สาระน่ารู้ประจำวันที่ 18 กันยายน 2567

อนิสงส์ออฟฟิศฟื้น!รีแบรนด์ชามาลุยเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์รับดีมานด์ต่างชาติ

เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เด้งรับอนิสงส์ออฟฟิศฟื้น ! ออนิกซ์ เร่งรีแบรนด์ “ชามา” ลุยเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์รับดีมานด์ต่างชาติ หันมาเพิ่มสัดส่วนลูกค้าผู้เข้าพักระยะสั้นเพิ่มขึ้นจากปกติจะโฟกัสกลุ่มเช่าห้องพักระยะยาว เล็งดึงอพาร์ตเมนต์ขนาด200ห้องขึ้นไปเข้ามาเสริม

ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป บริษัทในเครืออิตัลไทย ดำเนินธุรกิจด้านบริหารจัดการโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และสปาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ภาพรวมการแข่งขันตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในประเทศไทยและตลาดเซาท์อีสเอเชีย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังโควิด-19   สังเกตได้จากการที่โครงการซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่ไม่มีแบรนด์  มาเปลี่ยนเป็น Branded Service Apartment จะมีรีเทิร์นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
จากการที่ตลาดอาคารสำนักงานเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง

หลังจาก3-4ปีที่ผ่านมาออฟฟิศโอเวอร์ซัพพลายไม่ต่างจากโรงแรม ยิ่งเกิดโควิด-19 ทุกคนทำงานที่บ้าน( Work From Home )ไม่ต้องเข้าออฟฟิศแต่ปัจจุบันออฟฟิศกลับเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ดีมานด์กลับมาเติมเต็มซัพลายที่มีอยู่ในตลาด ไม่ว่าจีน เวียดนาม  สิงคโปร์ ฮ่องกง  ยกตัวอย่าง คนย้ายออฟฟิศไปทำงานที่สิงคโปร์ เฟสต่อไปคนเริ่มย้ายจากสิงคโปร์ไป -ยะโฮห์บารู ประเทศมาเลเซีย  และประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกใหม่ให้กับบริษัทที่ย้ายสำนักงานใหญ่มาที่กรุงเทพฯมากขึ้น

ยกตัวอย่าง  โครงการวัน แบงค็อก  มีอาคารสำนักงานระดับพรีเมียม Grade A จำนวน 5 อาคาร รวมพื้นที่กว่า 500,000 ตารางเมตร ที่สามารถรองรับความต้องการของบริษัทต่างชาติที่เข้ามาได้จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ที่มาไม่ได้เช่าออฟฟิศธรรมดา แต่ต้องเป็นออฟฟิศแบบ Fully Furnished ซึ่งไม่ต่างจากเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

“อย่างคุณปณต ทำออฟฟิศให้เช่าไม่ได้ทำแบบห้องเปล่า ที่ไม่ได้รับการตกแต่งภายในหรือที่เรียกว่า Bare Shell แต่ต้องเป็นแบบ  Fully Furnished ที่สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้เลย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว จึงกลายเป็นว่าคนที่จะไปเช่าอพาร์ตเมนต์ ต้องเป็นแบบFully Furnished เช่นเดียวกัน เพราะต้นทุนการย้ายสูง ดังนั้นผู้บริหารจึงมองว่า หาเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่มีแบรนด์เป็นที่น่าเชื่อถือดีกว่า ที่มีเครือข่ายในประเทศนั้นๆ “

จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับการทำตลาด เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มากขึ้น ซึ่งคู่แข่งหลักคือจากสิงคโปร์  กลุ่มแอคคอร์  แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนไทย เซนเตอร์ พอยต์ ฮอสพิทอลิตี้ ซึ่งทรานฟอร์มเป็นโรงแรม ติดห้าง เป็นรีท “ไม่ใช่ “ซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เหมือนสมัยก่อน ดังนั้นแบรนด์ “ชามา” เข้าไปแข่งกลุ่มแอคคอร์  แต่ราคายังไม่ถึง ดังนั้นเราพยายามสร้างแบรนด์แข็งแกร่ง จากปัจจุบัน ชนะซัมเมอร์เซ็ท  ดีกว่า โอ๊ควูด สามารถแข่งขันกับสเตย์บริดจ์  ส่วนในฮ่องกงแทบจะไม่มีคู่แข่ง

ดังนั้นในกรุงเทพฯจะมีเครือข่ายมากขึ้น จากการเข้าไปดึงอพาร์ตเมนต์ที่มีอยู่เข้ามาเป็นพันธมิตรทั้งในรูปแบบของการร่วมทุนและเข้าไปบริหารภายใต้แบรนด์ “ชามา” ทำให้เกิด Economies of Scale ในการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ในฐานะป็นผู้นำตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ในเมืองไทย ทำให้สามารถขยายโครงการเพิ่มขึ้น20แห่ง ด้วยการดึงอพาร์ตเมนต์  ที่มีขนาดตั้งแต่200 ห้องขึ้นไปเข้ามารีแบรนด์ชามาพร้อมรับบริหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม


จากปัจจุบันที่มีอยู่ 6 แห่ง ประกอบด้วย โครงการ ชามา เลควิว อโศก กรุงเทพฯ 32 ชั้น 427 ยูนิต ขนาดห้องตั้งแต่ 43-186 ตร.ม. ห้องสตูดิโอ-อพาร์ตเมนต์ 3 ห้องนอน ราคาต่อเดือน  63,000-220,000 บาทโครงการชามา เย็นอากาศ กรุงเทพฯ 9 ชั้น 136 ยูนิต ขนาดห้อง ตั้งแต่ 34-115 ตร.ม. ห้องสตูดิโอ-อพาร์ตเมนต์ 2 ห้องนอน ราคาต่อเดือน 40,000-120,000 บาทโครงการชามา เพชรบุรี 47 กรุงเทพฯ 8 ชั้น 127 ยูนิต มีขนาดห้อง ตั้งแต่ 45-160 ตร.ม. ห้องสตูดิโอ-อพาร์ตเมนต์ 3 ห้องนอน ราคาต่อเดือน 75,000-300,000 บาท

 โครงการชามา สุขุมวิท กรุงเทพฯ 18 ชั้น 90 ยูนิต มีขนาดห้อง ตั้งแต่ 66-200 ตร.ม. อพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอน-3 ห้องนอน ราคาต่อเดือน  130,000-200,000 บาท โครงการชามา สุขุมวิท 39 กรุงเทพฯ 8 ชั้น 60 ยูนิต มีขนาดห้อง ตั้งแต่ 50-239 ตร.ม. อพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอน-เพนต์เฮาส์ ราคาต่อเดือน  90,000-250,000 บาท แลพโครงการชามา เอกมัย กรุงเทพฯ 7 ชั้น 46 ยูนิต มีขนาดห้องตั้งแต่ 100-290 ตร.ม. อพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอน-4 ห้องนอน ราคาต่อเดือน50,000-220,000 บาท

ส่วนในประเทศจีนคาดว่าจะสามารถขยายได้อีก40-50 โครงการ ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและโอกาสที่เข้ามา ขณะที่ในมาเลเซียจะรีแบรนด์ใส่แบรนด์เข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ นั้นๆ คาดว่า ภายในปี2571 บริษัทจะมี 70 โครงการจากพอร์ตรวมทั้งหมด จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ ของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ อยู่ที่32%  คาดว่าในอีก3ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้น 40%

“จุดเด่นของเราคือการปรับตัวเก่งยิ่งกว่าคางคกยันตุ๊กแก ทำได้ทุกรูปแบบ TaylorMade Approach เล่นได้หมดทุกท่าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพสินชิ้นนั้นๆ เป็นความแตกต่างระหว่างเรากับแบรนด์ใหญ่เพราะเราเป็นเจ้าถิ่น ย่อมรู้จักวิถีของคนใน เซาท์อีสเอเชีย เรามีรีจินัลทาเลนท์ที่รู้อินไซต์ของลูกค้าไม่ใช่รู้แบบผิวๆแล้วมาปักหมุดในประเทศไทย ซี่งทำให้ไปได้ไม่ไกล ”

จากประสบการณ์ทำให้บริษัทสามารถทำให้เจ้าของสินทรัพย์มีรายได้/กำไรเพิ่มขึ้น จากเดิม แม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ยกตัวอย่าง โครงการ ชามา เลควิว อโศก กรุงเทพฯ 32 ชั้น จำนวน 427 ยูนิตสามารถทำรายได้ต่อปีตกประมาณ200ล้านบาท หลังจากรีแบรนด์มาเป็นชามา เป็นต้น ดังนั้นปีนี้จึงมีการรีมาร์เก็ตติ้งแบรนด์ “ชามา” ผ่านภาพยนต์โฆษณา ใช้งบลงทุน 8 ล้านบาทไม่นับรวมค่ามีเดียหลากหลายรูปแบบทั้งโซเชียลมีเดีย ยูทูป โทรทัศน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าภายในระยะเวลา 2ปี

 พร้อมกับ”ชามา โซเชียล คลับ” ซึ่งจะเป็นกิจกรรมและโปรแกรมที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ ความคุ้นเคย และความเป็นส่วนหนึ่งระหว่างผู้พักอาศัยที่ชามากับย่านที่พักอาศัย ภายใต้ความเป็นตัวตน และ ไลฟ์สไตล์ของผู้เข้าพักในแต่ละทำเลของชามาที่มีความแตกต่างกัน  ซึ่งไม่ใช่กิจกรรมที่สร้างกำไร แต่เป็นวิธีการสื่อสารทางการตลาดที่เข้ามาช่วยสร้าง  การมีส่วนร่วม(Engagement)ผู้เข้ามาพักมากกว่า ซึ่งจะมีโปรแกรมทั้งปี ที่แตกต่างกันในแต่ละโครงการ ตามความสนใจของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม

“ถือเป็นโกลบอลแคมเปญ ในที่นี้หมายถึงตลาดรีจินัล ในฐานะผู้นำในตลาดโดยประยุกใช้ แคมเปญ คือ “ชามา โซเชียล คลับ ” (Shama Social Club)ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์โปรแกรมที่นำเสนอกิจกรรมที่จะช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ให้กับผู้เข้าพัก และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าพักกับคนในชุมชนใกล้เคียงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างแบรนด์กับลูกค้ากลายเป็นลูกค้าระยะยาว แตกต่างจากโรงแรม”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


นายกสมาคมอสังหาฯ ฉะเชิงเทราใหม่ เผย 7 นโยบาย รับแผนพัฒนา EEC ฝ่าวิกฤตยอดโอนลด

ดร.สืบวงษ์ สุขะมงคล รับตำแหน่งนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ฉะเชิงเทรา ชูฉะเชิงเทราเมืองน่าอยู่ น่าลงทุน พร้อมสานต่อนโยบายพัฒนา EEC ฝ่าวิกฤตยอดโอนหดตัวจากพิษปฏิเสธสินเชื่อสูง

ดร.สืบวงษ์ สุขะมงคล รับตำแหน่งนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ฉะเชิงเทรา พร้อมตั้งเป้าสานต่อนโยบายพัฒนาเมืองและขานรับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มุ่งเน้นให้ฉะเชิงเทราเป็นเมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว และน่าลงทุน

โดยเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดยังคงมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว แม้ว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้จะหดตัวลงจากปัจจัยที่ลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

โดยนโยบายหลัก ของ ดร.สืบวงษ์ มุ่งเน้น 7 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. ส่งเสริมฉะเชิงเทราเป็นเมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ด้วยความเงียบสงบ การผสมผสานวิถีชีวิตเมืองและชนบท อีกทั้งความสะดวกในการเดินทางสู่กรุงเทพฯ และเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังภาคตะวันออก อีกทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เป็นที่ดึงดูดใจ เช่น วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตลาดน้ำบางคล้า และแม่น้ำบางปะกง
  2. แก้ไขปัญหาแนวถนน
  3. จัดการผังเมือง
  4. บริหารจัดการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
  5. พัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวและการขนส่งในแม่น้ำบางปะกง
  6. ผลักดันมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยสนับสนุนนการปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท และผ่อนปรนมาตรการ LTV เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น
  7. ขานรับการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมในพื้นที่

ดร.สืบวงศ์ ยังเผยว่า ศักยภาพการเติบโตของจังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้มีโอกาสในการลงทุนสูง

เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม เช่น รถไฟความเร็วสูง การเชื่อมต่อกับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และสนามบินสุวรรณภูมิ อุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่น่าสนใจทั้งในการอยู่อาศัย ท่องเที่ยว และการลงทุน

การเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงส่งผลให้ราคาที่ดินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยบ้านจัดสรรก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยจากแรงงานและผู้บริหารในพื้นที่มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ เข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลายราย อาทิเช่น บริษัท บริทาเนีย และ บริษัท ศุภาลัย

ซึ่งสอดคล้องกับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 64% และมีมูลค่าเงินลงทุน 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35%

โดยการลงทุนในภาคตะวันออกมากที่สุด จำนวน 625 โครงการ คิดเป็น 44% ของจำนวนโครงการทั้งหมด เงินลงทุน 211,569 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเงินลงทุนทั้งหมด

อย่างไรก็ตามยอดโอนกรรมสิทธิ์ปี 2566 ที่ผ่านมา เฉพาะอำเภอเมือง อำเภอบ้านโพธิ์ และอำเภอบางปะกง ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 1,834 ยูนิต แบ่งเป็น ไตรมาส 1/2566 จำนวน 404 ยูนิต ไตรมาส 2/2566 จำนวน 411 ยูนิต ไตรมาส 3/2566 จำนวน 562 ยูนิต ไตรมาส 4/2566 จำนวน 457 ยูนิต

ทาวน์โฮมมียอดโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด จำนวน 577 ยูนิต คิดเป็น 31.46% แต่เมื่อดูจากจำนวนมูลค่าแล้ว บ้านเดี่ยวมีมูลค่าสูงที่สุด มูลค่า 2,226.06 ล้านบาท คิดเป็น 38.95%

เมื่อเทียบกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 1/2567 จำนวน 303 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 951.68 ล้านบาท โดยบ้านแฝดมียอดโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดมีมูลค่า 365 ล้านบาท คิดเป็น 38.38%

จะเห็นได้ว่ามีการลดลง เนื่องจากมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารสูง บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จึงทำให้ลูกค้าบางกลุ่มยกเลิก หรือตัดสินใจชะลอการโอนกรรมสิทธิ์

ดังนั้นในฐานะนายกสมาคมฯ จึงอยากผลักดันมาตรการอสังหาฯ ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย และการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งจะหมดภายในปีนี้

นอกจากนี้ต้องการให้รัฐบาลช่วยผ่อนปรนมาตรการ LTV พร้อมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้โอกาสคนที่ต้องการมีบ้านหลังที่ 2 ได้รับสินเชื่อมากขึ้น

ขณะเดียวกันรัฐบาลเองควรสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชน มีความต้องการบ้านสูงกว่าเกินวงเงินที่รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้18ก.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.39 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงได้บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว มองกรอบเงินบาทวันนี้ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมFOMCคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.50 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้18ก.ย. ที่ระดับ  33.39 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.30 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัว sideways ไปก่อนได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ นี้

อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงได้บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวของผู้เล่นในตลาดบางส่วน หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงมาบ้าง จากจุดสูงสุดใหม่

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติและผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยได้บ้าง รวมถึงสถานะ Net Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมเฟด อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้ส่งออกบางส่วนก็อาจรอจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ในการทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดช่วงทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ โดยหากอัตราเงินเฟ้ออังกฤษชะลอลงชัดเจนและต่ำกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่ BOE จะสามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่า -50bps ในปีนี้ได้ ซึ่งอาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้บ้าง แต่อาจไม่มากนัก เนื่องจากสุดท้าย ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC

แม้เราจะคงมุมมองเดิมที่แตกต่างจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดว่า เฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยราว -25bps ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ ส่วน Dot Plot ใหม่ก็จะไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างที่ตลาดคาดหวัง

ซึ่งในกรณีดังกล่าว อาจเห็นการปรับตัวขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ไม่ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกมาสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ย –50bps ของเฟดในการประชุมเดือนกันยายนนี้

 โดยบรรดาอดีตเจ้าหน้าที่เฟด อดีตที่ปรึกษาประธานเฟด และอดีตนักเศรษฐกิจศาสตร์ของเฟด ทำให้เรามองว่า เฟดก็อาจเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ได้จริง ตามที่ตลาดกำลังคาดหวัง (สวนทางกับที่เราประเมินไว้) แต่เรามองว่า ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ Dot Plot ใหม่ ของเฟดว่าจะมีแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเร่งตามที่ตลาดกำลังคาดหวังหรือไม่ และเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยลงไปถึงระดับไหน (Long-run Rate)

โดยในกรณีที่ มุมมองของเรานั้นถูกต้อง เฟดไม่ได้เร่งลดดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งลดดอกเบี้ยผ่าน Dot Plot ใหม่ ตามที่ตลาดกำลังคาดหวัง เงินดอลลาร์และบอนดยีลด์สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ส่วนเงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงได้เร็วจนอาจเข้าใกล้โซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้

ทว่า หากเฟดเร่งลดดอกเบี้ยได้จริงตามที่ตลาดคาดหวัง ส่วน Dot Plot ใหม่ ก็ไม่ได้ต่างจากที่ตลาดประเมินไว้มาก ในกรณีนี้ หากแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงชะลอตัวลงหนัก หรือ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะขึ้นกับการสื่อสารของเฟดและคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจใหม่

เรามองว่า บรรยากาศอาจยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงได้ (Risk-On) ซึ่งอาจเห็นการปรับตัวลดลงบ้างของเงินดอลลาร์ ขณะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจทรงตัว ส่วนราคาทองคำก็อาจปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดใหม่ก่อนหน้าอีกครั้ง ทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ หากเฟดเร่งลดดอกเบี้ย และส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างที่ตลาดคาดหวัง แต่การสื่อสารของเฟด กลับทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงหนัก หรือ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เรามองว่า ในกรณีนี้ อาจเห็นการอ่อนค่าลงได้พอสมควรของเงินดอลลาร์ หากผู้เล่นในตลาดเร่งเพิ่มสถานะ Net Long JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น) ตามความต้องการถือเงินเยนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่วนราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน ทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เปิดโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ถึงโซน 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี หากเฟดเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมครั้งนี้ แต่กลับไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างที่ตลาดคาดหวัง เรามองว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงที่จะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท ทว่า แรงกดดันดังกล่าวอาจไม่มากนัก เมื่อเทียบกับกรณีที่เฟดไม่ได้เร่งลดดอกเบี้ย ทำให้เงินบาทอาจอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านแรกแถว 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์  

เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.50 บาท/ดอลลาร์ (ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC)

และประเมินกรอบเงินบาทในช่วง 33.00-34.00 บาท/ดอลลาร์ (ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย เข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในวันก่อนหน้า หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนสิงหาคม ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวลดลงเกือบ -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 2,560-2,570 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างคงคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องพอสมควรของเฟด สำหรับวัฏจักรการลดดอกเบี้ยรอบนี้ โดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง 

แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาด จะช่วยให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คลายกังวลความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงหนักไปบ้าง ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติมมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนกันยายนก่อน ทำให้โดยรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผสมผสาน โดยบรรหาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent 7) ต่างก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นชัดเจน ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.03%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.40% หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นบ้างของหุ้นกลุ่มสไตล์ Growth และหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่างหุ้นธีม AI/Semiconductor ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ดี นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ 

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 3.64% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะเริ่มเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ได้ในการประชุมเดือนกันยายนนี้

และเฟดก็ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกไม่น้อยกว่า -125bps ในปีหน้า ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง หากเฟดไม่ได้เร่งลดดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งลดดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดกำลังคาดหวัง โดยเราคงเน้นกลยุทธ์ “Buy on Dip”

หรือรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวอยู่แล้วนั้น ก็สามารถ Let Profits Run หรืออาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรได้บ้าง ตามความเหมาะสม (Sell on Rally)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีจังหวะอ่อนค่าลงทะลุโซน 142 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 100.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.5-101 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาดีกว่าคาด ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2,590 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้างกลับสู่โซน 2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดในจังหวะราคาทองคำย่อตัว หลังผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด

สำหรับวันนี้ ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนสิงหาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยหากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น ก็อาจเปิดโอกาสให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีกราว -50bps ในปีนี้ ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟด ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ รวมถึง คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 โดย Atlanta Fed พร้อมทั้งจับตารายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้

ส่วนในช่วงราว 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันพฤหัสฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุม FOMC เดือนกันยายน โดยเราประเมินว่า เฟดจะเริ่มวัฏจักรนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ด้วยการทยอยลดดอกเบี้ย -25bps สู่ระดับ 5.00%-5.25% พร้อมกันนั้นคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หรือ Dot Plot ใหม่ อาจสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยราว -75pbs ในปีนี้

การลดดอกเบี้ยอีกราว -100bps ในปี 2025 และ การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2026 ราว -75bps จนถึงระดับ 2.75%-3.00% พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใหม่ของเฟด (Summary of Economic Projections) และรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.35-33.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.29 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยแม้เงินบาทจะยังคงเคลื่อนไหวเป็นกรอบ แต่ก็ยังคงเป็นกรอบที่อ่อนค่าลงสอดคล้องกับการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก หลังจากที่ตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (US retail sales +0.1% MoM ในเดือนส.ค. ตลาดคาดที่ -0.2% MoM) กระตุ้นให้มีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมของเงินดอลลาร์ฯ ด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.30-33.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก  ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของอังกฤษ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนส.ค.ของสหรัฐฯ และผลการประชุมและ dot plot ของเฟด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เมย์ รัชนก จอดรอบแรก-หมิว พรปวีณ์ ผ่านฉลุย แบดมินตันไชน่า โอเพ่น

“เมย์” รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยวมือ 20 ของโลก จบเส้นทางในรอบแรกหลังพลาดท่าพ่ายให้กับ อายะ โอโฮริ มือ 9 ของโลกจากญี่ปุ่น ส่วน “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ หญิงเดี่ยวมือ 16 ของโลก โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม จบชนะ คิม กาอึน จากเกาหลีใต้ ผ่านเข้ารอบสองไปได้สำเร็จ

การแข่งขันแบดมินตันรายการ วิคเตอร์ ไชน่า โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 2,000,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 66,000,000 บาท ที่เมืองฉางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันอังคารที่ 17 ก.ย.67 ที่ผ่านมาเป็นการแข่งขันในรอบแรก 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 20 ของโลก พบกับ อายะ โอโฮริ มือวางอันดับ 7 ของรายการ มืออันดับ 9 ของโลกจากญี่ปุ่น เกมนี้ เมย์ รัชนก ทำผลงานได้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถหยุดความเฉียบขาดของ อายะ โอโฮริ ไว้ได้ แพ้ไป 0-2 เกม 18-21 ,14-21 ทำให้จบเส้นทางในรอบแรก 

ด้าน “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 16 ของโลก โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะ คิม กาอึน มืออันดับ 13 ของโลกจากเกาหลีใต้ 2-0 เกม  21-15, 21-15 “หมิว” พรปวีณ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ลีเน่ เคียร์สเฟลด์ท มืออันดับ 18 ของโลกจากเดนมาร์ก 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ผลวิจัยชี้ คนดื่มเหล้าแล้วหน้าแดง เสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่า

ผลวิจัยชี้ คนดื่มเหล้าแล้วหน้าแดง เสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่า

มะเร็ง โรคร้ายที่หลายคนกลัวและตื่นตัวในการดูแลสุขภาพ มีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือลักษณะพันธุกรรมของผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วมักหน้าแดง ตัวแดง โดยไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเมามาย กลับเสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่าคนทั่วไป 

ยีนหน้าแดง เสี่ยงมะเร็ง

รองศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิงดุลยพร ตราชูธรรม หัวหน้ากลุ่มวิชาการและวิจัยด้านอาหารและโภชนาการ และกรรมการบริหารหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพิษวิทยาและโภชนาการเพื่ออาหารปลอดภัย (ภาคปกติ และภาคพิเศษ) สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยในกลุ่มตัวอย่างวัยเรียนและวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี และไม่เคยป่วยด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะทางพันธุกรรมตามข้อมูลทางมานุษยวิทยา ได้แก่ กลุ่มคนทั่วไป และกลุ่มผู้ที่มี “ยีนหน้าแดง” (Mutant ALDH2)

 “ยีนหน้าแดง” (Mutant ALDH2) ดังกล่าว มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า ผู้ที่มีเชื้อสาย “จีนฮั่น” สีผิวขาวเหลือง มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เรียกว่า “ยีนหน้าแดง” นี้ ซึ่งเกิดจากความบกพร่องในการกำจัดสารพิษ “อะเซตัลดีไฮด์” (Acetaldehyde) ที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ สารพิษดังกล่าวเป็นต้นเหตุของอาการเมาสุรา และเป็นสารก่อมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งช่องปากและคอหอย มะเร็งลำไส้ เป็นต้น 

ผลวิจัยพบว่า ผู้ที่มียีนหน้าแดงหลังดื่มแอลกอฮอล์เพียงแก้วเดียวจะมีผื่นแดง ขึ้นที่หน้า หู ลำคอ หรือตามลำตัว มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

นมเปรี้ยวช่วยลดพิษของแอลกอฮอล์ 

ผู้วิจัยได้ให้ทั้ง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนทั่วไป และกลุ่มผู้ที่มียีนหน้าแดง ทดลองดื่ม “นมเปรี้ยว” เพื่อทดสอบผลต่อการลดพิษของแอลกอฮอล์ โดยเป็นนมเปรี้ยวที่บ่มด้วยจุลินทรีย์ที่มีสายพันธุ์เฉพาะซึ่งไม่มีจำหน่ายตามท้องตลาดโดยทั่วไป เพื่อการวิจัยเสริมคุณค่าในการป้องกันโรค และขยายผลสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพต่อไปในอนาคต

ผลคือ เมื่อให้ผู้เข้ารับการทดสอบดื่มนมเปรี้ยวในปริมาณ 150 มิลลิลิตร ประมาณ 5 นาทีก่อนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าสามารถช่วยลดระดับการเกิด “อะเซตัลดีไฮด์” (Acetaldehyde) ในเลือดและน้ำลาย ทั้งในคนที่มียีนหน้าแดงและคนทั่วไป ผลวิจัยได้รับการตีพิมพ์แล้วในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ “Food and Function”

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘เซลส์ฟอร์ซ’ พลิกโฉมธุรกิจ สู่คลื่นลูกที่ 3 การพัฒนา ‘เอไอ’

รายงาน Salesforce Trends in AI Report โดย “เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce)” ผู้ให้บริการ AI CRM ชั้นนำ ระบุว่าพนักงานใช้เวลาถึง 41% ไปกับงานซ้ำซากและไม่ค่อยมีความสำคัญต่อธุรกิจ

พบด้วยว่า 65% ของพนักงานเชื่อว่า Generative AI จะช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น เนื่องจากทุกองค์กรมีงานที่ต้องดำเนินการมากกว่าทรัพยากรที่มีอยู่ ดังนั้นจึงมีบางงานที่ถูกทิ้งไว้หรือไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้

เซลส์ฟอร์ซ วิเคราะห์ว่า การปฏิวัติพัฒนา AI สามารถแบ่งออกได้เป็นช่วงต่างๆ เหมือนคลื่นแต่ละลูก คลื่นลูกแรกคือ Predictive AI ซึ่งโมเดลปัญญาประดิษฐ์สามารถคาดการณ์อนาคตจากพื้นฐานของข้อมูลหรือรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ตัวอย่างเช่น การให้ Predictive AI แนะนำแผนการทำงานที่ดีที่สุดลำดับถัดไปให้กับพนักงานด้านการขาย เพื่อให้ทำงานกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอิงจากพื้นฐานข้อมูลการมีปฏิสัมพันธ์ที่ผ่าน ๆ มา เทคโนโลยีในรูปแบบนี้ยังพบได้ทั่วไปในบริการสตรีมมิ่ง ซึ่งใช้ Predictive AI วิเคราะห์พฤติกรรมการรับชมรายการต่าง ๆ ของสมาชิก และให้คำแนะนำสำหรับเนื้อหาที่พวกเขาน่าจะชื่นชอบ

คลื่นลูกที่สองคือ Generative AI หรือปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ ซึ่งขับเคลื่อนโดยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่สามารถทำความเข้าใจและสร้างสรรค์เนื้อหาข้อความในลักษณะที่เหมือนกับมนุษย์ได้

โมเดล Generative AI สามารถสร้างเนื้อหาขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือรูปภาพสำหรับการโฆษณาทางการตลาด รวมไปจนถึงสร้างอีเมลที่ใช้สำหรับการขายและการให้บริการลูกค้า คลื่นการพัฒนา AI ลูกนี้ได้ทำให้เกิดการสร้างบอทสำหรับให้ผู้บริโภคใช้ เช่น ChatGPT และถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วเทคโนโลยียีในขั้นนี้จะสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ แต่บอทเหล่านี้ก็ยังคงต้องการคำสั่งจากมนุษย์ ผ่านการส่งข้อความหรือคำถาม (Prompt) ที่เราป้อนให้กับAI เพื่อให้ระบบทำงานได้สำเร็จ

ขณะนี้ กำลังก้าวเข้าสู่คลื่นลูกที่สามของการพัฒนา AI ซึ่งระบบเจ้าหน้าที่ตัวแทนซึ่งทำงานแบบอัตโนมัติได้ด้วยตนเอง (Autonomous AI Agents) หรือระบบแบบเอเจนติก (Agentic Systems) จะไม่เพียงช่วยให้คำแนะนำในการทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เหตุผลและทำงานรองรับโครงการที่มีความซับซ้อนหลากหลายแง่มุม ได้โดยไม่ต้องมีการควบคุมดูแลจากมนุษย์ในทุก ๆ ขั้นตอน

ต่างจากแชทบอทแบบเดิมที่สามารถจัดการเฉพาะคำถามที่เจาะจง ซึ่งได้ถูกตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนในระบบเท่านั้น โดยไม่เข้าใจบริบทหรือความแตกต่างในรายละเอียดเล็กน้อยได้ โดย AI Agent มีความชาญฉลาดและทำงานได้หลากหลาย ก้าวผ่านจากการสร้างสรรค์เนื้อหาและการวิเคราะห์ ไปสู่การทำงานด้วยตนเองแบบอัตโนมัติ

มาร์ค เบนิออฟ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซลส์ฟอร์ซ เผยว่า ล่าสุด เซลส์ฟอร์ซ ได้เปิดตัว Agentforce ชุดเจ้าหน้าที่ AI อัจฉริยะอัตโนมัติ (AI Agent) ที่ทันสมัยที่สุด มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่พนักงานในงานบริการ งานขาย การตลาด และการค้า เพื่อส่งเสริมความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า

พร้อมกันนี้ ช่วยให้องค์กรสามารถขยายกำลังคนได้อย่างง่ายดายด้วยการคลิกไม่กี่ครั้ง เจ้าหน้าที่ AI อัจฉริยะเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ และปฏิบัติงานต่างๆ เช่น ตอบคำถามของลูกค้า คัดกรองลูกค้าเป้าหมาย ปรับปรุงแคมเปญการตลาด ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น องค์กรสามารถสร้าง ปรับแต่ง และใช้งาน AI agent เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายในทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากยุคของ AI agent ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

Agentforce เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คนและ AI ร่วมมือกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมความสำเร็จให้ลูกค้า โดยมอบระบบเจ้าหน้าที่อัตโนมัติ (Autonomous Agents) ให้กับองค์กรต่างๆ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ประสิทธิภาพ และความพึงพอใจในการให้บริการ การขาย การตลาด การค้า รวมถึงกิจกรรมทางธุรกิจอื่นๆ

ขณะเดียวกัน เป็นตัวแทนคลื่นลูกที่สามของการพัฒนา AI ซึ่งก้าวข้ามจาก Copilot ไปสู่ยุคใหม่ของ Agent ที่มีความแม่นยำสูงและลดปัญหาเรื่องการแสดงข้อมูลหรือเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงลง

“การพัฒนานี้จะขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น นับเป็นโซลูชันที่จะปฏิวัติวงการ มีความแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ และมีการทำงานที่สามารถเชื่อถือได้ ซึ่งสามารถผสานรวมเทคโนโลยี AI เข้ากับทุกกระบวนการทำงานได้อย่างราบรื่น และสร้างอยู่บนพื้นฐานหัวใจสำคัญในเส้นทางประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถคาดการณ์ความต้องการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นและการเติบโต รวมถึงสร้างการทำงานเชิงรุกในทุกที่ที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์”

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สรุป Part of Speech เรียนภาษาอังกฤษ ต้องจำให้ขึ้นใจ

Parts of Speech คืออะไร?

Parts of Speech

Parts of Speech คือ การแบ่งประเภทของคำในภาษาอังกฤษตามหน้าที่ออกเป็น 8 ชนิด ได้แก่ Noun, Pronoun, Verb, Adjective, Adverb, Preposition, Conjunction และ Interjection ซึ่งกล่าวได้ว่า Parts of Speech เป็นพื้นฐานแกรมม่า ในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่ทุกคนควรรู้ โดยคุณสามารถอ่านสรุป Parts of Speech ของเราได้ต่อไปนี้

Parts of Speech คืออะไร

Parts of Speech คือ ชนิดหรือประเภทของคำ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่และตำแหน่งในประโยคแตกต่างกันออกไป ความเข้าใจเกี่ยวกับ Parts of Speech ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อให้เราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง

การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจประเภทของคำหรือ Parts of Speech นั้นมีประโยชน์ เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจส่วนย่อยของภาษา ตั้งแต่คำ วลี ไปจนถึงการเรียบเรียงประโยคที่ใช้ในภาษาอังกฤษ ถือเป็นสิ่งจำเป็น ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องรู้

Parts of Speech มีอะไรบ้าง

พื้นฐานภาษาอังกฤษที่สำคัญใน Parts of Speech มีกี่ประเภท โดยเราสามารถแบ่งประเภทคำ ในภาษาอังกฤษตามหน้าที่ได้ 8 ชนิด ได้แก่ Noun (คำนาม), Pronoun (คำสรรพนาม), Verb (คำกริยา), Adjective (คำคุณศัพท์), Adverb (คำกริยาวิเศษณ์), Preposition (คำบุพบท), Conjunction (คำสันธานหรือคำเชื่อม) และ Interjection (คำอุทาน) นอกจากประเภท Parts of Speech ข้างต้นแล้ว บางตำรายังมีคำประเภท Determiner หรือ คำนำหน้านาม เช่น a, an, the, that หรือ some อีกด้วย โดยเราสามารถรู้ความหมาย และหน้าที่การใช้งาน Parts of Speech ได้ดังต่อไปนี้

สรุป Parts of Speech

1. Noun (n.) คำนาม

คำนาม หรือ Noun คือ คำในภาษาอังกฤษซึ่งใช้เรียกชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมไปถึง ความรู้สึก อารมณ์ แนวคิด คุณสมบัติ สามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลากหลายประเภท เช่น Proper Nouns (คำนามชี้เฉพาะ), Common Nouns (คำนามทั่วไป), Collective Nouns (สมุหนาม),Material noun (วัตถุนาม) และ Abstract Nouns (อาการนาม) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งคำนามออกเป็นแบบนับได้และนับไม่ได้ (Countable and Uncountable) โดยคำนามที่นับได้นั้นจะมีได้ทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ (เช่น a man, two men) แต่คำนามนับไม่ได้นั้นจะเป็นได้แค่คำนามเอกพจน์เท่านั้น (water, a glass of water)

ตัวอย่าง Noun (คำนาม) ภาษาอังกฤษ

  • Proper Nouns (คำนามเฉพาะ)
    – Cristiano Ronaldo, Lisa, London, Bangkok, January, Thailand
  • Common Nouns (คำนามทั่วไป)
    – boy, apple, dog, ice cream, phone, city, cat
  • Collective Nouns (สมุหนาม)
    – group (a group of student), herd (a herd of cattle), bunch (a bunch of flowers), crowd (a crowd of people)
  • Material noun (วัตถุนาม)
    – water, air, silver, gold, iron
  • Abstract Nouns (อาการนาม)
    – happiness, anger, kindness, health, friendship

ตัวอย่างการใช้ Noun (คำนาม) ในประโยค

  • My best friend lives in Australia.
    เพื่อนสนิทของฉันอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย
  • Anna has two dogs.
    คริสมีสุนัขสองตัว
  • Her mother is a teacher.
    แม่ของเธอเป็นครู

Tip: คำนามภาษาอังกฤษอาจสังเกตได้จาก Noun Suffixes หรือรากศัพท์ที่ลงท้ายคำนาม เช่น

-ance = maintenance, distance
-ence = difference, silence
-er = teacher, singer
-ion = education, satisfaction, celebration
-ment = entertainment, payment
-ness = happiness, sadness

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


6 อาหารธรรมชาติ บำรุงความงามจากภายใน กินแล้วสวยด้วย

สำหรับคุณผู้หญิงแล้ว เรื่องการรับประทานอาหารถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เพียงทำให้สุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่จะต้องกินแล้วสวยร่วมด้วย ดังนั้นเราจึงมาขอแนะนำ 6 อาหารที่เหมาะสำหรับการดูแลผิวพรรณและความงามของผู้หญิง ตามนี้เลย

6 อาหารธรรมชาติบำรุงความงามจากภายใน

1.เนื้อปลาน้ำจืด

ไม่เพียงแต่ปลาทะเลน้ำลึกเท่านั้นที่มีคอลลาเจนสูง ปลาน้ำจืดก็อุดมไปด้วยคอลลาเจนเช่นกัน โดยปลาน้ำจืดมีกรดไฮยาลูโรนิกมากกว่าปลาทะเล กรดนี้จำเป็นต่อการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สำหรับผู้ที่แพ้อาหารทะเลแต่ยังต้องการเพิ่มปริมาณคอลลาเจน ปลาน้ำจืดก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี

2.ผลเบอร์รี่

อย่างที่ทราบกันดีว่าผลไม้ที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน เช่น ราสเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และสตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่มีวิตามินซีสูง โดยวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอย ปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดและรังสียูวีอีกด้วย

3.ผักใบเขียว

นอกจากผลไม้ต่าง ๆ แล้ว ผักใบเขียวยังเป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นดีอีกด้วย โดยเฉพาะผักใบเขียวเข้ม ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ กำมะถัน และคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาณคอลลาเจน ควรพิจารณารับประทานผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ผักกาดหอม บร็อคโคลี และหน่อไม้ฝรั่ง ผักเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น เรียบเนียน และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวของคุณเปล่งปลั่งสดใส

4.ซิตรัส

ผลไม้ชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนก็คือผลไม้ตระกูลซิตรัส ไม่ว่าจะเป็นส้ม เกรปฟรุต หรือมะนาว ผลไม้ตระกูลนี้เป็นผลไม้อีกกลุ่มหนึ่งที่มีคอลลาเจนและวิตามินซีสูง เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยในการผลิตคอลลาเจน นอกจากจะช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนแล้ว วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อผิวอีกด้วย เนื่องจากช่วยลดริ้วรอยและปกป้องผิวจากรังสียูวี

5.ผลไม้สีแดง

ผักและผลไม้สีแดงอย่างมะเขือเทศ บีทรูท พริกหยวกแดง และแตงโม มีคอลลาเจนสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพผิว อาหารเหล่านี้ยังมีสารอาหารที่เรียกว่าไลโคปีน ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย ไลโคปีนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวแข็งแรงและช่วยชะลอวัย การเพิ่มผักและผลไม้สีแดงลงในอาหารของคุณ สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม และผิวพรรณของคุณให้ดีขึ้นได้

6.ธัญพืช

หนึ่งในอาหารที่มีคอลลาเจนสูงอีกชนิดหนึ่ง คือ ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นแหล่งแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น สังกะสี ทองแดง วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มการบริโภคคอลลาเจน พิจารณาเลือกถั่วและธัญพืช เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ ถั่วลิสง เมล็ดเจีย เมล็ดงาดำและงาขาว รำข้าว เพื่อนำมาเสริมในอาหารหรือเป็นของว่าง เพื่อรับประโยชน์อย่างเต็มที่ค่ะ

ผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และชุ่มชื้นมากขึ้น ควรพิจารณารับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูง หรือหากคุณต้องการเสริมคอลลาเจน เพื่อชดเชยสารอาหารที่ขาดหายไป อาหารเสริมคอลลาเจนทั้งในรูปแบบของเหลวและเม็ดยา เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน พร้อมเลือกทานอาหารที่เหมาะกับร่างกาย ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อผิวสวยสุขภาพดีของสาว ๆ ที่เป็นไปอย่างยั่งยืนแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/09/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,500.0040,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,623.0039,764.6841,100.00
ทองรูปพรรณ 90%2,360.7035,788.21n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,098.4031,811.74n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,180.0017,888.80n/a
ทองรูปพรรณ 40%918.0013,916.88n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,718.0041,204.88n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/09/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.3535.3535.6535.3535.3535.3535.3535.3535.3535.35
แก๊สโซฮอล์ 9134.9834.9835.2834.9834.9834.9834.9834.9834.9834.98
แก๊สโซฮอล์ E2033.2433.2433.5433.2433.2433.2433.2433.2433.24
แก๊สโซฮอล์ E8532.9932.9932.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.9449.8449.8449.8443.94
เบนซิน 9543.4449.8143.9443.5943.44
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า