซียส)

ตลอดปี 2023 มีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรง เดือนมิถุนายนถึงธันวาคมต่างทำลายสถิติเดือนที่ร้อนที่สุดในรอบปี และเดือนกรกฎาคมก็ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยรวมแล้ว โลกในปี 2023 มีอุณหภูมิสูงกว่าช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคเริ่มมีการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการ ถึง 2.45 องศาฟาเรนไฮต์ (1.36 องศาเซลเซียส)

กาวิน ชมิดต์ ผู้อำนวยการสถาบัน Goddard Institute for Space Studies (GISS) ของนาซากล่าวว่า “ภาวะโลกร้อนรุนแรงที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สาเหตุหลักมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่งผลกระทบเป็นรูปธรรม ทั้งคลื่นความร้อน ฝนตกหนัก น้ำท่วมชายฝั่ง”

แม้จะมีหลักฐานชัดเจนว่าแนวโน้มโลกร้อนในระยะยาวเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละปีหรือหลายปี เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ ละอองลอยและมลพิษ และการปะทุของภูเขาไฟ

ชุดข้อมูลอุณหภูมิพื้นผิวโลกของนาซา รวมถึงรายละเอียดและโค้ดที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการวิเคราะห์ สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะจาก GISS ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการของนาซาภายใต้ Goddard Space Flight Center ในแมริแลนด์ และมีความร่วมมือกับสถาบันโลก คณะวิศวกรรม และ วิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Prefix Suffix เทคนิคจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ขั้นเทพ!

Prefix Suffix คำศัพท์

“ เดาศัพท์ ให้ดูเซียน ช่วยให้คุณจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ง่ายมากขึ้น”

Prefix Suffix คือ อะไร?

Prefixes Suffixes มีประโยชน์อย่างยิ่งในการเรียนภาษาอังกฤษ หรือในการสอบภาษาอังกฤษ Prefixes Suffixes จะช่วยให้คุณจดจำคำศัพท์และช่วยให้คุณสามารถคาดเดาความหมายของคำศัพท์นั้นได้อย่างยอดเยี่ยม

Prefix แปลว่า อุปสรรค

เมื่อนำ Prefix ไว้ด้านหน้าคำศัพท์ใด ทำให้ความหมายของคำนั้นเปลี่ยนไป เช่น เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม, เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง, หรือช่วยบอกตำแหน่ง, เวลา, และจำนวนก็ได้

ตัวอย่าง

1. เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม , ความหมายเชิงปฎิเสธ (a-, im-, in-, ir- , un-, dis-) เช่น amoral, impossible , inconvenient , irreparable , unfair , dislike
2. ความหมายเกี่ยวกับสถานที่ , ตำแหน่ง (super- , sub- , inter-) เช่น superstructure , subway , international
3. ความหมายเกี่ยวกับเวลา (pre- , fore- , post-) เช่น prehistory , foretell , post-war
4. ความหมายเกี่ยวกับจำนวน (mono- , bi- ,tri- , multi-) เช่น monopoly , bicycle , triangle , multimedia

Prefix a-

meaning : not, without (แปลว่า ไม่)

  • amoral (adj) ไร้ศีลธรรม
  • anonymous (adj) นิรนาม, ไม่เปิดเผย
  • atypical (adj) ผิดแบบ, ผิดพวก, ผิดปกติ
  • achromatic (adj) ไม่มีสี
  • asymmetrical (adj) ไม่สมดุล, ไม่สมมาตร, ไม่ได้ส่วนสัด
  • asymmetry (n.)ไม่สมส่วนกัน

Prefix annu-, enni-

meaning : year (แปลว่า ปี)

  • annual (adj.) ประจำปี
  • anniversary (n.) วันครบรอบปี
  • biannual (adj.) สองครั้งต่อปี
  • annals (n.) บันทึกเหตุการณ์ประจำปี
  • millennium (n.) วันครบรอบพันปี‍ ‍

Sufflix แปลว่า ปัจจัย

เมื่อนำ Sufflix วางไว้ด้านหลังคำศัพท์ แล้วทำให้ความหมายชัดเจนขึ้น และส่วนใหญ่จะทำให้หน้าที่ของคำเปลี่ยนไปด้วย เช่น เปลี่ยนกริยาเป็นคำนาม, เปลี่ยนคำนามเป็นคำคุณศัพท์ เป็นต้น

ตัวอย่าง

1. Noun suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นคำนาม ( -ee, -er/-or , -ness , -sion/tion) เช่น employee , singer, director , happiness , expression , collection
2. Adjective suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นคุณศัพท์ (-able/-ible , -ful , -less , -ly , -ous) เช่น comfortable , horrible , beautiful , hopeless , daily , fabulous
3. Verb suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นคำกริยา (-ate , -en ,-ify , -ise/-ize) เช่น passionate , soften , identify , realise , categorize
4. Adverb suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (-ly, -ward(s), -wise) เช่น quickly , forwards , lengthwise

Suffix -ful

meaning : full of (เต็มไปด้วย)

  • hopeful มีความหวัง
  • useful มีประโยชน์
  • careful ระมัดระวัง
  • painful เจ็บปวด
  • thoughtful รอบคอบ
  • mindful ให้ความสนใจ
  • powerful มีพลัง
  • restful ผ่อนคลาย

Suffix -less

meaning : without (แปลว่า ปราศจาก)

  • hopeless สิ้นหวัง
  • useless ไร้ประโยชน์
  • careless ไม่ใส่ใจ
  • painless ไม่เจ็บปวด
  • thoughtless สะเพร่า
  • mindless ไม่สนใจ
  • powerless อ่อนแอ
  • restless ร้อนใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


ต้านสิวอยู่หมัดกับ 9 อาหารลดสิว เพิ่มพลังผิวให้แข็งแรงขึ้น

สิวถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวพรรณที่กวนใจสาว ๆ มาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดสิว คือ อาหาร ดังนั้นถ้าต้องการให้ผิวปราศจากสิวและเพิ่มความแข็งแรง เพื่อให้เป็นปราการสำคัญต่อสู้กับสิว นอกเหนือจากการใช้สกินแคร์และการรักษาความสะอาดแล้ว คุณผู้หญิงที่เป็นสิวควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จาก 9 อาหารลดสิวที่จะช่วยทำให้สุขภาพผิวของคุณดีขึ้นได้ ดังนี้ค่ะ

9 อาหารลดสิวที่จะช่วยทำให้สุขภาพผิวของคุณดีขึ้น

1.มะนาว

มะนาวมีคุณสมบัติในการสมานแผล และทำให้รอยจากสิวลดเลือนลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทำให้ผิวกระชับมากขึ้น แต่การจะน้ำมะนาวมาทาบนผิวหน้าโดยตรงอาจทำให้เกิดอาการอักเสบได้ง่าย ดังนั้นจึงขอแนะนำให้เปลี่ยนมาเป็นการดื่มน้ำมะนาว โดยการผสมกับน้ำอุ่นหรือน้ำผึ้ง จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นและช่วยลดสิวได้เป็นอย่างดี

2.เบอร์รี่

ผลของตระกูลเบอร์รี่ จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด ทำให้การขับถ่ายคล่องตัว จึงเป็นตัวช่วยที่ลดสิวและไม่ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจกับโรคเบาหวานอีกด้วยค่ะ

3.มะละกอ

ผลไม้ที่มีเอนไซม์ในการย่อยอาหารที่มีคุณภาพ คือ มะละกอ โดยอุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ถูกเรียกว่าปาเปน ซึ่งมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดปัญหาสิวอักเสบและทำให้รอยสิวจางลงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น เพราะในมะละกอจะมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด พร้อมทำให้ผิวอ่อนเยาว์ มีความยืดหยุ่น และยังช่วยป้องกันปัญหาการเกิดสิวช้ำที่เดิมได้ดีเลยค่ะ

4.กะหล่ำดอก

พืชผักตระกูลกระหล่ำ โดยเฉพาะกะหล่ำดอกจะอุดมไปด้วยกรดอะมิโนฮิสทิดีน ช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย ทำให้ลดปัญหาการรับรังสี UV ภายในผิว พร้อมอุดมไปด้วยไฟเบอร์กับวิตามินหลายชนิด มีแร่ธาตุที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วจะช่วยในการบำรุงผิวและทำให้ลดปัญหาสิวเกิดซ้ำได้เป็นอย่างดี

5.คะน้า

ผักใบเขียวอย่างคะน้าถูกจัดให้เป็นซุปเปอร์ฟู้ด เพราะมีไฟเบอร์สูง มีวิตามิน และแร่ธาตุจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันจะมีแคลอรี่ต่ำ นำไปทำอาหารต่าง ๆ แล้วให้รสชาติที่ดี พร้อมให้คุณสมบัติของการลดรอยสิว ทั้งรอยดำและรอยแดงได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงให้ผิวและช่วยปรับสภาพผิวให้มีสีที่สม่ำเสมอกัน ซ่อมแซมหลุมสิวและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย

6.ปลาแซลมอน

การรับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย จะเป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เพิ่มปราการที่แข็งแรงและช่วยปกป้องผิวจากการอักเสบของแสงแดด ทั้งยังเป็นหนึ่งในตัวช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง กับการเกิดฝ้าและกระอีกด้วย ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องถูกแสงแดดเป็นเวลานานในพื้นที่กลางแจ้ง แนะนำรับประทานปลาแซลมอนที่จะมีกรดโอเมก้า 3 สูงมาก

7.ถั่ว

กลุ่มถั่วธัญพืชมีประโยชน์ต่อร่างกาย พร้อมการเป็น Snack สำหรับการรับประทานระหว่างวันที่ไม่ทำให้อ้วน แนะนำเป็นถั่วลิสง ถั่วแลนทิล ถั่วชิกพี จะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ทำให้การขับสารพิษออกจากลำไส้เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น พร้อมคุณสมบัติการลดความหมองคล้ำ ป้องกันผิวจากแสงแดด และลดสิวได้เป็นอย่างดี

8.ฟักทอง

ภายในเนื้อของฟักทองอุดมไปด้วยไฟเบอร์และกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี่ ที่ถือเป็นเอนไซม์ช่วยทำให้ผิวมีความอ่อนนุ่มมากขึ้น ทำให้ค่า pH ของผิวเกิดความสมดุลและควบคุมการผลิตน้ำมันบนผิว ด้วยการมีส่วนผสมของสังกะสี การเกิดสิวจึงลดลงค่ะ

9.มันเทศ

ของอร่อยสำหรับมื้อว่างอย่างมันเทศ อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนกลายเป็นวิตามินเอ ซึ่งส่งผลให้ผิวที่เป็นสิวมีความแข็งแรงมากขึ้น ลดสิว พร้อมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ ลดการอุดตันของรูขุมขน และต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก

สาว ๆ สามารถรับประทานอาหารอย่างสบายใจ ด้วย 9 ประเภทอาหารที่ช่วยลดสิวได้ดีจริง พร้อมช่วยเพิ่มพลังของผิว ทำให้เกิดความแข็งแรงและยืดหยุ่น สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องสิวไม่ต้องกังวล เพียงเลือกรับประทานอาหารที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาความสะอาดให้เหมาะสม และออกกำลังกายเป็นประจำ รับรองเลยว่าสิวของคุณจะลดลงและไม่ทิ้งรอยกวนใจอย่างแน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/08/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,350.0040,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,614.0039,628.2440,950.00
ทองรูปพรรณ 90%2,352.6035,665.42n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,091.2031,702.59n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,176.0017,828.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%915.0013,871.40n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,709.0041,068.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/08/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.3536.3536.6536.3536.3536.3536.3536.3536.3536.35
แก๊สโซฮอล์ 9135.9835.9836.2835.9835.9835.9835.9835.9835.9835.98
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.5434.2434.2434.2434.2434.2434.24
แก๊สโซฮอล์ E8533.9933.9933.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.9449.8449.8449.8444.94
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า