พิษน้ำท่วมฉุดอสังหาฯเชียงรายซึมยาวคาดฟื้นตัวปี69
นายกสมาคมอสังหาฯเชียงราย เผย 8 เดือนแรกปี67 จำนวนและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในลดลง20-25%เทียบช่วงเดียวกันปี66 ระบุยอดปฎิเสธสินเชื่อพุ่งแถมพิษน้ำท่วมหนักสุดในรอบ 70 ปีเชื่อฉุดตลาดอสังหาฯซึมยาวถึงปีหน้า คาดฟื้นตัวปี2569
นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักงานที่ดินพบว่า 8 เดือนแรกตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค.จำนวนและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในจังหวัดเชียงรายลดลง20-25%เทียบช่วงเดียวกันกับปี2566 เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและตัวเลขการปฎิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินที่สูงถึง70-80% จากคนที่ยื่นขอสินเชื่อ จาก 10 คนผ่านแค่ 2 คน
ส่งผลให้ตลาดซบเซา ประกอบกับเชียงรายถือเป็นจังหวัดเมืองรองมีขนาดเศรษฐกิจเล็ก ที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวและเกษตรกรรม เมื่อเศรษฐกิจซบเซาทำให้คนขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าเป็นหนี้ระยะยาวโดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับราคาไม่เกิน3ล้านบาทได้รับผลกระทบค่อนข้างมากและเริ่มรุกลามไปยังกลุ่มบ้านระดับราคา 4-5ล้านบาท
“ฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมถือว่าหนักสุดในรอบ 70 ปี ย่อมส่งผลกระทบตลาดอสังหาฯอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมีผลเชิงจิตวิทยาระยะสั้น 3-6 เดือนคาดว่าตลาดอสังหาฯเชียงรายในปี2568 ทรงตัวและน่าจะฟื้นตัวอีกครั้งในปี2569”
จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC)ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดเชียงราย ในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งสิ้น 2,758 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.9 มูลค่า 10,872 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -13.0 เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 2,758 หน่วย มูลค่า 10,872 ล้านบาท โดยไม่มีการเปิดขายโครงการอาคารชุด ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 47 หน่วย ลดลงร้อยละ -90.3 มูลค่า 155 ล้านบาท ลดลงร้อยละลบ -92.2
สำหรับหน่วยขายได้ใหม่พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 102 หน่วย ลดลงร้อยละ -55.5 มูลค่า 372 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -61.1 ส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยเหลือขายในพื้นที่จังหวัดเชียงรายจำนวนถึง 2,656 หน่วย ลดลงร้อยละ -8.5 มูลค่า 10,499 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -9.0
โดย 3 ทำเลซึ่งมีที่อยู่อาศัยเสนอขายสูงสุด
อันดับ 1 โซนอำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย จำนวน 1,338 หน่วย มูลค่า 5,884 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง จำนวน 1,245 หน่วย มูลค่า 4,377 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนอำเภอแม่สาย จำนวน 159 หน่วย มูลค่า 543 ล้านบาท
โดยที่อยู่อาศัยที่เสนอขายทั้งสิ้นเป็นกลุ่มระดับราคา 2- 5ล้านบาท ร้อยละ 52.4 เป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว โดยไม่มีโครงการอาคารชุดเสนอขายเลย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับจำนวนที่อยู่อาศัยรอการขายและในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมาอัตราดูดซับในพื้นที่ไม่ดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
รู้หรือไม่ทั่วประเทศไทย มีที่อยู่อาศัยอยู่เท่าไหร่ ?
บทความดร.โสภณ พรโชคชัย AREA รู้หรือไม่ ทั่วประเทศไทย จังหวัด มีที่อยู่อาศัยอยู่เท่าไหร่? สำรวจพบกลางปี 2567 รวมทั่วประเทศ 77 จังหวัด มีจำนวนโครงการทั้งหมด 17,250 โครงการ 2,271,986 หน่วย ขายได้แล้ว 1,734,090 หน่วย เหลือหน่วยรอขาย 537,896 หน่วย รวมมูลค่า 2,223,897 ล้านบาท
มีการตั้งคำถามว่าประเทศไทยมีที่อยู่อาศัยรอการขายอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ จังหวัดไหนบ้าง อุปทานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อรัฐ ต่อภาคเอกชน นักลงทุนและต่อประชาชนผู้ซื้อบ้านในการวางแผนบริหารอสังหาริมทรัพย์
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA โดยดร.โสภณ พรโชคชัย ได้รวบรวมสถิติเกี่ยวกับจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ณ กลางปี 2567
พบว่า รวมทั่วประเทศ 77 จังหวัด มีจำนวนโครงการทั้งหมด 17,250 โครงการ รวมหน่วยขายทั้งหมด 2,271,986 หน่วย โดยขายไปได้แล้ว 1,734,090 หน่วย จึงเหลือหน่วยขายรอการขายอยู่อีก 537,896 หน่วย รวมมูลค่าที่ยังรอขายอยู่ทั้งสิ้น 2,223,897 ล้านบาท
โดยแต่ละหน่วยมีราคาเฉลี่ย 4.134 ล้านบาท ทั้งนี้ประเทศไทยมี 76 จังหวัด แต่เมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครไปแล้ว จึงมีทั้งหมด 77 จังหวัดตามที่เสนอไว้ข้างต้น
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า หากไม่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ จำนวนที่อยู่อาศัยที่รอการขายอยู่ (ไม่ใช่ขายไม่ออก) ที่ 537,896 หน่วย ก็ต้องใช้เวลาในการขายประมาณ 3 ปีหรือปีละ 179,299 หน่วย
ด้วยเหตุนี้ หากเกิดปัญหาวิกฤติตลาดที่อยู่อาศัยขึ้นมา ก็อาจไม่จำเป็นต้องก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยหรืออาคารชุดใหม่ๆ ออกมา เนื่องจากยังมีอุปทานรอขายอยู่อีกมาก และศูนย์ข้อมูลฯ
โดย ประเมินไว้ว่า ยังมี “บ้านว่าง” หรือบ้าน/ห้องชุดที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่มีผู้อยู่อาศัยอีก 1.3 ล้านหน่วย อุปทานที่อยู่อาศัยจึงมีอีกเหลือเฟือ การสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เข้ามาในตลาด อาจทำให้เกิดภาวะล้นตลาดได้
สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ซึ่งรวมกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐมบางส่วน) มีจำนวนโครงการทั้งหมด 2,997 โครงการ
รวมหน่วยขายทั้งหมด 842,074 หน่วย โดยขายไปได้แล้ว 597,962 หน่วย จึงเหลือหน่วยขายรอการขายอยู่อีก 244,111 หน่วย รวมมูลค่าที่ยังรอขายอยู่
ทั้งสิ้น 1,292,169 ล้านบาท โดยแต่ละหน่วยมีราคาเฉลี่ย 5.293 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนตามหน่วยรอขายอยู่ทั่วประเทศ 45.4% และ ถือเป็นสัดส่วนตามมูลค่าที่รอขายอยู่ทั่วประเทศ 58.1%
จะเห็นได้ว่าเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็น “เมืองโตเดี่ยว” (Primate City) ซึ่งมีขนาดที่อยู่อาศัยในแง่จำนวนหน่วยถึงเกือบครึ่งหนึ่ง (45.4%) แต่มูลค่าการพัฒนาโดยรวมสูงถึง 58.1% ของที่อยู่อาศัยที่ขายกันอยู่ทั่วประเทศ
ประเทศไทยจึงแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่มีมหานครขนาดใหญ่ที่มีประชากรเมืองเกิน 1 ล้านคนอยู่หลายเมือง เช่นในกรณีฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและมาเลเซีย เพราะประเทศเหล่านั้นมีเกาะอยู่มากมาย แต่กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ตรงกลาง ด้วยเหตุนี้ โอกาสที่คิดจะย้ายเมืองหลวงจึงเป็นไปได้ยากมาก
ในประเทศไทยยังมีอีก 17 จังหวัดหลักที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาก ได้แก่ (เรียงตามลำดับอักษร) ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชะอำ-หัวหิน เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา นครศรีธรรมราช
พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก ภูเก็ต ระยอง สงขลา (หาดใหญ่) สระบุรี สุราษฎร์ธานี อุดรธานี และอุบลราชธานี ใน 17 จังหวัดเมืองหลักนี้ มีจำนวนโครงการทั้งหมด 6,970 โครงการ รวมหน่วยขายทั้งหมด 871,898 หน่วย โดยขายไปได้แล้ว 714,995 หน่วย
จึงเหลือหน่วยขายรอการขายอยู่อีก 156,903 หน่วย รวมมูลค่าที่ยังรอขายอยู่ทั้งสิ้น 649,741 ล้านบาท โดยแต่ละหน่วยมีราคาเฉลี่ย 4.141 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนตามหน่วยรอขายอยู่ทั่วประเทศ 29.2% และ ถือเป็นสัดส่วนตามมูลค่าที่รอขายอยู่ทั่วประเทศ 29.2%
แม้ใน 17 จังหวัดหลักที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากนี้ ก็ยังมีหน่วยขายรอการขายอยู่เพียง 29.2% หรือยังไม่เท่าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ 45.4% ยิ่งหากพิจารณาจากมูลค่าที่ยังรอการขายอยู่ก็มีสัดส่วนเพียง 29.2% หรือราวครึ่งหนึ่งของมูลค่าที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น
หากไม่นับรวมภูเก็ตที่มีหน่วยขายราคาแพงเป็นอันมาก มูลค่าการพัฒนาที่เหลืออยู่ก็อาจจะยังน้อยกว่านี้นักตามฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ ยังพบว่า ยังมีอีก 17 จังหวัดเมืองรองที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยอีกพอสมควร โดยในเมืองรองอีก 17 จังหวัดนี้มีจำนวนโครงการทั้งหมด 3,833 โครงการ รวมหน่วยขายทั้งหมด 348,759 หน่วย
โดยขายไปได้แล้ว 271,698 หน่วย จึงเหลือหน่วยขายรอการขายอยู่อีก 77,061 หน่วย รวมมูลค่าที่ยังรอขายอยู่ทั้งสิ้น 181,927 ล้านบาท โดยแต่ละหน่วยมีราคาเฉลี่ย 2.361 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนตามหน่วยรอขายอยู่ทั่วประเทศ 14.3% และ ถือเป็นสัดส่วนตามมูลค่าที่รอขายอยู่ทั่วประเทศ 8.2%
ยิ่งกว่านั้นยังมีเมืองเล็กอีก 37 จังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยเบาบางมาก โดยรวมแล้วมีจำนวนโครงการทั้งหมด 3,450 โครงการ รวมหน่วยขายทั้งหมด 209,256 หน่วย โดยขายไปได้แล้ว 149,434 หน่วย
จึงเหลือหน่วยขายรอการขายอยู่อีก 59,821 หน่วย รวมมูลค่าที่ยังรอขายอยู่ทั้งสิ้น 100,060 ล้านบาท โดยแต่ละหน่วยมีราคาเฉลี่ย 1.673 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนตามหน่วยรอขายอยู่ทั่วประเทศ 11.1% และ ถือเป็นสัดส่วนตามมูลค่าที่รอขายอยู่ทั่วประเทศ 4.5%
จะเห็นได้ว่าจังหวัดเล็กๆ แทบไม่มีการพัฒนาอะไรมากนัก การพัฒนาที่ดินจึงไม่อาจขยายตัวได้มากนักในเมืองเล็กๆ ผู้ประกอบการอาจประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในเมืองเล็กๆ แต่หากต้องการเติบโต พึงเข้ามาใจกลางเมืองใหญ่ๆ หรือในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูง
แต่หากเราสามารถชิงความได้เปรียบด้านต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนที่ดิน ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง การออกแบบและการบริหารจัดการที่ดี รวมทั้งราคาที่ผู้ซื้อรู้สึกคุ้มค่ากว่า ก็จะสามารถประสบความสำเร็จในท่ามกลางการแข่งขันเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ก.ย. “แข็งค่า” ที่ระดับ 33.21 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลง หากผลการประชุมเฟดไม่เร่งลดดอกเบี้ย ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาทองคำ พร้อมติดตามทิศทางเงินหยวนหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ก.ย. 2567 ที่ระดับ 33.21 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.33 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 33.20-33.39 บาทต่อดอลลาร์)
ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) หลังผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังบรรดาอดีตเจ้าหน้าที่เฟดและอดีตที่ปรึกษาประธานเฟดออกมาสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายนที่จะถึงนี้
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงินที่จะสูงขึ้น ในช่วงตลาดรับรู้ ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด BOE และ BOJ (เรียงตามลำดับการรับรู้)
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) อย่างใกล้ชิด โดยเราประเมินว่า เฟดจะเริ่มวัฏจักรนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Monetary Easing) ด้วยการทยอยลดดอกเบี้ย -25bps สู่ระดับ 5.00%-5.25%
พร้อมกันนั้นคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หรือ Dot Plot ใหม่ อาจสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยราว -75pbs ในปีนี้ การลดดอกเบี้ยอีกราว -100bps ในปี 2025 และ การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2026 ราว -75bps จนถึงระดับ 2.75%-3.00%
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใหม่ของเฟด (Summary of Economic Projections) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
▪ฝั่งยุโรป –ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.00% ตามเดิม ทว่า BOE อาจส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น
ซึ่งเรามองว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยอีกราว -50bps ในปีนี้ และนอกเหนือจากผลการประชุม BOE ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม โดยเรามองว่า BOJ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.25% ตามเดิม ทว่าต้องจับตาการส่งสัญญาณของ BOJ ต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า หลังการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด ได้ส่งผลให้ตลาดการเงินปั่นป่วนหนัก
ซึ่งในครั้งนี้ เรามองว่า ยังคงต้องจับตาความเสี่ยงการเร่งปรับลดสถานะ JPY-Carry Trade และการเร่งเพิ่มสถานะ Net Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) ซึ่งอาจทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น เร็วและแรงในระยะสั้น กดดันให้ตลาดการเงินผันผวนสูงได้ และ
นอกเหนือจากผลการประชุม BOJ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) โดยผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BI และ CBC จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.25% และ 2.00% ตามลำดับ
▪ฝั่งไทย – แม้เราจะคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทควรจะทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยเฉพาะในกรณีที่เฟดไม่ได้เร่งลดดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งลดดอกเบี้ยใน Dot Plot ใหม่อย่างที่ผู้เล่นในตลาดกำลังคาดหวัง ทว่าโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเริ่มมีกำลังมากขึ้น เปิดโอกาสให้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก
หากมุมมองของเราต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดนั้นผิดไปจากความเป็นจริง และเงินบาทอาจแข็งค่าหลุดโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ซึ่งเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นต่อทดสอบโซน 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์ ทว่า ในเชิง Valuation นั้น
เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 33 บาทต่อดอลลาร์นั้น ถือว่า เป็นระดับที่ Slightly Overvalued (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +0.25) ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทก็ไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก
ซึ่งผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้า (Importers) ก็ควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลง หากผลการประชุมเฟดเป็นไปตามที่เราประเมินไว้ (เฟดไม่เร่งลดดอกเบี้ย และ Dot Plot ใหม่ก็ไม่ได้สะท้อนแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดกำลังคาดหวัง)
ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาทองคำ พร้อมติดตามทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ทิศทางของเงินดอลลาร์จะขึ้นกับการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น หากเฟดไม่ได้เร่งลดดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งลดดอกเบี้ย
ทว่า เงินดอลลาร์อาจถูกกดดันบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของทั้งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในกรณีที่ตลาดเชื่อว่า BOE จะไม่เร่งลดดอกเบี้ย ส่วน BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-34.10 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.30 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.21-33.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.22 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงเช้าวันนี้ แตระดับแข็งค่าสุดในรอบ 19 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ ยังคงมีแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามจังหวะการปรับการคาดการณ์ของตลาดบางส่วนที่ว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่า 0.25% ในการประชุมรอบ 17-18 กันยายนนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.15-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงข้อมูลผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กเดือนก.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ณัฏฐวลัญช์ -นฤนนท์ภัทร-ประพจน์-ไอตั้น” คว้าแชมป์โตโยต้า กาซู เรซซิ่ง ไทยแลนด์ 2024
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต และผู้แทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมเปิดการแข่งขันรถยนต์วันเมคเรซ “TOYOTA GAZOO Racing Thailand 2024” ชูคอนเซ็ปต์ Make Ever-Better Cars From Circuit to the Road สนามที่ 3
โดยมี มิย่า ทองเจือ, ปังปอนด์-อัครวุฒิ, ป๊ายปาย โอริโอ้ พร้อมเหล่านักแข่งวันเมคเรซ ลงสนามประชันความเร็วกันแบบสุดมันส์ในระหว่างวันที่ 13-14 กันยายน 2567 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
เข้าสู่ครึ่งทางการแข่งขันความเร็วสุดมันส์ของ “โตโยต้า กาซู เรซซิ่ง ไทยแลนด์ 2024” การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรูปแบบวันเมคเรซ ที่กลับมาสู้กันบนสนามแข่งระดับโลกของเหล่านักแข่ง TOYOTA One Make Race ใน 4 รุ่นการแข่งขัน
เริ่มจากรุ่น Yaris ATIV Lady One Make Race (ยาริส เอทีฟ เลดี้ วันเมคเรซ) ถูกใจนักแข่งสาวมือสมัครเล่นที่ชื่นชอบกีฬาความเร็วและมีนักแข่ง TOYOTA Racing Star Team “มิย่า ทองเจือ” ลงสนามด้วยรถแข่งพลังงานทางเลือก Carbon Neutral Fuel ส่งเสริมและสานต่อการใช้พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือก ที่เป็นกลางทางคาร์บอนผ่านกีฬามอเตอร์สปอร์ต ด้วยรถ YARIS ATIV ONE MAKE RACE Carbon Neutral Fuel แข่งกันสนุกมีจุดเปลี่ยนหลายครั้งในสนามครบ 8 รอบสนาม ผลปรากฏว่า อันดับ 1 คือ ณัฏฐวลัญช์ แสนสุข หมายเลข 188 จากทีม KUROKI RACING, อันดับ 2 คือ ระพีพรรณ มีอุสาห์ หมายเลข 154 จากทีม Nexkart Racing, อันดับ 3 คือ อริญรดา ฮอร์น หมายเลข 156 จากทีม Drive Todrift, อันดับ 4 คือ ศิริภากรณ์ แยบยนต์ หมายเลข 168 จากทีม TMC-Drive 68 Lenso by Woot Bangbon3 และอันดับ 5 คือ นิชา วีรพร หมายเลข 155 จากทีม Lenso Motorsport by WootBangbon3
ลุ้นกันต่อในรุ่น YARIS One Make Race (ยาริส วันเมคเรซ) ที่ยังได้รับความนิยมสูงสุดมีนักแข่งลงสนามกันมาก และมีนักแข่ง TOYOTA Racing Star Team “ป๊ายปาย โอริโอ้” ลงสนามโดยใช้ YARIS ONE MAKE RACE Carbon Neutral Fuel รถแข่งพลังงานที่เป็นกลางทางคาร์บอนอีกคันลงสนาม แข่งกัน 8 รอบ สนามจบการแข่งขันผลปรากฏว่า อันดับ 1 คือ นฤนนท์ภัทร รัตน์ชเลสินธร หมายเลข 90 จากทีม Wise BRDM-Tech Just car Top one web By VG, อันดับ 2 คือ วรัญชิต วัฒนาธนกุล หมายเลข 89 จากทีม WISE PTT Lubricants, อันดับ 3 คือ อเล็กซานเดอร์ ฟัน เมาริค หมายเลข 1 จากทีม Fortron Racing Team, อันดับ 4 คือ ศริทธนา มิตรอารี หมายเลข 66 จากทีม Lenso Motorsport x Carlified Car Wash by VG และอันดับ 5 คือ ปณิธาน รักไพบูลย์สมบัติ หมายเลข 36 จากทีม Nexzter drive to drift MX racing team
รุ่น Hilux REVO One Make Race (ไฮลักซ์ รีโว่ วันเมคเรซ) ศึกของกระบะพันธุ์แกร่งเอาใจแฟนๆสายดีเซล สู้กันสุดมันส์ 8 รอบสนามจบการแข่งขันผลปรากฏว่า อันดับ 1 คือ ประพจน์ ชื่นวิจิตร หมายเลข 31จากทีม Nexzter GG Racing, อันดับ 2 คือ กิตติศักดิ์ เสียงสลัก หมายเลข 3 จากทีม BKC by House of Cars อุ๊หยัดใจได้ x Voltronic Thailand x Vanguard Garage, อันดับ 3 คือ ธิบดินทร์ สันทัดค้า หมายเลข 20 จากทีม Neon Creation Nexzter Trane Racing Team, อันดับ 4 คือ พงศธร โอนอ่อน หมายเลข 49 จากทีม KM Racing By กมลการยาง และอันดับ 5 คือ อรุณพงศ์ ศรีฤทธิ์ หมายเลข 44 จากทีม Nexzter racing team by Vanguarg X Voltronic
ปิดท้ายด้วยรุ่นใหญ่ Corolla ALTIS GR Sport One Make Race (โคโรลล่า อัลติส จีอาร์ สปอร์ต วันเมคเรซ) พี่ใหญ่ใส่กันเต็มที่ทุกคันด้านกองเชียร์ก็ลุ้นกันชนิดนั่งไม่ติด ก่อนจบ 8 รอบสนาม อันดับ 1 คือ ไอตั้น อัษฏาธร หมายเลข 51 จากทีม Lin Motorsport ที่ยึดแชมป์รุ่นนี้ติดต่อกันเป็นสนามที่ 3 แล้ว , อันดับ 2 คือ ธนากร เลี่ยวไพรัตน์ หมายเลข 22, อันดับ 3 คือ อัฐพล แก้วอาษา หมายเลข 26 จากทีม B-Quik Racing Team, อันดับ 4 คือ สิตาวีร์ ลิ้มนันทรักษ์ หมายเลข 9 จากทีม Nexzter Singha Sittipol Racing Team และอันดับ 5 คือ ปังปอนด์-อัครวุฒิ มังคลสุต หมายเลข 10 จากทีม TOYOTA Racing Star Team
สำหรับกิจกรรม “TOYOTA GAZOO Racing Thailand 2024” สนามที่ 4 พร้อมที่จะออกเดินทางไปสร้างรอยยิ้มและความสุขกันต่อที่จังหวัดเชียงใหม่ ในระหว่างวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 2567 ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี มันส์กับการแข่งรถยนต์วันเมคเรซ สนุกกับกิจกรรมจัดเต็มตลอดทั้งวัน ต่อด้วยความพิเศษยามค่ำคืน “Night Show” เร้าใจกับแสงสีเสียงและการแสดงพร้อมศิลปินและอินฟลูเอ็นเซอร์คนดังมากมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 สัญญาณอันตราย “มะเร็งหลอดอาหาร”
ตามปกติแล้วเรามักจะคุ้นชินกับมะเร็งที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สำคัญ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่อีกหนึ่งอวัยวะที่สำคัญ แต่เราอาจจะไม่ได้พูดถึงกันบ่อยๆ คือ “หลอดอาหาร” ที่ทำให้ผู้ที่ป่วยโรคนี้มีอาการทรมานไม่น้อยไปกว่ามะเร็งในส่วนอื่นๆ
มะเร็งหลอดอาหาร คืออะไร?
มะเร็งหลอดอาหาร คือโรคมะเร็งที่พบเนื้อเยื่อที่มีเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติที่บริเวณเนื้อเยื่อชั้นใน เนื้อเยื่อมีขนาดโตออกสู่ผนังด้านนอก หลอดอาหารเป็นส่วนที่อยู่ใกล้เคียงกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ถ้ามะเร็งกระจายผ่านผนังหลอดอาหารจะสามารถเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง เส้นเลือดใหญ่ในทรวงอก และอวัยวะใกล้เคียง มะเร็งหลอดอาหารยังสามารถกระจายสู่ปอด ตับ กระเพาะอาหาร และส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
ชนิดของมะเร็งหลอดอาหาร
- Squamous cell carcinoma เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดอาหาร มักเกิดที่ส่วนต้นและส่วนกลางของหลอดอาหาร
- Adenocarcinoma เกิดจากส่วนที่เป็นต่อมในส่วนปลายของหลอดอาหาร
ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร
- อายุ 45-70 ปี
- เพศชายเสี่ยงกว่าเพศหญิง 3 เท่า
- สูบบุหรี่ ยิ่งสูบนาน สิ่งเสี่ยงมาก
- ดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลอดอาหารชนิด Squamous cell carcinoma
- เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง
- หลอดอาหารเกิดภาวะ Barrett’s esophagus ที่กรดในกระเพาะอาหารทำลายเซลล์บุผนังหลอดอาหาร ทำให้เกิดมะเร็งชนิด Adenocarcinoma
- รับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ และแร่ธาตุต่างๆ ต่ำเกินไป
- เป็นโรคอ้วน
- พันธุกรรม
อาการของโรคมะเร็งหลอดอาหาร
สัญญาณอันตราย “มะเร็งหลอดอาหาร” มีดังนี้
- เสียงแหบ สะอึกเรื้อรัง ไอเรื้อรัง
- กลืนอาหารแล้วเจ็บ อาจปวดร้าวไปด้านหลัง
- น้ำหนักลดลงผิดปกติ โดยไม่ได้ตั้งใจลดน้ำหนัก
- มีภาวะโลหิตจาง อาเจียนเป็นเลือด หรือขับถ่ายมีสีดำ
- กลืนลำบาก รู้สึกแน่นอก หรือลำคอ โดยเริ่มมีอาการหลังจากทานอาหารแข็ง อาหารนิ่ม อาหารเหลว ไปจนถึงน้ำตามลำดับ และอาจสำลัก หรืออาเจียนเอาอาหารที่เคยทานไปแล้วออกมา
วิธีรักษาโรคมะเร็งหลอดอาหาร
- ผ่าตัด ทั้งการผ่าตัดนำเนื้องอกที่มีขนาดเล็กมากออกไป การผ่าตัดหลอดอาหารออกบางส่วน และการผ่าตัดต่อหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร
- ฉายรังสี เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง อีกทั้งยังอาจใช้บรรเทาภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหารที่ลุกลาม
- เคมีบำบัด ใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง อาจใช้ก่อนหรือหลังการผ่าตัด สามารถใช้รักษาร่วมกับการฉายแสง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน
วิธีป้องกันโรคมะเร็งหลอดอาหาร
- งดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตลอดเวลา
- เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพิ่มการทานผักผลไม้ให้มากขึ้น
- รักษาโรคกรดไหลย้อน หรือภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังให้อาการดีขึ้นโดยเร็วที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประวัติวันวาเลนไทน์แบบย่อ วันแห่งความรักฉบับสากล
เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นวันแห่งการสารภาพรัก และการแสดงความรักของผู้คนทั่วทุกมุมโลก เมื่อเริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะรู้สึกถึงเทศกาลแห่งความรักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยสีชมพู หรือโปรโมชันต่างๆ สำหรับคู่รัก แต่รู้หรือไม่ว่า วันวาเลนไทน์มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วทำไมจึงได้รับการยกให้เป็นวันแห่งความรัก? วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับที่มาของวันวาเลนไทน์กัน
ประวัติวันวาเลนไทน์แบบย่อ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็นวันแห่งความรักสากล แต่หากย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดของวันวาเลนไทน์แล้วนั้น อาจจะรู้สึกว่ามีความเศร้าหมองเล็กน้อย เพราะวันวาเลนไทน์มีที่มาจากนักบุญที่ชื่อว่าวาเลนตินัส หรือเซนต์วาเลนไทน์ ผู้เชื่อมั่นในความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เขาได้แอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจำนวนมาก ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งกรุงโรม สั่งห้ามไม่ให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าการมีคนรัก หรือมีครอบครัว ทำให้ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพนั่นเอง
แต่ในท้ายที่สุดวาเลนตินัสโดนจับตัวไปขังในคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ซึ่งในคืนก่อนที่จะถูกประหารชีวิต วาเลนตินัสได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย ผู้ที่ซึ่งเป็นคนรักของเขา และลงท้ายจดหมายฉบับนั้น ด้วยข้อความว่า “From Your Valentine” วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงได้กลายมาเป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลวันแห่งความรัก
สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์
เชื่อว่าหากพูดถึงวันวาเลนไทน์ ก็คงจะนึกถึงการให้ดอกกุหลาบสีแดงเพื่อแสดงถึงความรัก แต่รู้หรือไม่ว่าสัญลักษณ์ที่แท้จริงของวันวาเลนไทน์นั้น คือ ดอกอัลมอนด์สีชมพู เพราะจูเลียได้ปลูกต้นอัลมอลต์สีชมพูไว้ใกล้หลุมศพของนักบุญวาเลนตินัส คนรักของเธอนั่นเอง
ไอเดียของขวัญวันวาเลนไทน์
สำหรับใครที่กำลังมองหาของขวัญสำหรับวันวาเลนไทน์ให้กับคนรัก ไอเดียยอดฮิตตลอดกาล นอกจาการให้ดอกไม้ หรือช็อกโกแลต ก็คือการเขียนข้อความเพื่อแสดงถึงความรู้สึก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งสำคัญในการเขียนนั้น โดยเฉพาะใครที่อยากเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็จะต้องตรวจสอบหลักการเขียนให้ถูกต้อง
ข้อความบอกรักในวันวาเลนไทน์
แน่นอนว่าการเขียนข้อความเพื่อบอกความรู้สึกในวันวาเลนไทน์อาจจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายคน เพราะในหลาย ๆ ความรู้สึกก็ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เราจึงได้ยกตัวอย่าง 5 ข้อความบอกรักสุดหวานซึ้ง ที่จะช่วยให้วันวาเลนไทน์ของคุณน่าจดจำ
- “Everyday with you is like Valentine’s Day.” (ทุก ๆ วันที่มีเธอล้วนเป็นวันวาเลนไทน์)
- “You’re my candle in the dark.” (เธอเปรียบเสมือนเทียนในความมืดของฉัน)
- “One life would be too short to live with you.” (ชีวิตเดียวอาจจะสั้นเกินไป หากได้อยู่กับเธอ)
- “Home is wherever I’m with you.” (บ้านคือที่ไหนก็ได้ที่มีเธออยู่ด้วย)
- “You make everything feel possible.” (เธอทำให้ทุกอย่างดูเป็นไปได้)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
‘ด้าหัว เทคโนโลยี’ ทุ่มงบเปิดโชว์รูมใหญ่สุดในอาเซียนที่ประเทศไทย
ด้าหัว เทคโนโลยี ทุ่มงบกว่า 35 ล้านบาท เปิดโชว์รูมใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นที่ประเทศไทย จัดแสดงเทคโนโลยีล้ำสมัย โซลูชันเอไอโอที (AIoT) ผสมผสานปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ต ออฟ ติง วางเป้าหมายสู่สังคมที่ปลอดภัยและชีวิตที่ดีขึ้น
นายหยู ฉีจวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ด้าหัว เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ชั้นนำระดับโลกด้านการบริการและโซลูชันเอไอโอที (AIoT) ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับอินเทอร์เน็ต ออฟ ติงที่เกี่ยวกับวิดีโอ เผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดโชว์รูม ด้าหัว เทคโนโลยี ประเทศไทย (Dahua Technology Thailand Showroom) ซึ่งเป็นโชว์รูมใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พื้นที่ขนาด 26 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุนกว่า 35 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ บริษัท ด้าหัว เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ชั้น 29 อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ถนนรัชดาภิเษก
โชว์รูมดังกล่าว จัดแสดงโซลูชันอันทันสมัย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของสังคมที่ปลอดภัยและชีวิตที่ดีขึ้น ได้แก่ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) พลังงาน อัจฉริยะ (Smart Energy) อาคาร อัจฉริยะ (Smart Building) การจราจรและการจอดรถ อัจฉริยะ (Smart Parking & Traffic) โทรศัพท์อัจฉริยะ (Smart Mobile) ค้าปลีก อัจฉริยะ (Smart Retail) และธนาคารอัจฉริยะ (Smart Banking)
ตัวอย่างโซลูชันที่จัดแสดง เช่น เมืองดิจิทัลหรือเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เน้นที่เมืองปลอดภัยเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มความปลอดภัยในเมือง
ดังนั้น เนื้อหาของพื้นที่จัดนิทรรศการนี้จึงเกี่ยวข้องกับ ด้าหัว ใช้ความสามารถในการรับรู้ส่วนหน้าและการวิเคราะห์ส่วนหลังอันทรงพลังเพื่อนำเสนอแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเมือง
โดยใช้กล้องวงจรปิดอันทันสมัยและโซลูชันที่ผสมผสานปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอของด้าหัว ทำให้เมืองมีความปลอดภัยมากขึ้นและบังคับใช้กฎหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับการจราจร อัจฉริยะ ( Smart Traffic) จะช่วยให้ลดอุบัติเหตุ ในการจราจรในเมือง ได้แก่ ยานพาหนะ รถจักรยานยนต์ และคนเดินถนน เพราะมุ่งไปที่การละเมิดกฎจราจรที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ โดยการจับภาพการละเมิดกฎจราจรเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สามารถการตรวจจับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยเน้นที่การตรวจจับการใช้เข็มขัดนิรภัยและการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ รวมถึงการใช้หมวกกันน็อคและการบรรทุกเกินพิกัดอีกด้วย
ส่วนอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) ด้าหัวมีกล้องจดจำใบหน้าสามารถตรวจจับการสัญจรของรถยนต์และคนเดินเท้าได้โดยไม่รู้สึกตัว และใช้กล้องตรวจจับพื้นที่จอดรถและระบบนำทางเพื่อดูแลพื้นที่ จอดรถและนำทางพื้นที่ที่เหลืออย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบนำทางยานพาหนะภาคพื้นดินโดยอิงตามการจัดการกริด โซลูชันนี้ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่จอดรถหลายพื้นที่บนพื้นที่ได้อย่างชาญฉลาดแบบเรียลไทม์
ด้าหัว เทคโนโลยี เป็นผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านบริการและโซลูชันเอไอโอที ( AIoT) ที่ผสมผสานระหว่างปัญญาประดิษฐ์ และออฟ ติง ที่เกี่ยวกับวิดีโอเป็นหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอัจฉริยะของเมืองและองค์กร
ที่ผ่านมา ได้ยกระดับกลยุทธ์องค์กรที่เรียกว่า Dahua Think# 2.0 จาก “Intelligence” เป็น “Integrated Intelligence” สำหรับธุรกิจเมือง (City Business) บริษัทฯยังคงส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงจากการจัดการเมืองที่ดีขึ้นไปสู่การกำกับดูแลเมืองที่มีประสิทธิภาพ จากการดำเนินการที่เป็นระเบียบไปสู่การเป็นอิสระในการดำเนินงาน จากความปลอดภัยสาธารณะที่เพิ่มขึ้นไปสู่ระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยกระดับ และจากการตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางนิเวศน์ไปสู่การกำกับดูแลร่วมกันทางนิเวศน์
นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจองค์กร(Enterprise Business) ด้าหัว ได้เปลี่ยนจากการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้เหมาะสมไปสู่การสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุม จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไปสู่การสร้างกำลังการผลิตดิจิทัลอัจฉริยะ และจากการช่วยเหลือในการจัดการไปสู่การเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ
บริษัท ด้าหัว มีพนักงานทั่วโลกมากกว่า 23,000 คน ซึ่งมากกว่า 50% เป็นช่างเทคนิคด้านการวิจัยและพัฒนา ด้าหัวมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยลงทุนประมาณ 10%ของรายได้จากการขายในการวิจัยและพัฒนาทุกปี ทั้งยังได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยหลัก 5 แห่ง ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีขั้นสูง สถาบันบิ๊กดาต้า สถาบันวิจัยกลาง สถาบันไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และสถาบันการสื่อสารแห่งอนาคต บริษัทฯยังคงสำรวจสาขาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกและโครงสร้างของ AIoT และได้ขยายธุรกิจด้านนวัตกรรมหลากหลาย
ด้วยเครือข่ายการตลาดและบริการระดับโลก ด้าหัวได้ก่อตั้งสำนักงานในประเทศจีนมากกว่า 200 แห่ง รวมถึงบริษัทในเครือ สาขา และสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศ 69 แห่ง ครอบคลุมเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา โอเชียเนีย และภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อมอบบริการที่รวดเร็วและมีคุณภาพสูงให้กับลูกค้า
ด้าหัว ได้นำผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และบริการไปใช้ในกว่า 180 ประเทศ ครอบคลุมถึงการขนส่ง การผลิต การศึกษา การค้าปลีก ธนาคารและการเงิน พลังงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมต่างๆ หวังมอบคุณภาพและบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า และมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการสร้างโลกที่ปลอดภัย คาร์บอนต่ำ สวยงาม และกลมกลืน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
สุดยอด 5 ผลไม้เพื่อสุขภาพกินลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูงได้
แน่นอนว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการคอเลสเตอรอลเพื่อช่วยในการผลิตฮอร์โมน วิตามิน รวมถึงเซลล์ใหม่ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีปริมาณคอเลสเตอรอลมากเกินไป ก็จะเป็นการสร้างอันตรายต่อร่างกายทันที เนื่องจากการมีคอเลสเตอรอลสูงจะทำให้เกิดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นด้วย วันนี้เราได้รวมเอาผลไม้ 5 ชนิดช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงมาแชร์ให้สาวๆ ได้เลือกกินเพื่อสุขภาพที่ดีกันค่ะ
5 ผลไม้ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง
1.อะโวคาโด
อะโวคาโด คือ ผลไม้ที่มีความสามารถในการช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารชนิดอื่นๆ ได้ดี และยังเป็นผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันเหล่านี้ล้วนให้ประโยชน์แก่หัวใจ ที่สำคัญการกินอะโวคาโด ยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี พร้อมทั้งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีได้อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
2.กล้วย
กล้วย คือ ผลไม้ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายมหาศาล และยังเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีสารอาหารสูงอีกด้วย เพราะกล้วยอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เส้นใย และน้ำตาลธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและไฟเบอร์ที่ดี ที่ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ดีเลยทีเดียว
3.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี จัดเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และยังเป็นผลไม้ที่ถือเป็นแหล่งของสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่หลากหลายอีกด้วย นั่นเป็นเพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีคุณสมบัติช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยต้านการอักเสบ อีกทั้งยังมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพอยู่มากมายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การกินผลไม้ตระกูลเบอร์รีจึงสามารถลดคอเลสเตอรอลและช่วยป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
4.ผลไม้ตระกูลส้ม
ผลไม้ตระกูลส้มจะมีเพคตินซึ่งเป็นเส้นใยละลายน้ำที่สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งยังอุดมด้วยวิตามินซีและเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้ผลไม้ตระกูลส้มยังมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เป็นอันตราย ที่สำคัญวิตามินซีที่ได้จากการกินผลไม้ตระกูลส้มยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตและการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย
5.ผลไม้ที่มีไฟเบอร์
ผลไม้ที่มีไฟเบอร์ โดยเฉพาะไฟเบอร์ที่สามารถละลายน้ำได้ เป็นผลไม้ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจอย่างมาก และยังช่วยลดภาวะคอเลสเตอรอลสูงได้อีกเช่นกัน ในส่วนของผลไม้ที่มีไฟเบอร์ที่แนะนำให้กินเพื่อลดคอเลสเตอรอล ได้แก่ ลูกแพร์ และแอปเปิล ซึ่งผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ล้วนช่วยแก้ปัญหาระดับคอเลสเตอรอลไม่สมดุล จากการกินอาหารที่มีโซเดียมและไขมันอิ่มตัวมากเกินไปได้เป็นอย่างดี
สำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดระดับคอเลสเตอรอลด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น จากการกินอาหารที่มีประโยชน์ แนะนำให้เลือกกินผลไม้ทั้ง 5 ชนิดที่เราได้กล่าวไปข้างต้นกันค่ะ วิธีนี้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,500.00 | 40,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,623.00 | 39,764.68 | 41,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,360.70 | 35,788.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,098.40 | 31,811.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,180.00 | 17,888.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 918.00 | 13,916.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,718.00 | 41,204.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.35 | 35.35 | 35.65 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.98 | 34.98 | 35.28 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.24 | 33.24 | 33.54 | 33.24 | 33.24 | – | 33.24 | 33.24 | 33.24 | 33.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.99 | 32.99 | – | – | – | – | – | – | – | 32.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.94 |
เบนซิน 95 | 43.44 | – | – | – | 49.81 | – | 43.94 | 43.59 | – | 43.44 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |