สาระน่ารู้ประจำวันที่ 05 กันยายน 2567

อสังหาฯภูเก็ตพีคสุด เปิดใหม่ปีนี้1.5 แสนล้านครึ่งแรกทุบสถิติ 7.2 หมื่นล้าน

  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยว “ภูเก็ต” โตแรงไม่แผ่ว!  สวนทางภาพรวมตลาดกรุงเทพฯ ที่ค่อนข้างซบเซา
  •  “คอลลิเออร์ส”  ระบุตัวเลขครึ่งแรกปี 2567  คอนโดมิเนียมและวิลล่าเปิดตัวใหม่มูลค่าทุบสถิติ 72,000 ล้านบาท สูงกว่ากรุงเทพฯ ช่วงพีคในปี 2562
  • เฉพาะวิลล่า เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 36,300 ล้านบาท แซงคอนโดมิเนียม ในรอบ 15 ปีทีเดียว!   

ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ครึ่งแรกปี 2567 ตลาดอสังหาฯในภูเก็ตยังคงมาแรง มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในภูเก็ต 20 โครงการ รวม 4,690 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 36,000 ล้านบาท ส่วน “วิลล่า” เปิดตัว 65 โครงการ 1,285 ยูนิต มูลค่า 36,300 ล้านบาท สูงกว่าปี 2566 เปิดไม่ถึง65 โครงการ

ด้วยแรงหนุนจากดีมานด์และซัพพลาย คาดว่าปี 2567 คอนโดมิเนียมจะมีจำนวน 9,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 10-15% เทียบปี 2566 มี 8,700 ยูนิต ขณะที่การลงทุนโครงการใหม่ของภาคอสังหาฯ ในภูเก็ตครึ่งปีแรกสูงถึง 72,300 ล้านบาท! จากปี 2566 มีมูลค่า 110,000 ล้านบาท จะเห็นว่า เพียงครึ่งปีแรก เฉพาะวิลล่าโตขึ้นเท่าตัว คอนโดมิเนียม ขยายตัว 10-15% คาดว่า สิ้นปี 2567 มูลค่าการลงทุนในภูเก็ตจะทะลุ 150,000 ล้านบาท

“แม้ปีนี้อสังหาฯ ในภูเก็ตอยู่ในภาวะโอเวอร์ทั้งซัพพลายและดีมานด์ แต่ตลาดยังไปต่อได้อีก และเป็นตลาดที่โดดเด่นเหมือนอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2562 ที่มีการลงทุนสูงถึง 58,000-62,000 ล้านบาท”

ในส่วนยอดขายทำได้ค่อนข้างดีในหลายโครงการ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม อาทิ ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ในเครือแอสเซทไวส์ จาก 2 โครงการที่มีการเปิดขายใหม่ 40% ขายหมดหลังเริ่มขายปลายปีที่ผ่านมา ส่วนวิลล่าในหลายโครงการมียอดขายดีเช่นเดียวกัน อาทิ กลุ่มโบทานิก้า มียอดขายต่อเดือน 5 ยูนิต ถือว่าสูงมาก หรือกลุ่มอันดามัน แอสเซท และอัญชัญ ยอดขายค่อนข้างดี

“จากประสบการณ์การทำตลาดภูเก็ตมา 15 ปี ไม่เคยมีจำนวนมากขนาดนี้ โดยเฉพาะตลาดวิลล่ายูนิตจำนวนที่ขายอยู่ระหว่างการขายประมาณ 170 โครงการซึ่งเป็นซัพพลายใหม่ที่เกิดขึ้นช่วง 2 ปีนี้ จากเดิมวิลล่าที่อยู่ระหว่างการขาย 30-40 โครงการ และต่อปีมี 100-150 โครงการเท่านั้น”

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมเฉพาะที่อยู่ระหว่างการขายวิลล่า 160,000-170,000 ล้านบาท ไม่รวมคอนโดมิเนียม ซึ่งมีมูลค่าใกล้เคียงกันแต่จำนวนโครงการคอนโดมิเนียมจะน้อยกว่า เพราะวิลล่าบางโครงการมีแค่ 8 ยูนิต แต่มูลค่าต่อยูนิตสูง

สำหรับครึ่งหลังของปี 2567 ประเมินว่าจะมีการเปิดตัวใหม่ค่อนข้างคึกคัก หลังเดือน ต.ค. เป็นช่วงไฮซีซัน ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ อย่างแสนสิริ มีแผนเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมเกือบ 4,000 ล้านบาท ออริจิ้น มีแผนเปิดตัวโซ ออริจิ้น กะตะ ภูเก็ต หลังเปิดพรีเซลล์ต่างชาติ ทำยอดขาย 60% หรือกลุ่มโบทานิก้า เดือนก.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายวิลล่าสูง 500 ล้านบาท

ด้านอัตราการดูดซับในภูเก็ตแตกต่างกันในแต่ละโลเคชั่น อย่าง วิลล่า ทำเล รายัน บางเทา เชิงทะเล ต่อเดือนสูงทุกเซ็กเมนต์เฉลี่ย 2-3 ยูนิต โซนใต้หรือโซนเหนือ เฉลี่ย 1-1.5 ยูนิตต่อเดือน ขณะที่ค่าเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในภูเก็ตอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 5.8% ในอัตรานี้คาดว่าใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี ขายหมด! โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท อัตราการดูดซับค่อนข้างดี เนื่องจากราคาเข้าถึงง่าย ผลตอบแทนสูง เทียบปี 2566 อัตราการดูดซับสูง 6.2%

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


‘ภูเก็ต-ทองหล่อ’ 2ทำเลทอง!ดึงดีมานด์ต่างชาติซื้อบ้านหลังที่สอง

  • ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศยังคงอ่อนแรง รวมถึงความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ปัญหาการโอนเงินของชาวต่างชาติมาไทยยากขึ้น!  
  • แต่ 2 ตลาดศักยภาพใน 2 ทำเลทอง “ภูเก็ต-ทองหล่อ” ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตสวนทาง โดยเฉพาะดีมานด์ต่างชาติที่แห่เข้ามาซื้อบ้านหลังที่สองในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง  

ไปรยา บุนนาค ประธานผู้บริหารฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจตลาดต่างประเทศ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ พร้อมรุกตลาดต่างชาติต่อเนื่อง ล่าสุดผนึกความร่วมมือกับพันธมิตร “ไทยเวย์พร็อพเพอร์ตี้” ในฐานะ Master Agent ตัวแทนขายโดยไทยเวย์ เป็นเอเจนท์ที่ปรึกษาด้านการขายอสังหาฯ แก่ชาวต่างชาติและนักลงทุน ในระดับนานาชาติและในประเทศไทยมากว่า 10 ปี ด้วยประสบการณ์ที่่เชี่ยวชาญในการขายโครงการระดับลักชัวรีบนทำเลศักยภาพอย่างทองหล่อ-เอกมัย 

โดยเตรียมนำเสนอขายโครงการ Via 61 ให้กลุ่มลูกค้าในเอเชีย พร้อมกัน 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, เมียนมา, ไต้หวัน, ฮ่องกง, สิงคโปร์ และไทย  นับเป็นการเปิดตลาดอย่างยิ่งใหญ่ของแสนสิริในกลุ่มลูกค้าต่างชาติในรอบหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้าและสร้างยอดขาย 480 ล้านบาท

“ดีมานด์ลูกค้าชาวต่างชาติเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในไทยเพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่เองจากการพำนักและประกอบธุรกิจในไทย หรือมองหาที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สองในประเทศไทยรูปแบบ long stay เพื่อตอบโจทย์ด้านการรักษาสุขภาพโดยแพทย์ชั้นนำในไทย และกลุ่มนักลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่าจากอัตราผลตอบแทนอัตราปล่อยเช่าที่ดี (rental yield) นับเป็นสัญญาณที่ดีของตลาด”

ทั้งนี้ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง บริการหลังการขายที่ดี  ศักยภาพของทำเลยอดนิยม ทั้งสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างดีมานด์อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่างชาติ ทำให้แสนสิริ ปิดการขายเต็มโควต้าต่างชาติในทุกโครงการในย่านทองหล่อ เอกมัย กว่า 10 โครงการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มลักชัวรีและระดับพรีเมี่ยม 

พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทมียอดขายจากตลาดต่างชาติจาก 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่ยังไม่เปิดขายอย่างเป็นทางการ ได้แก่ โซ​ ออริจิ้น กะตะ ภูเก็ต และ ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต ภายใต้โควตาของผู้ซื้อชาวต่างชาติคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ ออริจิ้น เปิดตัวคอนโดมิเนียมในภูเก็ต 3 โครงการ มูลค่ารวม 5,150 ล้านบาท ประกอบด้วย ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต อยู่ใจกลางเมืองซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายใน 6 สัปดาห์ ดิ ออริจิ้น กะทู้-ป่าตอง โซนกะทู้ และ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช เพิ่งเปิดขายต้นปี 2567 โดยมียอดขายสะสมจาก 3 โครงการดังกล่าว (มิ.ย.2567) รวมกว่า 4,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 80% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด

ธนกร วุฒิพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า จากการเปิดตัว Origin Agent Club ทำให้บริษัทมีพันธมิตรเอเจนต์อสังหาฯ ทั้งไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทุกโครงการของออริจิ้นสามารถเข้าถึงตลาดต่างชาติได้มากขึ้น โดยเฉพาะรัสเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง เเละสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดหลักของภูเก็ต โดยทุกโครงการตั้งอยู่บน ท็อป เดสติเนชั่น เหมาะสำหรับการพักผ่อนเเละอยู่อาศัย

“ออริจิ้นมีแผนขยายตลาดในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง มีฐานลูกค้าหลากหลาย ทั้งชาวไทยที่ซื้อเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ กลุ่มนักลงทุนระยะยาว กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง โดยเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมเเละพูลวิลล่าอีก3โครงการ”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้5ก.ย. “แข็งค่า” ที่ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้5ก.ย. 2567 ที่ระดับ  34.00 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.23 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนหลุดโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

ทว่า ภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับที่เราประเมินไว้ในช่วงต้นสัปดาห์ว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนสองทิศทาง (Two-Way Volatility) ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด

อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจชะลอลงแถวโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ หลังความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง

ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อน้ำมันดิบในช่วงนี้ได้ (ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ของปีนี้) และโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบดังกล่าวก็เป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า ขณะเดียวกัน ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดในช่วงนี้ ก็อาจเปิดโอกาสให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้เช่นกัน

อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หากราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หรือ อย่างน้อยแกว่งตัว sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

โดยเรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน รวมถึง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ซึ่งหากข้อมูลส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงหนักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้บ้าง

ในทางกลับกัน หากข้อมูลส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงหนัก จนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้

ซึ่งในภาพดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดอาจยิ่งเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ยในแต่ละการประชุมที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวลดลงเพิ่มเติม หนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้

ทว่า เงินดอลลาร์ก็อาจไม่ได้อ่อนค่าลงไปมากนัก เนื่องจากภาพเศรษฐกิจอื่นๆ ก็ดูไม่สดใสเช่นกัน ทำให้เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้างจากความกังวลเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัวลงหนัก

เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.30 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.96-34.23 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

หลังยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) เดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับราว 7.7 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 8.1 ล้านตำแหน่ง สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในแต่ละการประชุมที่เหลือในปีนี้

และโดยรวมเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่า -100bps ในปีนี้ นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ  รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็น Nvidia -1.7% ถูกหมายเรียกในกรณีละเมิดกฎหมายผูกขาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.16%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.97% กดดันโดยแรงเทขายบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor  นำโดย ASML -5.9% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมรวมถึงกลุ่มพลังงาน อาทิ LVMH -4.2%, Shell -1.1% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน รวมถึงล่าสุดความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.76%

สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ มองว่า ตลาดการเงินในช่วงนี้จะอยู่ในช่วงเผชิญความเสี่ยงผันผวนสองด้าน หรือ Two-Way Volatility ขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรรอจับตารายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการที่จะรายงานในช่วง 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของคืนวันพฤหัสฯ นี้ และข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วง 19.30 น. ของคืนวันศุกร์ โดยข้อมูลดังกล่าวจะส่งผลต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับล่าสุดออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในแต่ละการประชุมที่เหลือของปีนี้

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.2-101.8 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถทยอยรีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 2,525 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนสิงหาคม รวมถึงข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

ซึ่งข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ อาจส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร และอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินหลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวได้  

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB

และในฝั่งไทย เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ในเดือนสิงหาคม จะชะลอลงสู่ระดับ 0.43% จากผลของระดับฐานราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้า (+0.16%m/m)

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็อาจยังคงอยู่แถวระดับ 0.54% ซึ่งแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่เรามองว่า ธปท. จะไม่ได้กังวลต่อการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวมากนัก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มทยอยสูงขึ้นกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โรคกลัวสังคม อาการ และ สาเหตุ รวมถึงวิธีการรักษา

โรคกลัวสังคม อาการ และ สาเหตุ รวมถึงวีการรักษา หลัง คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ออกมาเปิดเผย โรคกลัวสังคม

คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ออกมาเปิดเผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับ โรคกลัวสังคม ว่า

โรคกลัวสังคม คืออะไร ?

โรคกลัวสังคม คืออะไร เป็นความรู้สึกกังวลเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพบปะ ผู้คน โดยกลัวว่าจะถูกผู้อื่นมองหรือตัดสินในทางลบ เช่น ตลก น่าเบื่อ อ่อนแอ ไม่เก่งจนกระทั่งต้องหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ และส่งผลกับชีวิตประจำวัน

อาการ

  • กลัว กังวล ทุกข์มาก หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องพบปะสื่อสารกับผู้คน
  • มีอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ตัวสั่น ใจสั่น หายใจเร็ว
  • คิดเชิงลบกับการมองหรือตัดสินจากผู้อื่น
  • มีปัญหาทางสุขภาพจิตอื่นร่วม เช่น ภาวะซึมเศร้า

สาเหตุของ โรคกลัวสังคม

  • พันธุกรรม
  • เป็นคนที่วิตกกังวลง่าย
  • มีเหตุการณ์ฝังใจ
  • การทำงานสมองส่วนอารมณ์และสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ

วิธีรักษา

  • ฝึกสติให้เท่าทันความคิดตนเอง
  • ปรับมุมมองในเชิงบวกและตามความจริง
  • ฝึกกำหนดลมหายใจและผ่อนคลาย
  • ฝึกซ้อมการสื่อสาร-การแสดง
  • ไม่หลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้กังวล
  • ชื่นชมและให้กำลังใจตนเองในความพยายาม
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากอาการไม่ดีขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“อันนา-มูนา” ไล่ต้อนคู่เจ้าถิ่นลิ่วรอบสองแบดมินตันไต้หวัน

“มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด กับ “อันนา” นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด หญิงคู่มือ 18 ของโลก กลับมาประเดิมสนามครั้งแรกในรอบเกือบ 6 เดือนได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านเข้ารอบที่สองแบดมินตันโยเน็กซ์ ไทเป โอเพ่น 2024

การแข่งขันแบดมินตันรายการ โยเน็กซ์ ไทเป โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,140,000 ที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน เมื่อวันพุธที่ 4 ก.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก

ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด กับ “อันนา” นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 18 ของโลก ที่กลับมาลงสนามในเกือบ 6 เดือน หลังจากศึกออง อิงแลนด์ เมื่อเดือนมีนาคม พบกับ โชว ยุนอัน กับ เค ซินหวง คู่มืออันดับ 388 ของโลกจากไต้หวัน เกมนี้ คู่ อันนา กับ มูนา เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ตบเอาชนะไปแบบง่ายดาย 21-15 และ 21-5  “มูนา” เบญญาภา “อันนา” นันทน์กาญจน์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ซือ หย่าฉิง กับ ซุง หยูซวน คู่จากไต้หวัน 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 37 ของโลก เอาชนะ อาคาชิ คัชยัพ มืออันดับ 39 ของโลกจากอินเดีย 2-0 เกม 21-19 และ 21-18 “แครอท” พรพิชชา ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ คาโอรุ ซึกิยามะ มืออันดับ 70 ของโลกจากญี่ปุ่น ที่เอาชนะ “มินนี่” ธมนวรรณ นิธิอิทธิไกร มืออันดับ 101 ของโลก มาได้ 2-0 เกม 21-11 และ 24-22 

ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตน์สกุล มืออันดับ 78 ของโลก พลิกแซงกลับมาเอาชนะ หวง ยู่ไค่ มืออันดับ 77 ของโลกจากไต้หวัน ไปแบบสุดมันส์ 2-1 เกม 19-21,21-15,21-17 “อิคคิว” พณิชพล ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ จอน ย็อคจิน มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 40 ของโลกจากเกาหลีใต้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


กสทช.กาง 4 เหตุผลหนุนไทย สร้าง ‘ฐานปล่อยจรวด’ ก้าวสู่ฮับ ‘ท่าอวกาศยาน’

“ธนพันธุ์” สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฐานปล่อยจรวดหรือ Rocket Launch Site เพื่อส่งดาวเทียม และก้าวไปสู่การเป็น “ท่าอวกาศยาน” ในระดับภูมิภาคต่อไป ระบุไทยมีทั้งศักยภาพและความพร้อม และอยู่ในโลเคชั่นเป็นต่อเพราะใกล้เส้นศูนย์สูตร

พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงกรณีการสร้างสนามยิงจรวดเพื่อส่งดาวเทียมในประเทศไทยว่า หากต้องการให้เกิดจริงกสทช. ต้องเป็นผู้ดูแลอนุญาตหรือไม่นั้น ได้ชี้แจงว่า ตามอำนาจหน้าที่ กสทช. ไม่ได้เป็นผู้ดูแลโดยตรง แต่ กสทช. เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และส่วนตัวสนับสนุนให้เกิดขึ้น เพราะ กสทช. มีหน้าที่และอำนาจในการอนุญาตสิทธิในการเข้าใช้ วงโคจรดาวเทียม ซึ่งหากเปรียบเทียบระหว่างเครื่องบินที่บินอยู่บนท้องฟ้า กับดาวเทียมที่โคจรรอบโลกอยู่บนอวกาศนั้นเครื่องบินก็ต้องมีสนามบิน หรือ ท่าอากาศยาน ที่ใช้ในการขึ้นและลงของเครื่องบิน

ดังนั้น “ดาวเทียม” ก็ต้องมี “ฐานยิงจรวด” (Rocket Launch Site) เพื่อส่งดาวเทียม และพัฒนาต่อยอดเป็น “ท่าอวกาศยาน” (Spaceport) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมในการส่งและรับจรวดเพื่อส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรบนอวกาศนั้นเอง โดยที่วงโคจดาวเทียม ก็เปรียบเสมือนเส้นทางการบิน ที่ดาวเทียมนั้นใช้ในการโคจรรอบโลก โดยกสทช. มีหน้าที่ในการอนุญาตสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมแต่มิได้มีหน้าที่ในการอนุญาตสิทธิในการสร้างท่าอวกาศยาน

อย่างไรก็ตาม ต่อคำถามที่ว่าประเทศไทยมีดาวเทียมไม่กี่ดวง แล้วจะสามารถเป็นท่าอวกาศยานได้หรือไม่นั้น ขอให้เปรียบดูกรณีประเทศไทยก็มีเครื่องบินเป็นของตนเองไม่น่าเกินหลักพันและไม่ได้ผลิตเครื่องบินเองด้วยซ้ำ แต่ทำไมประเทศไทยมีสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางการบินของโลกได้ ทั้งนี้เช่นเดียวกัน

และเมื่อเข้าใจถึงเงื่อนไขทางเทคนิคที่ใช้ในการพิจารณาจัดตั้งท่าอวกาศยานที่มีเงื่อนไขที่สำคัญ เช่น

1. ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้มีความเหมาะสมมาก เพราะตามหลักแล้วท่าอวกาศยานควรตั้งอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร (equator) มากที่สุด เพื่อใช้ประโยชน์จากความเร็วการหมุนของโลก ที่จะช่วยให้จรวดสามารถบรรทุกสิ่งของที่หนักกว่า เช่น ดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรได้ โดยใช้เชื่อเพลิงที่น้อยลง เนื่องจากได้รับการหนุนจากการหมุนของโลกเป็นอย่างมาก 

2. ตำแหน่งควรอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงจากความล้มเหลวเวลายิงจรวดจึงมักนิยมอยู่บนสถานที่ริมฝั่งทะเลเพื่อยิ่งจรวดไปเหนือน่านน้ำทะเลเปิด ซึ่งพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเหมาะสม

3. สภาพอากาศ ควรมีท้องฟ้าแจ่มใส ลมสงบ อุณหภูมิคงที่ ไม่เป็นพื้นที่แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ หรือเกิดพายุ ฟ้าผ่า บ่อยครั้ง 

4. ควรมีโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ รองรับ เช่น ไฟฟ้า การสื่อสารโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านการบินและอากาศยาน ซึ่งประเทศไทยก็มีความพร้อมรองรับจากโครงการ EEC ที่มี S Curve ด้านอุตสาหกรรมการบิน และสามารถต่อยอดได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้น ประเทศไทยได้เปรียบเป็นอย่างมาก โดยในอดีตการส่งจรวดเป็นสิ่งที่ถูกสงวนไว้สำหรับรัฐบาลและทหารเท่านั้น ทำให้มีท่าอวกาศยานอยู่ไม่กี่แห่ง เช่น ที่แหลมคะแนเวอรัล รัฐฟลอริดา ที่ NASA ใช้ ส่วนยุโรปก็ต้องไปที่ เฟรนซ์เกียน่า ทวีปแอฟริกา

ยกเว้นรัสเซียใช้ฐานยิงที่คาซัคสถาน ซึ่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่ค่อยเหมาะสมเช่นเดียวกับของประเทศจีน แต่ปัจจุบันเอกชนและหน่วยงานอวกาศจากนานาประเทศเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมอวกาศมากขึ้น 

รวมทั้งความต้องการในการสร้างและส่งดาวเทียมได้เปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่ต้องสร้างดาวเทียมขนาดใหญ่ขึ้นสู่วงโคจรดาวเทียมค้างฟ้า หรือ Geo-Stationary Earth Orbit (GEO) ที่มีระยะที่สูงจากพื้นโลกมากแต่ใช้จำนวนดาวเทียมที่น้อย มาเป็นการสร้างดาวเทียมขนาดเล็ก ขึ้นสู่วงโคจรดาวเทียมต่ำ หรือ Low Earth Orbit (LEO) เช่น Starlink ของอเมริกามีแผนจะปล่อยดาวเทียมมากถึง 42,000 ดวง เช่นเดียวกับ Oneweb ของประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศจีน ที่มีแผนที่จะยิงดาวเทียมนับหมื่นดวงเช่นกัน และดาวเทียมประเภทนี้จะมีอายุสั้นประมาณ 5 ปีเท่านั้น ทำให้ต้องมีการยิงดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปทดแทนอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ กิจการอวกาศเป็นอุตสาหกรรมขาขึ้นที่มีพัฒนาการต่อเนื่องที่มิใช่เฉพาะเรื่องดาวเทียมเท่านั้น ในอนาคตอันใกล้จะมีกิจกรรมอื่น เช่น การส่งคนขึ้นไปท่องเที่ยวบนอวกาศ หรือ การสร้างและส่ง Data Center บนอวกาศ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ จึงถือว่าเป็นหนึ่งใน Sunrise Industry ที่เทคโนโลยีปัจจุบันรองรับในเชิงพาณิชย์ได้

“ประเทศไทยควรเห็นโอกาสและร่วมมือกับประเทศที่มีความต้องการในเรื่องนี้ เช่น ประเทศจีนที่พื้นที่ตั้งอาจไม่เอื้ออำนวย โดยให้มีการร่วมลงทุนในไทยที่มาพร้อมเทคโนโลยี เช่นเดียวกับในอดีตที่เคยดึงญี่ปุ่นมาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ทำให้ประสบความสำเร็จมาแล้ว และจะทำให้ประเทศไทยได้รับการพัฒนาบุคลากรทางด้านนี้ด้วย และเมื่อเศรษฐกิจดีปัญหาสังคมความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ก็น่าจะเบาบางลงด้วย ดังนั้นหากผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และมีความรู้คู่คุณธรรมได้มาบริหารองค์กรแล้ว คงจะเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง เหมือนดั่งที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้ครับ” พล.อ.ท.ธนพันธุ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


วิธีเลือกแตงโมหวานฉ่ำ เนื้อดี เม็ดน้อย อร่อยสดชื่นสุดๆ

ทุกครั้งที่ไปเดินเลือกซื้อผลไม้ สิ่งหนึ่งที่หลายคนสงสัยคือ จะเลือกแตงโมลูกไหนดีถึงจะอร่อยถูกใจ หวานฉ่ำ เนื้อดี กินแล้วกรอบอร่อย สดชื่น ช่วยดับกระหายคลายร้อน

วิธีเลือกแตงโมหวานฉ่ำ

1.สังเกตรูปทรงแตงโม

เวลาเลือกซื้อแตงโม ลองสังเกตรูปร่างของแตงโมดูค่ะ ควรเลือกแตงโมที่มีรูปทรงสมมาตร กลมมน หรือรีๆ สม่ำเสมอ เพราะแตงโมที่มีรูปร่างแปลกๆ อาจจะมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ไม่ค่อยดีแตงโมที่น่าสนใจคือ แตงโมที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับขนาด เพราะนั่นหมายความว่าแตงโมลูกนั้นอิ่มน้ำและสุกกำลังดี


2.สีสม่ำเสมอทั่วทั้งลูก

แตงโมใช้เวลาเพียง 90 วันในการเติบโต และจะมีรสชาติหวานที่สุดในช่วงที่สุกเต็มที่ แตงโมที่สุกแล้วจะมีผิวด้าน ไม่มันวาว ถ้าผิวแตงโมยังมันวาวอยู่ แสดงว่าอาจจะยังไม่สุกเต็มที่ นอกจากนี้สีของเปลือกแตงโมก็สำคัญค่ะ ถ้าสีสม่ำเสมอทั่วทั้งลูก แสดงว่าแตงโมน่าจะสุกและมีรสชาติที่ทั่วถึง

จำไว้ว่าแตงโมจะไม่สุกเพิ่มขึ้นหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอหลายวันก่อนทาน เมื่อผ่าแตงโมออกมา อาจจะพบว่าเนื้อแตงโมมีสีชมพูไม่ใช่สีแดงเข้มเสมอไป แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะสีแดงของแตงโมมาจากสารไลโคปีน ซึ่งไม่มีรสชาติ ดังนั้น ให้ลองชิมดูจะดีกว่า

3.สังเกตรอยแตกร้าว

นอกจากสีและรูปร่างแล้ว ลองสังเกตรอยแตกร้าวคล้ายเส้นเลือดบนผิวแตงโมด้วย รอยแตกร้าวเหล่านี้มักบ่งชี้ว่าแตงโมนั้นหวานเป็นพิเศษ ตรวจสอบให้ทั่วทุกด้านของแตงโม ริต้า เฟย์เคอร์รี กล่าวว่า “รอยแตกร้าวขนาดใหญ่หรือ “จุดน้ำตาล” หมายความว่าน้ำตาลกำลังซึมออกมาจากแตงโม ซึ่งแสดงว่าแตงโมนั้นหวานมาก”

รอยแตกร้าวอาจดูไม่สวยงาม และคุณอาจอยากเลือกแตงโมลูกอื่น แต่รอยแตกร้าวสีน้ำตาลเหล่านี้เกิดจากการผสมเกสร ดังนั้นยิ่งเห็นรอยแตกร้าวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าผึ้งได้ผสมเกสรให้กับแตงโมลูกนั้นมากขึ้นเมื่อยังเป็นดอก ยิ่งมีการผสมเกสรมากเท่าไหร่ ผลไม้ก็จะยิ่งหวานมากขึ้นเท่านั้น

4.สังเกตที่ขั้วแตงโม

นอกจากวิธีที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว การสังเกตที่ขั้วแตงโมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราเลือกแตงโมหวานฉ่ำได้ค่ะ

  • ขั้วแห้งและม้วน: ถ้าขั้วแตงโมแห้งและม้วนเข้าหากัน แสดงว่าแตงโมลูกนั้นแก่จัดและมีโอกาสสูงที่จะหวานฉ่ำ
  • ขั้วสดและตรง: ถ้าขั้วแตงโมยังสดและตรงอยู่ แสดงว่าแตงโมอาจจะยังไม่สุกเต็มที่ รสชาติอาจจะไม่หวานเท่าที่ควร

5.สังเกต ท้องแตงโมเป็นสีเหลือง

นอกจากวิธีที่กล่าวมาแล้ว การสังเกต “ท้องแตงโม” หรือส่วนที่แตงโมสัมผัสกับพื้นดินขณะเติบโต ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราเลือกแตงโมหวานฉ่ำได้ค่ะ

  • ท้องแตงโมสีเหลืองขนาดใหญ่: บ่งบอกว่าแตงโมสุกนานบนเถา ทำให้มีรสชาติหวานฉ่ำ
  • ท้องแตงโมสีขาวหรือเหลืองอ่อน: อาจหมายถึงแตงโมยังไม่สุกเต็มที่
  • ท้องแตงโมสีส้มเข้ม: อาจสุกเกินไป รสชาติอาจจะไม่หวานอร่อย

6.เคาะเบาๆ ฟังเสียง

นอกจากการสังเกตสีและรูปร่างแล้ว การเคาะแตงโมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเลือกแตงโมหวานฉ่ำได้

  • เสียงทุ้มลึก: แตงโมที่สุกกำลังดี เมื่อเคาะเบาๆ จะให้เสียงทุ้มลึก
  • เสียงกลวง: ถ้าเคาะแล้วได้ยินเสียงกลวง อาจหมายความว่าแตงโมสุกเกินไป เนื้ออาจจะแห้งหรือมีเม็ด
  • เสียงสูง: ถ้าเคาะแล้วได้ยินเสียงสูง อาจหมายความว่าเปลือกแตงโมหนาเกินไป และเนื้อข้างในอาจยังไม่สุกเต็มที่

7.เกาเบาๆ ดูเนื้อใน

นอกจากวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว การเกาผิวแตงโมเบาๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราเลือกแตงโมหวานฉ่ำได้

  • ผิวหลุดง่าย: ถ้าเกาผิวแตงโมเบาๆ แล้วผิวหลุดออกง่าย และเห็นเนื้อสีเขียวขาวอยู่ข้างใต้ แสดงว่าแตงโมสุกแล้ว
  • ผิวไม่หลุดง่าย: ถ้าเกาแล้วผิวไม่หลุดง่าย หรือเห็นเส้นสีเข้มอยู่ข้างใต้ แสดงว่าแตงโมอาจจะยังไม่สุกเต็มที่

เคล็ดลับ: วิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นเนื้อในของแตงโมเบื้องต้น และช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อได้ดียิ่งขึ้น

8.ดูลายเพื่อเลือกแตงโมเมล็ดน้อย

นอกจากวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว การสังเกตลายบนผิวแตงโมก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่น่าสนใจค่ะ

หากคุณต้องการแตงโมที่มีเมล็ดน้อย ลองสังเกตลายเส้นบนผิวแตงโมดู ถ้าลายเส้นบนผิวแตงโมห่างกัน แสดงว่าแนวของเมล็ดแตงโมด้านในก็จะมีระยะห่างมากขึ้นตามไปด้วย หมายความว่าคุณมีโอกาสได้แตงโมที่มีเมล็ดน้อยกว่านั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 สถาบันเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดีที่สุด

ทำไมเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล หรือประถมศึกษา แต่ยังใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่อง หรือยังไม่เข้าใจหลักภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้เลย? เชื่อว่าเป็นคำถามที่อยู่ในใจเด็กไทยหลายๆ คนมาตลอด รวมถึงวัยทำงานที่กำลังจะต้องเตรียมสอบ หรือใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการทำงานด้วยเช่นกัน แน่นอนว่ามีปัจจัยมากมายที่ทำให้ภาษาอังกฤษของเราไม่แข็งแรง ทั้งที่เรียนในหลักสูตรบังคับกันมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลอย่างมาก คือ ส่วนใหญ่แล้วการเรียนภาษาอังกฤษนั้น จะเรียนเพื่อเตรียมสอบมากกว่าการเรียนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน พอสอบเสร็จก็อาจจะลืมกันได้เป็นธรรมดา นอกจากนี้การเรียนภาษาอังกฤษในมุมมองของสังคมไทย แม้จะได้รับความนิยม และมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะประเทศไทยถือเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศ แต่การเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทยนั้น อาจจะไม่เอื้ออำนวยมากเท่าไหร่นัก เพราะการเรียนภาษาให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ก็ควรจะได้ฝึกภาษาอังกฤษบ่อย ๆ โดยเฉพาะการได้พูดคุยกับเจ้าของภาษามากกว่า

สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด

การเรียนภาษาอังกฤษนั้น ต้องไม่ใช่แค่การเรียน หรือท่องจำเพื่อเตรียมตัวสอบเท่านั้น แต่จะต้องเรียนให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจน สามารถพัฒนาทักษะทั้ง 4 ได้ นั่นคือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำ 5 สถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับทุกเพศ ทุกวัย

1. Engduo Thailand

สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเรียนเพื่อการสื่อสารทั่วไป คอร์สเรียนเพื่อการทำงาน หรือจะเป็นคอร์สเรียนเพื่อการสมัครงาน ก็มีให้เลือกหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเรียนรู้ของทุกเพศ ทุกวัย

2. Enconcept

สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่อยู่กับนักเรียนไทยมามากกว่า 27 ปี ครอบคลุมกว่า 37 สาขาทั่วประเทศ สามารถเลือกแผนการเรียนได้ตามใจคุณ และเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือจะเรียนสดในห้องก็สามารถเลือกได้ตามความสะดวกและสไตล์การเรียนรู้ของแต่ละคน

3. Xchange English

สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ รับประกันด้วยระบบเสียงคุณภาพ จะเรียนที่ไหนก็ไม่มีติดขัด ขึ้นชื่อด้วยผลการสอบ TOEFL และ TOEIC ได้เป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียนหรือวัยทำงานก็สามารถเลือกคอร์สเรียนให้เหมาะสมกับตัวเองได้เลย

4. Wall Street English

สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ มีหลากหลายคอร์สเรียนให้เลือกได้ตามความต้องการ สะดวกสบายด้วยการเรียนในระบบออนไลน์ สามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา รับประกันว่าคุณจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว

5. ECC Thailand

สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 อย่างเป็นทางการ พร้อมพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนในหลากหลายด้าน และมีหลักสูตรการเรียนภาษาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาษาจีนกลาง ภาษาญี่ปุ่น ภาษาพม่า เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/09/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,050.0040,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,594.0039,325.0440,650.00
ทองรูปพรรณ 90%2,334.6035,392.54n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,075.2031,460.03n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,167.0017,691.72n/a
ทองรูปพรรณ 40%908.0013,765.28n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,688.0040,750.08n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/09/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.3536.3536.6536.3536.3536.3536.3536.3536.3536.35
แก๊สโซฮอล์ 9135.9835.9836.2835.9835.9835.9835.9835.9835.9835.98
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.5434.2434.2434.2434.2434.2434.24
แก๊สโซฮอล์ E8533.9933.9933.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.9449.8449.8449.8444.94
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า