“บ้านเพื่อคนไทย”ล้านหลัง เอฟเฟกต์อสังหาฯ?ในมุมมองของ “อิสระ บุญยัง”
วิเคราะห์“บ้านเพื่อคนไทย” ผ่านมุมมองความเป็นไปได้ ของ “อิสระ บุญยัง” ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร หากรัฐบาลเดินหน้า โครงการ“บ้านเพื่อคนไทย”1ล้านหลัง
เมื่อพูดถึงปัญหาที่อยู่อาศัยในสังคมไทย หลายคนอาจมองว่าการแก้ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะแม้ในประเทศที่มีเศรษฐกิจเจริญแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา หรือประเทศในยุโรป ก็ยังพบปัญหาคนไร้บ้าน หรือประชาชนที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้ง่ายนัก นั่นจึงทำให้ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไข โดยการสนับสนุนทั้งในด้านการสร้างบ้าน และการสนับสนุนทางการเงิน เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้มีรายได้น้อย
นโยบาย “บ้านเพื่อคนไทย” ล้านหลัง ที่รัฐบาลไทยกำลังผลักดันนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของปัญหาที่อยู่อาศัยในประเทศ ที่แม้จะมีหน่วยงานรัฐหลายแห่งเข้ามาแก้ไขปัญหานี้มาตลอด 50 ปี นับแต่จัดตั้งการเคหะฯจนถึง กุมภาพันธ์ 2567 การเคหะฯจัดสร้างบ้านทุกประเภทรวมกันได้จำนวน 752,169 รวมถึงบ้านเอื้ออาทร ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลในอดีตด้วย(ในขณะนั้นก็มีนโยบายบ้านล้านหลัง)
สถาบันพัฒนาองค์กรขุมชน(องค์การมหาชน ) ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งของรัฐ ซึ่งนอกจากจะมีบทบาทสนับสนุนการรวมตัวของชาวบ้านของชุมชน ในการปัญหาการประกอบอาชีพ ในเรื่องรายได้ เรื่องสวัสดิการขุมชน ก็ยังมีบทบาทในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนด้วย ที่เรารู้จักในชื่อ “บ้านมั่นคง” ซึ่งดำเนินการไปแล้วกว่า 1 แสนหน่วย ในหลายร้อยทำเลทั่วประเทศ
รวมถึงการจัดตั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ตั้งแต่ ปี 2519 ก็เพื่อให้มีบทบาทหลัก ในการสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้ -น้อยปานกลาง และในหลายวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา ธนาคารอาคารสงเคราะห์มีบทบาท ช่วยแก้ปัญหาเรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้เป็นอย่างมาก ทั้งช่วงวิกฤตการทางเศรษฐกิจ 2540 รวมถึงสถานการณ์สินเชื่อช่วงโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน
ต่อคำถามที่ว่า ถ้ารัฐบาลมีนโยบาย จะสร้าง“บ้านเพื่อคนไทย”1 ล้านหลัง จะกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคเอกชนอย่างไร?
กรณีของบ้านเพื่อคนไทยในปัจจุบัน ใช้ที่ของการรถไฟ แม้จะมีที่ดินทั่วประเทศก็ไม่ครอบคลุมการเลือกทำเลที่ตั้ง(Location )ที่เป็นความต้องการ(Demand )ของประชาชน ที่เลือกทำเลที่ต้องด้วยปัจจัยที่หลากหลาย
หรืออาจใช้ที่ดินของหน่วยงานอื่น แต่กรณีที่ดินของรัฐก็ยังคงเป็นสิทธิ “การเช่า” ไม่สามารถเป็นกรรมสิทธิ์ได้ ด้วยเงื่อนไขผู้ซื้อ และการพัฒนาอยู่ในกรอบผู้”มีรายได้น้อย-ปานกลาง” ผ่อนชำระ 4,000+ ไม่กระทบต่อการพัฒนาที่อยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าของภาคเอกชน
ส่วนภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือผู้ที่พัฒนาตามเกณฑ์ BOI ซึ่งปัจจุบัน ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ทั่วประเทศ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำทั้งผู้พัฒนาและผู้ซื้อบ้าน ซึ่งเกณฑ์ BOI เป็นเกณฑ์ที่จะหมดอายุ เดือนธ.ค. 2568
หากภาครัฐไม่อยากให้มีผลกระทบต่อเอกชนที่พัฒนาในกลุ่มนี้อาจ”เพิ่ม”สิทธิประโยชน์สำหรับผู้พัฒนากลุ่มนี้ เช่น การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ กำหนดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองของผู้ซื้อในอัตราต่ำ และที่สำคัญคือการกำหนดเกณฑ์ BOI เป็นการถาวรเหมือนในอดีต และรัฐบาลจะถือว่ามาตรการส่งเสริม จูงใจให้เอกชนพัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ว่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” แต่ผู้ซื้อจะมีทางเลือกที่ได้ เป็นกรรมสิทธิ์ ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นการแข่งขันกับภาคเอกชน พร้อมกันนั้นก็จะให้มีการกระจายทำเลที่หลากหลาย ตามความต้องการทั่วประเทศ
ความท้าทายในการใช้ที่ดินของรัฐ
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่า นโยบายการสร้างบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยใช้ที่ดินของการรถไฟ หรือหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ อาจดูเหมือนเป็น”ทางเลือก”ที่ง่ายในการแก้ปัญหาการ”ขาดแคลน”ที่อยู่อาศัย แต่ในความเป็นจริง การเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย! เนื่องจากที่ดินของรัฐบางแปลงอาจไม่ได้อยู่ในทำเลที่ประชาชนต้องการ หรือไม่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น การเดินทาง หรือการเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ
นอกจากนี้ ที่ดินของรัฐหลายแปลงเป็นเพียงสิทธิ”การเช่า”เท่านั้น! ซึ่งหมายความว่าแม้ประชาชนจะมีบ้านแล้ว ก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ นี่คือหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาโครงการนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ทุกคนได้อย่างเต็มที่
ผลกระทบต่อภาคเอกชน
การสร้างบ้านจำนวนมากจากภาครัฐอาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้พัฒนาที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI (Board of Investment) ที่ทำให้สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยได้ในราคาต่ำ และได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ซื้อบ้านในกลุ่มนี้
สำหรับภาคเอกชนที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลางหรือสูงกว่า การที่รัฐบาลเข้ามามีส่วนในการพัฒนาโครงการบ้านสำหรับคนมีรายได้น้อย อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในตลาด เนื่องจากการผ่อนชำระของผู้ซื้อในโครงการของรัฐบาลอาจถูกกว่าการผ่อนชำระในโครงการของภาคเอกชน ดังนั้น สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ภาครัฐให้กับภาคเอกชนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ภาคเอกชนไม่รู้สึกว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายนี้
การประสานงานหลายภาคส่วน
การสร้างบ้านล้านหลังเพื่อคนไทย”ไม่ใช่”แค่เรื่องของการเลือกที่ดินและการก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่างหลายหน่วยงานทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงการกำหนดมาตรการทางการคลังและการสนับสนุนจากภาครัฐที่จะทำให้โครงการนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี
ตัวอย่างเช่น กระทรวงการคลังต้องกำหนดมาตรการส่งเสริมด้านภาษี การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการช่วยลดค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านสามารถเข้าถึงโครงการนี้ได้ ขณะเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยต้องมีการปรับปรุงผังเมืองและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถสร้างบ้านในบางพื้นที่ได้
การกระจายทำเลที่ตั้ง
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ โดยไม่ให้เกิดปัญหา”ล้นตลาด”( Oversupply) ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและหน่วยงานที่รับผิดชอบ
อิสระ ย้ำว่า หากรัฐบาลสามารถประสานความร่วมมือจากหลายภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ล้านหลังก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และเป็นการตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลางได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ โครงการนี้ยังสามารถช่วย”ลด”ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเสริมสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจครัวเรือนในประเทศไทยได้อีกด้วย
การร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมไทยในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เผยวิชั่น นายกสมาคมฯรับสร้างบ้านคนใหม่ มุ่งสร้างแบรนด์-คุณภาพ-ขยายตลาด
อนันต์กร อมรวาที ขึ้นแท่นนายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านคนใหม่ เปิดวิสัยทัศน์ ผ่านกลยุทธ์ B-Q-O มุ่งสร้างแบรนด์ พัฒนาคุณภาพสมาชิก พร้อมขยายตลาดทั่วประเทศ
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดตัวนายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมฯ คนใหม่ พร้อมแผนการขับเคลื่อนองค์กรในวาระ 3 ปี (2568-2570) เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงของผู้บริโภคทั่วประเทศ
นายอนันต์กรเปิดเผยว่า สมาคมฯ จะมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ด้วยการดำเนินงานตามภารกิจ “B-Q-O” ดังนี้
- Brand Awareness สร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์สมาคมฯ และบริษัทสมาชิกให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงคุณค่าและความแตกต่างจากธุรกิจอื่น เช่น การสร้างบ้านพร้อมขาย หรือรับเหมาก่อสร้าง และส่งเสริมความเชื่อมั่นในบริการของสมาชิกสมาคมผ่านการสื่อสารบนแพลตฟอร์มสื่อใหม่
- Quality พัฒนาคุณภาพของสมาชิกสมาคมฯ ด้วยการคัดเลือกบริษัทที่มีมาตรฐานสูงสุดทั่วประเทศ พร้อมจัดฝึกอบรมและพัฒนางานด้านวิชาการร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อนำคู่มือมาตรฐานการก่อสร้างมาใช้และให้บริการที่ตรงใจผู้บริโภค
- Organization พัฒนาระบบฐานข้อมูลสถิติของสมาชิกสมาคมฯ ให้มีประสิทธิภาพ และขยายพื้นที่เก็บข้อมูลไปทั่วประเทศ เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายอนันต์กรยังย้ำว่า สมาคมฯ ให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) โดยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ร่วมกันในชุมชน ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้รับรางวัลสมาคมการค้ายอดเยี่ยม 2 ปีซ้อนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
สำหรับสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านปี 2568 นายอนันต์กรคาดว่า กลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทจะเผชิญการชะลอตัวจากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนกลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาท ได้รับผลกระทบปานกลาง ขณะที่กลุ่มบ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปยังคงมีความมั่นคงสูง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ม.ค. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทหากแข็งค่าหลุดโซนแนวรับสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยปิดสถานะ Short THB เพิ่มเติม มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ม.ค. 2568 ที่ระดับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 34.26 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท การทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทจนหลุดโซนแนวรับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า
ทำให้เราต้องกลับมามองใหม่ว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following อีกทั้งในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI, MACD และ Stochastic ใน Time Frame รายวันของเงินบาท (USDTHB)
สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้ โดยต้องจับตาว่า เงินบาทจะสามารถแข็งค่าหลุดโซนแนวรับสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้หรือไม่ เพราะการแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าว อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยปิดสถานะ Short THB เพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดสถานะ Short THB มาพอสมควร หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 34.50 จนถึง โซน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้การปรับสถานะดังกล่าว อาจไม่ได้เร่งให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วและแรงในระยะสั้น
ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมได้บ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ ความกังวลต่อนโยบายพลังงานของรัฐบาล Trump 2.0 ที่กดดันราคาน้ำมันดิบ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อน้ำมันดิบ (Buy on Dip) ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน เพราะหากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ทยอยกลับเข้ามาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย ก็อาจช่วยหนุนเงินบาทให้ทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรป ทั้ง ข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ และดัชนี ZEW ของเยอรมนีและยูโรโซน ซึ่งอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ BOE และ ECB ทำให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินยูโร (EUR) เคลื่อนไหวผันผวนในช่วงดังกล่าวได้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 34.05-34.30 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์
ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ลงบ้าง จากรายงานข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจยังไม่รีบเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากประเทศต่างๆ ทันที
แต่จะเริ่มประเมินความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ อาทิ จีน แคนาดา และเม็กซิโก ก่อน นอกจากนี้ สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ย้ำจุดยืนลดราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิต ยังได้กดดันราคาน้ำมันดิบ
อีกทั้งลดความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทำให้ล่าสุด ท่าทีของรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ต่อนโยบายการค้าและพลังงาน ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดกลับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เป็น 76%
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการปรับสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลงของบรรดาผู้เล่นในตลาด) หลังเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Martin Luther King Jr. ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ท่ามกลางความหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล Trump 2.0
และแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้สัญญาฟิวเจอร์สของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้นราว +0.5% ส่วนสัญญาฟิวเจอร์สหุ้นขนาดเล็ก (อ้างอิงดัชนี Russell 2000) พุ่งขึ้นราว +1.5%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.05% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มยานยนต์ อาทิ BMW +2.8% ท่ามกลางความหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจยังไม่รีบเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +1.2% หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวยุโรปก็ทยอยปรับตัวลดลง ตามบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นบริษัทยายักษ์ใหญ่ Novo Nordisk -4.2%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.55% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เป็น 76% ท่ามกลางความหวังว่ารัฐบาล Trump 2.0 อาจยังไม่เร่งรีบเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้า
อีกทั้งรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ก็อาจเน้นนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งอาจกดดันราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลงบ้าง ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูง
ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 20 อย่างใกล้ชิด ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ นอกจากนี้ การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ ได้หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซน 155 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงสู่โซน 108 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108-109.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน ท่ามกลางแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,730-2,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (ZEW Economic Sentiment) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 อย่างใกล้ชิด พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Netflix
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 34.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.10-34.12 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่าสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกและทิศทางของค่าเงินเอเชียหลายสกุล ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงเผชิญแรงขาย หลังสุนทรพจน์หลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า จะทำการศึกษาข้อมูลก่อนที่จะพิจารณาปรับภาษีสินค้านำเข้า โดยจะยังไม่มีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับประเทศคู่ค้าในทันที
อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงเฝ้าติดตามสัญญาณจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ในประเด็นต่างๆ ที่คาดว่าจะทยอยเปิดเผยออกมาหลังจากนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องนโยบายการค้ากับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของสหรัฐฯ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.95-34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทยพร้อมต้อนรับนักแบดมินตันทั่วโลกบู๊ศึกปริ๊นเซส ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส
ประเทศไทยพร้อมต้อนรับนักกีฬาแบดมินตันระดับโลกปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
วันที่ 20 มกราคม 2568 ณ โรงแรมอโนมาแกรนด์ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานแถลงข่าวประกาศความพร้อมในการจัดการแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ระดับนานาชาติ “ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” (Princess Sirivannavari Thailand Masters 2025) ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนท์เก็บคะแนนสะสมอันดับโลกที่ได้การรับรองจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ทัวร์นาเมนต์ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,160,000 บาท ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
ในงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันรายการใหญ่ระดับนานาชาตินี้ ได้รับเกียรติจาก คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และ นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คุณปรีชา ลาลุน รองผู้ว่าการ ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา คุณทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ คุณณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คุณสุรเดช สนธิอรุณทัต ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฟาร์อีสท์สเปเชี่ยลลิตี้ จำกัด และสื่อมวลชน ตลอดจนนักกีฬาแบดมินตันไทยเข้าร่วมในงานแถลงข่าว
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “แฟน ๆ แบดมินตันชาวไทยเตรียมส่งเสียงเชียร์ทัพนักตบลูกขนไก่ไทยแบบติดขอบสนามได้อีกครั้ง สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมจัดการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ รายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025″ ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมอันดับโลกในระดับ BWF World Tour Super 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,160,000 บาท โดยการแข่งขันจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ”
“อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักกีฬาไทยได้แข่งขันในบ้าน เก็บคะแนนสะสม และขยับอันดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้การสนับสนุนจากแฟนกีฬาชาวไทย นอกจากการส่งเสริมศักยภาพของนักกีฬาไทย รายการนี้ยังช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย และส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนักกีฬา ทีมงานผู้เข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึงการถ่ายทอดสดที่เข้าถึงผู้ชมทั่วโลก”
“การแข่งขันยังเปิดโอกาสให้นักกีฬาแบดมินตันดาวรุ่งของไทยได้สัมผัสประสบการณ์ที่ล้ำค่าในการลงสนามแข่งขันระดับ BWF World Tour Super 300 ซึ่งเป็นการปูทางให้นักกีฬารุ่นใหม่พัฒนาศักยภาพไปสู่เวทีระดับโลก”
“หลังสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส วงการแบดมินตันโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีการประกาศเลิกเล่นของนักกีฬาตัวท็อประดับโลกในหลายประเภท อีกทั้งยังมีการสลับปรับเปลี่ยนทีมในประเภทคู่จากหลายประเทศ ทำให้รายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025″ กลายเป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความสนใจจากนักกีฬาดาวดังและผู้ฝึกสอนจากทั่วโลก ซึ่งอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่ เพื่อเก็บคะแนนสะสมและยกระดับอันดับโลก”
“การแข่งขันในปีนี้คาดว่าจะเต็มไปด้วยความสนุกและเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยการจับสายการแข่งขันจะมีขึ้นในวันที่ 21 มกราคม 2568 จึงขอเชิญชวนแฟน ๆ แบดมินตันทุกท่านร่วมส่งแรงเชียร์และเป็นกำลังใจให้นักกีฬาขวัญใจชาวไทยในสนามการแข่งขันครั้งนี้”
“เบื้องต้นได้รับความสนใจจากนักกีฬาดาวดัง อาทิ เอชเอส พรอนนอย มืออันดับ 26 ของโลกจากอินเดีย , อึ้ง กาลอง อังกุส มืออันดับ 16 ของโลกจากฮ่องกง, พรูตี กุสุมา วานาดี้ มืออันดับ 17 ของโลกจากอินโดนีเซีย, มูฮัมมัด โชฮีบุล ฟรีคี่ กับ ดาเนียล มาร์ติน ชายคู่มืออันดับ 30 ของโลกจากอินโดนีเซีย, ลีโอ โรลลี่ คานานโด้ กับ บาร์กัส มัวลาน่า ชายคู่มืออันดับ 24 ของโลกจากอินโดนีเซีย, คัง มินย๊อค กับ คิม วอนโฮ ชายคู่จากเกาหลีใต้, ทรีซ่า โจลี่ กับ กายาตี โกปีชาล พรูเรร่า หญิงคู่มืออันดับ 9 ของโลกจากอินเดีย , เกา ซินวา กับ เฉิน ฟางฮุ้ย คู่ผสมมืออันดับ 11 ของโลกจากจีน , ตัง ชุนมาน กับ อึ้ง ซื่อเหยา คู่ผสมจากฮ่องกง”
“ส่วนนักกีฬาไทยจะนำทีมโดย “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก 2024 พร้อมด้วย “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ,”ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์, “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์, “พี” พีรัชชัย สุขพันธุ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล, “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน,”อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด,”บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน, “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์, และ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย”
นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ในนามของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ผมมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันแบดมินตัน รายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025″ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในวันนี้”
“การแข่งขันรายการนี้นอกจากจะเป็นการแข่งขันระดับเวิร์ลทัวร์ ซูเปอร์ 300 ยังนับเป็นอีกหนึ่งรายการสำคัญในการเก็บคะแนนสะสมของนักกีฬาแบดมินตันนานาชาติรวมทั้งนักกีฬาแบดมินตันของไทย เพื่อจะได้สะสมอันดับโลก (World Ranking) ให้ติดอยู่ในระดับท้อปของโลก”
“ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของรายการ โตโยต้ามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนา วงการกีฬาแบดมินตันไทยให้ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยโตโยต้าเชื่อมั่นว่าการจัดการแข่งขันในประเทศไทยครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่นักกีฬาไทยจะได้ แสดงศักยภาพและสร้างสรรผลงานที่ยอดเยี่ยมและสร้างความสนุก เร้าใจและความสุขให้กับแฟนกีฬาแบดมินตันไทย อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทย ให้หันมาสนใจเล่นกีฬาแบดมินตันให้มากยิ่งขึ้น ผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยเข้าชมการแข่งขันและร่วมเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาของไทยในการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย”
ตารางการแข่งขันครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ดังนี้
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2568 รอบคัดเลือก 09.00 น.-16.00 น.
ชายคู่ หญิงคู่ รอบแรก 15.00 น. – 22.00 น.
วันพุธที่ 29 มกราคม 2568 รอบแรก 09.00 น. – 21:00 น.
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2568 รอบสอง 12.00 น. – 21.00 น.
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 รองก่อนรองชนะเลิศ 13.00 น. – 21.00 น.
วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 รอบรองชนะเลิศ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 รอบชิงชนะเลิศ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป
รายชื่อนักกีฬาที่จะเดินทางมาร่วมชิงชัยในรายการ “ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” สำหรับรายชื่อนักแบดมินตันที่ประกาศออกมาแล้วเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา ประเภทชายเดี่ยว มีนักกีฬาชั้นนำอาทิ อึ้ง กาลอง อังกุส มืออันดับ 17 ของโลกจากฮ่องกง , เอช.เอส. ปรานอย มืออันดับ 26 ของโลกจากอินเดีย , ชิโก้ ออร่า ดาวี่ วาโดโย่ มืออันดับ 31 ของโลกจากอินโดนีเซีย , ซู ลี่หยาง มืออันดับ 33 ของโลกจากไต้หวัน , ปรียานชู ราชาวัต มืออันดับ 34 ของโลกจากอินเดีย , เจีย เฮง เจสัน เที๊ยะ มืออันดับ 35 ของโลกจากสิงคโปร์ , จอน ย็อกจิน มืออันดับ 37 ของโลกจากเกาหลีใต้ ส่วนนักกีฬาแบดมินตันไทยนำมาโดย “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 5 ของโลก เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก 2024 พร้อมด้วย “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 39 ของโลก และ “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตนสกุล มืออันดับ 52 ของโลก
ประเภทหญิงเดี่ยว โดยเฉพาะสาวไทยพาเหรดลงสนามกันเต็มอัตราศึก นำโดย “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 17 ของโลก , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ เต็ง 1 ของรายการ มืออันดับ 11 ของโลก , “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 14 ของโลก , “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 45 ของโลก , “จิว” ลลินรัศฐ์ ไชยวรรณ มืออันดับ 70 ของโลก , “มินนี่” ธมลวรรณ นิธิอิทธิไกร มืออันดับ 80 ของโลก และ “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 116 ของโลก
ส่วนคู่แข่งของสาวไทยนั้นจะมี ปุซาลา วี.สินธุ เจ้าของแชมป์โลกปี 2019 มืออันดับ 15 ของโลกจากอินเดีย , พูตี้ กุสุมา วาดานี่ มืออันดับ 18 ของโลกจากอินโดนีเซีย , ลีเน่ เคียร์สเฟลด์ท มืออันดับ 25 ของโลกจากเดนมาร์ก , ซิม ยูจิน มืออันดับ 27 ของโลกจากเกาหลีใต้ , ไป่ ยู่โป มืออันดับ 31 ของโลกจากไต้หวัน
ประเภทชายคู่ มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในการสลับคู่ หลังจากจบศึกโอลิมปิกเกมส์ 2024 อาทิ ซาบาร์ คาร์ยามาน กุตมา กับ โมห์ เรซ่า ปาห์เลวี อิสฟาฮานี คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากอินโดนีเซีย , เป็นการจับการคู่ใหม่ของเกาหลีใต้ คัง มินฮุ๊ก กับ คิม วอนโฮ , หลิว หยาง กับ หวง ดี้ คู่มืออันดับ 76 ของโลกจากจีน , ชุง ฮอนเจียน กับ มูฮัมหมัด ไฮคาล คู่มืออันดับ 21 ของโลกจากมาเลเซีย , ลีโอ โรลลี่ คาร์นานโด้ กับ บาร์กัส มัลลาน่า คู่มืออันดับ 22 ของโลกจากอินโดนีเซีย , มูฮัมหมัด โชฮิบุล ฟิครี้ กับ ดาเนียล มาร์ติน คู่มืออันดับ 28 ของโลกจากอินโดนีเซีย ด้านนักแบดมินตันไทย นำโดย “พี” พีรัชชัย สุขพันธุ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล มืออันดับ 30 ของโลก , “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มืออันดับ 101 ของโลก ที่ได้กลับมาจับคู่กันใหม่อีกครั้ง , “ทีม” วรพล ทองสง่า กับ “โอ๊ต” เฉลิมพล เจริญกิจอมร คู่มืออันดับ 68 ของโลก และ “เบส” พงศกร ทองคำ กับ “โบ๊ท”วงศกร ทองคำ คู่มืออันดับ 88 ของโลก
ประเภทหญิงคู่ นำโดย เฟเบรียนา ดาวีพูจี กุสุมา กับ อเมเลีย คาฮายา ปราติวี่ คู่มืออันดับ 9 ของโลกจากอินโดนีเซีย , เทสซ่า โจลลี่ กับ พูเรลล่า กายาตรี้ โกปีชาน คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากอินเดีย , เจสิตา พูตรี้ เมียนโตโร กับ เฟบี้ เซเทียนิงรัม คู่มืออันดับ 33 ของโลกจากอินโดนีเซีย ด้านนักแบดมินตันไทย นำโดย สองพี่น้องอย่าง “อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา เบญญาภา “เอี่ยมสอาด คู่มืออันดับ 18 ของโลก , “เกน” ลักษิกา กัณละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มืออันดับ 17 ของโลก , “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิลด์” สุกฤตา สุวะไชย คู่มืออันดับ 42 ของโลก
ประเภทคู่ผสม นำโดย เกา ซินวา กับ เฉิน ฟางฮุ้ย คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากจีน เจ้าของแชมป์ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 , ตัง ชุนมาน ที่ได้สลับคู่จาก ซื่อ หยิงซวด มาเป็น อึ๊ง ซื่อเหยา , เรนาล นูฟาล คูชานจานโต้ กับ กลอเลีย เอ็มมานูเอล วิดจาจ้า , ลี ยองมิน กับ แช ยูจุง , รินอฟ ริวัลดี้ กับ ลิซ่า อายู กุสุมาวาติ คู่มืออันดับ 28 ของโลกจากอินโดนีเซีย ด้านนักแบดมินตันไทย นำโดย “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 57 ของโลก ที่ได้จับคู่ใหม่และกำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม , “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มืออันดับ 26 ของโลก , “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มืออันดับ 27 ของโลก และอีกคู่ที่ได้จับคู่กันมาใหม่ก็คือ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 110 ของโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
สังเกตอาการ “โรคเท้าเป็นรู” สาเหตุ “เท้าเหม็น” ที่คุณอาจไม่รู้
เท้าเหม็นมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในสาเหตุที่มาจากการเป็น “โรค” คือ “โรคเท้าเป็นรู” ผศ.ดร.พญ.จิตติมา ฐิตวัฒน์ แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล มีข้อมูลของโรคนี้มาฝากกัน
โรคเท้าเป็นรู คืออะไร?
โรคเท้าเป็นรู หรือ โรคเท้าเหม็น (Pitted keratolysis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียจากการที่เราเป็นคนเหงื่อออกที่เท้าเยอะ ฝ่าเท้าจะมีลักษณะเป็นรูๆ เต็มไปหมด เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ที่ฝ่าเท้าจะสร้างสารที่ทำให้บริเวณผิวหนังเกิดการสลาย จึงทำให้เกิดเป็นรูๆ ขึ้นมา มีรอยโรคบริเวณฝ่าเท้าของคนไข้ ฝ่าเท้าจะเป็นรูเล็กๆ เกิดขึ้นเต็มบริเวณฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง มีน้ำเหลืองซึม มีกลิ่นเหม็นมาก
สาเหตุของโรคเท้าเป็นรู หรือโรคเท้าเหม็น
เกิดจากการใส่รองเท้านานๆ หรือการทำกิจกรรมที่ทำให้เท้าเปียกชื้นตลอดเวลา
วิธีรักษาโรคเท้าเป็นรู หรือโรคเท้าเหม็น
หลังจากที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคเท้าเป็นรู หรือโรคเท้าเหม็น แพทย์อาจพิจารณาจ่ายยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- ยาฟอก
- ยาทาผิวหนัง ยาทาลดเหงื่อ
- ยากิน
วิธีป้องกันโรคเท้าเป็นรู หรือโรคเท้าเหม็น
- ใส่ใจดูแลรักษาความสะอาดของเท้าให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ
- ทำความสะอาดเท้าเช้า-เย็น วันละ 2 รอบ ถูสบู่ทุกซอกทุกมุม เช็ดให้แห้งสนิทก่อนสวมถุงเท้ารองเท้าทุกครั้ง
- ไม่ควรทำความสะอาดเท้าบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนถลอก หรือแห้งเกินไป เสี่ยงติดเชื้อได้มากขึ้น
- ตัดเล็บ ทำความสะอาดเล็บและซอกเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ
- ใครที่จำเป็นต้องใส่รองเท้า ทำให้เท้าอบอับชื้นจากเหงื่อทุกวัน ให้ถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแทน
- หากมีเหงื่อออกที่เท้าเยอะมากระหว่างวัน อาจใช้พัดลมเป่าเท้าได้
- พกถุงเท้าสำรองไปเปลี่ยนระหว่างวัน
- ใช้แป้ง สารส้ม หรือโรลออนที่ระงับเหงื่อที่รักแร้ มาทาที่ฝ่าเท้าเพื่อช่วยลดเหงื่อได้เช่นกัน
โรคเท้าเป็นรู หรือโรคเท้าเหม็น รักษาให้หายได้ เมื่อดูแลรักษาเท้าให้แห้งสะอาด ไม่อับชื้นอยู่ตลอดเวลา แต่หากหายแล้วกลับไปมีพฤติกรรมแบบเดิมอีก โรคก็อาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเช่นกัน ดังนั้นควรหมั่นดูแลความสะอาดเท้าอย่างดีเป็นประจำ จะช่วยให้ไม่กลับมาเป็นโรคซ้ำได้อีกแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อานิสงส์การเติบโต AI หนุนความต้องการจัดเก็บข้อมูลบนฮาร์ดไดรฟ์พุ่ง
ผลสำรวจเทรนด์เทคโนโลยีระลอกใหม่ ! AI เติบโตสูง ด้านซีเกทเผยความต้องการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว 61% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ขององค์กรโดยฮาร์ดไดรฟ์ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ภายในปี 2028
จากผลสำรวจล่าสุดระดับโลกโดย Recon Analytics ที่ได้รับการสนับสนุนจากซีเกท เทคโนโลยี โดยทำการสอบถามผู้นำในภาคธุรกิจจาก 15 อุตสาหกรรม ใน 10 ประเทศ ซึ่งคาดการณ์แนวโน้มทางเทคโนโลยีโลกว่าการนำแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ จะสร้างปริมาณข้อมูลมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และกระตุ้นความต้องการในการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ด้วยการพัฒนาฮาร์ดไดรฟ์ที่มีความสามารถในการปรับขนาดได้และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนต่อเทราไบต์ ผู้ให้บริการคลาวด์จึงต้องพึ่งพาฮาร์ดไดรฟ์ในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล โดยข้อมูลล่าสุดจาก IDC ระบุว่า 89% ของข้อมูลที่จัดเก็บโดยผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำถูกจัดเก็บบนฮาร์ดไดรฟ์ ขณะที่ผลสำรวจจาก Recon Analytics พบว่าเกือบสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม (61%) จากบริษัทที่ใช้คลาวด์ในการจัดเก็บข้อมูลหลัก คาดว่าการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ของพวกเขาจะเติบโตมากกว่า 100% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
“ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการจัดเก็บข้อมูลที่กำลังจะเพิ่มสูงขึ้น โดยฮาร์ดไดรฟ์เป็นตัวเลือกหลักที่ชัดเจน” นายโรเจอร์ เอนท์เนอร์ ผู้ก่อตั้งและนักวิเคราะห์หลักของ Recon Analytics กล่าว “เมื่อพิจารณาว่าผู้นำธุรกิจที่เราสำรวจมีแนวโน้มที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในคลาวด์มากขึ้น คลาวด์จึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะขับเคลื่อนการเติบโตทางเทคโนโลยีในระลอกที่สองนี้”
ข้อมูลสำคัญจากผลสำรวจ:
• 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าพวกเขาใช้ AI ในปัจจุบัน
• 61% ของผู้ใช้คลาวด์เป็นหลัก ชี้ว่าการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
• การจัดเก็บข้อมูลถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอันดับสองในโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยอันดับหนึ่งคือความปลอดภัย
• ตามลำดับความสำคัญ: ความปลอดภัย, การจัดเก็บข้อมูล, การจัดการข้อมูล, ความสามารถของเครือข่าย, การประมวลผล, การกำกับดูแล, ความเป็นไปได้ของ LLM, พลังงาน
• ในบรรดาธุรกิจที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้แล้ว ร้อยละ 90 เชื่อว่าการเก็บรักษาข้อมูลที่ยาวนานขึ้นจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของผลลัพธ์ AI
• 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้ AI เชื่อว่าการนำ AI ที่น่าเชื่อถือ (Trustworthy AI) มาใช้ จำเป็นต้องเพิ่มความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลานานขึ้น
ผลสำรวจสนับสนุนแนวโน้มขององค์กรที่มีการเก็บรักษาข้อมูลในระยะยาวมากขึ้น เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการฝึก AI ให้มีประสิทธิภาพ ในการให้ AI นวัตกรรมและการใช้งานยังคงดำเนินต่อไป ผลลัพธ์และผลการทำงานของ AI จำเป็นต้องมีความแม่นยำมากขึ้น
” Trustworthy AI คือกุญแจสำคัญในการผลักดันให้เกิดการนำ AI มาใช้ในวงกว้าง” นายบีเอส เต๊ะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ของซีเกทกล่าว และเสริมว่า “ด้วยผลสำรวจที่ชี้ให้เห็นว่าองค์กรส่วนใหญ่ต้องการจัดเก็บข้อมูลในระยะเวลานานขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพผลลัพธ์ของ AI เราจึงมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมด้านความหนาแน่นของแผ่นจัดเก็บข้อมูล (Areal Density) เพื่อเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี HAMR โดยซีเกทมีแผนการที่ชัดเจนในการเพิ่มความจุต่อแผ่นจัดเก็บให้มากกว่าสองเท่าอนาคตอันใกล้นี้”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
30 สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาหาร (Food Idioms)
เพื่อน ๆ เคยเป็นกันไหมคะเวลาดูหนัง ฟังเพลง หรือพูดคุยกับชาวต่างชาติแล้วได้ยินคำศัพท์หรือประโยคที่เกี่ยวกับอาหารหรือมีชื่ออาหารอยู่ แต่ฟังยังไงก็ยังไม่เข้าใจซะที หรือบางทีแปลได้แล้วแต่ก็เหมือนไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่ นั่นเพราะเค้าไม่ได้หมายความตามที่พูด แต่ใช้ Food Idioms หรือสำนวนที่เกี่ยวกับอาหารแต่ไม่ได้หมายถึงอาหารในบทสนทนานั่นเอง!
วันนี้ วอลล์สตรีท อิงลิช มีตัวอย่าง Food Idioms ที่ชาวต่างชาติมักใช้กันเป็นประจำมาฝาก ตามมาดูกันได้เลยว่ามีคำว่าอะไรบ้าง แล้วอย่าลืมนำไปลองใช้กันดูน้าาา
- A piece of cake = ง่ายมาก
- A hard nut to crack = เข้าใจยาก (มักใช้พูดถึงคนที่ดูลึกลับ)
- Apples and oranges = แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
- Apple of one’s eye = ผู้เป็นที่รัก, แก้วตาดวงใจ
- Bad egg = ตัวปัญหา
- Big cheese = คนสำคัญ (VIP)
- Bread and butter = รายได้หลัก, รายได้เลี้ยงชีพ
- Bring home the bacon = หาเลี้ยงครอบครัว
- Butter up = ประจบประแจง
- Cool as a cucumber = ใจเย็น, สุขุม
- Cream on the crop = คนเก่ง, หัวกะทิ
- Don’t cry over spilt milk = อย่ามัวแต่เสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
- Eat humble pie = ยอมรับผิด
- Egg someone on = การยุยงให้ใครบางคนทำอะไรบางอย่าง
- Full of beans = พลังเยอะเหลือล้น
- Have bigger fish to fry = มีงานที่สำคัญกว่าให้ทำ
- Icing on the cake = โชคสองชั้น
- In a nutshell = โดยสรุป, แบบคร่าว ๆ
- In the soup = ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
- Know your onions = รู้ลึก รู้จริงในเรื่องนั้น
- One smart cookie = คนเก่ง, ฉลาดมาก
- Pie in the sky = ฝันลม ๆ แล้ง ๆ, วาดวิมานกลางอากาศ
- Pull all of one’s eggs in one basket = เชื่อมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากไป
- Sell like hot cakes = ขายดิบขายดี
- Spice things up = ทำให้ตื่นเต้นมากขี้น
- Spill the beans = เปิดเผยความจริง, เผยความลับ
- Stew in one’s own juice = ถูกทิ้งให้แค้นใจและผิดหวังตามลำพัง
- To have a bun in the oven = ตั้งครรภ์
- Use your noodle = ใช้ความคิด
- Walk on the eggshells = ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
“ขี้เหล็ก” กับผลกระทบ ข้อเสีย ข้อควรระวังก่อนกิน
ขี้เหล็กเป็นพืชสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามท้องตลาด นอกจากจะนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนูแล้วยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจตามตำราแพทย์แผนไทย โดยส่วนต่างๆ ของต้นขี้เหล็ก ไม่ว่าจะเป็น ดอก ใบ ฝัก เปลือก หรือราก ล้วนมีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆ ได้แก่
- ช่วยระบบขับถ่าย: ขี้เหล็กมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยแก้อาการท้องผูก
- บำรุงร่างกาย: ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี และกระตุ้นให้เจริญอาหาร
- ดูแลเส้นผม: ช่วยขจัดรังแค ทำให้ผมสะอาด ชุ่มชื้น และเงางาม
- ผ่อนคลายและช่วยให้นอนหลับ: ในขี้เหล็กมีสารบาราคอล ซึ่งมีฤทธิ์ในการกล่อมประสาท ทำให้นอนหลับสบายขึ้น
ผลกระทบ ข้อเสียของ “ขี้เหล็ก”
การรับประทานขี้เหล็กในลักษณะที่นำใบขี้เหล็กไปตากแห้งแล้วบรรจุเป็นเม็ด อาจทำให้เกิดการเสื่อมและการตายของเซลล์ตับ หรืออาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ทำให้เกิดโรคตับได้ ซึ่งการรับประทานขี้เหล็กอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใบเพสลาดหรือตั้งแต่ยอดอ่อนถึงใบขนาดกลาง และนำไปต้มให้เดือด เทน้ำทิ้งสัก 2-3 น้ำ แล้วค่อยนำมาปรุงอาหารหรือนำไปทำเป็นยา ซึ่งวิธีการแบบพื้นบ้านนี้จะช่วยฆ่าฤทธิ์และทำลายสารที่เป็นอันตรายต่อตับได้ และยังช่วยลดความขมลงอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/01/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,800.00 | 43,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,837.00 | 43,008.92 | 44,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,553.30 | 38,708.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,269.60 | 34,407.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,277.00 | 19,359.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 993.00 | 15,053.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,940.00 | 44,570.40 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/01/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.15 | 36.15 | 36.65 | 36.15 | 36.15 | 36.15 | 36.15 | 36.15 | 36.15 | 36.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.78 | 35.78 | 36.28 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | – | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.09 | 33.09 | – | – | – | – | – | – | – | 33.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.74 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.74 |
เบนซิน 95 | 44.44 | – | – | – | 49.81 | – | 44.94 | 44.59 | – | 44.44 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |