สาระน่ารู้ประจำวันที่ 16 มกราคม 2568

เอสซี ชู ‘3 ท’ เที่ยว-เทศ-ท็อป (เทียร์)’ กว้านโอกาสใหม่รอเศรษฐกิจฟื้น!

เอสซี ชู ‘3 ท’ เที่ยว-เทศ-ท็อป (เทียร์)’กว้านโอกาสใหม่รอเศรษฐกิจฟื้น! ชี้ทุกวิกฤติมีโอกาส ระบุความแม่นยำไม่สำคัญเท่าความหลากหลายปัญหาใหญ่ “สินค้าคงค้าง” ที่มากเกินไป โดยเฉพาะแนวราบคาดใช้เวลากว่า 4ปี ระบายสต็อก

การกลับมาของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ไม่ง่าย! เหมือนการย้อนกลับสู่ช่วงก่อนโควิด-19 เมื่อพิจารณาจากหลายปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็ยังคงมี “โอกาส” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ สะท้อนชัดว่าทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ!

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น วิเคราะห์บนเวทีสัมมนาลงทุนประจำปี KKP The Year Ahead 2025 ของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ระบุว่า สถานการณ์ปี 2567 “ท้าทายและยากลำบาก” จาก 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ 1.หนี้ครัวเรือนสูง ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยยากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อภาระหนี้สินและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจต่อเนื่อง

2.ความเชื่อมั่นต่ำ เป็นผลมาจากความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อและการปรับลดเกรดความน่าเชื่อถือของบริษัทหลายแห่งทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่ำในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เกิด Rejection สินเชื่อบ้านที่เกิน 10 ล้านบาทมากกว่า 10%

และ 3.ซัพพลายล้น ตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านหรูเริ่มกลับมาดี ทำให้หลายบริษัทในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ต่างพากันเข้ามาแข่งขันในตลาดเดียวกัน ส่งผลให้เกิดซัพพลายเพิ่มขึ้น 80% ในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและบ้านหรูที่ขายดีเพราะหลายบริษัทลงมาเล่นตลาดเดียวกัน คาดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี ในการระบายสินค้าคงค้าง (Stock) หมด! จากปกติใช้เวลา 2-3 ปี ในการระบาย

ณัฐพงศ์ วิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์โดยรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568-2569 ยังมี “โอกาส” ดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดได้ หากสามารถจับจังหวะที่น่าสนใจ จาก “3 ท.” ได้แก่ “เที่ยว” ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะการลงทุนคอนโดมิเนียมและโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยว

ถัดมา “เทศ” คือลูกค้าต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา รัสเซีย และไต้หวัน เพิ่มความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 20% โดยเฉพาะกลุ่มตลาดรายได้สูง เป็น “โอกาส” ให้กับไทยซึ่งเป็นประเทศไทยน่าอยู่ และ “ท็อป” (Top Tier) ตลาดบ้านหรู มูลค่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงแข็งแกร่งและมีความต้องการสูง แม้ซัพพลายจะมีมากกว่าความต้องการ แต่ยังมีการเติบโตในกลุ่มลูกค้าระดับท็อป เพราะกำลังซื้อแข็งแรงที่สุด ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายลงมาเล่นตลาดนี้มากขึ้น

“หลังโควิด-19 ลูกค้าในประเทศยังคงมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่มีความไม่พร้อมเรื่องกำลังซื้อ และกังวลกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ต่างจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีความต้องการซื้อ แต่ซื้อไม่ได้ด้วยจำนวนโควตาที่จำกัด”

ยุคที่บริบททางเศรษฐกิจและการตลาดยังคงผันผวน “เอสซี แอสเสท” มองเห็นความสำคัญของความหลากหลายในการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ในช่วงเวลาที่ความแม่นยำไม่สามารถรับประกันผลสำเร็จในทุกสถานการณ์ บริษัทจึงเลือกมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม หรือโรงแรม เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

“แผนธุรกิจเอสซีในยุคผันผวนนี้ เรามองว่าความแม่นยำไม่สำคัญเท่าความหลากหลาย ทำให้เอสซี มีบ้าน คอนโดมิเนียม โรงแรม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อครบทุกกลุ่มเป้าหมาย”

ณัฐพงศ์ กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันคือการมี “สินค้าคงค้าง” ที่มากเกินไป โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แนวราบ (บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม) ที่มีการซัพพลายเกินดีมานด์มากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ใช้เวลานานในการระบายสินค้าคงค้างออกจากตลาดกว่า 4ปี ซึ่งมากกว่าการประเมินเมื่อปีก่อนที่คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2 ปี

อย่างไรก็ตา มแม้ว่าในระยะสั้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากหนี้ครัวเรือนสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ และซัพพลายที่มากเกินไป แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น หนี้ครัวเรือนลดลง ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจกลับมา ผู้ประกอบการลดการเปิดโปรเจกต์ใหม่ มีโอกาสที่จะเห็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวในปี 2568 และกลับมามีความ “สมดุล” ในปี 2569

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อนันดาฯ โชว์กลยุทธ์ ปิดขาย 5 โครงการชำระคืนหุ้นกู้เต็ม 100% พร้อมดอกเบี้ย

อนันดาฯ โชว์กลยุทธ์ปิดขาย 5 โครงการ ชำระคืนหุ้นกู้เต็ม จำนวน100% พร้อมดอกเบี้ยมูลค่า 2,988 ล้านบาทตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน เดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อชะลอตัวมาถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ตัวแปรที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องนำสินค้าหมุนเวียนกลับมาขายใหม่

อย่างไรก็ตาม บริษัทอสังหาริมทรพย์แทบทุกค่ายต่างใช้กลยุทธ์ทุกช่องทางเจาะกำลังซื้อ ทั้งตลาดคนไทยและต่างชาติกลุ่มกำลังซื้อสูง และเร่งปิดการขายจูงใจด้วยแคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในมือ และนำไปชำระคืนหุ้นกู้ พร้อมดอกเบี้ยรวมถึงลงทุนโครงการต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง  คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพชำระคืนหุ้นกู้ครบกำหนดชำระในเดือน มกราคมปี 2568 เต็มจำนวนตามกำหนดไถ่ถอน 100% จำนวน 2 รุ่น คือ ANAN251A และ ANAN251B ในวันที่ 15 มกราคม 2568 มูลค่า 2,988 ล้านบาท

พร้อมประกาศปิดการขาย 100% จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 14,560 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารงาน ตอกย้ำจุดยืนผู้นำแบรนด์ที่อยู่อาศัยเพื่อคนเมือง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดรอการรับรู้รายได้(Backlog) และโครงการที่คงเหลือขายรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 37,567  ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการต่างๆ ของบริษัทเป็นโครงการที่มีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสด ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บ้านและทาวน์โฮม บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า ที่เป็นโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนทั้งสิ้น ทำให้เห็นว่าบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ นอกจากนี้ ยังคงเน้นย้ำหุ้นกู้ ANAN ทุกรุ่นจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนเงินต้นครบตรงตามกำหนดทุกงวด

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ANAN กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเสนอขายหุ้นกู้ในแต่ละครั้ง โดยจัดสรรอย่างเหมาะสมกับแผนการดำเนินธุรกิจและบริหารจัดการทางการเงินด้วยความละเอียดรอบคอบ

พร้อมให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินหุ้นกู้ครบตามกำหนด โดย อนันดาฯ ได้ชำระคืนหุ้นกู้ในเดือนมกราคม ปี 2568  เต็มจำนวนตามกำหนด 100% มูลค่า 2,988 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 พร้อมประกาศปิดการขาย 100% จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 14,560 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตแก่บริษัทฯ ด้วยการดำเนินงานภายใต้จุดยืน URBAN LIVING SOLUTIONS พัฒนาที่อยู่อาศัยและบริการให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนครอบคลุมทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างลงตัวที่สุด

นอกจากนี้ยังประกาศปิดการขาย 100% (Sold Out) โครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 14,560 ล้านบาท ได้แก่ โครงการไอดีโอ จรัญฯ 70 ริเวอร์วิว มูลค่า 3,826 ล้านบาท โครงการคิว ประสานมิตร มูลค่า 560 ล้านบาท โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ มูลค่า 4,562 ล้านบาท

โครงการไอดีโอ จุฬา สามย่าน มูลค่า 4,974 ล้านบาท และโครงการยูนิโอ ทาวน์ สวนหลวง-พัฒนาการ มูลค่า 638 ล้านบาท  ด้วยจุดเด่นของโครงการและทำเลที่ตั้งรวมถึงการออกแบบโครงการที่โดดเด่น ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สมดุลให้แก่คนเมือง และที่สำคัญที่สุด คือ ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ที่มีคุณภาพของอนันดาฯ จึงทำให้ทั้ง 5 โครงการประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี   

 “บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ โดยบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นในและพัฒนาการดำเนินงานรวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมียอดรอการรับรู้รายได้ (Backlog) และโครงการที่คงเหลือขายรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 37,567 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน และรองรับการจ่ายหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดที่เหลืออย่างแน่นอน” คุณชานนท์ กล่าวทิ้งท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ม.ค. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 34.56 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility อาจกลับไปอ่อนค่า หรือ แข็งค่ามากขึ้น ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยบรรดาธนาคารกลางหลัก

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ม.ค.2568 ที่ระดับ  34.56 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.69 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน

ทว่า เรามองว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility และอาจกลับไปอ่อนค่า หรือ แข็งค่ามากขึ้น ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยบรรดาธนาคารกลางหลัก

โดยเฉพาะเฟด ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักเป็นต้น ทั้งนี้ หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following

เรามองว่า เงินบาทอาจยังไม่ได้มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน จนกว่าเงินบาท (USDTHB) จะสามารถแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ทำให้เงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลง หรือก็อาจเพียงแค่แกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน

แม้ว่ารายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ อาจไม่ได้ทำให้เงินบาทผันผวนได้มากเท่ากับรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เมื่อเทียบจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ในช่วง 30 นาที หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว

 อย่างไรก็ดี จากสถิติดังกล่าว เงินบาท (USDTHB) สามารถแกว่งตัว +0.30% และ -0.15% ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ได้ ทำให้เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว

โดยในกรณีที่ รายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ขยายตัวต่ำกว่าคาด (เรามองว่า โอกาสเกิดน้อย เพราะเป็นช่วงปลายปี ที่การใช้จ่ายน่าจะสูงจาก Holiday Season) ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ได้บ้าง เป็น 60%-70% แต่ก็อาจทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวลดลงไปมากนัก เงินบาทก็อาจยังติดโซนแนวรับ 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้

แต่หากยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ขยายตัวดีกว่าคาดชัดเจน จะทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาปรับลดโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ต่ำกว่า 50% ได้ไม่ยาก หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งในภาพดังกล่าว ราคาทองคำอาจย่อตัวลงบ้าง ส่วนเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แข็งค่าขึ้นค่าอย่างรวดเร็ว (แกว่งตัวในกรอบ 34.52-34.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม ออกมาผสมผสาน

โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ปรับตัวขึ้น +0.4%m/m (+2.9%y/y) ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน (Core CPI) กลับปรับตัวขึ้นราว +0.2%m/m (+3.2%y/y) น้อยกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย

นอกจากนี้ ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขานิวยอร์ก (NY Empire Manufacturing Index) เดือนมกราคม ก็ปรับตัวลดลงหนัก สู่ระดับ -12.6 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเพิ่มโอกาสเฟดทยอยลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง

หรือ 50bps ในปีนี้ เป็น 55% จากที่มองไว้เพียง 20% ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง

ส่วนราคาทองคำ (XAUUSD) ก็สามารถปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้นแถว 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้อย่างชัดเจน

หลังเงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามแรงซื้อ Buy on Dip เพิ่มสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่คงมุมมองว่า เงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น จากผลกระทบของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย จากรายงานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย

ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ต่างปรับตัวขึ้นแรง เช่น Tesla +8.0% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Citi +6.5% และ GS +6.0% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.83%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +1.33% หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวฝั่งยุโรป ก็ปรับตัวลดลงบ้าง ตามบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

หนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ฝั่งยุโรปต่างปรับตัวขึ้น อาทิ SAP +2.5% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินยุโรปต่างปรับตัวขึ้นหนุนตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน หลังสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ต่างประกาศผลประกอบการที่สดใสและดีกว่าคาด

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.65% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เป็น 55% จากรายงานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด

อย่างไรก็ดี เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่อาจปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้ง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหนัก ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้

นอกจากนี้ ความกังวลต่อผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล Trump 2.0 ก็สามารถกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้เช่นกัน และแม้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง แต่เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้

 ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนหนัก โดยมีจังหวะปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว จากรายงานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นบ้าง

สู่ระดับเดียวกันก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ หลังผู้เล่นในตลาดที่คงมุมมองเชิงบวกต่อเงินดอลลาร์ ต่างก็รอ Buy on Dip เพิ่มสถานะ Long USD ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวแถว 109 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.6-109.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่ 2,720-2,730 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้

อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและข่าวความคืบหน้าการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซาก็มีส่วนชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนธันวาคมของสหรัฐฯ รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ส่วนในฝั่งยุโรป ทางฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจรายเดือน (Monthly GDP) รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษและการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า BOE มีโอกาสราว 24% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาด นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของ ECB ด้วยเช่นกัน

และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ที่มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 2.75% เพื่อหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ท่ามกลางความปั่นป่วนของการเมืองเกาหลีใต้และความเสี่ยงผลกระทบเชิงลบจากนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 34.50 ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 34.52-34.54 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.27 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงเผชิญแรงขายตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลง 14 bps.) หลังการรายงานตัวเลข Core CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด

โดยแม้ว่า CPI Inflation เดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ จะออกมาสอดคล้องกับที่ตลาดคาดที่ 2.9% YoY และขยับขึ้นจาก 2.7% YoY ในเดือนพ.ย. แต่ตลาดเลือกสนใจที่ตัวเลข Core CPI Inflation ที่อยู่ที่ 3.2% YoY ในเดือนธ.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่ 3.3%

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่  34.45-34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บาส-เฟม” ฟอร์มเฉียบ ตบคู่ฮ่องกง เข้ารอบสองแบดมินตันอินเดีย โอเพ่น

“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” สุภิสรา เพียวสรามพราน คู่ผสมมือ 33 ของโลก เปิดหัวในแบดมินตัน อินเดีย โอเพ่น 2025 ได้อย่างเฉียบขาด ตบชนะ ตัง ชุนมาน กับ อึ้ง ซื่อเหยา จากฮ่องกง 2 เกมรวดผ่านเข้ารอบสองไปได้สำเร็จ

การแข่งขันแบดมินตัน รายการ โยเน็กซ์ ซันไรท์ อินเดีย โอเพ่น 2025″  รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 950,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 32,770,000 บาท  ที่นิวเดลลี ประเทศอินเดีย 

ประเภทคู่ผสม รอบแรก  “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” สุภิสรา เพียวสรามพราน คู่มืออันดับ 33 ของโลก ที่พึ่งคว้าแชมป์มาเลเซีย โอเพ่น มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  พบกับ  ตัง ชุนมาน กับ อึ้ง ซื่อเหยา คู่จากฮ่องกง

แมตช์นี้ บาส กับ เฟม เล่นได้ไม่แผ่ว และใช้ความเด็ดขาดกว่า เอาชนะไปได้ 2-0 เกม 21-17 และ 21-19  “บาส” เดชาพล กับ “เฟม” ศุภิสรา ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ เฉิน ตังเจี๋ย กับ เตียว อี้เว่ย คู่มืออันดับ 3 ของโลกจากมาเลเซีย 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับวาง 8  ของรายการ มืออันดับ 12 ของโลก พบกับ อาคาชิ คัชยัพ มืออันดับ 45 ของโลกจากอินเดีย  เกมนี้ หมิว พรปวีณ์ โชว์ฟอร์มได้เด็ดขาดกว่า เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 21-13 และ 21-17 ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ เกา ฟังเจี๋ย มืออันดับ 18 ของโลกจากจีน  ส่วน “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 38 ของโลก แพ้ โทโมกะ มิยาซากิ มืออันดับวาง 6  ของรายการ มืออันดับ 11 ของโลกจากญี่ปุ่น ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 5-21 , 22-20 , 9-21 

ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “อันนา” นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มืออันดับ 18 ของโลก แพ้ให้กับ เบ็ค ฮานา กับ ลี โซฮี คู่มือวาง 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 2 ของโลกจากเกาหลี 1-2 เกม  21-19 ,19-21 และ 20-22  , “ธารา” พัทธรินทร์ เอี่ยมวารีศรีสกุล กับ  “น้ำว้า” ศาริสา จันทร์แพง แพ้ให้กับ รูทาร์พาน่า แพนด้า กับ สเวตพาร์นา แพนด้า คู่มืออันดับ 38 ของโลกจากอินเดีย 1-2 เกม 21-7 , 19-21 ,14-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“ปวดไหล่-ยกแขนขึ้นไม่สุด” สัญญาณอันตราย “กระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่”

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น มักเกิดปัญหาเกี่ยวกับข้อตามมา ร่างกายเกิดความเสื่อม หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นกับข้อ เช่น ข้อแตก ข้อหัก ร่างกายจะดึงแคลเซียมออกมาเพื่อไปซ่อมแซมกระดูกส่วนที่เสื่อมนั้น อาทิ บริเวณข้อต่างๆ รวมถึงข้อไหล่ จนเกิดเป็นหินปูนหรือแคลเซียมเกาะกระดูก ส่งผลให้กลายเป็นกระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่ ทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน ซึ่งหากมีความผิดปกตินี้เกิดขึ้นที่บริเวณข้อไหล่ อย่าวางใจปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันลำบากมากขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อเร่งรักษา

สาเหตุของอาการปวดไหล่

น.ท.นพ.พรเทพ ม้ามณี ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องข้อเข่าและข้อไหล่ และแพทย์เวชศาสตร์การกีฬา ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกาย (BASEM) โรงพยาบาลกรุงเทพ หรือศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางการแพทย์ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) หรือ FIFA MEDICAL CENTRE OF EXCELLENCE กล่าวเบื้องต้นว่า อาการปวดไหล่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • ปัญหาโครงสร้างของข้อไหล่เอง หรือจากภาวะข้อไหล่ไม่มั่นคง (Instability pain) 
  • อาการปวดต่างที่ (Referred pain) เช่น จากกระดูกต้นคอ ทรวงอก หรือในช่องท้อง ซึ่งอาการปวดในแต่ละโรคอาจเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้
  • ข้อไหล่ติด (Frozen shoulder) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดไหล่
  • ข้อไหล่หลุด (Shoulder instability) 
  • ข้ออักเสบ (Arthritis) 
  • ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก (Rotator cuff tear)
  • กระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่ (Impingement syndrome) 

กระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่

โรคกระดูกงอก สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ เมื่อกระดูกเกิดความเสื่อม แตก หัก ซึ่งร่างกายจะนำแคลเซียมไปซ่อมแซมและทำให้กระดูกนั้นๆ เกิดเป็นแคลเซียมที่ผิดธรรมชาติ ที่เรียกว่ากระดูกงอก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับกระดูกทุกส่วนในร่างกาย

สาเหตุของอาการกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่

กระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่ (Impingement syndrome) และภาวะหินปูนเกาะเส้นเอ็น (Calcific Tendonitis) สาเหตุเกิดได้จาก

  1. ความเสื่อมของร่างกายและข้อไหล่ เนื่องจากเมื่อสูงอายุร่างกายจะเกิดความเสื่อมรวมถึงกระดูกที่มีโอกาสเกิดการสึกหรอ ร่างกายสร้างหินปูนขึ้นมาจับและพอกขึ้นจนเป็นกระดูกงอก โดยหินปูนจะงอกออกมาจากกระดูกปกติ แล้วมากดเบียดเส้นเอ็นที่อยู่ด้านล่างของกระดูก ซึ่งพบมากในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป
  2. สาเหตุจากการใช้งาน เช่น การทำงานที่ส่งผลกระทบต่อข้อไหล่มาก ๆ จนทำให้เอ็นที่เกาะกล้ามเนื้อฉีกขาดและไม่ได้รับการรักษา ร่างกายจึงพยายามสร้างหินปูนมาเชื่อมบริเวณที่บาดเจ็บ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และการเล่นกีฬาที่ต้องใช้ข้อไหล่มาก ๆ เช่น การเล่นเวท เทนนิส แบดมินตัน เป็นต้น 

ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก 

ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก (Rotator cuff tear) เกิดจากการเสียดสีกันระหว่างเส้นเอ็นหุ้มข้อไหล่กับปลายกระดูกสะบัก ขณะที่ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะบ่อย ๆ จึงทำให้เกิดอาการปวด แบบเป็น ๆ หาย ๆ ยิ่งขณะยกแขนขึ้นสูงหรือกางแขนออก ผลที่ตามมาคือจะมีการเสื่อมสภาพของเส้นเอ็น จนท้ายสุดอาจทำให้เส้นเอ็นหุ้มข้อไหล่ฉีกขาดได้ โดยช่วงแรกผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณไหล่ด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนมากจะมีประวัติปวดไหล่เวลากลางคืน และปวดมากเวลานอนตะแคงทับแขนด้านที่มีอาการ ในระยะที่รุนแรงจะพบเส้นเอ็นฉีกขาดร่วมด้วย ทำให้แขนอ่อนแรง ยกแขนขึ้นได้ลำบาก 

โรคข้อไหล่ติด 

โรคข้อไหล่ติด (Frozen shoulder) พบมากในช่วงอายุ 50-60 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สาเหตุเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ แล้วเกิดผังผืดในข้อไหล่ ทำให้ข้อไหล่ขยับได้น้อยลง พบบ่อยในกรณีที่กระดูกหักบริเวณแขน ทำให้ผู้ป่วยขยับแขนได้ลดลง ซึ่งทั้งสองภาวะนี้ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการปวดข้อไหล่ที่คล้ายคลึงกัน จนไม่สามารถไขว้มือไปด้านหลังได้สุด ติดตะขอด้านหลังไม่ได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างยากลำบาก จึงควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านข้อไหล่เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคว่าเกิดจากความผิดปกติใด

การรักษาอาการกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่

การรักษาเริ่มแรก แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคจากอาการ การซักประวัติและตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจแบบอื่นเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น ตรวจเอกซเรย์เพื่อดูความผิดปกติของกระดูก หรือตรวจ MRI เพื่อวินิจฉัยภาวะเสื่อมหรือการขาดของเส้นเอ็นบริเวณไหล่ และยังสามารถให้รายละเอียดของกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ได้ดี โดยแบ่งการรักษาออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ

  1. ไม่ต้องผ่าตัด สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่ในระยะเริ่มต้น และไม่มีอาการของข้อไหล่ฉีกขาดร่วมด้วย โดยจะใช้วิธีทานยา ฉีดยา หรือทำกายภาพบำบัด ร่วมกับลดกิจกรรมที่กระทำต่อข้อไหล่ ออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะกล้ามเนื้อฝ่อตัวจากการไม่ได้ใช้งาน บางรายใช้เวลาในการรักษาไม่นาน บางรายรักษาไม่หายทนทรมารต่อความเจ็บปวด หากทำทุกวิธีแล้วยังไม่ดีขึ้นอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด
  2. การผ่าตัดผ่านกล้อง ปัจจุบันวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้นทำให้การผ่าตัดไม่น่ากลัวเหมือนในอดีต เทคโนโลยีการรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องจึงเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก 
  3. การรักษาด้วยคลื่นกระแทกความถึ่สูง (Radial shockwave) เป็นเครื่องบำบัดรักษาอาการเจ็บปวดจากการอักเสบและมีการสะสมของหินปูนที่เอ็นกล้ามเนื้อไหล่ เพิ่มประสิทธิภาพในการสลายแคลเซียม และเพิ่มกระบวนการไหลเวียนเลือด คลื่นกระแทกสามารถส่งผ่านจากภายนอกร่างกายเข้าไปยังตำแหน่งเป้าหมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณไหล่แข็งแรงแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบ และเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวข้อไหล่ให้กลับมาใกล้เคียงปกติได้เร็วขึ้น

ข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก

การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery : MIS) ปัจจุบันถือป็นมาตรฐานการรักษาโรคข้อไหล่ที่ยอมรับทั่วโลก เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่ ร่วมกับมีปัญหาเอ็นข้อไหล่ฉีกขาดร่วมด้วย ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อข้างเคียง เสียเลือดน้อย โอกาสติดเชื้อหลังผ่าตัดต่ำ และลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเปิดแบบในอดีต 

เทคโนโลยี MIS ผ่าตัดผ่านกล้องยังสามารถกรอกระดูกที่งอกกดทับเอ็นข้อไหล่ ผ่าตัดแต่งเนื้อเอ็นที่ขาดให้เรียบ และเย็บซ่อมเอ็นหุ้มข้อไหล่ที่ฉีกขาด ถือเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ โดยคนไข้สามารถทำกายภาพขยับไหล่ได้ตั้งแต่วันแรกหรือวันที่สองหลังผ่าตัด ลดการบาดเจ็บจากการผ่าตัดแบบดั้งเดิมที่ต้องเปิดแผลกว้างเพื่อเข้าไปเย็บเส้นเอ็นเล็ก ๆ เส้นเดียวที่หัวไหล่ ซึ่งกว่าแผลจะหายและคนไข้เริ่มขยับได้ต้องใช้เวลานานนับสัปดาห์ ขณะที่การผ่าตัดผ่านกล้องจะเป็นเพียงการเจาะรูเล็ก ๆ เพื่อส่องกล้องเข้าไปกรอกระดูกที่งอกบริเวณที่เกิดปัญหาได้อย่างตรงจุด คนไข้รักษาตัวในโรงพยาบาลไม่นาน ฟื้นตัวไว ข้อไหล่กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

วิธีป้องกันอาการกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่

เราสามารถป้องกัน เพื่อลดการเกิดภาวะกระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่ได้โดย

  1. ไม่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลไปถึงข้อต่าง ๆ 
  2. รับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วน โดยเฉพาะโปรตีน พืชผัก ผลไม้
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายแบบเต้นหรือแกว่งแขนไปมา เนื่องจากอาจทำให้เอ็นข้อไหล่ทำงานมากขึ้นเกิดการอักเสบหรืออาจฉีกขาดได้
    สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือผู้สูงอายุคือ การเดินไปมาพอให้มีเหงื่อออกประมาณ 15 นาที การบริหารยืดข้อไหล่อย่างช้าๆ และยืดให้สุดจะช่วยเพิ่มพิสัยในการเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ดีขึ้น เช่น การใช้มือไต่ผนัง การรำกระบอง รำมวยจีน เป็นต้น หรือในกรณีที่เป็นนักกีฬาก็จะมีเทคนิคในการวอร์มอัพร่างกายของกีฬาแต่ละชนิด ซึ่งควรปฏิบัติให้ถูกต้องในระยะเวลาพอสมควรอย่างสม่ำเสมอ 


อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกปวดข้อไหล่ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา ป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเรื้อรังที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การใช้ Compound Noun (คำนามประสม) ในภาษาอังกฤษคืออะไร ใช้อย่างไร?

ในบทสนทนา การพูดคุย หรือการเขียนประโยคต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นปกติก็คือ ประธาน + กริยา + กรรม ซึ่งทั้งประธานและกรรมนั้นล้วนแล้วแต่จะเป็นคำนาม หรือ Noun ในภาษาอังกฤษทั้งนั้น แต่คำนามไม่ได้จบแค่คำว่าคำนาม เพราะคำนามก็มีประเภทของมันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น Compound Noun หรือคำนามประสมที่มาเป็นหัวข้อในบทความนี้ ในบทความนี้ Engduo Thailand จะพาคุณไปรู้จักกับ Compound Noun หรือคำนามประสมว่าคืออะไร ใช้อย่างไร มีหลักการในการใช้อย่างไร นอกจากจะบอกว่าคืออะไรและใช้อย่างไรแล้ว ก็ยังมีตัวอย่างคำศัพท์ที่มาจากคำนามประสมและประโยคของการใช้คำนามประสม

Compound Noun หรือ คำนามประสมคืออะไร?

คำนามประสมเป็นคำนามที่เกิดจากรวมคำของ 2 คำขึ้นไป แล้วเกิดความหมายใหม่ โดยคำที่นำมาประสมกันนั้นอาจเป็น นามกับนาม นามกับกริยา นามกับคุณศัพท์ หรืออาจสลับตำแหน่งกันเป็น กริยากับนาม คุณศัพท์กับนามก็ได้ หากยกตัวอย่างเป็นภาษาไทย เช่น หมอน + ข้าง = หมอนข้าง, เตา + รีด = เตารีด, น้ำ + ผึ้ง = น้ำผึ้ง เป็นต้น

หลักการสร้างคำประสม

หลักการสร้างคำประสมสามารถทำได้หลายวิธี แต่จุดสำคัญคือ นำคำ 2 คำขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเป็นความหมายใหม่ ดังนี้

  • Noun + Noun (นาม + นาม) เช่น 

bedroom (ห้องนอน) มาจาก bed (เตียงนอน) + room (ห้อง) 

newspaper (หนังสือพิมพ์) มาจาก news (ข่าว) + paper (กระดาษ)

fish tank (ตู้ปลา) มาจาก fish (ปลา) + tank (ถัง)

  • Noun + Verb (นาม + กริยา) เช่น 

waterfall (น้ำตก) มาจาก water (น้ำ) + fall (ตก)

butterfly (ผีเสื้อ) มาจาก butter (เนย) + fly (บิน)

haircut (ตัดผม) มาจาก hair (ผม) + cut (ตัด)

  • Adjective + Noun (คุณศัพท์ + นาม) เช่น 

greenhouse (เรือนกระจก) มาจาก green (สีเขียว) + house (บ้าน)

high school (ชั้นมัธยม) มาจาก high (สูง) + school (โรงเรียน)

whiteboard (กระดานไวท์บอร์ด) มาจาก white (ขาว) + board (กระดาน)

  • Verb + Noun (คำกริยา + คำนาม) เช่น 

washing machine (เครื่องล้างจาน) มาจาก washing (ล้าง) + machine (เครื่องจักร)

swimming pool (สระว่ายน้ำ) มาจาก swimming (ว่ายน้ำ) + pool (สระ)

sleeping pill (ยานอนหลับ) มาจาก sleeping (นอนหลับ) + pill (ยา)

  • Verb + Adverb/ Preposition (คำกริยา + คำกริยาวิเศษณ์/ คำบุพบท) เช่น

giveaway (ของแถม) มาจาก give (ให้) + away (ห่างออกไป)

take-off (ถอดออก) มาจาก take (เอา, รับ) + off (พ้น, ไกลออกไป)

takeover (รับช่วงต่อ) มาจาก take (เอา, รับ) + over (เกิน)

  • Adverb + Noun (คำกริยาวิเศษณ์+ คำนาม) เช่น 

inside (ข้างใน) มาจาก in (ใน) + side (ด้านข้าง)

downstairs (ชั้นล่าง) มาจาก down (ข้างล่าง) + stairs (บันได)

upstairs (ชั้นบน) มาจาก up (ข้างบน) + stairs (บันได)

  • Adverb + Verb (คำกริยาวิเศษณ์ + กริยา) เช่น 

output (ข้อมูลส่งออก) มาจาก out (ออก) + put (ใส่)

income (รายได้) มาจาก in (ใน) + come (เข้ามา)

outstanding (โดดเด่น) มาจาก out (ออก) + standing (ยืน)

  • Preposition + Noun (บุพบท + นาม) เช่น

underworld (โลกใต้พิภพ) มาจาก under (ภายใต้) + world (โลก)

underground (ใต้ดิน) มาจาก under (ภายใต้) + ground (พื้น)

overrate (เกินจริง) มาจาก over (เกิน) + rate  (ประเมิน)

การเขียนคำประสม 

การเขียนคำประสมมีอยู่ 3 แบบ คือ

1. เขียนทั้งสองคำติดกัน 

เช่น seafood (sea + food), bedroom (bed + room), moonlight (moon + light)

2. เขียนแยกกัน

เช่น bus stop (but + stop), ice cream (ice + cream), fish tank (fish + tank)

3. เขียนแยกกันโดยใช้ เครื่องหมาย hyphen (-) คั่น

เช่น weight-lifting (weight + lifting), mother-in-law (mother + in + law), merry-go-round (merry + go + round)

การใช้คำนามประสม

คำนามประสม สามารถใช้วางตำแหน่งของคำนามในประโยคได้เลย เช่น

  • You better go to your bedroom and rest well tonight.

ถึงเวลาที่เธอต้องเข้านอนเพื่อพักผ่อนสำหรับคืนนี้

  • He has an outstanding musical talent.

เขามีความสามารถที่โดดเด่นด้านดนตรี

  • At last, I graduated from junior high school.

ในที่สุดฉันก็เรียนจบชั้นมัธยมต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


AI สำหรับองค์กรในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว

จากบทสรุปของปีที่ผ่านมา GDP ของไทยโตเกือบต่ำที่สุดเป็นลำดับที่ 9 จาก 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยหลายศูนย์วิจัยคาดการณ์ต่อว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราขยายตัวต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเสียอีกจากทั้งปัจจัยภายนอก

เช่น นโยบายการค้าของคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน และจากปัจจัยภายใน โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับ 90% ของ GDP ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคลที่นำมาใช้แล้วหมดไป ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือการลงทุนเพื่ออนาคต ทำให้การบริโภคในประเทศและการใช้จ่ายจริงอยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางสภาวะนี้ธุรกิจจึงต้องปรับตัวและบริหารจัดการความเสี่ยงให้รอบคอบ

ในปีที่ผ่านมาผมได้ประยุกต์ใช้งาน AI จนกลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานต่างๆ ได้ถึง 70% หรือเพิ่ม Productivity โดยรวมกว่า 3 เท่า!  AI ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วยแก้ไขปัญหา-ช่วยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายองค์กร ทั้งด้านของเวลาและความสมบูรณ์ของงาน มาดูกันครับ ว่าแนวทางที่องค์กรจะสามารถนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่ต้องท้าทายในปีนี้ มีอย่างไรบ้าง

1. Monitor & Predict Key Indicator: ติดตามและคาดการณ์ตัวชี้วัดสำคัญให้เร็วที่สุด

ในยุคที่ผ่านมาหลายองค์กรได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อให้ได้ Data ที่มีคุณภาพ จนไปถึงการทำ Business Intelligence (BI) หรือ Dashboard ที่รวบรวมตัวเลขสำคัญ ทั้งตัวเลขยอดขาย ต้นทุน ข้อมูลสินค้า-สาขา-พนักงาน-ลูกค้า ฯลฯ เพื่อให้ผู้บริหารในระดับต่างๆ มีตาที่สามารถมองเห็นสถานการณ์และตัดสินใจได้บนพื้นฐานของ Data ที่เกิดขึ้นจริง 

พอได้ AI มาผสานกับ BI จนไปถึงการเชื่อมข้อมูลกับระบบต่างๆ ภายในองค์กร เช่น ERP WMS CRM จากเดิมที่ในการตัดสินใจเรื่องหนึ่งอาจต้องดูตัวเลขจาก 3-4 Dashboard ประกอบกัน เช่น สินค้าใดขายดี ควรผลิตหรือสั่งมาสต็อกจำนวนเท่าไร ถึงจะของไม่ขาดไม่เกิน จนไปถึงการวิเคราะห์เจาะลึก เช่น เหตุใดทำไมสินค้านี้ถึงขายดี จะต่อยอดส่งเสริมการขายอย่างไรในสัปดาห์หน้า จะรักษาฐานลูกค้าได้อย่างไรในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จนไปถึงกระบวนการใดในองค์กรที่ผู้บริหารควรเข้าไปดูรายละเอียดเป็นพิเศษ ซึ่ง AI ที่ได้รับการเทรนด้วยข้อมูลและตรรกะวิธีคิดจากผู้บริหารของแต่ละองค์กรสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ เพื่อให้ทางเลือกพร้อมคาดการณ์ผลกระทบจากการตัดสินใจในแต่ละแนวทางด้วยเวลาเพียงไม่ถึงนาที

2. AI-Driven Process Redesign: ออกแบบกระบวนงานระหว่างคนและเครื่องมือ AI

ในยุคที่องค์การต้องใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด สำหรับกิจกรรมและกระบวนการที่พบว่ามีปัญหา หรือพบโอกาสที่สามารถปรับปรุงได้ ไม่ว่าจะเป็น

  • ฝ่ายขาย: ติดต่อประสานงานกับลูกค้าและเพิ่มโอกาสการขาย
  • ฝ่ายบริการลูกค้า: ตอบคำถามและค้นหาข้อมูลจากรูปที่ลูกค้าถ่ายส่งมา
  • ฝ่ายการตลาด: สร้างคอนเทนต์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่
  • ฝ่ายผลิต: วางแผนผลิตและเลือกใช้วัตถุดิบ-ทรัพยากรที่มีจำกัด
  • ฝ่ายจัดส่ง: จัดตารางและเส้นทางเดินรถ
  • ฝ่ายบัญชี: สรุปและวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน
  • ฝ่ายกฎหมาย: ตรวจสัญญา ร่างสัญญา

รวมถึงกรณีการจัดการวิกฤต (Crisis Management) ที่ต้องมีการคาดการณ์และแจ้งเตือนล่วงหน้า การสื่อสาร การจัดการข้อมูล และการตัดสินใจที่รวดเร็ว เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถนำมาปรับใช้เพื่อช่วยในการทำงานของผู้บริหารและพนักงานในแต่ละแผนกให้รวดเร็วขึ้น เพิ่มเวลาให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นงานที่ต้องใช้ความคิดเชิงลึกและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

3. Reshaping Human Resource Strategies: ปรับกลยุทธ์พัฒนาทรัพยากรบุคคล

ผมยืนยันว่าการทำงานที่ผสานรวมระหว่างมนุษย์และ AI อย่างเหมาะสม ได้ผลลัพธ์ดีกว่าการใช้ AIทำงานแทนมนุษย์แน่นอน ดังนั้นกลยุทธ์ในการรักษาและเพิ่มคุณค่าให้กับทรัพยากรบุคคลในยุคนี้ รวมถึงการใช้ AI เพื่อสนับสนุนและยกระดับทักษะของบุคลากร จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและความยืดหยุ่นขององค์กรในยุคที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและต้องปรับทิศทางตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้รวดเร็วกว่าเดิม

วันนี้ นอกจากองค์กรธุรกิจที่ต้องใช้เครื่องมือ AI ให้เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์” เพื่อปรับตัวและวิ่งได้ทันแล้ว องค์กรของรัฐเองก็ต้องปรับตัว เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมให้กับประชาชนได้ทันเช่นกัน ในบทความครั้งหน้า ผมจะมาแชร์ถึงแนวทางและการประยุกต์ใช้สำหรับภาครัฐในมิติต่างๆ ครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“กระเทียม” กับโทษ ข้อเสีย ผลกระทบด้านสุขภาพ แบบที่ไม่ค่อยมีใครบอก

กระเทียมเป็นเครื่องเทศที่หลายคนชอบใช้ในการทำอาหาร เพราะมีกลิ่นและรสชาติที่หอมฉุนเฉพาะตัว เข้ากันได้ดีกับอาหารประเภทสตูว์ ซอส พิซซ่า และพาสต้า นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว กระเทียมยังมีสรรพคุณทางยาที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่ชื่นชอบกระเทียมก็ยังสงสัยว่า การบริโภคกระเทียมในปริมาณมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือไม่

แม้ว่ากระเทียมจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีประโยชน์ แต่การรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างได้

“กระเทียม” กับโทษ ข้อเสีย ผลกระทบด้านสุขภาพ

1.ความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกเพิ่มขึ้น

หนึ่งในผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุดของการรับประทานกระเทียมมากเกินไปคือ ความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากกระเทียมมีคุณสมบัติต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งหมายความว่าอาจช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดได้ แม้ว่าการเกิดเลือดออกจากการรับประทานกระเทียมจะไม่บ่อยครั้ง แต่มีรายงานกรณีหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งมีเลือดออกมากขึ้นหลังจากรับประทานกระเทียม 12 กรัมต่อวัน ซึ่งประมาณ 4 กลีบ เป็นประจำก่อนการผ่าตัด ในอีกกรณีศึกษาหนึ่ง พบว่าผู้ป่วยมีอาการผิวหนังเปลี่ยนสีและมีรอยช้ำมากเกินปกติหลังการผ่าตัด สาเหตุที่เป็นไปได้คืออาหารเสริมที่ผู้ป่วยรับประทาน ซึ่งประกอบด้วยน้ำมันปลาและสารสกัดกระเทียมเข้มข้น 10 มิลลิกรัม ทั้งสองอย่างนี้มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ดังนั้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียม และหากคุณกำลังรับประทานยาใดๆ อยู่หรือมีกำหนดการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มการบริโภคกระเทียมด้วยเช่นกัน

2.กลิ่นปากจากกระเทียม

กระเทียมมีสารประกอบกำมะถันหลายชนิด ซึ่งมักเป็นที่ยอมรับกันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตามสารประกอบเหล่านี้อาจทำให้เกิดกลิ่นปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานในปริมาณมาก ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับกระเทียมสด เพราะการปรุงอาหารจะลดปริมาณของสารประกอบกำมะถันที่มีประโยชน์เหล่านี้ลง ถึงกระนั้นคุณก็สามารถลองใช้วิธีแก้ไขที่บ้านหลายวิธีเพื่อกำจัดกลิ่นปากจากกระเทียมได้

3.ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร

เช่นเดียวกับหอมหัวใหญ่ ผักชีฝรั่ง และหน่อไม้ฝรั่ง กระเทียมมีปริมาณฟรุกตันสูง ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้องในบางคน อันที่จริงเมื่อผู้ที่มีอาการแพ้ฟรุกตันรับประทานอาหารที่มีฟรุกตันสูง ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมฟรุกตันในลำไส้เล็กได้ทั้งหมด แต่จะเคลื่อนตัวไปยังลำไส้ใหญ่และถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งกระบวนการนี้อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติตามอาหาร Low FODMAP ซึ่งเป็นอาหารที่ออกแบบมาเพื่อระบุอาหารชนิดเฉพาะที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร มักจะได้รับคำแนะนำให้จำกัดการบริโภคกระเทียม

4.อาการใจสั่น

หากคุณมีโรคกรดไหลย้อนคุณอาจต้องพิจารณาถึงการลดปริมาณการบริโภคกระเทียม โรคกรดไหลย้อนเป็นภาวะที่พบบ่อย เกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่หลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการ เช่น ใจสั่นและคลื่นไส้ กระเทียมอาจทำให้ความดันของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างลดลง ซึ่งเป็นความสามารถของกล้ามเนื้อที่ส่วนล่างของหลอดอาหารในการปิดและป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นมา ส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ อย่างไรก็ตาม อาหารบางชนิดส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนแตกต่างกัน หากคุณพบว่าการรับประทานกระเทียมในปริมาณมากไม่ทำให้เกิดอาการ คุณอาจไม่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณการบริโภค

ควรกินกระเทียมปริมาณเท่าใด

แม้ว่าจะไม่มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับปริมาณการบริโภคกระเทียม แต่การศึกษาพบว่าการรับประทานกระเทียม 1-2 กลีบ (3-6 กรัม) ต่อวัน อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หากคุณสังเกตเห็นผลข้างเคียงใดๆ หลังจากรับประทานกระเทียมเกินกว่าปริมาณนี้ ควรลดปริมาณการบริโภคลง การปรุงสุกกระเทียมก่อนรับประทานอาจช่วยป้องกันผลข้างเคียง เช่น กลิ่นปาก ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และอาการกรดไหลย้อนได้ หากคุณมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาใดๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอาหารการกินหรือใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a44,000.0044,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,850.0043,206.0044,600.00
ทองรูปพรรณ 90%2,565.0038,885.40n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,280.0034,564.80n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,283.0019,450.28n/a
ทองรูปพรรณ 40%998.0015,129.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,953.0044,767.48n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/01/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.1536.1536.6536.1536.1536.1536.1536.1536.1536.15
แก๊สโซฮอล์ 9135.7835.7836.2835.7835.7835.7835.7835.7835.7835.78
แก๊สโซฮอล์ E2033.9433.9434.4433.9433.9433.9433.9433.9433.94
แก๊สโซฮอล์ E8533.0933.0933.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.7449.8449.8449.8444.74
เบนซิน 9544.4449.8144.9444.5944.44
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า