ผ่าแนวเส้นทางใหม่ สร้าง “ทางด่วนเชื่อมเกาะช้าง” 1.5 หมื่นล้าน
“กทพ.” ทะลวง 4 แนวเส้นทางใหม่ สร้าง “ทางด่วนเชื่อมเกาะช้าง” วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท หลังจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษา ลงพื้นที่ตรวจสอบเลี่ยงเส้นทางพื้นที่อ่อนไหว กระทบสิ่งแวดล้อม ปักธงเปิดให้บริการปี 76
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมา “การทางพิเศษแห่งประเทศไทย” หรือ กทพ. มีแผนพัฒนาทางพิเศษในภูมิภาคเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่
ล่าสุด “กทพ.” ได้ว่างจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาโครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะช้าง จังหวัดตราด วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับโอนมาจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.)
หากโครงการสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2576 จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางเหลือเพียง 10-15 นาที จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาเดินทางขึ้น-ลงเรือเฟอร์รี่ประมาณครึ่งชั่วโมง หากเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลจะใช้ระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง
แหล่งข่าวจาก กทพ. กล่าวว่า จากผลการศึกษาเบื้องต้น มีการกำหนดแนวเส้นทางเลือกของโครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะช้าง จำนวน 4 แนวเส้นทางเลือก โดยพิจารณาจากจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของโครงการที่มีความเหมาะสม โดยจะใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณา คือ แนวเส้นทางช่วงที่ตัดผ่านพื้นที่ทะเลจะต้องตรวจสอบข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดและครบถ้วน เช่น
ทิศทางของกระแสลม ความลึกของท้องทะเล ความเร็วของกระแสน้ำทะเล เส้นทางการเดินเรือชนิดต่างๆ อาทิ เรือของกองทัพเรือ เรือสำราญ เรือประมง เป็นต้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการเกิดผลกระทบต่อพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่ปะการัง หญ้าทะเล ที่อยู่อาศัยของปลาโลมา เป็นต้น
จากผลการศึกษาเบื้องต้นของ “ทางพิเศษเชื่อมเกาะช้าง” มีแนวเส้นทาง 4 ที่มีความเป็นไปได้ ดังนี้
1.จุดเริ่มต้นแนวเส้นทางอยู่บนทางหลวงหมายเลข 3156 บริเวณกม.0+ 850 บ้านหนองปรือ ตำบลแหลมงอบ และไปเชื่อมเข้ากับถนนอบจ.ตร . 10026 บริเวณกม.8+550 ในเขตพื้นที่บ้านด่านใหม่ ตำบลเกาะช้าง ระยะทาง 9.82 กิโลเมตร
ซึ่งแนวเส้นทางที่ 1 มีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากทางจังหวัดตราดเห็นด้วย เพราะเป็นแนวเส้นทางที่หลบแนวพื้นที่ปะการังมากที่สุด รวมถึงมีความคุ้มทุนมากที่สุดด้วย พร้อมทั้งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อจังหวัดและประชาชนในพื้นที่
2.จุดเริ่มต้นแนวเส้นทางจะเป็นตำแหน่งเดียวกันกับแนวเส้นทางเลือกที่ 1 แต่เหนือเส้นทางจะไปเชื่อมเข้ากับถนน อบจ.ตร.10026 บริเวณ กม.6+750 ในเขตพื้นที่บ้านด่านใหม่ ตำบลเกาะช้าง มีระยะทางรวม 9.95 กิโลเมตร
3.จุดเริ่มต้นแนวเส้นทางอยู่บนทางหลวงชนบทหมายเลข ตร. 4006 บริเวณกม.2+840 บ้านธรรมชาติล่าง ตำบลคลองใหญ่และไปเชื่อมเข้ากับถนน อบจ.ตร. 10026 บริเวณกม.5+300 ในเขตพื้นที่บ้านด่านใหม่ ตำบลเกาะช้าง มีระยะทางรวม 5.90 กิโลเมตร
4.จุดเริ่มต้นแนวเส้นทางอยู่บนทางหลวงชนบทหมายเลข ตร. 4006 บริเวณกม.3+500บ้านธรรมชาติล่าง ตำบลคลองใหญ่และไปเชื่อมเข้ากับถนนอบจ.ตร. 10026 บริเวณกม.1+900 ในเขตพื้นที่บ้านคลองสน ตำบลเกาะช้าง มีระยะทางรวม 5.59 กิโลเมตร
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ชัชชาติ” ชี้อนาคตกรุงเทพฯ เดินหน้ามิชชั่นสู่เมืองน่าอยู่และยั่งยืน
ชัชชาติ ผู้ว่าฯกทม. เผยแนวทางกรุงเทพมหานคร สู่การเป็นเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนในอนาคต ย้ำความท้าทายของการมีส่วนพัฒนาร่วมกันทุกฝ่าย
กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยสีสันและความคึกคัก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้คนก็กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจร ระบบโครงสร้าง สิ่งแวดล้อม พื้นที่สีเขียวที่จำกัด และความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาวะของชาวกรุงเทพฯ ที่ทำให้การยกระดับคุณภาพชีวิตและการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนกลายเป็นความท้าทายสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเร่งแก้ไข
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เผยบนเวทีเสวนาในหัวข้อ “Pathways to a Sustainable Urban Future” ถึงวิสัยทัศน์ “กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” และแนวทางการพัฒนากรุงเทพฯ สู่การเป็นเมืองยั่งยืนว่า การพัฒนาเมืองให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ต้องมีความยั่งยืนในชีวิตของประชาชนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน
ด้วยนโยบายสำคัญ “กรุงเทพฯ 9 ดี” ได้แก่ บริหารจัดการดี สิ่งแวดล้อมดี สุขภาพดี เดินทางดี ปลอดภัยดี โครงสร้างดี เศรษฐกิจดี สร้างสรรค์ดี เรียนดี และมียัง 216 แผนปฏิบัติการที่ปรับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ซึ่ง กทม. ได้ให้ความสำคัญกับโครงการที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อาทิ สนับสนุนให้ลดการใช้รถส่วนตัวโดยพัฒนาระบบขนส่งมวลชนและทางเท้าให้เอื้อต่อการเดินทางที่ยั่งยืน
เพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองและสวนขนาดเล็กเข้าถึงชุมชน การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมการคัดแยกขยะในกลุ่มผู้ประกอบการ และการปรับปรุงระบบระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายสำหรับสำนักงานเขต กทม. ปี 2567 ในการพัฒนาถนน 124 กิโลเมตร ติดตั้งและปรับปรุง ไฟถนน 31,900 ดวง ติดตั้งและปรับปรุง ไฟริมคลอง 9,500 ดวง ปลูกต้นไม้ 200,000 ต้น ปรับปรุงจุดฝืดจราจร เพิ่มสวน 15 นาที 153 แห่ง
แก้ไขจุดเสี่ยงอาชญากรรมและเพิ่มความปลอดภัย 370 แห่ง ปรับปรุงทางเท้า 312 กิโลเมตร ยกเลิกการค้าบนทางเท้า 100 จุด พัฒนา Hawker center 20 แห่ง ปรับปรุงจุดเสี่ยงน้ำท่วม 212 แห่ง เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมือง รวมถึงให้ความสำคัญในการร่วมมือกับภาคเอกชนพัฒนาศูนย์กิจกรรมต่างๆ และดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น การจัดตั้งธนาคารอาหาร 50 แห่งทั่วกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ มีเป้าหมายสูงสุด คือการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ 1 ใน 50 อันดับแรกของโลกภายในปี 2570 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน รศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยในช่วงเสวนาหัวข้อ “Time to CHANGE: Shaping Bangkok’s Future” ว่า โครงสร้างเมืองส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของประชากรอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยสถิติจาก WHO ระบุว่า ประชากรกรุงเทพฯ ราว 76% เสียชีวิตจากโรค NCD ซึ่งมีสาเหตุจากการนั่งนาน 75% ของประชากรมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน (Obesity) อีกทั้งกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย
ดังนั้น การพัฒนา Transit-Oriented Development (TOD) จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในเขตที่มีการจราจรติดขัด เช่น บริเวณสุขุมวิทและศรีนคริทร์ที่มีทั้งที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ทำให้มีความหนาแน่นสูง
โดยเฉพาะการเดิน ในปัจจุบันมีความท้าทายอย่างมากในการทำอย่างไรให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เดินได้ และเดินดี ซึ่งหมายถึงนอกจากจะเดินได้แล้ว ยังต้องเดินสะดวก ปลอดภัย และน่ารื่นรมย์ โดยจากผลสำรวจของเรามีเพียง 54% ของพื้นที่ในกรุงเทพเท่านั้นที่สามารถเดินได้ และเดินดี
นอกจากจะส่งผลโดยตรงถึงสุขภาวะของประชากรแล้ว การพัฒนาเมืองให้เดินได้และเดินดี ยังส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการกระจายตัว สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับรายย่อย โดยผ่านการท่องเที่ยว
ยกตัวอย่างเช่น ปารีส เมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดิน ก็จะเพิ่มการเข้าถึงร้านค้ารายเล็กต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่เรื่องการปรับปรุงทางเท้า แต่เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างต่อไปในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ต.ค“อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.92 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก ลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งในคืนวันพฤหัส นี้ และในช่วงคืนวันศุกร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ต.ค 2567 ที่ระดับ 32.92 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.74 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น หลังเราได้ Call Bottom USDTHB ไปในวันก่อนหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้อ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในต้นสัปดาห์
ทำให้ในเชิงเทคนิคัลเรามีความมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดไม่ได้กลับมาเชื่อมั่นว่า เฟดจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมที่เหลือของปีนี้ จนไปถึงช่วงต้นปีหน้า
ซึ่งเรามองว่า ต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งในคืนวันพฤหัสฯ นี้ และในช่วงคืนวันศุกร์นี้ ที่จะมีรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) โดยหากเงินบาทยังสามารถอ่อนค่าลงต่อทะลุโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน ก็อาจเผชิญโซนแนวต้านแถว 33.15-33.20 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปได้ ตราบใดที่ราคาทองคำยังมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งเรามองว่า ความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายวัน จนถึงระดับ 1-2 สัปดาห์ได้ ถึงจะเริ่มคลี่คลายลงได้บ้าง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ต้องจับตาท่าทีของทางการอิสราเอลในการตอบโต้ การโจมตีรอบล่าสุดจากทางอิหร่าน
นอกจากนี้ เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น เงินบาท รวมถึงบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียอาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบลดสถานะ Net Long บรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้ (มองสกุลเงินฝั่งเอเชียแข็งค่าขึ้น) อีกทั้ง เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วน
อาทิ ผู้ส่งออกอาจรอจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ในการทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงใกล้โซนแนวต้าน เช่น เหนือโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ อนึ่ง หากบรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าเทขายสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องในอัตราไม่ต่างกับวันก่อนหน้า หรือ อย่างน้อยวันละ 5 พันล้านบาท ก็อาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องได้มากกว่าที่เราประเมินไว้ เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้านถัดไป 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะในส่วนของดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เนื่องจากภาคการบริการคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทำให้หากภาคการบริการมีแนวโน้มชะลอตัวลงหนักกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาเชื่ออีกครั้งว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย ซึ่งภาพดังกล่าวจะกดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง หนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำและการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ไม่ยาก
เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.80-33.20 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้จริง หลังเราได้ call bottom USDTHB ไปในวันก่อนหน้า (กรอบการเคลื่อนไหว 32.73-32.95 บาทต่อดอลลาร์)
ทว่าการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นก็ถือว่ามากกว่าที่เราประเมินไว้ โดยเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุทั้งโซนแนวต้านแรกแถว 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ตั้งแต่ช่วงวันก่อนหน้า ตามโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ (ขายสุทธิทั้งหุ้นและบอนด์ไทยเกือบ -9 พันล้านบาท)
ก่อนที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากการปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดโดยผู้เล่นในตลาด ตามรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP เดือนกันยายน ที่เพิ่มขึ้นราว 1.4 แสนตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวลดลงราว -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะสามารถรีบาวด์ขึ้นได้ตามแรงซื้อในจังหวะย่อตัวของผู้เล่นในตลาด
ซึ่งยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง (มิเช่นนั้น เงินบาทอาจอ่อนค่าทะลุ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ไปแล้วได้)
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาดก็ตาม โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงอยู่
ทว่า สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น อาทิ Exxon Mobil +1.3% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ส่วน Tesla -3.5% ก็ปรับตัวลดลงแรง จากรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ที่ต่ำกว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.01%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.05% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร อาทิ Shell +1.7%, BAE +2.0% ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนแรงอยู่
ทว่า ความกังวลดังกล่าวก็กดดันให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก กดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 3.80% ตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่าบรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง
จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ยาก อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็อาจรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้เพิ่มเติม เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยทั้งยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาดีกว่าคาด และความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์ในระยะสั้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.2-101.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ก็สามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ แม้ว่าจะมีบางจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงเกือบ -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ตาม โดยราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ตั้งแต่ รายงานยอดการเลิกจ้างงาน (Challenger Job Cuts) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกันยายน
พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความคาดหวังอยู่บ้าง ว่า เฟดจะสามารถเร่งลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมที่เหลือของปีนี้
ส่วนฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย จนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือไม่
โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง รวมถึงส่งผลกระทบต่อโฟลว์การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมากน้อยเพียงใด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าทะลุแนว 33.00 มาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 33.02-33.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.37 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องตามภาพรวมของสกุลเงินเอเชีย นำโดย เงินหยวน และ เงินเยน ประกอบกับมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก
สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่มีแรงหนุนจากข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ รายงานโดย ADP ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง (การจ้างงานของภาคเอกชน +143,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สูงกว่าตลาดคาดที่ +128,000 ตำแหน่ง และเพิ่มขึ้นจาก +103,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.)
ทั้งนี้ เงินเยนยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากวานนี้ หลังรมว. เศรษฐกิจของญี่ปุ่น นายเรียวเซ อากาซาวะ กล่าวว่า มีอีกหลายเงื่อนไขที่ BOJ ต้องพิจารณาก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ตลาดตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ BOJ ใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ๆ นี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.90-33.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการเดือนก.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบดมินตันไทย พ่ายสหรัฐฯ จอดรอบแบ่งกลุ่มทีมผสมเยาวชนโลก
การแข่งขันแบดมินตันรายการ จูเนียร์ มิกซ์ ทีม แชมเปี้ยนชิพ 2024 หรือศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก ที่เมืองหนางชาง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันพุธที่ 2 ต.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในประเภททีมผสม รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอช แมตช์สุดท้าย ทีมไทย พบกับ สหรัฐอเมริกา
ในรายการนี้ ได้มีการแข่งขันเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่เพื่อให้นักแบดมินตันทุกคนในทีมนั้น ได้มีโอกาสลงสนามครบทุกคน โดยการแข่งขันมี 10 คู่ ประกอบด้วย ชายเดี่ยว ชายคู่ หญิงเดี่ยว หญิงคู่ คู่ผสม ประเภทละ 2 คู่ ทีมที่ได้คะแนนรวมทั้งหมดถึง 110 คะแนนจะเป็นฝ่ายชนะ
คู่แรก ประเภทคู่ผสม แทนคุณ เศรษฐประเสริฐ กับ พิชญ์นาฏ ไชยวรรณะ แพ้ให้กับ ไค่ ชอง กับ สเตล่า แพน 6-11
คู่ที่สอง ประเภทชายเดี่ยว พัชรกิตติ์ อภิรัชตะเศรษฐ์ แพ้ การ์เรต ตัน 12-22
คู่ที่สาม ประเภทหญิงคู่ กชพร ชัยชนะ กับ ปัณณวีร์ พลเอี่ยม แพ้ โคลี้ โฮ กับ เวโรนิก้า หยาง 27-33
คู่ที่สี่ ประเภทหญิงเดี่ยว “ส้ม” สรัลรักษ์ วิทิตศานต์ แพ้ เอลล่า ลิน 37-44
คู่ที่ห้า ประเภทชายคู่ เอกณัฏฐ์ กิจกวินโรจน์ กับ แทนคุณ เศรษฐประเสริฐ แพ้ เวสลี่ย์ เฉิน กับ ไคล์ หว่อง 46-55
คู่ที่หก ประเภทคู่ผสม ปัณณวัฒน์ แจ่มทับทิม กับ ณภชนก อุตสานนท์ แพ้ เวสลี่ย์ เฉิน กับ เอลล่า ลิน 62-66
คู่ที่เจ็ด ประเภทชายเดี่ยว พัชรกิตติ์ อภิรัชตะเศรษฐ์ ชนะ การ์เรต ตัน 77-75
คู่ที่แปด ประเภทหญิงคู่ ณภชนก อุตสานนท์ กับ พรรษอร พรรณเชษฐ์ ชนะ โคลี้ โฮ กับ เวโรนิก้า หยาง 88-85
คู่ที่เก้า ประเภทหญิงเดี่ยว “รวงข้าว” ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง แพ้ เอลล่า ลิน 94-99
คู่ที่สิบ ประเภทชายคู่ สิทธิ์ศักดิ์ นาดี กับ ชยพันธ์ พิบูลย์ แพ้ เวสลี่ย์ เฉิน กับ ไคล์ หว่อง 107-110
สรุปผลการแข่งขัน ทีมผสมแบดมินตันไทย แพ้ให้กับ สหรัฐอเมริกา ไป 107-110 ส่งผลให้แข่ง 4 แมตช์ ทีมไทย ชนะ 3 แพ้ 1 ทำให้ต้องจบเส้นทางในประเภททีมผสมไว้เพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น โดยจะไปรอเล่นในรอบชิงอันดับ 9-16
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ฉลากบอกความหวาน แบบไหนน้ำตาลน้อยสุด ดีต่อสุขภาพ
ในปัจจุบันหลายคนรับทราบร่วมกันอยู่แล้วว่า “น้ำตาล” นั้นถือเป็น “ยาพิษ” ดังนั้นอาหาร เครื่องดื่มต่างๆ จึงมีการระบุความหวานบนฉลากผลิตภัณฑ์ด้วยคำบอกความหวานที่หลากหลาย ทั้ง No Sugar, Low Sugar, Sugar Free และคำอื่นๆ ว่าแต่คำบอกความหวานเหล่านี้อธิบายในเรื่องความหวานอย่างไร และแบบไหนน้ำตาล หรือหวานแล้วดีต่อสุขภาพมากที่สุด
1. Sugar Free หรือ ไร้น้ำตาล หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งมีหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ วัตถุให้ความหวานเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- วัตถุให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน: เป็นวัตถุให้ความหวานที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ให้พลังงานและไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ตัวอย่างเช่น แอสปาร์แตม สตีวีโอไซด์ (สารสกัดจากหญ้าหวาน) ซูคราโลส
- วัตถุให้ความหวานที่ให้พลังงาน: เป็นวัตถุให้ความหวานที่ให้พลังงานบางส่วน เช่น ฟรุกโตส มอลทิทอล ซอร์บิทอล และไซลิทอล วัตถุให้ความหวานประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยเบาหวาน
2. No Sugar Added หรือ ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้เติมน้ำตาลลงไปหลังจากการผลิต แต่รสชาติหวานที่ได้มานั้น อาจมาจากวัตถุดิบหลักของผลิตภัณฑ์เอง เช่น ความหวานจากธรรมชาติของผลไม้ หรือจากกระบวนการผลิต “No Sugar Added” จึงเป็นตัวบ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้มีการเติมน้ำตาลลงไป แต่ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่มีน้ำตาลเลย เนื่องจากวัตถุดิบบางชนิดก็มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว ผู้บริโภคจึงควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจส่วนผสมและปริมาณน้ำตาลที่แท้จริง
3. Low Sugar บนฉลากผลิตภัณฑ์ หมายความว่า ผลิตภัณฑ์นั้นได้ลดปริมาณน้ำตาลลงอย่างน้อย 25% เมื่อเทียบกับสูตรดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีน้ำตาลเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยนั่นเอง Low Sugar อาจยังคงมีน้ำตาลปริมาณหนึ่งหลงเหลืออยู่ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำตาลที่แท้จริงที่บรรจุอยู่ภายใน โดยปกติแล้ว ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่ม นม หรือโยเกิร์ต มักจะพบฉลาก Low Sugar ได้บ่อย
4.Low GI หรืออาหารที่มีค่า GI ต่ำ ซึ่งค่า GI หรือ ดัชนีน้ำตาล Glycemic Index (GI) คือ ค่าที่ใช้บ่งบอกถึงความสามารถของอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตว่ามีผลต่อการขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดได้รวดเร็วเพียงใดภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังการบริโภคอาหารชนิดนั้น หากเราทานอาหารที่ระบุว่า Low GI ก็จะทำให้กระบวนการย่อยและการดูดซึมเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ น้ำตาลในเลือดจะค่อย ๆ สูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องนาน ไม่หิวบ่อย ซึ่งระดับของค่า GI ในอาหารแบ่งเป็น ต่ำ กลาง และสูง
สิ่งที่ควรดูบนฉลาก
- หน่วยบริโภคและปริมาณน้ำตาลต่อหน่วย: ตรวจสอบปริมาณน้ำตาลที่ระบุไว้บนฉลาก ว่ามีเท่าไรต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
- เปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลที่ควรกินต่อวัน:
- เด็กและผู้สูงอายุ: ไม่ควรเกิน 16 กรัม หรือประมาณ 4 ช้อนชาต่อวัน
- วัยรุ่นและวัยทำงาน: ไม่ควรเกิน 24 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน
คำนวณปริมาณน้ำตาลที่กินเข้าไป
หลังจากดูฉลากแล้ว ลองคำนวณดูว่าตลอดทั้งวัน เราบริโภคน้ำตาลไปเท่าไรแล้ว หากเกินปริมาณที่แนะนำ ก็ควรลดปริมาณการบริโภคในมื้อต่อไป
ระวังน้ำตาลแฝง
นอกจากน้ำตาลทรายที่เราคุ้นเคยแล้ว ยังมีน้ำตาลชนิดอื่น ๆ ที่แฝงอยู่ในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น
- น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn Syrup): มักพบในเครื่องดื่มและขนมหวาน
- น้ำเชื่อมฟรักโทส (HFCS): พบได้ในอาหารแปรรูปหลายชนิด
- น้ำผลไม้เข้มข้น (Concentrated Fruit Juice): แม้จะเป็นผลไม้ แต่ก็มีปริมาณน้ำตาลสูง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำความรู้จักกับคำย่อภาษาอังกฤษ e.g. ย่อมาจากอะไร
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษ หรือการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ก็เชื่อว่าจะได้พบกับการใช้คำย่อ หรือตัวย่ออยู่บ่อยครั้งจนชินตา เพราะไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ หรืองานเขียนอื่น ๆ ก็มักจะมีการใช้คำย่อ เพื่อช่วยให้การจัดเรียงประโยคสวยงามมากและเป็นหมวดหมู่ ทำให้อ่านง่ายมากขึ้น
คำย่อภาษาอังกฤษ คืออะไร
คำย่อ หรือตัวย่อในภาษาอังกฤษนั้น เป็นวิธีการที่ทำให้คำสั้นลงด้วยการตัดอักษรบางตัวออกจากคำและวลีนั่นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วในภาษาไทยก็มีการใช้คำย่อหรือตัวย่ออยู่บ่อย ๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งรูปแบบของคำย่อสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
- Abbreviation เป็นวิธีการตัดอักษรบางตัวออกจากคำและวลีให้สั้นลง แต่จะยังคงออกเสียงตามเดิม ได้แก่ Dr. ย่อมาจาก Doctor, Mr. ย่อมาจาก Mister เป็นต้น
- Acronym เป็นวิธีการนำตัวอักษรตัวแรกของแต่ละคำมารวมกันกลายเป็นคำใหม่ เช่น IELTS ย่อมาจาก International English Language Testing System, COVID-19 ย่อมาจาก Coronavirus Disease 2019 เป็นต้น
- Initialism เป็นวิธีการนำตัวอักษรตัวแรกของแต่ละคำมารวมกัน แต่จะอ่านออกเสียงตัวอักษรทีละตัว เช่น DIY ย่อมาจาก Do It Yourself, DNA ย่อมาจาก Deoxyribonucleic acid เป็นต้น
- Contraction เป็นวิธีการที่เจอได้บ่อย โดยจะเปลี่ยนรูปคำ หรือใส่เครื่องหมาย (‘) เช่น Don’t ย่อมาจาก Do not, I’m ย่อมาจาก I am เป็นต้น
และคำย่อที่มักจะเห็นได้บ่อย คือ “e.g.” ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดความสงสัยว่าคำย่อนี้หมายถึงอะไร และการใช้งานอย่างไรกันแน่? วันนี้เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบไปด้วยกัน
e.g. คืออะไร? ย่อมาจากอะไร?
“e.g.” เป็นคำที่ใช้แทนคำว่า for example (ยกตัวอย่างเช่น) ซึ่งเป็นคำย่อมาจากภาษาละติน จากคำว่า exempli gratia นั่นเอง จะใช้สำหรับการกล่าวถึงตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับประโยคก่อนหน้า และเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จะมาลองยกตัวอย่างประโยคง่าย ๆ ดังนี้
- “I really love aquatic Animals, e.g. Fish, Seahorse, Seal and Whale.”
(ฉันชอบสัตว์น้ำมาก ยกตัวอย่างเช่น ปลา, ม้าน้ำ, แมวน้ำ และวาฬ)
- “Thailand has many delicious foods, e.g. Tom yum Goong, Som Tum and Pad Thai.”
(ประเทศไทยมีอาหารที่มีรสชาติอร่อยมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ต้มยำกุ้ง, ส้มตำ และผัดไทย)
- “I really love tropical fruits, e.g. mango, mangosteen and durian.”
(ฉันชอบผลไม้เมืองร้อนมากเลย ยกตัวอย่างเช่น มะม่วง, มังคุด และทุเรียน)
นอกจาก e.g. แล้วนั้น อีกคำย่อที่พบได้ในงานเขียน ก็คือ “i.e.” ซึ่งเป็นคำที่ใช้แทนคำว่า that is to say หรือ in other words (กล่าวคือ หรือ นั่นคือ) และเป็นคำย่อมาจากภาษาละตินอีกเช่นกัน จากคำว่า id est แต่อาจจะไม่ได้พบบ่อยเท่าไหร่นัก เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างในการใช้มากขึ้น สามารถดูได้จากตัวอย่างประโยค ดังนี้
- “I am a vegan, i.e. I do not eat any animal-based products.”
(ฉันเป็นมังสวิรัติ กล่าวคือ ฉันไม่รับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ใด ๆ เลย)
- “I don’t like eating raw fish, i.e. sushi.”
(ฉันไม่ชอบกินปลาดิบ นั่นคือ ซูชิ)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
Synology เผยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ พุ่ง 22% ต่อสัปดาห์ – ข้อมูลรั่วไหล 81%
Synology เผย 2 เทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจ เทรนด์แรก เรียกค่าไถ่ พุ่ง 22% ต่อสัปดาห์ เทรนด์ที่สอง องค์กรทั่วโลกหันมาใช้ระบบ On-premise Productivity Tools ใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ตนเอง หลังองค์กรทั่วโลกพบปัญหาข้อมูลรั่วไหลถึง 81%
นายรหัท บุญตันจีน ผู้จัดการฝ่ายขายประจำประเทศไทย บริษัท ซินโนโลจี้ จำกัด (Synology) ผู้ให้บริการโซลูชันการจัดเก็บและปกป้องข้อมูล เปิดเผยว่า ปัจจุบันมี 2 เทรนด์สำคัญ ที่กำลังมีอิทธิพลต่อองค์กรทั่วโลก ได้แก่ เทรนด์แรก มัลแวร์เรียกค่าไถ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Ransomware Protection) การโจมตีทางไซเบอร์โดยเฉพาะ Ransomware ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก มีอัตราการโจมตีเฉลี่ยต่อองค์กรเพิ่มขึ้นถึง 22% ต่อสัปดาห์ ทำให้องค์กรใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการกู้คืนข้อมูล แม้องค์กรที่ยอมจ่ายค่าไถ่ก็ไม่สามารถรับประกันการกู้คืนข้อมูลได้ทั้งหมด
จากสถิติพบว่า 71% ขององค์กรที่ถูกโจมตีไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้สมบูรณ์ ทำให้การมีระบบปกป้องข้อมูลที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์
เทรนด์ที่สอง องค์กรทั่วโลกหันมาใช้ระบบ On-premise Productivity Tools ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร ซึ่งถูกติดตั้งและใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรเอง แทนการใช้ออนไลน์ผ่านคลาวด์ (cloud-based services) เพื่อการปกป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้มากขึ้น จากรายงานจาก Varonis ระบุว่า 81% ขององค์กรในปี 2022 ประสบปัญหาข้อมูลรั่วไหล การใช้ On-premise Productivity Tools ช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างละเอียด และยังช่วยลดต้นทุนการจัดการข้อมูลในระยะยาว
ทั้งนี้ ในยุคดิจิทัลองค์กรต่างๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล การจัดการทรัพยากรด้านไอที และความต้องการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการนำ AI มาเป็นตัวเสริมศักยภาพการทำงานของทีมและองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นเกราะป้องกันความปลอดภัยที่สูงขึ้น โซลูชันใหม่จาก Synology จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรที่ต้องการขยายศักยภาพในการปกป้องข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ และการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง บริษัทจึงได้จัดงาน Synology Solution Day 2024 เพื่อเปิดตัวโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์องค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐในยุคนี้และอนาคต
โดยโซลูชันไฮไลท์ปี 2024 ประกอบด้วย
1. โซลูชัน การจัดเก็บและการจัดการข้อมูล (Data Storage and Management)
Synology เปิดตัว Scale-out solution โซลูชันการจัดเก็บและจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ รองรับการขยายได้ถึง 96 โหนด และรองรับทั้ง File Storage และ Object Storage แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาให้ทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่มีสะดุด พร้อมการรองรับ Synology Drive และ Office ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในยุคที่ข้อมูลเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
2. โซลูชันป้องกันข้อมูล (Data Protection)
Active Protect Appliances ใหม่จาก Synology ช่วยให้การปกป้องข้อมูลง่ายขึ้น รองรับการปกป้องเซิร์ฟเวอร์ได้มากถึง 2,500 เครื่อง ในหลายไซต์ทั่วโลก ด้วยนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลที่ครอบคลุม พร้อมระบบสำรองข้อมูลที่ช่วยลดการทำข้อมูลซ้ำและเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรองข้อมูล
3. โซลูชันระบบบริหารจัดการเฝ้าระวังและเตือนภัยครบวงจร (Surveillance)
Surveillance Station ของ Synology ช่วยให้การจัดการระบบเฝ้าระวังในหลายสถานที่เป็นเรื่องง่ายขึ้นจากศูนย์ควบคุมเดียว โดยมีระบบ Centralized Management System (CMS) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการภาพจากกล้องในหลายเซิร์ฟเวอร์ได้ผ่านพอร์ทัลเดียว พร้อมกับ AI Feature ที่จะช่วยให้การเฝ้าระวังทรัพย์สินของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น ในงานนี้ยังมีการเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ ทั้ง FC600เป็นกล้องมุมกว้าง 360 องศา, BC800Z กล้องที่มีความละเอียดสูงถึง 8 ล้านเมกะพิกเซล สามารถถ่ายภาพได้ในความละเอียด 4K และมีฟีเจอร์ AI เช่น การตรวจจับป้ายทะเบียนรถ เพื่อช่วยในการจัดการที่จอดรถ CC400W กล้อง Wi-Fi ที่ง่ายต่อการใช้งาน รวมไปถึงกล้อง Direct to Cloud ใหม่ล่าสุดเช่น CS500B, CS400W และ CS500T ที่ถูกพัฒนาเพื่อลดความซับซ้อนในการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ ช่วยให้การตั้งค่าและการใช้งานระบบเฝ้าระวังง่ายขึ้น
4. Productivity with AI
Synology Office Suite โซลูชันการทำงานร่วมกันแบบครบวงจรที่รวมเครื่องมือต่างๆ เช่น Synology Drive, Synology Office, MailPlus, และ Chat ซึ่งผสานรวมกับ Synology AI Console เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทีมภายในองค์กรที่สามารถใช้งานได้แบบ on-premise โดย Synology Office Suite นี้จะช่วยให้การทำงานร่วมกันและการสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น และให้ความปลอดภัยเต็มประสิทธิภาพบน Private cloud ที่องค์กรเป็นเจ้าของข้อมูล100%
ที่ผ่านมาบริษัทมีมูลค่าตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) เติบโตขึ้น 150% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่ตอบโจทย์ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ NAS/SAN ของ Synology มีความยืดหยุ่นและขยายได้สูง เหมาะสำหรับองค์กรทุกขนาด ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และการศึกษา โซลูชันการปกป้องข้อมูลอย่าง Active Backup ยังช่วยปกป้องอุปกรณ์กว่า 20 ล้านรายการ และ Surveillance Station ที่ช่วยดูแลปกป้องสถานที่ต่างๆ กว่า 500,000 แห่งทั่วโลก คาดปีนี้มียอดขาย 45 ล้านเหรียญฯ ในตลาด SEA
นอกจากนี้ Synology ยังมั่นใจในศักยภาพของตลาดประเทศไทย โดยเล็งเห็นโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจดิจิทัล รวมถึงการเร่งผลักดันโครงการ Digital Transformation จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการข้อมูลในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Threats) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการด้านการปกป้องข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น ด้วยโซลูชันที่ครอบคลุมทั้งการจัดเก็บ การปกป้องข้อมูล และการบริหารจัดการ IT ที่แข็งแกร่ง บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถเติบโตและขยายฐานลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างมั่นคง ตอบโจทย์องค์กรในภาคธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัลที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“คอลลาเจน” ที่ว่าดี มีผลกระทบ และข้อควรระวังอะไรบ้างที่ไม่เคยรู้มาก่อน
คอลลาเจนนั้นคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบได้ในร่างกายของเราเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารจำพวกหนังสัตว์และเอ็น ซึ่งอุดมไปด้วยคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนวางจำหน่ายให้เราได้เลือกใช้เพื่อเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายอีกด้วย
หลายๆ คนหวังที่จะดูแลสุขภาพผิว ข้อต่อ และอาหารเสริมแฮร์ป๊อปคอลลาเจนทุกวัน หรือเติมผงคอลลาเจนในกาแฟ ชา หรือสมูทตี้ในตอนเช้าแม้ว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนและผลิตภัณฑ์คอลลาเจนอื่นๆ จะเพิ่มขึ้น แต่คนส่วนใหญ่รับรู้แต่ด้านคอลลาเจนส่งเสริมร่างกาย แต่ยังมีด้านที่เกี่ยวกับคอลลาเจนแต่ไม่ค่อยได้รับทราบกัน
การกินคอลลาเจนมีผลข้างเคียงอย่างไร
อาหารเสริมคอลลาเจนมีประวัติด้านความปลอดภัยที่ดีและไม่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตามผู้ผลิตมักจะรวมคอลลาเจนกับส่วนผสมอื่นๆ ในอาหารเสริม ส่วนผสมบางอย่างอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น สมุนไพรและวิตามินในระดับสูงในอาหารเสริมที่จัดทำขึ้นเพื่อสุขภาพของผิวหนัง เล็บ และเส้นผม ตัวอย่างเช่น ส่วนผสมอาหารเสริม เช่น สารสกัดจากสมุนไพร อาจมีปฏิกิริยากับยาตามใบสั่งแพทย์ทั่วไป และบางชนิดก็ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ยิ่งไปกว่านั้นอาหารเสริมบางชนิดที่มีคอลลาเจนอาจมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น ไบโอติน ซึ่งอาจรบกวนการทดสอบในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจและต่อมไทรอยด์
วิตามินและแร่ธาตุนี้รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้หากคุณรับประทานในปริมาณมากเป็นเวลานาน ดังนั้นแม้ว่าอาหารเสริมที่มีคอลลาเจนเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ แต่สิ่งสำคัญคือต้องอ่านฉลากและทำความเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจนรวมกับส่วนผสมอื่นๆ หากคุณกำลังใช้ยาอื่นๆ หรือกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร อย่าลืมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริม
โปรตีนเสริมเทียบกับคอลลาเจน
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ คุณไม่จำเป็นต้องรับประทานคอลลาเจนหรือเสริมคอลลาเจนเพื่อสนับสนุนระดับคอลลาเจนหรือสุขภาพกระดูกของร่างกายของคุณ ในความเป็นจริงคุณสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณสร้างคอลลาเจนและรักษาระดับคอลลาเจนและเนื้อเยื่อกระดูกให้แข็งแรงได้ เพียงแค่รับประทานโปรตีนคุณภาพสูง วิตามินดี แคลเซียม วิตามินซี และสังกะสีเพียงพอในอาหารของคุณ
การรับประทานอาหารที่สมดุลพร้อมกับโปรตีนมากขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษามวลกล้ามเนื้อและกระดูกเมื่อคุณอายุมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้บริโภคโปรตีนมากกว่า 0.36 กรัมต่อปอนด์ (0.8 กรัมต่อกิโลกรัม) ของน้ำหนักตัวของคุณเพื่อจุดประสงค์นี้ เพื่อสนับสนุนสิ่งนี้ จับคู่กับอาหารที่มีโปรตีนสูงนี้ด้วยกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะการฝึกความต้านทานและการออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนัก
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,400.00 | 41,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,682.00 | 40,659.12 | 42,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,413.80 | 36,593.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,145.60 | 32,527.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,207.00 | 18,298.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 939.00 | 14,235.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,779.00 | 42,129.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.95 | 34.95 | 35.25 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.58 | 34.58 | 34.88 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.84 | 32.84 | 33.14 | 32.84 | 32.84 | – | 32.84 | 32.84 | 32.84 | 32.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.59 | 32.59 | – | – | – | – | – | – | – | 32.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.54 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.54 |
เบนซิน 95 | 43.14 | – | – | – | 49.81 | – | 43.64 | 43.29 | – | 43.14 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |