ดีมานด์ออฟฟิศย่าน CBD กทม.พุ่ง! รับอานิสงส์ต่างชาติย้ายสำนักงานใหญ่
กระแสการย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติไม่ว่ายุโรป อเมริกาปีนี้เริ่มคักคัก หลายบริษัทได้เริ่มย้ายออฟฟิศเข้ามาในย่านซีบีดีกทม. เนื่องจากเป็นทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่สำคัญค่าเช่าถูกกว่าสิงคโปร์
ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าไตรมาส2 ปี2567 อุปทานอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น 29,200 ตร.ม. หรือ 0.5% จากไตรมาสก่อนคิดเป็น 6.16 ล้าน ตร.ม.
โดยมีอาคารสำนักงานใหม่ 2 แห่งสร้างแล้วเสร็จแล้ว ได้แก่ ศุภาลัย ไอคอน สาทร และรัชโยธิน ฮิลส์ ขณะที่ซัพพลายในอนาคตยัง”ไม่มี”การประกาศก่อสร้างโครงการใหม่ทำให้พื้นที่ให้เช่ารวมสำหรับการพัฒนา”ลดลง”เหลือ 1.46 ล้าน ตร.ม.คิดเป็น 24% ของระดับอุปทานในปัจจุบัน
สำหรับพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ(CBD)ยังคงเป็นทำเลหลักมีสัดส่วน 60% ของอุปทานใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ จากการประเมินพบว่าในอีก 2.5 ปีข้างหน้าอุปทานพื้นที่สำนักงานใหม่ ในครึ่งปีหลัง 2567 อยู่ที่ 410,700 ตร.ม. ในปี 2568 คาดการณ์ 316,000 ตร.ม.และในปี 2569 คาดการณ์ 440,400 ตร.ม.
โดยดีมานด์การดูดซับสุทธิของตลาดพื้นที่สำนักงานในไตรมาสนี้เป็นบวกหรือเท่ากับ 18,400 ตร.ม เพิ่มขึ้นจากที่ติดลบในไตรมาสก่อน ส่งผลให้พื้นที่ครอบครองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน เป็น 4.73 ล้าน ตร.ม. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่การดูดซับสุทธิของพื้นที่สำนักงานสีเขียวติดลบลดลงเหลือ5,900 ตร.ม.
ขณะที่พื้นที่สำนักงานที่”ไม่ใช่”สำนักงานสีเขียวเพิ่มขึ้น 24,300 ตร.ม. คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสหน้าตามเทรนด์ความยั่งยืนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในตลาดสำนักงาน
” ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้น มีการดูดซับสุทธิที่ 23,400 ตร.ม. ในขณะที่ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านนอกศูนย์กลางธุรกิจ (Non-CBD) หดตัวเล็กน้อย การดูดซับสุทธิติดลบ 4,950 ตร.ม. เนื่องจากมีความต้องการจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายสำนักงานใหญ่เข้ามาในกรุงเทพฯมากขึ้น “
อย่างไรก็ตามอัตราการครอบครองตลาดอาคารสำนักงานภาพรวม”ทรงตัว”อยู่ที่ 77% สอดคล้องกับไตรมาสก่อน หากแยกตามแต่ละกลุ่ม พบว่า สำนักงานเกรด A มีเสถียรภาพมากที่สุด อัตราการครอบครองสูงสุดที่ 80% แม้ว่าจะลดลง 2.5% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องของอุปทาน สำนักงานเกรด B เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% ส่วนสำนักงานเกรด C ลดลง 1% เหลือ 77%
ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 817 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน และ 0.3% จากปีก่อน ค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารทุกเกรดเพิ่มขึ้น แม้ว่าเทรนด์โดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก แต่ผู้ให้เช่าส่วนใหญ่เลือกที่จะคงค่าเช่าในอัตราเดิม ส่วนค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน
ขณะที่อัตราการครอบครองเฉลี่ยยังคงทรงตัวที่ 79% สีลม-สาทร-พระราม 4 เป็นย่านหลักที่ขับเคลื่อนพื้นที่การเช่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยพื้นที่ย่านดังกล่าวมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยการดูดซับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 22,200 ตร.ม. ทำให้อัตราการครอบครองเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน ส่วนอัตราค่าเช่าลดลงเล็กน้อย 0.7% จากไตรมาสก่อน
ตรงกันข้ามกับอาคารสำนักงานนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าเช่าและอัตราการครอบครอง”ลดลง” ค่าเช่าเฉลี่ยลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน เหลือ 660 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน อัตราการครอบครองเฉลี่ยก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อน เหลือ 74% ค่าเช่าของตลาดทั้ง 3 กลุ่มมีการเติบโตเป็นบวก แต่อัตราการครอบครองลดลง
“ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากการเติบโตของอุปทาน พื้นที่ให้เช่า และอัตราค่าเช่า ถึงแม้ว่าอัตราการดูดซับสุทธิจะกลับมาเป็นบวก แต่อัตราการครอบครองยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากซัพพลายแซงหน้าดีมานด์”
อย่างไรก็ตาม “คุณภาพ” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกอาคารสำนักงาน แม้ว่าคำจำกัดความของ “คุณภาพ” ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้เช่าจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่สำนักงาน โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และการปรับตัว การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลายและเน้นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมีความสำคัญมากขึ้น
รวมทั้งผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับแนวคิดในเรื่องความยั่งยืนและ ESG ก่อนตัดสินใจเช่า ด้วยความมุ่งมั่นด้านคาร์บอน บางบริษัทจะพิจารณาเฉพาะอาคารที่ได้รับการรับรองสีเขียวเท่านั้น แม้ว่าตัวเลือกที่ไม่ได้รับการรับรองจะมาพร้อมกับสิ่งจูงใจที่น่าดึงดูดก็ตาม ดังนั้นอาคารเก่าที่ไม่ได้รับการปรับปรุงสินทรัพย์ (AE) หรือปรับปรุงการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก (FM) ต้องเผชิญกับการคุกคามมากขึ้นจากการเกิดขึ้นของอาคารใหม่ ๆ ที่ใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข่งขันได้ พื้นที่ทางกายภาพ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่ายุคใหม่
ทั้งนี้เนื่องจาก จะมีพื้นที่อุปทานใหม่เกือบ 1.2 ล้าน ตร.ม. ในอีก 2.5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็น “แรงกดดัน”ต่อจำนวนการเช่าพื้นที่และค่าเช่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ราคาค่าเช่าจะกลายเป็นตัวชี้วัดของตลาดที่มีความน่าเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากช่องว่างระหว่างอัตราค่าเช่าและค่าเช่าที่แท้จริงเริ่มกว้างขึ้น โดย ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าจะมีการเช่าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ วัน แบงค็อก เฟส 1 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงที่กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายตลอดเวลา
“การแข่งขันในตลาดสำนักงานกรุงเทพฯรุนแรงขึ้น ดังนั้น การมีคุณสมบัติของอาคารสีเขียวและการเน้นการปฏิบัติตามหลัก ESG จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ทรัพย์สินของคุณมีความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดใจในตลาดปัจจุบัน เพราะความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ปัญญา กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
รีเจกต์เรตบ้านหรูพุ่ง!เอสซีพลิกเกมลุยจัด10อีเวนท์ในห้างกระตุ้นยอดขาย
ณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปัจจุบันยอดปฏิเสธสินเชื่อ( Rejection Rate) ที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ อย่างมีนัยสำคัญในปี2567 ตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมาไม่เฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อแต่ยังพบว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อมากขึ้นในกลุ่มบ้านราคาตั้งแต่ 10ล้านบาทสูงขึ้น เช่นเดียวกันกับบ้านของเอสซี แอสเสท ที่มีระดับราคาตั้งแต่10 ล้านบาทขึ้นไปตัวเลขปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น14-15% จากเดิมอยู่ที่6-7% ขณะที่บ้านราคาต่ำกว่า10 ล้านบาทตัวเลขปฏิเสธสินเชื่อเท่ากับปีที่ผ่านมา
จากแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อได้รับผลกระทบเช่นกันทำให้อารมณ์ซื้อของคนที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการน้อยลง20-30% เนื่องจากเกิดความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจจึงชะลอการตัดสินใจซื้อ ส่งผลให้ตลาดค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทจึงได้กลยุทธ์ “Go-To-Customer Strategy” เพื่อช่วยส่งเสริมการขายหลากหลายรูปแบบหนึ่งในนั้นคือการจัดกิจกรรมการตลาดตามห้างสรรพสินค้าเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นแทนที่จะรอให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ
“ในปีนี้วางแผนที่จัดกิจกรรมตามห้างสรรพสินค้าเพื่อเข้าไปหาลูกค้าด้วยการออกบูธทั้งปี 10 ครั้งจากปกติปีละ2-3 ครั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้ลูกค้าได้ช้อปสะดวกสบาย พร้อมโปรโมชั่น Hot Deal ทั้งบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม และ กิจกรรมที่น่าสนใจ ถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่นำเสนอเงื่อนไขที่สุดที่สุดสำหรับสำหรับลูกค้าที่กำลังพิจารณาตัดสินใจซื้อบ้าน “
นอกจากนี้บริษัทยังมี SC Affiliate Program ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ที่จะช่วยขยายช่องทางส่งเสริมการขายให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น รวมทั้งMarketing Campaign อาทิ “SC Day” โปรโมชั่นพิเศษ “โอ้มากะ ศูนย์” โปรโมชั่นสุดคุ้มประจำปี 7-8 ก.ย.นี้ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ณัฏฐกิตติ์ กล่าวต่อว่า ในครึ่งปีหลัง 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่แนวราบระดับลักชัวรีที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยจำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท โดยล่าสุด ได้เปิดบ้านซีรีส์ใหม่ สไตล์เมดิเตอร์เรเนียนครั้งแรก 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ณ อุทยาน, แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา กม.15 โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการยกระดับการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว
” หลังจากครึ่งปีแรก 2567 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัว 9 โครงการ มูลค่ารวม 18,450 ล้านบาท และปิดการขายไปแล้ว 3 โครงการ ได้แก่ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม5,เวนิว ไอดี พระราม5 และ เวิร์ฟ สายไหม-พหลโยธิน มูลค่ารวม 3,152 ล้านบาท “
ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายใต้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ด้วยสินค้าบริการคุณภาพสูง และนวัตกรรม ซึ่งประกอบกับการออกแบบดีไซน์ที่สวยงาม และ ฟังก์ชั่นตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกเจนเนอเรชั่น ที่สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution สร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตบนความหลากหลาย
สำหรับปี 2567 เอสซี แอสเสทได้ตั้งเป้าหมายการสร้างยอดขายรวม 28,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย ยอดขายจากโครงการแนวราบ 65% และคอนโด 35% โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท และคอนโด 2 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ก.ย. “อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง จับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาทองคำ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ก.ย. 2567 ที่ระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า ยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูง (แกว่งตัวในกรอบ 33.35-33.78 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเร็ว
ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านของราคาทองคำ หลังยอดการจ้างงานยอดภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นเพียง +1.42 แสนตำแหน่ง น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ราว +1.6 แสนต่ำแหน่ง
อีกทั้งยอดการจ้างงานในช่วงเดือนก่อนๆ ก็ถูกปรับลดลงพอสมควร อย่างไรก็ดี รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ โดยรวมไม่ได้แย่ไปทั้งหมด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ หลังอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ได้ปรับลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.2%
ส่วนอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ก็เร่งตัวขึ้น +3.8%y/y ซึ่งภาพดังกล่าว รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินได้หนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงเกือบ -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ กลับสู่โซนแนวรับระยะสั้นอีกครั้ง ส่งผลให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่คาด ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด โฟลว์ขายทำกำไรทองคำและแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรรอจับตา ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมรอลุ้น รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนสิงหาคม ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมเดือนกันยายนนี้ได้ โดยหากอัตราเงินเฟ้อชะลอลงมากกว่าคาด หรือ ชะลอลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย -125bps ได้ทั้งในปีนี้และในปีหน้า
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ทั้งนี้ แนวโน้มยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims)
และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ยังไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แย่ลงชัดเจนอย่างที่บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างกังวล ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า เฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยราว -25bps ในแต่ละการประชุมที่เหลือในปีนี้
รวมเป็นการลดดอกเบี้ย -75bps และลดดอกเบี้ยอีกราว -100bps ในปีหน้า ทว่า เฟดก็มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่เราประเมินไว้ หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ แย่ลงชัดเจน มากกว่าที่เราคาด ซึ่งควรจะเห็นการเร่งตัวขึ้นของยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน พร้อมกับยอดการจ้างงานที่ลดลงต่อเนื่อง
▪ ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) -25bps สู่ระดับ 3.50% พร้อมกันนั้น ทาง ECB อาจส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ECB จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้ (รวมการประชุมเดือนกันยายน)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ ซึ่งหากตลาดแรงงานอังกฤษชะลอตัวลงมากขึ้นชัดเจน ก็อาจเพิ่มโอกาสที่ BOE อาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ผู้เล่นในตลาดประเมินไว้ (ล่าสุดผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว 1-2 ครั้ง)
ซึ่งในกรณีดังกล่าวอาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้บ้าง นอกจากนี้ ควรจับตาสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส หลังฝรั่งเศสได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ Michel Barnier ผู้เคยเป็นหัวหน้าทีมเจรจาข้อตกลง Brexit ของทางสหภาพยุโรป (EU)
ทั้งนี้ การเมืองฝรั่งเศสยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เนื่องจากรัฐบาลของนายกฯ Michel Barnier มีความเสี่ยงเผชิญการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเริ่มเจอการประท้วงต่อต้านจากประชาชน หลังพรรคฝั่งซ้าย (New Popular Front) ที่ชนะการเลือกตั้งกลับไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลและได้ตำแหน่งนายกฯ อย่างที่ควรจะเป็น
▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนในเดือนสิงหาคม อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการส่งออกและนำเข้า (Export & Imports) และอัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน ก็อาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาด ส่งผลดีต่อแนวโน้มตลาดการเงินจีนและอาจช่วยพยุงค่าเงินหยวนของจีน (CNY)
▪ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนสิงหาคม เพื่อประเมินแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจ
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลง (เราจะมั่นใจมากขึ้น หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าเหนือระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน) แต่เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อมั่นว่าเฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย
อนึ่ง ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ที่จะกระทบทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) พร้อมติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจเริ่มทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทย รวมถึงจับตาการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาทองคำ
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน หรืออัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนจากบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดและโอกาสที่เงินยูโร (EUR) อาจอ่อนค่าลง หาก ECB ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.40-34.10 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.85 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ปิดฉากพาราลิมปิก 2024 อย่างเป็นทางการ, ลอสแอนเจลิส รับไม้ต่อเจ้าภาพ 2028
การแข่งขัน พาราลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รับหน้าจัดการแข่งขัน ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2567
โดยมีการจัดพิธีปิดที่สนามกีฬาแห่งชาติ “สต๊าด เดอ ฟรองซ์” นำโดยขบวนพาเหรดของนักกีฬาจากทั้ง 168 ชาติ เดินเข้าสู่สนามท่ามกลางความสนุกของเสียงเพลง
ซึ่ง “ทัพนักกีฬาไทย” นำโดย “บีม” ชัยวัฒน์ รัตนะ วีลแชร์เรซซิ่ง เจ้าของเหรียญทอง 100 เมตร คลาส T34 และ ยังทำลายสถิติพาราลิมปิก เป็นผู้เชิญธงชาติไทยเข้าสู่สนาม
จากนั้น โทนี เอสต็องเกต์ ผู้อำนวยการจัดการแข่งขัน และ แอนดรูว์ พาร์สัน ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกสากล ออกมากล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจนทำให้งานสำเร็จไปได้ด้วยดี
ไฮไลต์ของงานคือการส่งมอบธงเจ้าภาพครั้งต่อไปก็คือ นครลอสแอนเจลิส 2028 ที่ทาง คาเรน เบสส์ นายกเทศมนตรีนครลอสแอนเจลิส เดินทางมารับธงไปโบกสะบัดอันเป็นสัญญาณการรับหน้าที่ต่อ
ก่อนที่จะมีพิธีดับไฟอย่างเรียบง่ายด้วยการนำนักกีฬาจำนวน 6 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจาก 5 ทวีป และสมาชิกทีมโอลิมปิกผู้ลี้ภัยอีก 1 คน ช่วยกันเป่าไฟในตะเกียงปิดฉากอย่างเป็นทางการ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 วิธีรับมือโรคอาหารเป็นพิษช่วงน้ำท่วม รู้ไว้ก่อนสุขภาพพัง
สถานการณ์ภัยพิบัติจากน้ำท่วม สร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยอาหารที่ซื้อเก็บหรือได้รับในช่วงน้ำท่วม ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารกระป๋อง อาหารกล่องเสียง่าย อาหารแห้ง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทำให้มีทางเลือกในการรับประทานอาหารจำกัด ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของอาหาร และการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษที่มากขึ้น ดังนั้นเราจึงขอแนะนำวิธีรับมือต่อโรคอาหารเป็นพิษในช่วงน้ำท่วม 5 ข้อต่อไปนี้ค่ะ
5 วิธีรับมือต่อโรคอาหารเป็นพิษ
1.เลี่ยงอาหารเสียง่าย
อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบอย่างแกงต่าง ๆ อาหารตามสั่ง อาหารสด และขนมหวานที่มีกะทิ ถือเป็นอาหารยอดนิยมที่ทำง่ายแต่ก็เสียง่ายเช่นกัน บางร้านอาจใช้วัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ นอกจากนี้ เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งคุณภาพต่ำจะเสียได้ง่าย ผักสดที่เสิร์ฟพร้อมกับอาหารเหล่านี้ก็อาจไม่ได้ล้างสะอาด ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารเหล่านี้ให้มาก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อโรคอาหารเป็นพิษ
2.เลือกอาหารสดที่มีความปลอดภัย
เมื่อเป็นเรื่องของอาหารทะเล สิ่งสำคัญคือต้องเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่และปรุงสุกให้ทั่วถึง หากคุณสังเกตว่าได้กลิ่นแปลก ๆ หรือสีที่ผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน ในทำนองเดียวกัน เมื่อรับประทานผักสลัด สิ่งสำคัญคือต้องล้างผักให้สะอาดเพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำและจัดเก็บ ขั้นตอนง่าย ๆ นี้สามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคจากอาหาร และทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะรับประทานอาหารได้อย่างปลอดภัย
3.ใช้วิธีการแก้พิษเบื้องต้นด้วยตัวเอง
การฟื้นตัวจากอาการอาหารเป็นพิษ อาจใช้เวลา 2-3 วัน แต่การดูแลตนเองจะช่วยให้คุณรู้สึกดีได้เร็วขึ้นค่ะ และป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของสาว ๆ ได้ ต่อไปนี้จึงเป็นแนวทางที่ควรปฏิบัติตาม เมื่อรู้แล้วว่าอาหารเป็นพิษ คือ
- งดรับประทานอาหารในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรก หลังจากมีอาการ
- พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำเปล่าสะอาด หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่อทดแทนของเหลวและแร่ธาตุที่สูญเสียไป หลังจากอาเจียนหรือท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน เครื่องดื่มอัดลม อาหารปรุงรสจัด และอาหารทอด
- เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและไขมันต่ำ เช่น ข้าวต้ม กล้วย ขนมปังปิ้ง เป็นต้น
4.ใช้ยาคาร์บอน
ยาคาร์บอน (Activated Charcoal) หรือที่เรียกว่าถ่านกัมมันต์ เป็นผงสีดำที่บรรจุอยู่ในรูปแบบผง เม็ดยา หรือแคปซูล ยานี้ออกฤทธิ์โดยการดูดซึมสารพิษหรือสารเคมีในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยรักษาอาการต่าง ๆ เช่น อาหารเป็นพิษ ท้องเสีย ท้องอืด และเป็นไข้ ถ่านคาร์ยอบถือว่าปลอดภัยต่อร่างกายมากกว่ายาปฏิชีวนะอีกด้วยนะคะ
5.เลี่ยงน้ำแข็ง
กระบวนการผลิตน้ำแข็งก้อน บางครั้งอาจมีสิ่งเจือปน เช่น ผงหรือเศษต่าง ๆ ที่ติดอยู่ในน้ำแข็ง อาจเป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร และทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการระคายเคือง สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าน้ำแข็งและน้ำที่ใช้ในเครื่องดื่ม สะอาดและปราศจากสิ่งปนเปื้อน เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ถ้ากังวลแนะนำให้เลิกใช้น้ำแข็งไปก่อนค่ะ
สำหรับอาหารกล่อง ควรบริโภคให้หมดภายใน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุง ควรเก็บอาหารในภาชนะที่สะอาด ปราศจากแมลงวัน ควรตรวจสอบอาหารก่อนรับประทานทุกครั้ง และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหลือจากมื้อก่อน นอกจากนี้ น้ำดื่มควรสะอาดและผ่านการกรองมาอย่างดี ถ้าไม่มั่นใจก็ควรต้มก่อนรับประทานเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย การล้างมือเป็นสิ่งสำคัญเชนกัน ควรล้างทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร รวมถึงหลังใช้ห้องน้ำ สิ่งสำคัญคือต้องใส่ใจเรื่องความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคล หลีกเลี่ยงการขับถ่ายลงในแหล่งน้ำ และหากไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้ ให้ถ่ายในถุงพลาสติกที่ปิดสนิทก่อนทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือแบบสุภาพ Formal Language
หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ Formal Language
การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจและการทำงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างประสิทธิภาพและความมั่นใจระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยจำเป็นต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักการ มีความจริงจัง และเป็นแบบแผน เพื่อช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้มีความสุภาพเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
โดยจะมีหลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน
เข้าใจว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ
ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสถานการณ์การใดบ้างที่เราควรใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการ
- การนำเสนองาน
- การสัมภาษณ์งาน
- การพูดในที่สาธารณะ
- งานเขียนเชิงวิชาการ
- เอกสารทางการ
- เอกสารทางกฏหมาย
- อีเมลธุรกิจ
การใช้ภาษาที่ชัดเจนสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา
ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการควรเลือกใช้คำศัพท์ และเรียบเรียงประโยคที่สื่อความหมายได้ชัดเจนไม่เกิดความสับสนให้แก่ผู้ฟัง หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
รูปแบบการใช้แกรมม่าในประโยค
ในการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการการใช้แกรมม่าโดยทั่วไปจะมีความซับซ้อนและยาวกว่าการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทั่วไป
- Have you seen my glasses? [Formal]
Seen my glasses? - I am sorry to have kept you waiting [Formal]
Sorry to keep you waiting
วิธีการเลือกใช้สรรพนามในประโยค
ภาษาอังกฤษทางการจะใช้คำที่มีความเป็นส่วนบุคคลน้อยลง เช่น เราจะเลือกใช้ “ We ” เป็นสรรพนามแทนที่ “ I ”
- We can assist in the resolution of this matter. Contact us on our help line number [Formal]
I can help you solve this problem. Call me! - We regret to inform you that……[Formal]
I’m sorry, but….
รูปแบบคำศัพท์ที่เลือกใช้
การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการจะมีการเลือกใช้คำศัพท์ที่มีระดับภาษาสูงขึ้น ตัวอย่าง เช่น
- เลือกใช้คำว่า Discuss แทนคำว่า talk
- เลือกใช้คำว่า Generate แทนคำว่า make
- เลือกใช้คำว่า Inform แทนคำว่า tell
- เลือกใช้คำว่า Illustrate แทนคำว่า show
- เลือกใช้คำว่า Provide แทนคำว่า give
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
AIS เตือนผู้ใช้งาน อย่ากดข้อความ SMS แอบอ้างเด็ดขาด
จากกรณีที่มีลูกค้าได้รับ SMS หลอกลวงจากมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อผู้ส่ง (Sender Name) หลากหลายรูปแบบ ทั้งเป็นเบอร์มือถือ หรือ ชื่อต่างๆ ในลักษณะของการกระตุ้นให้คลิก เช่น คะแนนสะสมกำลังหมดอายุ เพื่อให้ลูกค้าหลงเชื่อ โดยมิจฉาชีพจะมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกให้กดเข้าไปกรอกข้อมูลสำคัญอันอาจนำสู่ความเสี่ยงในการสูญเสียทรัพย์สิน ความเสียหายอื่นๆ หรือ ข้อมูลส่วนบุคคล
AIS ขอยืนยันว่า ไม่มีนโยบายในการใช้ช่องทาง SMS เพื่อขอข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า อาทิ เลขบัตรประชาชน, เลขบัตรเครดิต และ วันเดือนปีเกิด รวมถึงรหัส OTP ในการทําธุรกรรมใดๆ รวมถึงขอยืนยันว่า การสื่อสารในส่วนของการตรวจสอบ หรือ แลกคะแนนของเอไอเอส พอยท์ สามารถทำได้บนช่องทางแอปพลิเคชัน myAIS เท่านั้น
ทั้งนี้หากพบความผิดปกติของเบอร์โทร หรือ SMS ข้อความ ที่ติดต่อเข้ามา สามารถแจ้งผ่านสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง โดย AIS จะตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ผัก ผลไม้” ต้องล้างก่อนแช่ตู้เย็นหรือเปล่า
ผักและผลไม้เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจากธรรมชาติ แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือวิธีการดูแลรักษาหลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การเก็บรักษา หรือการปรุงอาหาร วิธีการเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการคงอยู่ของสารอาหารอันมีค่า จนถึงเวลาที่เราได้บริโภค แต่ก็มีหลายคนสงสัยว่า “ผัก ผลไม้” ต้องล้างก่อนแช่ตู้เย็นหรือเปล่า
“ผัก ผลไม้” ต้องล้างก่อนแช่ตู้เย็นหรือเปล่า
ผักและผลไม้สดใหม่นั้นอุดมไปด้วยสารอาหารมากที่สุด เพื่อรักษาความสดและคุณค่าทางอาหารให้นานที่สุด ควรเก็บผักผลไม้ในสภาพที่ยังไม่ล้างและไม่ตัดแต่ง โดยเก็บไว้ในช่องผักของตู้เย็นซึ่งมีความชื้นสูงกว่าช่องอื่นๆ สำหรับผักผลไม้ที่ตัดแต่งแล้ว ควรห่อหรือใส่ภาชนะปิดสนิทเพื่อป้องกันการสูญเสียวิตามิน และเก็บไว้ในช่องธรรมดาของตู้เย็น
การเก็บรักษาผักและผลไม้ในตู้เย็น ควรล้างก่อนนำไปบริโภคทันที เพื่อรักษาความสดใหม่ เนื่องจากความชื้นที่เกิดจากการล้างจะเร่งกระบวนการเน่าเสีย หากจำเป็นต้องล้างล่วงหน้า ควรทำให้ผักและผลไม้แห้งสนิทก่อนจัดเก็บ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 39,900.00 | 40,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,585.00 | 39,188.60 | 40,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,326.50 | 35,269.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,068.00 | 31,350.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,163.00 | 17,631.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 905.00 | 13,719.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,679.00 | 40,613.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.85 | 35.85 | 36.15 | 35.85 | 35.85 | 35.85 | 35.85 | 35.85 | 35.85 | 35.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.48 | 35.48 | 35.78 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.74 | 33.74 | 34.04 | 33.74 | 33.74 | – | 33.74 | 33.74 | 33.74 | 33.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.49 | 33.49 | – | – | – | – | – | – | – | 33.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.44 |
เบนซิน 95 | 43.84 | – | – | – | 49.81 | – | 44.34 | 43.99 | – | 43.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |