อสังหาปี67หดตัวหนัก บ้านใหม่เหลือค้างสูงรอบ8ปีหวังมาตรการใหม่ช่วยพยุง
KKP เผยอสังหาฯปี67 หดตัวหนัก บ้านใหม่เสี่ยงเหลือค้างสูงสุดในรอบ 8 ปีกำลังซื้อหด ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยปี 2567 สะดุดหวังมาตรการใหม่ช่วยพยุง
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยว่าในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล เผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวนี้ได้แก่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในระดับสูง และการสะสมของสินค้าคงค้าง (inventory) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการระดับราคาสูง
ซึ่งอาจนำไปสู่การอิ่มตัวในตลาดสินค้าระดับนี้ในอนาคต คาดว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมีมากขึ้น เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดมีการฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลใหม่ ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์
จากการคาดการณ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะลดลง 15% หรือประมาณ 320,000 หน่วย ซึ่งเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะลดลง 8% และในภาคตะวันออกลดลงถึง 11% สาเหตุหลักมาจากการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงเข้มงวด ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่มียอดเปิดตัวลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 2566 โครงการแนวราบก็มีการชะลอการเปิดตัวเช่นกัน แต่ลดลงในอัตราที่น้อยกว่า (3%) ตลาดบ้านเดี่ยวมีการเติบโตถึง 60% ในเขตปริมณฑล ขณะที่โครงการทาวน์เฮ้าส์กลับพบว่ามียอดเปิดตัวลดลงถึง 24% เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มระดับกลาง-ล่างลดลงอย่างชัดเจน
ทิศทางการพัฒนาโครงการและความต้องการในปี 2567 บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ในขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาทเริ่มมีสัญญาณการอิ่มตัว และสินค้าคงค้างของบ้านในระดับนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน ทาวน์เฮ้าส์กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูง
การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ชะลอตัว เช่น การลดต้นทุนการดำเนินงาน หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีความยั่งยืน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มอื่นๆ เช่น โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและการปฏิเสธสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อย่างไรก็ตาม การโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดได้ในบางพื้นที่ ขณะที่การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนและการขยายธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ส่องตลาดอาคารสำนักงาน ย่านพระราม 4 สุดฮอตPUNN ชู ‘กรีนออฟฟิศ -ยั่งยืน’
ตลาดอาคารสำนักงาน ย่านพระราม4 แข่งขันเดือดรับโค้งสุดท้ายของปี 67 พื้นที่รวมกว่า 4 แสน ตร.ม. ชูจุดขาย ‘พื้นที่เกรด A-เชื่อมต่อการเดินทาง-ดีต่อสุขภาพ-ความยั่งยืน’ ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่มองหาความสะดวกสบาย พร้อมใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
การขยายตัวของเมือง โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ CBD (Central Business District) ได้กลายเป็นทำเลทองของโครงการมิกซ์ยูส และอาคารสำนักงานใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่ทำเลถนนพระราม 4 ถือเป็น 1 ในทำเล หรือย่านที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย พื้นที่รอบๆ แยกถนนสีลมกับถนนพระราม 4 กลายเป็น 1 จุดหมายสำคัญของการท่องเที่ยว พักผ่อน และพาณิชยกรรมในอนาคต
โดยเฉพาะช่วงหลังปี 2567 คึกคัก หลังการเปิดตัวโครงการขนาดใหญ่ และอาคารสำนักงานอีกหลายอาคาร ที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) และรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน (MRT) และแปลงที่ดินขนาดใหญ่ที่รองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคตได้ดีกว่าสาทร และสีลม ที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลง และแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ในตลาดอาคารสำนักงานทำเลย่านพระราม 4 ร้อนแรงอย่างมากในตอนนี้
ค่าเช่า เพิ่มขึ้น
บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือ CBD (Central Business District) รายงาน 60% ของพื้นที่สำนักงานใหม่จะยังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ CBD เป็นหลัก โดยครึ่งปีหลัง 2567 อยู่ที่ 410,700 ตร.ม. ส่วนปี 2568 คาดการณ์ 316,000 ตร.ม. และในปี 2569 คาดการณ์ไว้ที่ 440,400 ตร.ม.
โดยค่าเช่าเฉลี่ยในไตรมาส 1 ของปี 67 ไว้ที่ 817 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นมา 0.5% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และ 0.3% จากปี 2566 โดยอาคารสำนักงานในทำเล CBD จะปรับมาอยู่ที่ 933 บาท ต่อ ตร.ม.ต่อเดือน หรือ 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า
แข่งขันสูง ‘ราคา-คุณภาพ’
ศูนย์วิจัยกรุงศรี (Krungsri) รายงานปี 2568-2569 ธุรกิจสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวราว 3-4% โดยแนวโน้มผู้เช่าจะให้ความสำคัญด้านความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมการทำงานที่รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย และไม่มองข้ามเรื่องประเด็นความยั่งยืน และ ESG (Environment, Social และ Governance) ก่อนตัดสินใจเช่า
PUNN พื้นที่สร้างสรรค์ใหม่
“ปัน สมาร์ท เวิร์คสเปซ” (PUNN Smart Workspace) เป็นอีกหนึ่งอาคารสำนักงานใหม่ทำเล CBD การเดินทางเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ อย่างสีลม สาทร พระราม 3 โครงการพัฒนาโดยบริษัท ดลศิริ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ภายใต้เป็นการร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างสองบริษัทใหญ่ในวงการอสังหาฯ อย่าง บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด
สุรวุฒิ สุขเจริญสิน หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ ผู้บริหารโครงการ “ปัน สมาร์ท เวิร์คสเปซ” PUNN กล่าวว่า โครงการปันตั้งอยู่บนใจกลางเขตเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ บนถนนพระราม 4 ซึ่งเป็น New CBD เชื่อมต่อกับถนนสายหลัก เช่น ถนนพระรามสี่, ถนนรัชดาภิเษก และถนนสุขุมวิท ใกล้กับการไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่คลองเตย ตรงข้ามโรงพยาบาล Med Park
และเป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำบางกระเจ้า และสวนสีเขียวขนาดใหญ่สวนเบญจกิติอย่างชัดเจน ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบยังแวดล้อมไปด้วยศูนย์การค้า สถานทูต พร้อมการเดินทางที่สะดวกสบายจากที่ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า MRTสถานีคลองเตยที่ห่างเพียง 200 เมตร และ MRT สถานีศูนย์สิริกิติ์ 500 เมตร “ปัน สมาร์ท เวิร์คสเปซ” อาคาร สูง 28 ชั้น มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของพื้นที่เช่ากว่า 22,600 ตร.ม. พร้อมคอนเซ็ปต์ Co- Growing Space
“เราตั้งใจสร้างออฟฟิศที่มีแนวคิดใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ อาคารนี้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกสะดวกสบายที่สุด การใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าทุกตารางเมตร ทำให้ผู้เช่ารู้สึกว่าการใช้จ่ายคุ้มค่า ไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็น” นายสรวุฒิ กล่าว
นอกจากนี้ ปัน สมาร์ท เวิร์คสเปซ ยังเน้นเรื่องความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ในระดับ GOLD ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างที่พยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงสุขภาพและความสะดวกสบายของผู้ใช้อาคารด้วย
ส่วนระบบอากาศ ปัน สมาร์ท เวิร์คสเปซ ใช้เทคโนโลยีที่มุ่งเน้นสุขภาพของผู้ใช้อาคาร ด้วยระบบ Air Filtration System ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจสอบระดับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และ PM 2.5 ช่วยกรองอากาศบริสุทธิ์ และรักษาคุณภาพอากาศให้อยู่ในระดับเหมาะสมตลอดเวลา อีกทั้งยังเลือกใช้สารทำความเย็นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศโลก ช่วยให้พนักงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี
นอกจากนี้ มีการติดตั้งระบบไฟอัจฉริยะที่ปรับแสงให้พอดี ช่วยลดแสงจ้าและแสงสะท้อน ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศการทำงานสบายตามากขึ้น รวมถึงนวัตกรรมกระจก Laminated IGU ที่ช่วยลดความร้อนจากภายนอกได้ ทำให้อุณหภูมิในอาคารคงที่ตลอดทั้งวัน ช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ด้านความปลอดภัย โครงการได้ติดตั้งระบบ Turnstile Access ควบคุมการเข้าออกแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้อาคารใช้งานได้สะดวกและปลอดภัย
“ปัน สมาร์ท เวิร์คสเปซ ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อความสำเร็จทางธุรกิจ ความคิดสร้างสรรค์ ความยั่งยืน ความสะดวกสบาย และเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงทุกการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคนทุกเจเนอเรชัน ในราคาที่คุ้มค่าเริ่มต้นเพียง 850 บาทต่อ ตร.ม.” นายสุรวุฒิ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26 พ.ย. “อ่อนค่า”ที่ระดับ 34.74 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจมีลักษณะอ่อนค่าค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และขายทำกำไรสถานะ Short THB จับตาราคาทองคำปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางค่าเงินบาท
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26 พ.ย. 2567ที่ระดับ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.61 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้น หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหนัก
ส่งผลให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว แม้ว่าโดยรวม เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หรือมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างก็ตาม ทำให้เงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ได้
หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ ก็อาจอ่อนค่าต่อทดสอบแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน โดยเรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์และขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) แถวโซนแนวต้านดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ เงินบาทอ่อนไหวต่อทิศทางราคาทองคำพอสมควร ทำให้ เงินบาทก็อาจอ่อนค่าได้เร็ว แรง กว่าที่ประเมินไว้ หากราคาทองคำปรับตัวลงหนัก ซึ่งต้องจับตาว่า ราคาทองคำจะปรับตัวลงต่อหลุดโซนแนวรับราคาทองคำ (XAUUSD) แถว 2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (แนวรับถัดไป แถว 2,540-2,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
อนึ่ง หากราคาทองคำเริ่มรีบาวด์ขึ้นได้ราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในกรณีที่ตลาดกลับมากังวลปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง ซึ่งต้องติดตามทั้งสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับ Hezbollah ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง นอกจากนี้ เราประเมินว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อาจช่วยชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศของไทย เพราะหากดุลการค้าเกินดุล สวนทางกับที่ตลาดคาดไว้ ก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ ขณะที่ หากยอดการส่งออกขยายตัวแย่กว่าคาด จนทำให้ขาดดุลการค้าหนักกว่าที่ตลาดมองไว้ ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงต่อได้ไม่ยาก
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.60-34.85 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 34.47-34.75 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่า โดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ตอบรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เลือกสก็อต เบสเซนต์ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ในรัฐบาล Trump 2.0
ทว่า เงินบาทยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหนักกว่า -2.4% ในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง จากข่าวอิสราเอลใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็มองว่า หากสก็อต เบสเซนต์ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ได้จริง ก็จะช่วยลดโอกาสที่รัฐบาล Trump 2.0 จะดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรง
รวมถึง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณมากขึ้น นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจถูกกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมน้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องถึง -3% ในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมาก ตอบรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้งสก็อต เบสเซนต์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่อาจมีความเข้าใจตลาดการเงินมากขึ้นและอาจดำเนินมาตรการที่ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดการเงิน
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดก็เลือกที่จะทยอยเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กเป็นหลัก ทำให้หุ้นเทคฯ ใหญ่เผชิญแรงขายออกมาบ้าง อาทิ Nvidia -4.2%, Tesla -4.0% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.30% ขณะที่ดัชนีหุ้นขนาดเล็ก Russell 2000 พุ่งขึ้น +1.47%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.06% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ตอบรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้งสก็อต เบสเซนต์ เป็นรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ ทว่า ตลาดหุ้นยุโปรก็เผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธุรกิจอาวุธสงคราม อาทิ Shell -1.1%, BAE Systems -2.7% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซน 4.28% หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ว่าที่รัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ สก็อต เบสเซนต์ อาจดำเนินนโยบายต่างๆ ที่ส่งผลดีต่อตลาดการเงิน
โดยเฉพาะตลาดบอนด์สหรัฐฯ อาทิ พยายามไม่ให้นโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น หรือพยายามควบคุมการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวช่วยคลายความกังวลผลกระทบของนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ต่อตลาดบอนด์สหรัฐฯ ได้พอสมควร
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน
ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ระยะยาวมีความน่าสนใจในการถือครองอยู่ ทว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว (เน้น Buy on Dip)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Down โดยเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ที่ตอบรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง สก็อต เบสเซนต์เป็นรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่
รวมถึงข่าวความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม Hezbollah ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 106.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.6-107.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า -2.2% สู่โซน 2,630-2,640 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจคงรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงพอสมควรในช่วงนี้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่าน รายงานการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด (รับรู้ในช่วงราว 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของวันพุธนี้) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศในเดือนตุลาคม โดยนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวราว +5.2%y/y ตามการทยอยฟื้นตัวของการค้าโลก ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) อาจโตราว +6.3%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจขาดดุล -300 ล้านดอลลาร์ จากที่เกินดุลเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ ในเดือนกันยายน
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม Hezbollah รวมถึง สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร โดยเฉพาะในส่วนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้ง ทองคำและน้ำมันดิบ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.74-34.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.56 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวถึงการเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ แรงขายทองคำในตลาดโลกก็เพิ่มแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.60-34.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนต.ค. และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. และยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กระหึ่มเวทีโลก! “จีโน่ อาฒยา” ก้านเหล็กสาวไทยหยิบแชมป์ซีเอ็มอี แชมเปียนชิพ
“จีโน่” อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทย สร้างชื่อบนเวทีโลกอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการ “ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ” ที่เมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐฯ มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
โดย ก้านเหล็กสาววัย 21 ปี ออกรอบวันสุดท้ายด้วยการมีสกอร์เท่ากับ แองเจิ้ล หยิน โปรกอล์ฟชาวสหรัฐฯ ที่ 15 อันเดอร์พาร์ ก่อนที่จะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงหลุมที่ 17 และหลุมที่ 18
จบวันสุดท้ายด้วยการทำไป 1 อีเกิ้ลกับ 6 เบอร์ดี้ และเสียแค่ 1 โบกี้ ทำให้สกอร์รวมจบทัวร์นาเมนต์ที่ 22 อันเดอร์พาร์ เฉือนเอาชนะ โปรกอล์ฟเจ้าถิ่นไปพียงแค่ 1 สโตรก เท่านั้น
ซึ่งหลังจบการแข่งขัน โปรสาววัย 21 ปี ได้เผยความรู้สึกว่า “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากๆ ในหลุมที่ 17 และ 18 มันเป็นสิ่งที่มากกว่าที่ฉันจะขอได้ แต่สุดท้ายมันเหมือนกับว่าฉันทำงานมาหนักมาก และนี่คือผลตอบแทนที่ฉันได้กลับมา”
สำหรับการคว้าแชมป์ “ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปี้ยนชิพ” ทำให้ “จีโน่” อาฒยา ฐิติกุล จะรับเงินรางวัล 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 137 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นรายการที่มีเงินรางวัลมากที่สุดในปี 2024
นอกจากนี้ยังถือเป็นแชมป์รายการที่ 2 ของปี ต่อจากรายการ “โดว แชมเปี้ยนชิพ” ที่เธอทำได้เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และถือเป็นแชมป์ระดับ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการที่ 4 ของ อาฒยา ฐิติกุล ในเส้นทางสายอาชีพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สาธารณสุข จับตา-เฝ้าระวัง ไวรัสโควิดกลายพันธุ์ 9 สายพันธุ์เสี่ยง
กรมวิทย์ฯ เผยสถานการณ์โควิดทั่วโลก ระบุ WHO ให้ความสำคัญติดตาม Omicron จำนวน 9 สายพันธุ์ ขณะที่ในไทยสายพันธุ์ JN.1 ยังคงเป็นสายพันธุ์หลัก
เกาะติดสถานการณ์สายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ทั่วโลก โดยล่าสุด นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญกับการติดตาม Omicron จำนวน 9 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่
สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) จำนวน 2 สายพันธุ์ ได้แก่
- BA.2.86*
- JN.1*
สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) จำนวน 7 สายพันธุ์ ได้แก่
- JN.1.7*
- JN.1.18*
- KP.2*
- KP.3*
- KP.3.1.1
- LB.1*
- XEC
ทั้งนี้ สำหรับสายพันธุ์ XEC เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของ KS.1.1 และ KP.3.3 ส่วนมากพบในทวีปยุโรปและอเมริกาโดยอาการและความรุนแรงขึ้นกับภูมิคุ้มกันแต่ละบุคคล
จากฐานข้อมูลกลาง GISAID ระหว่างวันที่ 19 สิงหาคมถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 พบว่า
KP.3.1.1* (สายพันธุ์ย่อยของ KP.3*) พบมากที่สุด ในสัดส่วน 46.6% โดยมีอัตราการพบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
JN.1* พบสัดส่วน 16% มีอัตราการพบที่ลดลงต่อเนื่อง
สายพันธุ์ KP.3*, KP.2*, LB.1*, JN.1.18*, JN.1.7* มีแนวโน้มลดลง โดย KP.3* คิดเป็น 14.4%, KP.2* คิดเป็น 8.1%, LB.1* คิดเป็น 6.3%, JN.1.18* คิดเป็น 1.2% และ JN.1.17* คิดเป็น 0.1% ตามลำดับ
สายพันธุ์ XEC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในสัดส่วน 4.8%และสายพันธุ์ Recombinant มีอัตราส่วนการพบเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 2.3%
ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมมือกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องและเผยแพร่ผ่านฐานข้อมูลสากล GISAID จำนวน 46,952 ราย นับตั้งแต่เริ่มสถานการณ์ระบาดโรคโควิด 19 ในประเทศไทยเดือนมกราคม 2563 ถึง 11 พฤศจิกายน 2567
สำหรับสถานการณ์โอมิครอนในประเทศไทยสายพันธุ์ JN.1* ยังคงเป็นสายพันธุ์หลัก จำนวน 1,253 ราย คิดเป็นสัดส่วนสะสม 48.57% ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในประเทศไทย [JN.1* ทั่วโลก จำนวน 219,972 ราย จาก 102 ประเทศ(อ้างอิงฐานข้อมูล CoV-spectrum ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567)] ส่วนสายพันธุ์ FLiRT ที่พบในประเทศไทย ได้แก่ สายพันธุ์ LB.1*, KP.2*,KP.3* และสายพันธุ์ XEC
สำหรับข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 จากห้องปฏิบัติการฝ่ายไวรัสระบบทางเดินหายใจ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระหว่างวันที่ 23 ก.ย.- 25 ต.ค. 2567 จำนวน 69 ราย พบสายพันธุ์ JN.1* จำนวน 25 ราย คิดเป็นสัดส่วน 36.2% สายพันธุ์ KP.2* (สายพันธุ์ย่อยของ JN.1.11.1*) จำนวน 17 ราย คิดเป็นสัดส่วน 24.6% จำนวน 9 ราย คิดเป็นสัดส่วน 13.0%
สายพันธุ์ XEC (สายพันธุ์ลูกผสมของ KS.1.1 และ KP.3.3) จำนวน 4 ราย คิดเป็นสัดส่วน 5.8% ซี่งพบในเขตสุขภาพที่ 4 และ 13 , สายพันธุ์ KP.3* (สายพันธุ์ย่อยของ JN.1.11.1*), KP.3.1.1* (สายพันธุ์ย่อยของ JN.1.11.1*) และ JN.1.18* จำนวนสายพันธุ์ละ 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนสายพันธุ์ละ 4.3%
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
10 ประเทศ แหล่งรวมศูนย์ข้อมูล Data Center ระดับโลก
ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นภาคส่วนสำคัญที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ เปิด 10 ประเทศที่ครอบครองศูนย์ข้อมูลมากที่สุดในโลก สะท้อนพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
ศูนย์ข้อมูล Data Center เป็นภาคส่วนสำคัญที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ จากความต้องการบริการดิจิทัล คลาวด์คอมพิวติ้ง และโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดศูนย์ข้อมูลเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเติบโตของอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) บริการออนไลน์ และความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลในธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก
ปริมาณการสร้างข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้มีความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และปรับขนาดได้ ส่งผลให้ตลาดศูนย์ข้อมูลเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความต้องการศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการวิเคราะห์ของ McKinsey คาดว่าความต้องการในตลาดสหรัฐเพียงแห่งเดียวจะสูงถึง 35 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี 2030 เพิ่มขึ้นจาก 17 กิกะวัตต์ ในปี 2022 สหรัฐคิดเป็นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก
ตลาดศูนย์ข้อมูลโลกมีมูลค่า 1.96 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะแตะระดับ 4.64 เเสนล้านดอลลาร์ในปี 2032 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 10.30 เปอร์เซ็นต์ในช่วงคาดการณ์ (2024-2032) ตามข้อมูลของ Straits Research
แนวโน้มศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค
เอเชียและยุโรปกำลังก้าวขึ้นมาเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มดีในภาคส่วนศูนย์ข้อมูล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย กำลังประสบกับการนำระบบดิจิทัลมาใช้อย่างรวดเร็วและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจดิจิทัลที่ขยายตัว และความคิดริเริ่มของรัฐบาลในการเพิ่มการเชื่อมต่อและนวัตกรรม มีส่วนทำให้ภูมิภาคนี้มีความน่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
ยุโรปยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและประสิทธิภาพในการดำเนินงานศูนย์ข้อมูล โดยประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปได้นำกฎระเบียบและมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ มีความต้องการศูนย์ข้อมูลในท้องถิ่นที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบการคุ้มครองข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภูมิทัศน์ของตลาดในภูมิภาคนี้
สหรัฐ มีอยู่ในเมืองสำคัญ เช่น เวอร์จิเนียตอนเหนือ ดัลลาส ซิลิคอนวัลเลย์ ชิคาโก และนิวยอร์ก อุตสาหกรรมนี้เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยมีส่วนสนับสนุนอย่างมากจากภาคส่วนต่างๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง อีคอมเมิร์ซ และปัญญาประดิษฐ์
ตามการวิจัยของ Straits Research ตลาดศูนย์ข้อมูลของสหรัฐ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการบริการคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และการประมวลผลแบบเอจที่เพิ่มขึ้น
10 ประเทศที่มีจำนวนศูนย์ข้อมูลมากที่สุด
1.สหรัฐ 5,381
ตามข้อมูลของ Statista สหรัฐ มีจำนวนศูนย์ข้อมูลมากที่สุดในโลก ณ เดือนมีนาคม 2024 ผู้เล่นหลักในตลาดศูนย์ข้อมูลของสหรัฐ ได้แก่ Digital Realty และ Meta เวอร์จิเนียตอนเหนือเป็นตลาดศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ฟีนิกซ์ ดัลลาส แอตแลนตา ชิคาโก แคลิฟอร์เนียตอนเหนือ พอร์ตแลนด์ นิวยอร์ก นิวเจอร์ซี ซีแอตเทิล และลอสแองเจลิส ยังเป็นภูมิภาคในสหรัฐที่มีศูนย์ข้อมูลมากที่สุดอีกด้วย
รายงานของ CBRE เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่า ตลาดตอนเหนือของรัฐอินเดียนา ไอดาโฮ อาร์คันซอ และแคนซัสจะยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบการระดับไฮเปอร์สเกลาร์และผู้พัฒนาเนื่องจากความพร้อมของที่ดินและกรอบเวลาความพร้อมของพลังงาน
2. เยอรมนี 521
อันดับที่ 2 ได้แก่ เยอรมนี โดยมีศูนย์ข้อมูล 521 แห่ง ตลาดศูนย์ข้อมูลในเยอรมนีมีความต้องการบริการคลาวด์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการนำกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้มากขึ้นโดยธุรกิจต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลลงทุนในแหล่งพลังงานหมุนเวียนและนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงานมาใช้
ตลาดศูนย์ข้อมูลของเยอรมนีน่าจะสร้างรายได้ 18,700 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ตามข้อมูลของ Statista
3. สหราชอาณาจักร 514
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีจำนวนศูนย์ข้อมูลมากเป็นอันดับ 3 โดยขนาดตลาดศูนย์ข้อมูลของประเทศน่าจะสูงถึง 2,190 เมกะวัตต์ในปี 2024 และ 3,610 เมกะวัตต์ในปี 2029 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 10.49 เปอร์เซ็นต์ ตามข้อมูลของ Mordor Intelligence
นอกจากนี้ ตลาดดังกล่าวยังน่าจะสร้างรายได้จากการให้บริการ Colocation ได้ถึง 9,475 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 18,218 ล้านดอลลาร์ในปี 2029
4. จีน 449
อันดับ 4 คือประเทศจีนที่มีศูนย์ข้อมูล 449 แห่ง Mordor Intelligence คาดว่าตลาดศูนย์ข้อมูลของจีนจะเติบโตถึง 2,320 เมกะวัตต์ในปี 2024 และ 3,350 เมกะวัตต์ภายในปี 2029
ตลาดนี้มีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้จากการวางอุปกรณ์ร่วมกัน 4,293 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 6,204 ล้านดอลลาร์ในปี 2029 โดยเติบโตที่อัตรา CAGR 7.64 เปอร์เซ็นต์ในช่วงคาดการณ์ (2024-2029)
5. แคนาดา 336
แคนาดาเป็นประเทศที่มีจำนวนศูนย์ข้อมูลมากเป็นอันดับ 5 โดยมีศูนย์ข้อมูลทั้งหมด 336 แห่ง ข้อมูลจาก Mordor Intelligence ประมาณการว่าขนาดปัจจุบันของตลาดศูนย์ข้อมูลในแคนาดาอยู่ที่ 750 เมกะวัตต์
คาดการณ์ว่าตลาดจะมีขนาด 1.16 กิกะวัตต์ภายในปี 2029 ในขณะเดียวกัน Statista คาดว่าตลาดในแคนาดาจะสร้างรายได้ 8.08 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024
6. ฝรั่งเศส 315
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีศูนย์ข้อมูลมากเป็นอันดับ 6 โดยมีศูนย์ข้อมูล 315 แห่ง นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีศูนย์ข้อมูลมากเป็นอันดับ 3 ในยุโรปอีกด้วย จากข้อมูลของ Cloudscene พบว่า GDP ของฝรั่งเศสมีมูลค่ามากกว่า 2.42 ล้านล้านดอลลาร์
และด้วยการสนับสนุนจากเศรษฐกิจดิจิทัลถึง 4.2 เปอร์เซ็นต์ อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลของฝรั่งเศสจึงเติบโตอย่างรุ่งเรือง Statista คาดว่าตลาดศูนย์ข้อมูลของฝรั่งเศสจะสร้างรายได้ 11,750 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 15,410 ล้านดอลลาร์ในปี 2029
7. ออสเตรเลีย 307
ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนศูนย์ข้อมูลมากเป็นอันดับ 7 ของโลก Mordor Intelligence คาดว่าตลาดของประเทศจะเติบโตถึง 2,670 เมกะวัตต์ในปี 2024 และเติบโตถึง 3,180 เมกะวัตต์ในปี 2029
นอกจากนี้ ตลาดออสเตรเลียคาดว่าจะสร้างรายได้จากการวางอุปกรณ์ร่วมกันได้ 5.65 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 7.53 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 โดยเติบโตที่อัตรา CAGR 5.91 เปอร์เซ็นต์ในช่วงคาดการณ์ (2024-2029)
8. เนเธอร์แลนด์ 297
อันดับ 8 คือเนเธอร์แลนด์ โดยมีศูนย์ข้อมูล 297 แห่ง คาดการณ์ว่ารายได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลของประเทศจะสูงถึง 5.25 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 7.69 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029
เนเธอร์แลนด์กำลังเผชิญกับความต้องการศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนและประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แนวโน้มนี้ยังได้รับแรงผลักดันจากเป้าหมายของประเทศที่จะเป็นศูนย์คาร์บอนภายในปี 2050 และการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะมาใช้และการเติบโตของอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ยังส่งผลต่อความต้องการศูนย์ข้อมูลอีกด้วย
9. รัสเซีย 251
รัสเซียมีศูนย์ข้อมูล 251 แห่ง ซึ่งอยู่อันดับที่ 9 ของโลก Statista คาดว่ารายได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลของประเทศจะสูงถึง 4.84 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 6.09 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029
10. ญี่ปุ่น 219
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีจำนวนศูนย์ข้อมูลมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก เนื่องจากสังคมญี่ปุ่นพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ความต้องการศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นจึงเพิ่มมากขึ้น
คาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดยคาดการณ์ว่าตลาดศูนย์ข้อมูลจะเติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2025
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Neither แปลว่าอะไร เคล็ดลับการนำไปใช้ให้ดูเป็นมืออาชีพ
Neither หรือ Either เป็นคำที่มักพบได้บ่อยในการสนทนาภาษาอังกฤษ หลายคนยังคงสับสนระหว่างการใช้ Neither หรือ Either ในบทความนี้จะพูดถึงความหมายของ Neither และเคล็ดลับการนำไปใช้ให้ดูเป็นมืออาชีพ สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
Neither แปลว่าอะไร?
Neither มีความหมายในเชิงปฏิเสธ มักใช้คู่กับ nor เป็น Neither…nor… ให้ความหมายว่า ไม่ทั้งคู่ หรือ ไม่ทั้งหมด
ตัวอย่างการใช้ Neither
- Neither my brother nor my sister likes Peter Pan.
ทั้งน้องชายและน้องสาวของฉันไม่ชอบปีเตอร์แพน
- Neither dogs nor cats like firecracker sound.
ทั้งสุนัขและแมวไม่ชอบเสียงประทัด
- You can drink neither beer nor wine.
คุณไม่สามารถดื่มได้ทั้งเบียร์และก็ไวน์
- She was neither excited nor disappointed about the news.
เธอไม่ได้รู้สึก(ทั้ง)ตื่นเต้นหรือผิดหวังกับข่าวนี้
- The movie was neither entertaining nor thought-provoking, leaving the audience disappointed.
ภาพยนตร์ที่ไม่ได้ให้ทั้งความบันเทิงและไม่กระตุ้นความคิด ทำให้ผู้ชมผิดหวัง
- Neither Ket nor Jason will come to the party.
ทั้งเคทและเจสันจะไม่มางานปาร์ตี้
- Neither Tom nor Sara has to go to the meeting in the afternoon.
ทั้งทอมและซาราไม่ต้องไปประชุมช่วงบ่าย
- I can go to the library neither today nor the day after tomorrow.
ฉันไม่สามารถไปห้องสมุดได้ทั้งวันนี้หรือวันมะรืนนี้
- He speaks neither French nor Spanish fluently.
เขาพูดไม่คล่องทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน
- The device is neither waterproof nor shockproof.
อุปกรณ์ไม่กัน(ทั้ง)น้ำและไม่กันกระแทก
- She’s neither tall nor short; she’s of average height.
เธอไม่(ทั้ง)สูงหรือไม่เตี้ย เธอมีส่วนสูงโดยคนเฉลี่ยทั่วไป
- He neither smiled nor spoke during the entire meeting.
เขาไม่ทั้งยิ้มหรือพูดเลยตลอดการประชุม
- The store carries neither milk nor eggs at the moment.
ทางร้านค้าไม่มีทั้งนมและไข่ในขณะนี้
- Neither the cat nor the dog could be found in the backyard.
ไม่พบทั้งแมวและสุนัขในสวนหลังบ้าน
- Ket: I don’t like Wasabi. – ฉันไม่ชอบวาซาบิ
- Sara: No, Neither do I. – ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน
- Tom: I won’t go to school tomorrow. – พรุ่งนี้ฉันจะไม่ไปโรงเรียน
- Jason: No, Neither do I. – ฉันก็จะไม่ไปเหมือนกัน
- Sara: I don’t like going to the hospital. – ฉันไม่ชอบไปโรงพยาบาล
- Jason: No, Neither do I. – ฉันก็ไม่ชอบไปเหมือนกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
วิธีเปลี่ยน “ส้ม” รสเปรี้ยวให้หวานขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ
ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวพรรณ แต่หลายคนมักต้องเผชิญกับปัญหาส้มมีรสชาติเปรี้ยวจัดจนทานไม่ไหว ทำให้พลาดประโยชน์ดีๆ จากส้มไปอย่างน่าเสียดาย วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ส้มมีรสชาติเปรี้ยว และแนะนำวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้ส้มมีรสชาติหวานชื่นมากขึ้น เพื่อให้คุณได้เพลิดเพลินกับรสชาติของส้มได้อย่างเต็มที่
วิธีเปลี่ยน “ส้ม” รสเปรี้ยวให้หวานขึ้น
1.เขย่าให้ทั่ว นำส้มเปรี้ยวใส่ภาชนะขนาดกลาง เขย่าแรงๆ เป็นเวลาหลายนาที จากนั้นนำส้มออกจากภาชนะ ผ่าส้มลงในชามหรือผ้าเช็ดปากเพื่อป้องกันน้ำส้มกระเด็น แล้วจึงรับประทานได้ ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า การเจือจางจะช่วยลดรสเปรี้ยวของส้ม การเขย่าส้มในภาชนะจะทำให้เนื้อส้มหลวมตัวและปล่อยน้ำออกมา
2.เพิ่มความหวานด้วยน้ำตาล การเติมน้ำตาลเป็นวิธีหลักๆ ในการทำให้ส้มเปรี้ยวมีรสชาติหวานขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เหมาะสำหรับส้มที่เปรี้ยวเล็กน้อยเท่านั้น วิธีการหนึ่งคือการรับประทานส้มเหมือนกับส้มโอ โดยผ่าครึ่งแล้วโรยน้ำตาลลงบนแต่ละพู หรือจะปอกส้มเป็นพูๆ แล้วจุ่มลงในชามน้ำตาลก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/11/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,100.00 | 43,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,792.00 | 42,326.72 | 43,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,512.80 | 38,094.05 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,233.60 | 33,861.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,256.00 | 19,040.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 977.00 | 14,811.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,893.00 | 43,857.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/11/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 36.95 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.98 | 35.98 | 36.58 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.84 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.99 | 33.99 | – | – | – | – | – | – | – | 33.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 44.64 | – | – | – | 49.81 | – | 45.14 | 44.79 | – | 44.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |