สาระน่ารู้ประจำวันที่ 14 มกราคม 2568

เทรนด์แต่งบ้านปี2025 สีเอิร์ธโทน- Smart Homeมาแรง

NocNoc ชี้เทรนด์แต่งบ้านปี2025 สีเอิร์ธโทนที่สะท้อนตัวตน- Smart Homeมาแรง!ตอบโจทย์ความสะดวกสบายที่ไม่ควรมองข้าม

ในช่วงปี 2025 นี้ ตลาดการตกแต่งบ้านในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าอาจจะมีมูลค่าตลาดแตะ 10,300 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของคนไทยในการปรับเปลี่ยนและตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของการใช้งานและการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม นอกจากนี้ การเลือกตกแต่งบ้านก็จะมีความหลากหลายและสะท้อนรสนิยมของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้ NocNoc ได้รวบรวมเทรนด์แต่งบ้านมาแรงที่น่าจับตามอง พร้อมแนะนำวิธีการช้อปปิ้งคุ้มค่าให้กับคนรักบ้านทุกคน

สีเอิร์ธโทนยังคงมาแรงในปีนี้ โดยเฉพาะสี Mocha Mousse จาก Pantone ซึ่งเป็นโทนสีน้ำตาลอมชมพูที่สามารถผสมผสานเข้ากับสไตล์การตกแต่งที่ได้รับความนิยมอย่าง Scandinavian, Japandi และ Minimal โดยเฉพาะสไตล์มินิมอลที่เน้นความเรียบง่ายและความโปร่งโล่งในพื้นที่ ออกแบบให้บ้านดูสบายตา และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชันครบครันเพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอยโดยไม่ทิ้งความหรูหรา การตกแต่งในแนวนี้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการพื้นที่พักผ่อนจากความเครียดในการทำงานและความวุ่นวายจากภายนอก

นอกจากนี้ การตกแต่งบ้านที่สะท้อนความเป็นตัวตน (Personalized) ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคต้องการที่อยู่อาศัยที่สามารถสะท้อนรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งที่เหมาะสำหรับการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) หรือการออกแบบพื้นที่เพื่อการผ่อนคลายจากความเครียดต่างๆ การเลือกใช้สีโทนสบายตา เช่น สีขาว น้ำตาล หรือสีเขียว ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมกับการทำงานและพักผ่อนในเวลาเดียวกัน

เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ (Smart Home Technology) เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่มาแรงในปี 2025 ซึ่งระบบต่างๆ เช่น ระบบสวิตช์ไฟอัตโนมัติ, การสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน, หรือแม้แต่ระบบการรักษาความปลอดภัยอย่าง Smart Lock หรือกล้องวงจรปิดที่สามารถตรวจสอบผ่านสมาร์ทโฟน จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในบ้านให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้าน แต่ยังช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันในบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือการสร้างบรรยากาศในบ้านที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัย

จากแนวโน้มดังกล่าว NocNoc คือการนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในการให้บริการลูกค้า เพื่อช่วยให้การค้นหาสไตล์การตกแต่งบ้านที่เหมาะสมกับตัวตนของลูกค้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น NocNoc ได้พัฒนา AI ที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับสไตล์ของผู้ใช้

โดยอิงจากข้อมูลพฤติกรรมการค้นหาหรือสินค้าที่ลูกค้ากดเลือกไว้ในตระกร้า ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเจอสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหามากจนเกินไป นอกจากนี้ NocNoc ยังสามารถช่วยวิเคราะห์เทรนด์การตกแต่งบ้านจากข้อมูลที่เก็บมา เพื่อให้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เปิดเคล็ดลับธุรกิจ เอกชน-เอสเอ็มอี ทำแผนยุทธศาสตร์รับความท้าทาย

เปิดเคล็ดลับการทำธุรกิจ แนะเอกชน เอสเอ็มอี เตรียมความพร้อมทำแผนยุทธศาสตร์ประจำปี รองรับความท้าทาย และความไม่แน่นอนในอนาคต กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จธุรกิจ

ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานกรรมการบริษัทในเครือวี-เซิร์ฟ กรุ๊ป เปิดเผยบทความวิชาการ SMEs กับการทำแผนยุทธศาสตร์ประจำปี เพื่อเป็นการตอบโจทย์ธุรกิจภายใต้ความไม่แน่นอน มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ว่า อยากให้ภาคธุรกิจ รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME พิจารณาการทำแผนยุทธศาสตร์ เพื่อกำหนดทิศทางในการดำเนินงาน และช่วยวางแผนความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

ทั้งนี้เห็นว่า ผู้บริหารธุรกิจขนาดกลางและรายใหญ่ส่วนมากคงรู้จักการทำแผนธุรกิจและแผนยุทธศาสตร์ที่มีความคล้ายกันแต่ก็มีความแตกต่าง กล่าวคือแผนธุรกิจจะเป็นลักษณะแผนแม่บท (Master Plan) ครอบคุลมทุกมิติของธุรกิจที่ต้องขับเคลื่อนส่วนใหญ่จะมีกรอบระยะเวลาตั้งแต่ 3 ปีหรือมากกว่า 

นอกจากใช้เป็นแผนหลักบางครั้งสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการลงทุนหรือขยายธุรกิจว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด (Feasibility Analytics) รวมถึงระยะเวลาในการคุ้มทุน (ROI) การทำแผนธุรกิจหากใช้ในระดับปฏิบัติการประจำปีเรียกว่า “Annual Operation Planning”

แนะทำแผนยุทธศาสตร์ ชี้ทิศทางธุรกิจ

สำหรับแผนยุทธศาสตร์หรือ “Strategics Planning” บางครั้งเรียกว่าแผนกลยุทธ์ซึ่งองค์กรจัดทำเพื่อตอบสนองแผนธุรกิจ โดยมีการกำหนดเป้าหมาย-พันธกิจและแนวทางบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อใช้เป็นทิศทางในการดำเนินงานของธุรกิจ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ยุทธศาสตร์ประจำปี เพื่อให้ผู้บริหารและทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องในองค์กรรับรู้ว่าธุรกิจกำลังจะทำอะไรจะไปในทิศทางไหน ทั้ง นวัตกรรม-เทคโนโลยี การขับเคลื่อนองค์กรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

โดยการทำแผนยุทธศาสตร์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับองค์กรโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนหรือยอดขายหดตัวรวมถึงกำไรน้อยหรือขาดทุน
ทั้งนี้มองว่า กุญแจแห่งความสำเร็จจำเป็นที่ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์เห็นโอกาสและภัยคุกคามที่จะมีผลต่อองค์กรด้วยการประยุกต์ใช้แผนธุรกิจรวมทั้งแผนยุทธศาสตร์มาใช้ในการบริหารจัดการ มีการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจที่ชัดเจนว่าจะรุกหรือจะตั้งรับ 

ต้องมีการวิเคราะห์โดยใช้หลักการของ “SWOT Analytics” คือจุดแข็ง-จุดอ่อนของธุรกิจ มีเป้าหมาย-ทีมงานและดัชนีชี้วัด ประโยชน์ของการมีแผนธุรกิจจะทำให้องค์กรมีการขับเคลื่อนเข้าถึงโอกาสหรือแก้วิกฤตเป็นโอกาสและ/หรือเผชิญกับภัยคุกคามโดยมีแผนและวิธีการในการรับมือที่ชัดเจน

ธุรกิจ SME ต้องให้ความสนใจ

ดร.ธนิต ระบุว่า ธุรกิจ SMEs รวมถึงธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น (Business Startup) ส่วนใหญ่ไม่โตแข่งขันไม่ได้หรือไปไม่รอดไปจนถึงเลิกกิจการ เหตุผลเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารแต่ละวันสาระวนกับงานประจำที่เรียกว่า “Routine Work” วัน ๆ ก้มหน้าอยู่กับงานประจำ หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่เคยมองไปข้างหน้าว่าสภาวะแวดล้อมของธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร กำลังมีภัยคุกคามอะไรรออยู่ เงยหน้าอีกครั้งโอกาสก็ผ่านไปหรือสายเกินไปที่จะแก้ปัญหาทำให้รับมือไม่ทัน 

ดังนั้นการยอมเสียเวลา 2 – 3 วัน โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนปีด้วยการชวนทีมบริหารหรือลูกน้องหันหน้าระดมความคิดว่าปีใหม่ เช่น ธุรกิจจะต้องเผชิญกับอะไร พฤติกรรมของลูกค้ายังซื้อสินค้า/บริการเหมือนเดิมหรือไม่ ด้านการแข่งขันหรือฉากทัศน์ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างและองค์กรจะต้องปรับเปลี่ยนอย่างไรในการรับมือ การวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง-โอกาสและภัยคุกคามหรือที่เรียกว่า “SWOT Analytics”

ทั้งนี้อาจทำง่าย ๆ เพียงแค่ไปคุยกับลูกค้าหรือซับพลายเออร์ว่าธุรกิจของเขาเหล่านั้นในปีที่ผ่านมาหรือปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรยอดขายลดลงหรือเพิ่มขึ้น ปัจจัยดังกล่าวล้วนมีผลต่อผลประกอบการและสภาพคล่องของธุรกิจ 

นอกจากนี้เทคโนโลยีที่เขาจะเอามาใช้ว่าของเรารับมือไหวหรือไม่ บางครั้งแอบถามว่าคู่แข่งมีกลยุทธ์อะไรวิธีการสอบถามให้ลูกค้าหรือซับพลายเออร์วิจารณ์องค์กรของเราแบบตรงไปตรงมาไม่ต้องไปแก้ตัว ผลที่ได้ต้องนำมาวิเคราะห์จุดแข็งต้องรักษาไว้ด้านจุดอ่อนมีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุงโดยเฉพาะที่เป็นวิกฤตต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ทำยุทธศาสตร์ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร

ตัวอย่างธุรกิจ “V-SERVE GROUP” มีการนำแผนธุรกิจมาใช้กว่า 35 ปี เริ่มจากทำแบบง่ายๆ ดังที่กล่าวข้างต้น พอมีสตางค์ก็เชิญอาจารย์หรือร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมาร่วมกันวิเคราะห์ การจัดทำแผนธุรกิจและแผนยุทธศาสตร์ของ “วี-เซิร์ฟ กรุ๊ป” ทำกันทุกปีจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรครอบคลุมทุกมิติ เช่น ด้านการตลาดและการแข่งขัน นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี สภาวะแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ การบริหารความเสี่ยง-ความต่อเนื่องและยั่งยืนของธุรกิจ ประการสำคัญการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของธุรกิจ 

ดังนั้นจึงฝากข้อคิดนี้ไปยังเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหาร SMEs โดยเฉพาะรายเล็กและรายย่อยต้องมีวิสัยทัศน์ การทำธุรกิจในยุคสมัยนี้เป็นความท้าทายไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะโจทย์ไม่เหมือนเดิมต่างไปจากอดีต ขณะที่ผู้ที่เพิ่งเข้ามาทำธุรกิจใหม่

รวมถึงเด็กรุ่นใหม่ที่จบจากสถาบันการศึกษาไม่มีประสบการณ์มุ่งสานฝันว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจประสบความสำเร็จเป็น “เสี่ย” ได้ง่ายๆ อาจเห็นต้นแบบ “Business Startup” ที่ประสบความสำเร็จแต่จะมีเพียงกี่รายที่ก้าวผ่านขึ้นมาได้ที่เหลือทำธุรกิจแบบหลักลอยขายสินค้าออนไลน์เล็กๆ น้อยๆ หรือทำงานตามร้านกาแฟดังๆ ตามยุคสมัยผ่านไป 2 – 3 ปี กลายเป็นคนตกงานแฝง 

ฉากทัศน์ธุรกิจในยุคที่โอกาสและภัยคุกคามมีเส้นแบ่งเพียงบาง ๆ ผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจอย่าเห็นการทำแผนธุรกิจหรือแผนยุทธศาสตร์เป็นเรื่องเพ้อเจ้อหรือไร้สาระ-เสียเวลาและเสียเงินเปล่า ๆ หากยังต้องการให้ธุรกิจที่ทำอยู่มีขีดความสามารถในการแข่งขันโดยให้ยอดขายและกำไรยังขยายตัวได้ดีไม่แท้งหรือเจ้งไปเสียก่อน การทำแผนยุทธศาสตร์หรือ “Strategics Planning” เป็นคำตอบและตอบโจทย์การทำธุรกิจภายใต้การเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ม.ค. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 34.69 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sidewaysมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.60-34.85 บาท/ดอลลาร์ ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ม.ค.2568ที่ระดับ  34.69 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.80 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้

หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันพุธนี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยเงินบาทอาจยังติดโซนแนวต้านแถว 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับก็ยังอยู่แถว 34.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้

อย่างไรก็ดี เรามองว่า แม้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ทว่า รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ก็อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้เช่นกัน

โดยเฉพาะในกรณีที่ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เร่งตัวสูงขึ้นและออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดจับตาใกล้ชิดนั้น เสี่ยงจะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน

(และตลาดอาจยิ่งกังวลมากขึ้น หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันพุธนี้ ปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาด) ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจยิ่งชะลอการลดดอกเบี้ย จนเป็นไปได้ว่าในปีนี้ เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง หรือไม่ลดดอกเบี้ยเลย

โดยภาพดังกล่าวอาจหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ นอกจากนี้ จากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวน +/-0.15% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI

อนึ่ง ในช่วงระหว่างวันนี้ เราประเมินว่า ทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติก็อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินบาทได้เช่นกัน โดยหากนักลงทุนต่างชาติกลับมามีความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยมากขึ้น

หลังจากงาน Dinner Talk “Chat with Tony: Bull Rally of Thai Capital Market” ก็อาจช่วยหนุนเงินบาทได้บ้าง ลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ที่อาจมาจากโฟลว์ธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง หรือ โฟลว์ซื้อน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะนี้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.60-34.85 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 34.66-34.82 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ออกมาบ้าง

อีกทั้ง ในส่วนของบรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง จากที่อ่อนค่าลงหนักในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็ลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลงบ้าง หนุนให้ทั้งสองสกุลเงินสามารถทยอยรีบาวด์ขึ้นได้

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง หลังเงินบาทอ่อนค่าใกล้โซนแนวต้าน 34.80 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมา ตามความกังวลแนวโน้มเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.80%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง กดดันบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth

อาทิ Nvidia -2.0%, Meta -1.2% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน Exxon Mobil +2.6% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ และกลุ่มการเงิน JPM +1.8% ที่รอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.16%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลง -0.55% กดดันแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ หุ้นสไตล์ Growth รวมถึงหุ้นกลุ่มอ่อนไหวต่อแนวโน้มดอกเบี้ย ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ย

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มมองว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 4 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้ ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็พอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกับฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.80% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย ทว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง

อีกทั้งบรรยากาศในตลาดการเงินก็อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองบอนด์ที่ชัดเจนต่อไป

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD และการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลักฝั่งยุโรป ทั้งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินยูโร (EUR) ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงสู่โซน 109.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 109.3-110.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะย่อตัวลงบ้าง ทว่าการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรทองคำ หลังราคา (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ได้ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้นแถว 2,700-2,710 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง สู่โซน 2,685 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนธันวาคม ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดจับตาใกล้ชิด

พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เพียง 18%

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของเยอมนี (ZEW Economic Sentiment) เดือนมกราคม พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และเจ้าหน้าที่ BOE เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของทั้งสองธนาคารกลางหลัก ดังกล่าว

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาส 81% ที่จะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้ ส่วน BOE ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 65% ที่ BOE จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.67-34.69 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.28 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาบางส่วนตามทิศทางของสกุลเงินเอเชียและเงินหยวน หลังทางการจีนส่งสัญญาณ/ออกมาตรการเพื่อประคองทิศทางเงินหยวน (การเพิ่มเพดานการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศสำหรับบริษัทต่างๆ) หลังจากที่เงินหยวนทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 16 เดือน

ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง หลังจากมีรายงานข่าวที่ระบุว่า ทีมเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจจะพิจารณาทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าแทนการปรับขึ้นในคราวเดียว ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุนใหม่ๆ ก่อนการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่  34.60-34.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แชมป์เวิลด์ทัวร์ที่ 3 ตอกย้ำความร้อนแรง คู่ผสมใหม่ “บาส-เฟม”​

ถือเป็นของขวัญในช่วงเปิดศักราชใหม่ ปี 2568 หรือ ค.ศ.2025 ของแฟนกีฬาชาวไทยอย่างแท้จริง สำหรับการคว้าแชมป์แบดมินตัน ปิโตรนาส มาเลเซีย โอเพ่น 2025 ของ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่หูดูโอ้ใหม่แห่งเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่

ชัยชนะในรายการดังกล่าวที่มาเลเซีย ของ “บาส-เฟม“ นับเป็นการคว้าแชมป์เวิลด์ทัวร์ที่ 3 ร่วมกันของทั้งคู่ด้วย  หลังก่อนหน้านี้คว้าแชมป์ร่วมกันมาแล้ว 2 รายการเมื่อปลายปีก่อน ก็คือ  รายการ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2024 ที่ญี่ปุ่น รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 และ  ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 ที่อินเดีย ซึ่งเป็นรายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300  

แชมป์ที่มาเลเซียยังเป็นการนับหนึ่ง เริ่มต้นปี 2025 ที่ดีของทั้งสองคน ก่อนลุยฤดูกาลใหม่กันอีกยาวๆ อีกทั้งยังนับเป็นแชมป์รายการใหญ่ที่สุดของทั้งคู่ ซึ่งนั่นก็จะทำให้อันดับโลกของทั้งสองคน ซึ่งเดิมที่อยู่อันดับ 57 ของโลก จะขยับขึ้นมารั้งที่ 33 ของโลกโดยประมาณ ซึ่งก็จะนับเป็นอันดับดีสุดของทั้งคู่ ในการประกาศอันดับโลก วันอังคาร ที่ 14 ม.ค.นี้

ที่น่าชื่นชมและต้องปรบมือให้กับทั้งคู่และทีมงานก็คือ การที่ทั้งสองคนสามารถปรับตัวและเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัว แม้จะมีช่วงเวลาที่ลงเล่นร่วมกันเพียง 6 รายการเท่านั้น นับตั้งแต่เล่นลงร่วมกันรายการแรก ก็คือ ศึก อาร์คติก โอเพ่น เมื่อช่วงเดือน ต.ค.2024 โดยทีมโค้ชตัดสินใจสลับคู่ จากเดิม “บาส” เดชาพล ที่จับคู่กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย มาเล่นกับ “เฟม” ศุภิสรา และให้ “ปอป้อ“ ไปจับคู่เล่นกับ ”เอ็ม“ สุภัค จอมเกาะ ซึ่งเป็นคู่หูของ ศุภิสรา 

ผลงานรายการแรก ในศึกอาร์คติก โอเพ่น 2024 ที่ฟินแลนด์ ช่วงต้นเดือนต.ค. ทั้งคู่ตกรอบ 2 หรือรอบ 16 ก่อนที่รายการต่อมา วิคเตอร์ เดนมาร์ก โอเพ่น 2024  ”บาส-เฟม“  จอดป้ายที่รอบแรก หรือรอบ 32 คน จากนั้นรายการที่ 3 ในศึกคุมาโมโตะ มาสเตอร์ส 2024 ช่วงกลางเดือน พ.ย. ทั้งคู่กรุยทางเข้าไปคว้าแชมป์ได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์

อย่างไรก็ตามทั้งสองคนมาตกรอบแรก ในศึกหลีหนิง ไชน่า มาสเตอร์ส 2024 ซึ่งแข่งขันต่อเนื่องในสัปดาห์ถัดมาหลังจากได้แชมป์ที่ญี่ปุ่น ก่อนที่ในช่วงปลายเดือนพ.ย. จะมาได้แชมป์ปิดท้ายปี ในศึกไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 ที่อินเดีย ซึ่งก็ทั้งคู่ปิดฉากปีด้วยผลงาน 2 แชมป์ ซึ่งก็ถือว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร กับการที่เพิ่งได้จับคู่ลงเล่นร่วมกันเพียงแค่ 5 รายการ 

ก่อนที่เมื่อสุดสัปดาห์ล่าสุด ทั้งคู่จะเปิดหัวปี 2025 ด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงต่อเนื่องมาจากปี 2024 ด้วยการผงาดแชมป์รายการใหญ่ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 รายการ ปิโตรนาส มาเลเซีย โอเพ่น 2025 ที่มาเลเซีย 

ในทัวร์นาเมนต์นี้ “บาส-เฟม” ช่วยกันทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยระเบิดฟอร์มปราบคู่ต่อสู้ที่มืออันดับโลกสูงกว่าตั้งแต่รอบ 2 หรือรอบ 16 คู่สุดท้าย ซึ่งไฮไลต์สำคัญก็คือการปราบคู่ผสมสุดแกร่งจากแดนมังกรจีนได้ถึง 2 คู่ โดยเอาชนะ เจียง เจิ้งปัง และ เว่ย หย่าซิน คู่ผสมมือ 2 ของโลก และคู่มือวางอันดับ 2 ของรายการจากจีน ในรอบ 16 คู่ 

ก่อนที่รอบชิงชนะเลิศ จะพลิกโค่นคู่ผสมมือ 1 ของโลก อย่าง เฝิง หยานเจ๋อ กับ หวง ดองปิง ไป 2-1 เกม ซึ่งแชมป์รายการนี้ก็ทำให้ “เฟม” ในวัย 25 ปี ได้แชมป์เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 เป็นครั้งแรกด้วย และทำให้สถิติการลงเล่นร่วมกันของทั้ง “บาส” และ “เฟม” นั้น เข้าขั้นสวยหรูเลยทีเดียว หลังลงเล่นร่วมกัน 6 รายการ คว้า 3 แชมป์ โดยเป็นการเล่นในระดับเวิลด์ทัวร์ทั้งหมด 19 แมตช์ ชนะ 16 แพ้ไป 3 แมตช์ 

ด้วยผลงานในสนามที่สำเร็จไปได้ไกลถึงตำแหน่งแชมป์ถึง 3 รายการ จากทั้งหมด 6 ทัวร์นาเมนต์ที่ลงแข่งขันร่วมกัน แน่นอนว่าเป็นการสร้างความมั่นใจชั้นดีให้กับคู่ผสมคู่ความหวังใหม่ของวงการแบดมินตันไทยได้เป็นอย่างดี  

จุดเด่นของ “บาส” เดชาพล นอกจากประสบการณ์ในการเล่นที่โชกโชนแล้ว เจ้าตัวถือเป็นนักแบดมินตันชายในประะเภทคู่ผสมที่ฝีไม้ลายมือจัดอยู่ในระดับท็อปของประเภทนี้ เพราะมีลูกตบหนักหน่วง แถมยังเร็ว คล่อง และยืนคุมพื้นที่ได้ดี 

ส่วน “เฟม” แม้ประสบการณ์และความสำเร็จในระดับสูงอาจไม่มากนัก แต่ก็ทดแทนได้ดีด้วยสไตล์การเล่นเกมบุกที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะจังหวะเข้าทำเข้าประกบหน้าเน็ต ซึ่งก็ดูแล้วมีโอกาสจะพัฒนาและทำได้ดีขึ้นกว่านี้อีกเรื่อยๆด้วย ซึ่งจุดแข็งของทั้งคู่ที่ว่ามานี้ ก็ทำให้คู่นี้มีเกมการบุกที่ดุดันและอันตรายจริงๆในชั่วโมงนี้ 

หากยังคงรักษาผลงานและฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมได้อย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ ก็เชื่อได้เลยว่าในปีนี้อันดับโลกของทั้งคู่จะขยับขึ้นสูงเข้ามาติดท็อป 20 ของโลกได้อย่างน้อยๆ และก้าวมาเป็นคู่ผสมความหวังใหม่ที่เป็นความหวังสูงสุดของทีมแบดมินตันไทยในการลงสู้ศึกสำคัญๆรายการต่างๆไม่ว่าจะเป็นสุธีรมาน (ทีมผสมโลก) หรือมกรรมกีฬาต่างๆได้อย่างแน่นอน 

** เส้นทาง “บาส-เฟม” สู่แชมป์ มาเลเซีย โอเพ่น 2025  ** 

รอบ 32 คู่สุดท้าย 

ชนะ ยี ฮองเหว่ย กับ นิโคล กอนซาเลซ ชาน (มือ 64 ของโลก ไต้หวัน) 2-0 เกม 21-12, 21-14 

รอบ 16 คู่สุดท้าย 

ชนะ เจียง เจิ้งปัง กับ เว่ย หย่าซิน (มือ 2 ของโลก จีน) 2-0 เกม 21-14, 21-19 

รอบก่อนรองชนะเลิศ 

ชนะ ทอม กีเซล กับ เดลฟิน แดร์รูร์ (มือ 17 ของโลก ฝรั่งเศส) 2-1 เกม  21-12, 14-21, 21-7 

รอบรองชนะเลิศ

ชนะ โก๊ะ ซุนฮวด กับ เชวอน เจมี่ ไล (มือ 6 โลก มาเลเซีย) 2-1 เกม 17-21, 21-12, 21-16  

รอบชิงชนะเลิศ  

ชนะ เฝิง หยานเจ๋อ กับ หวง ดองปิง (มือ 1 โลก จีน) 2-1 เกม 21-13, 19-21, 21-18 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


แพทย์ญี่ปุ่นแนะ 5 วิธีลดเครียดได้ง่ายๆ ฉบับวัยทำงาน

ความเครียดที่ไม่รู้ตัว เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันจากการทำงาน ครอบครัว สังคมที่เปลี่ยนไป ระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ค สถานการณ์โควิด-19 และข่าวสงคราม เป็นต้น แม้ว่าความเครียดจะไม่ส่งผลให้รู้สึกหงุดหงิดหรือนอนไม่หลับ แต่ก็มาในรูปแบบที่อาจทำให้กิจวัตรในแต่ละวันช้าลงจนไม่อยากทำอะไร มารู้ผลของความเครียดสะสมแบบไม่รู้ตัว และวิธีการจัดการกับความเครียดตามคำแนะนำของคุณหมอญี่ปุ่นกัน

ผลเสียของความเครียดที่สะสมต่อร่างกาย

  • รบกวนการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ

เมื่อสัญญาณความเครียดถูกส่งไปยังสมอง ระบบประสาทอัตโนมัติส่วนซิมพาเทติกจะเริ่มตึงเครียดและทำงานเพื่อต่อสู้หรือหนีความเครียด หากมีความเครียดบ่อยเข้า การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติก็จะเสียสมดุล นำไปสู่การทำลายอวัยวะในระบบสำคัญของร่างกาย ได้แก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบย่อยอาหารรวมถึงความผิดปกติทางจิต

  • เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน

เมื่อมีความเครียดสะสมเรื้อรัง ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี คือ LDL ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน ได้แก่ โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงผิดปกติ และความดันโลหิตสูง เป็นต้น

  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ

เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามาก ฮอร์โมนชนิดนี้จะไปกดการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันคือ NK เซลล์ (Natural killer cell) ซึ่งทำหน้าที่ในการต่อสู้กับไวรัสและเซลล์มะเร็ง ดังนั้นเมื่อมีความเครียดสะสม ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอลง

วิธีการจัดการกับความเครียด

เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น เราควรรีบจัดการกับความเครียดเพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อร่างกายไปมากกว่านี้ มาดูวิธีจัดการกับความเครียดกันค่ะ

  1. เคลื่อนไหวร่างกายและทำให้ร่างกายอบอุ่น

กายบริหารและโยคะ เป็นวิธีการเคลื่อนไหวร่างกายไปพร้อมกับการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งจะทำให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกซึ่งเป็นระบบประสาทที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายทำงานเด่นขึ้น ทำให้จิตใจผ่อนคลายขึ้นตามธรรมชาติ และนำไปสู่การป้องกันและผ่อนคลายความเครียดได้ดี นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มอุ่น การอาบน้ำอุ่น และการแช่เท้าในน้ำอุ่น ก็ทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้ดีเช่นกัน

  1. กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ

คนเราเมื่ออายุมากขึ้นและมีประสบการณ์ชีวิตมาก มักรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวไม่มีความสดชื่นและน่าเบื่อไปเสียหมด การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ เช่น เปลี่ยนสีลิปสติก หรืออายไลเนอร์ใหม่ จะทำให้รู้สึกว่ามีความสดชื่นขึ้นจากความงามที่แตกต่างจากเดิม นอกจากนี้ การเริ่มงานอดิเรกใหม่และการปรุงเมนูอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน จะช่วยเพิ่มความรู้สึกเป็นสุข ภูมิใจในความสำเร็จ และทำให้มีความคาดหมายในสิ่งต่างๆ เชิงบวกมากขึ้น

  1. เขียนบันทึกเพื่อจัดระเบียบความรู้สึกนึกคิด

นอกจากการพูดคุยปรึกษากับเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัว เพื่อบรรเทาความเครียดที่มีอยู่ในใจแล้ว การเขียนบันทึกความรู้สึกของตนเองก็เป็นวิธีการที่ดีที่จะช่วยให้ใจสงบขึ้น และเมื่อกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง ก็จะมองเห็นตนเองอย่างชัดเจน นอกจากการเขียนบันทึกแล้วก็สามารถเขียนโคลงกลอน วาดรูป ร้องเพลง และเล่นดนตรีได้เช่นกัน

  1. ไปซื้อของในร้านค้าที่แตกต่างจากเดิม

ความตื่นเต้นและความอยากรู้ เป็นสิ่งเร้าที่ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกพึงใจ การไปซื้อของในร้านที่แตกต่างกันทำให้เห็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้รู้สึกสนุกและอารมณ์ดีขึ้น

  1. มีความยืดหยุ่นและคิดในเชิงบวก

คนเราไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้เก็บกดความรู้สึกที่เป็นลบ เช่น รู้สึกไม่ถูกใจ หรือรู้สึกโกรธเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ดี ความยืดหยุ่นและการคิดหาสิ่งที่สามารถทำได้ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นั้นจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้แก่ตนเองและทัศนคติที่เป็นบวก ยกตัวอย่างเช่น ฝนตกหนักในวันที่มีแผนจะออกไปปิกนิกที่สวนสาธารณะ แทนที่จะหงุดหงิดที่ไม่ได้ไปข้างนอก ก็เปลี่ยนมาหากิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันทำได้ในบ้านเพื่อสร้างความสุขในเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน เป็นต้น

ปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเครียดเกิดขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัวจริงๆ หากมีความเครียดเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ลองใช้วิธีการจัดการดังกล่าวดูค่ะ เพื่อให้เรามีความสุขง่ายๆ และมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงในโลกที่วุ่นวายมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การใช้ Question Tag เรียนรู้ประโยคคำถามอีกรูปแบบหนึ่งในภาษาอังกฤษ

ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมีหลายรูปแบบ ที่เราคุ้นชินกันก็จะมีที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย verb to be, verb to do หรือ has/have คำตอบต้องเป็น yes กับ no หรือประโยคคำถามจำพวก wh-question ที่ต้องการคำตอบว่า ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ซึ่งยังมีประโยคคำถามอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ เราเรียกว่า Question Tag ที่นำหน้าด้วยประโยคบอกเล่า แต่มีส่วนท้ายที่เป็นคำถาม จึงทำให้ประโยคนี้กลายเป็นประโยคคำถามไป วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง การใช้ Question Tag กัน

ประโยคคำถาม Question tag คืออะไร

ประโยคคำถามแบบ Question tag คือ ประโยคคำถามประเภทหนึ่งที่โครงสร้างนำด้วยประโยคบอกเล่าทั่วไป จากนั้นตามด้วย comma และ วลีสั้น ๆ ที่บ่งบอกถึงคำถาม แล้วตามด้วยเครื่องหมายคำถาม โดยคำตอบของประโยค Question tag จะเป็น yes / no เหมือนกับประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย verb ช่วย เราสามารถได้ยิน Question tag ได้จากประโยคสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน

          ตัวอย่างประโยค Question tag เช่น

You love to eat hotdog, don’t you?

She will come to class tomorrow, won’t she?

หลักการสร้างประโยค Question tag

สำหรับประโยค Question tag มีหลักในการสร้างประโยค โดยต้องอาศัยความเข้าใจ ซึ่งหากเข้าใจหลักการแล้วก็ไม่ยากเลย คือ

  • ถ้าประโยคส่วนหน้าเป็นประโยคบอกเล่า question tag ต้องเป็นปฏิเสธ เช่น

You are working for ABCMA company, aren’t you?

  • ถ้าประโยคส่วนหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ question tag ต้องเป็นบอกเล่า

She doesn’t have a long hair, does she?

และส่วนของ Question Tag นั้น เมื่อใส่เครื่องหมาย comma แล้ว ตามด้วย verb ช่วยของประโยค (ในรูปบอกเล่าหรือปฏิเสธ แล้วแต่ส่วนหน้า) จากนั้นตามด้วยประธานของประโยคที่อยู่ในรูปของคำสรรพนาม เช่น Susan wants to go swimming today, doesn’t she?

Question tag ใช้ doesn’t เป็น verb ช่วยที่สอดคล้องกับประธาน และอยู่ในรูปปฏิเสธเนื่องจากประโยคส่วนหน้าเป็นบอกเล่า จากนั้นตามด้วยประธานคือ Susan แต่ไม่พูด Susan ซ้ำ ให้ใช้คำสรรพนามแทน Susan ก็คือ she

ข้อควรจำ สำหรับ การใช้ Question tag

  1. กรณีประโยคส่วนหน้า มี Verb to have แล้ว have หรือ has นั้นแปลว่า “มี” question tag ส่วนท้ายจะใช้ has/have หรือใช้ verb to do มาช่วย ได้ทั้ง 2 แบบ แต่ถ้า Verb to have ในประโยคส่วนหน้าไม่ใช่ Verb ช่วย (ในประโยค present perfect, etc.) และไม่ได้แปลว่า “มี” แต่แปลอย่างอื่น กรณีนี้ต้องใช้ Verb to do มาช่วยในส่วนของ question tag เท่านั้น เช่น

You have two daughters, haven’t you? หรือ You have two daughters, don’t you?

แต่ You have dinner with you ex-boss, don’t you? have ในที่นี้แปลว่า “กิน”

รวมถึง have to / has to ด้วยที่ question tag ต้องใช้ verb to do มาช่วย เช่น

She has to finish her homework within 3 o’clock today, doesn’t she?

  1. Question tag ส่วนท้ายถ้าเป็นปฏิเสธ ต้องใช้รูปย่อเสมอ ไม่ใช้รูปเต็ม เช่น

She has to finish her homework within 3 o’clock today, doesn’t she? (ไม่ใช้ does not she)

  1. กรณีของ I am เนื่องจาก question tag ส่วนท้ายเป็นปฏิเสธ ต้องเป็น am not I แต่ am not ไม่มีรูปย่อ จึงให้ใช้เป็น aren’t I แทนเสมอ
  2. กรณีของ Verb ช่วยอื่น ๆ เช่น can/could/ may/ might/ will/ shall/ ought to/ would/ should สามารถใช้ Verb เหล่านี้ในส่วน question tag ได้เลย เช่น

I shouldn’t go to your birthday party tomorrow, should I?

  1. ในประโยคคำสั่งหรือขอร้อง question tag ให้ใช้ will you หรือ won’t you เนื่องจากประธานที่ละไว้มักหมายถึง you
  2. หากประโยคขึ้นต้นด้วย This is / That is ให้ใช้ question tag ในรูป isn’t it และหากเป็น These are / Those are ให้ใช้ question tag ในรูป aren’t they
  3. กรณีประโยคส่วนหน้าที่คำที่บ่งบอกถึงความเป็นปฏิเสธในตัว เช่น rarely, hardly, seldom, none, nobody, few, little, never ส่วนของ question tag ต้องเป็นบอกเล่า แม้ประโยคส่วนท้ายจะเป็นประโยคบอกเล่าก็ตาม ให้ดูที่ความหมาย เช่น

None of workers are unhappy, are they?

  1. ประโยคที่มีประธาน คือ everyone, everybody, everyday, everything, nobody, anybody ในส่วน question tag ท้าย ให้ใช้ pronoun ว่า “they” เช่น

Everyone loves Jackson Wang, doesn’t they?

  1. สำหรับประโยคเชิงซ้อนที่มีประโยคหลักและประโยคย่อย ให้ใช้ question tag โดยอิงประธานและกริยาจากประโยคหลัก เช่น

He said he would come to my party, didn’t he?

คำตอบของประโยคคำถาม Question Tag

คำตอบของประโยคคำถาม Question Tag ให้ดูจากประโยคส่วนหน้าแล้วตอบ yes/no ตามนั้น

  • ถ้าประโยคหลักเป็นบอกเล่า แล้วเราเห็นด้วย ให้ตอบ yes ถ้าเราไม่เห็นด้วยให้ตอบ no เช่น

He said he would come to my party, didn’t he?

Yes, he did. หรือ No, he didn’t.

  • ถ้าประโยคหลักเป็นปฏิเสธ แล้วเราเห็นด้วย ให้ตอบ no ถ้าเราไม่เห็นด้วยให้ตอบ yes

I shouldn’t go to your birthday party tomorrow, should I?

No, you shouldn’t. หรือ Yes, you should.

เราทราบถึงโครงสร้าง และวิธีการสร้างประโยคคำถามแบบ Question tag กันไปแล้ว อาจมีหลายท่านสงสัยว่า แล้วเมื่อไหร่ที่เราควรใช้ประโยคแบบนี้ ที่จริงประโยค question tag สามารถใช้ได้ทั่วไปในประโยคสื่อสารในชีวิตประจำวันของเรา แต่หากจะดูกันให้ละเอียดถึงวิธีการใช้ กรณีที่ผู้พูดต้องการถามผู้ฟังแบบขอให้แสดงความคิดเห็น ไม่ได้ตั้งใจจะถามเป็นคำถามตรง ๆ ก็ใช้ประโยค question tag ได้ แนะนำให้ฝึกฝนเพิ่มเติมจากการการอ่านรูปประโยคสนทนาบ่อย ๆ รวมถึงการ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ก็จะทำให้เข้าใจมากขึ้น และนำไปใช้ในการสนทนาภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


รู้จัก Bloatware แอปส์แบบฝั่งเครื่อง มาแบบไม่ตั้งใจ อันตรายหรือไม่ มีคำตอบในนี้

จากกรณีแอปส์ดังอย่าง Fineasy ซึ่งเป็นแอปส์พลิเคชั่นที่มีฟีเจอร์การกู้เงินฝั่งในมือถือ OPPO และ realme ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักรู้เกี่ยวกับ Application ฝั่งในเครื่องในบางภูมิภาคเรียกร้องให้ผู้ผลิตจะต้องทำฟีเจอร์ถอดฟีเจอร์หรือแอปส์ที่มากับเครื่องออกได้

ซึ่งแม้ว่าผู้ผลิกดังกล่าวจะพยายามนำแอปส์ออกแล้ว แต่มันก็ทำให้เกิดศัพย์ใหม่คือ “Bloatware” ซึ่งวันนี้ Sanook Hitech จะพาคุณมาทำความรู้จักกับแอปส์ประเภทนี้กันครับ

Bloatware คืออะไร

Bloatware คือ ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาพร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ โดยมากมักจะเป็นแอปที่ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการหรือไม่ได้ใช้งาน ถ้าเปรียบคือ คุณซื้อบ้านมาแล้วเขามีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบ แถมทุกอย่างมาเลย แต่ว่าคุณไม่ได้ใช้ฟีเจอร์หนึ่ง ซึ่งฟีเจอร์นั้น อาจจะเป็นดาบ 2 คมได้

ประเภทของ Bloatware

  • แอปพลิเคชันจากผู้ผลิต: แอปที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ติดตั้งมาให้ เช่น แอปเพลง, แอปวิดีโอ, แอปเกม
  • แอปพลิเคชันเวอร์ชันทดลอง: แอปที่ให้ทดลองใช้ฟรีระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะต้องเสียเงินเพื่อใช้งานต่อ
  • แอปพลิเคชันโปรโมชั่นต่างๆ
  • แอปที่ซ้ำซ้อนกับที่มีในระบบอยู่แล้ว เช่น มีแอปอีเมลมาให้ ทั้งที่ระบบปฏิบัติการมีแอปอีเมลอยู่แล้ว

ประโยชน์ (ที่มีน้อย)

  • บางแอปอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ใช้บางคน เช่น แอปแก้ไขรูปภาพ, แอปจดบันทึก
  • ผู้ผลิตอุปกรณ์อาจได้รับรายได้จากการติดตั้ง Bloatware ทำให้สามารถขายอุปกรณ์ได้ในราคาถูกลง

ผลเสียและอันตรายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

  • เปลืองพื้นที่จัดเก็บ: Bloatware กินพื้นที่ในอุปกรณ์ ทำให้เหลือพื้นที่น้อยลงสำหรับเก็บข้อมูลอื่นๆ
  • ทำให้เครื่องทำงานช้าลง: Bloatware มักจะทำงานเบื้องหลัง แย่ง RAM และ CPU ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์โดยรวม
  • สิ้นเปลืองแบตเตอรี่: เช่นเดียวกับด้านความจำ เพราะ Bloatware ที่ทำงานเบื้องหลังจะใช้พลังงานแบตเตอรี่ ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น
  • ความเป็นส่วนตัว: Bloatware บางตัวอาจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือส่งข้อมูลส่วนตัวไปยังผู้พัฒนา แต่ส่วนนี้ป้องกันได้ หากไม่ได้ไปกดใช้งาน
  • ความปลอดภัย: Bloatware บางตัวอาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ทำให้มัลแวร์เข้ามาโจมตีอุปกรณ์ได้ง่ายขึ้น 
  • สร้างความรำคาญ: Bloatware บางตัว ส่งการแจ้งเตือนที่ไม่ต้องการ หรือแสดงโฆษณาที่น่ารำคาญ

วิธีจัดการกับ Bloatware

  • ถอนการติดตั้ง: Bloatware บางตัวสามารถถอนการติดตั้งได้ แนะนำให้ถอนออก
  • ปิดใช้งาน: หากถอนการติดตั้งไม่ได้ ให้ลองปิดใช้งาน เพื่อไม่ให้ทำงานเบื้องหลัง 
  • เลือกซื้ออุปกรณ์ที่ Bloatware น้อย: ก่อนซื้อสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต ควรศึกษาข้อมูลว่ามี Bloatware ติดตั้งมาให้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งทีม Sanook Hitech จะมาบอกเล่าเกี่ยวกับวิธีเลือกมือถือที่มีกลุ่ม Software แบบนี้ต่อไป

ทั้งนี้วิธีการแก้ปัญด้วยการลบที่ต้องใช้การเข้าระบบเครื่องแบบ root และ Jailbraker ไม่แนะนำให้ทำเพราะอาจจะมีผลต่อประกันคุณภาพตัวเครื่องได้ครับ

อย่างไรก็ตาม Bloatware ก็อาจจะมีความจำเป็นกับคนที่ต้องการใช้งานหากเห็นหรือต้องการอยู่แล้ว ดังนั้น เหรียญมี 2 ด้านฉันใด แอปส์มือถือก็มีผลเช่นเดียวกัน ดังนั้นก่อนที่จะใช้แอปส์อะไร อย่าลืมดูว่า แอปส์แต่ละตัวขอสิทธิ์อะไรด้วยก็จะปลอดภัยเพิ่มขึ้นครับ อย่ามัวแต่ Setup มือถือแล้วกดถัดไป จนสุดท้ายแล้ว แอปส์ติดเครื่องเองโดยไม่รู้ตัวครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“มัทฉะ” กับ “กาแฟ” ดื่มอะไรดีต่อสุขภาพมากกว่า

มัทฉะ” ชาเขียวญี่ปุ่นแบบผงกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก ขณะที่ “กาแฟ” ก็เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก คุณอาจเคยได้ยินถึงประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าสนใจของมัทฉะ และสงสัยว่าจะเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของกาแฟได้อย่างไร บทความนี้จะเปรียบเทียบทั้งสองอย่าง เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่าง ข้อดี และข้อเสียหลักๆ

“มัทฉะ” กับ “กาแฟ” ดื่มอะไรดีต่อสุขภาพมากกว่า

ทั้งกาแฟและมัทฉะ มีปริมาณแคลอรี่ต่ำมากเมื่อชงโดยไม่เติมส่วนผสมอื่นๆ เช่น นม น้ำตาล ครีม หรือไซรัปปรุงรสต่างๆ มัทฉะหนึ่งถ้วยมาตรฐาน ชงโดยผสมผงมัทฉะ 1 ช้อนชา (ประมาณ 2 กรัม) กับน้ำร้อน 2 ออนซ์ (60 มิลลิลิตร) ในขณะที่กาแฟมักชงด้วยน้ำร้อนเช่นกัน

กาแฟ 1 ถ้วย (8 ออนซ์ หรือ 240 มิลลิลิตร) มีคาเฟอีนประมาณ 96 มิลลิกรัม ในขณะที่มัทฉะ 1 กรัม มีคาเฟอีน 19-44 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับ 38-88 มิลลิกรัม หากชงมัทฉะ 1 เสิร์ฟ (2 ออนซ์ หรือ 60 มิลลิลิตร) ตามวิธีมาตรฐาน

กาแฟ 1 ถ้วยมีคาเฟอีนมากกว่ามัทฉะ แต่ปริมาณคาเฟอีนในมัทฉะนั้นแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณผงมัทฉะที่ใช้และความสดของใบชา ทั้งกาแฟและมัทฉะต่างก็มีรสขม แต่รสชาติโดยรวมจะแตกต่างกัน โดยมัทฉะจะมีรสชาติหญ้าหรือดิน ในขณะที่กาแฟจะมีกลิ่นหอมและรสชาติที่หลากหลายกว่า

ทั้งกาแฟและมัทฉะเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย และที่จริงแล้ว เครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้มีประโยชน์ร่วมกันหลายประการ

ประโยชน์ทั้งของมัทฉะ และกาแฟ

1.คาเฟอีนต่อการลดน้ำหนัก

คาเฟอีนในทั้งมัทฉะและกาแฟอาจช่วยในการลดน้ำหนักได้ โดยการกระตุ้นไขมันสีน้ำตาล (brown adipose tissue) ซึ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและการสลายไขมัน ไขมันสีน้ำตาลมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการสะสมของไขมันในร่างกาย เนื่องจากสามารถสร้างความร้อนและเผาผลาญสารอาหาร เช่น กลูโคสและไขมันได้

จากการศึกษาหลายชิ้น (บางชิ้นเป็นงานวิจัยเก่า) พบว่าคาเฟอีนอาจช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้สูงสุดถึง 13% เป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

นอกเหนือจากคาเฟอีนแล้ว กาแฟและมัทฉะยังมีสารประกอบสำคัญอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการช่วยลดน้ำหนัก ได้แก่กรดคลอโรจีนิกในกาแฟและสารเอพิแกลโลแคเทชินแกเลตในมัทฉะ การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าสารประกอบเหล่านี้มีส่วนช่วยลดน้ำหนักโดยการควบคุมระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน และยับยั้งการสะสมของไขมัน

2.ผลต่อสุขภาพหัวใจ

ทั้งมัทฉะและกาแฟมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ โดยเฉพาะโพลีฟีนอล ซึ่งสามารถช่วยลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และช่วยลดความดันโลหิตได้ นอกจากนี้ EGCG ในมัทฉะยังอาจช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย ทั้งมัทฉะและกาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ในการป้องกันความเสียหายของเซลล์ในร่างกายและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็ง

สารโพลีฟีนอลเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในทั้งสองชนิด โดย EGCG ในมัทฉะและ CGA ในกาแฟมีศักยภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้มัทฉะยังมีสารอื่นๆ เช่น รูติน วิตามินซี และคลอโรฟิลล์ ซึ่งล้วนแต่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน

การดื่มกาแฟหรือมัทฉะนอกจากจะช่วยในเรื่องสุขภาพหัวใจและการป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีสมาธิมากขึ้น และยังช่วยบำรุงตับให้แข็งแรงอีกด้วย สารสำคัญในกาแฟและมัทฉะ เช่น คาเฟอีน L-theanine และ EGCG มีส่วนช่วยในการปรับปรุงอารมณ์และสมรรถภาพทางสมอง ทำให้เรามีความสุขและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความแตกต่างที่ชัดเจน

กาแฟและมัทฉะต่างก็มีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังงาน แต่กาแฟจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมคาเฟอีนในกาแฟได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่มัทฉะอาจใช้เวลาในการออกฤทธิ์นานกว่าเล็กน้อย นอกจากคาเฟอีนแล้ว มัทฉะยังมีสาร L-theanine ซึ่งช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อรวมกับคาเฟอีนจะช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิมากขึ้นโดยไม่เกิดอาการกระวนกระวายใจ

ข้อดีของมัทฉะ

นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังงานและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงแล้ว มัทฉะยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ และยังมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพช่องปากอีกด้วย วิธีการชงมัทฉะก็ง่ายมาก เพียงแค่ผสมผงมัทฉะกับน้ำร้อนก็สามารถดื่มได้ทันที ไม่ยุ่งยากเหมือนการชงกาแฟ”

สรุปง่ายๆ คือ มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ และยังทำง่ายอีกด้วย

ข้อเสียของมัทฉะ

  • ราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกาแฟ
  • และอาจมีความเสี่ยงต่อความเป็นพิษต่อตับหากบริโภคในปริมาณมาก
  • นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในใบชา
  • อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการดื่มมัทฉะยังมีจำกัด จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลกระทบที่ชัดเจน

ข้อดีของกาแฟ

  • นอกจากจะให้พลังงานแล้ว กาแฟยังมีข้อดีอีกมากมาย เช่น ราคาประหยัดกว่ามัทฉะ และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อีกด้วย
  • อีกทั้งกาแฟยังหาซื้อง่าย สามารถหาซื้อได้ตามร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
  • สรุปได้ว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการข้อเสียของกาแฟ

ข้อเสียของกาแฟ

  • กาแฟก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาเช่นกัน เช่น การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้เกิดการพึ่งพาและมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น นอนไม่หลับ หรือรู้สึกกระวนกระวายใจได้
  • ดังนั้นควรดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ และสังเกตอาการของร่างกาย หากมีอาการผิดปกติควรงดหรือลดปริมาณการดื่ม

กาแฟและมัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งสองชนิดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการที่คล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ทั้งกาแฟและมัทฉะอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก และเพิ่มระดับพลังงาน นอกจากนี้ ทั้งกาแฟและมัทฉะยังมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณควรพิจารณาก่อนเลือกดื่ม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,750.0043,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,834.0042,963.4444,350.00
ทองรูปพรรณ 90%2,550.6038,667.10n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,267.2034,370.75n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,275.0019,329.00n/a
ทองรูปพรรณ 40%992.0015,038.72n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,937.0044,524.92n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/01/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.6535.6536.1535.6535.6535.6535.6535.6535.6535.65
แก๊สโซฮอล์ 9135.2835.2835.7835.2835.2835.2835.2835.2835.2835.28
แก๊สโซฮอล์ E2033.4433.4433.9433.4433.4433.4433.4433.4433.44
แก๊สโซฮอล์ E8533.0933.0933.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.2449.8449.8449.8444.24
เบนซิน 9543.9449.8144.4444.0943.94
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า