สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 มกราคม 2568

จับตาทำเลฮอต!อยู่ใกล้แหล่งงาน มหาวิทยาลัย

สำรวจของ Terra Byte พบ ทำเลฮอต! อัตราการดูดซับสูงใกล้แหล่งงาน มหาวิทยาลัย คอนโดมิเนียม ย่านบางนา-ลาดกระบัง โตแรง ทาวน์โฮม โซนรามอินทรา-มีนบุรี ติดท็อป บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด บูมฝั่งตะวันตก

จากการสำรวจของ Terra Byte พบว่าทำเลอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการดูดซับ (Absorption rate) สูงสุดในปี 2567 ที่ยังคงร้อนแรงต่อเนื่องในปี 2568 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในกรุงเทพฯ รอบนอก โดยเฉพาะทำเลที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมอย่างรถไฟฟ้า BTS และ MRT รวมถึงทำเลใกล้แหล่งงาน มหาวิทยาลัย สะท้อนความต้องการที่ชัดเจนและการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

คอนโดมิเนียม : บางนา-ลาดกระบัง โตแรง

สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม ทำเล “บางนา-ลาดกระบัง” น่าจับตามองมากที่สุดในปีนี้  มีการเติบโตถึง 12% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 69,000 บาทต่อตารางเมตร  เนื่องจากทำเลดังกล่าวมีการเชื่อมต่อกับโครงข่ายคมนาคมใหม่ๆ เช่น รถไฟฟ้า BTS ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งงานสำคัญ

ทำเลอื่นๆ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ “รามคำแหง-บางกะปิ” ราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร เติบโต 4.9%  สะท้อนการเพิ่มขึ้นของดีมานด์จากกลุ่มลูกค้าชั้นกลาง-สูง ขณะที่ “รังสิต-คูคต” และ “เกษตร-รามอินทรา” ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงระดับ 2-3% ราคาเฉลี่ย 67,000-85,000 บาทต่อตารางเมตร

ทาวน์โฮม : รามอินทรา-มีนบุรี ติดท็อป

ตลาดทาวน์โฮม “รามอินทรา-มีนบุรี” เป็นทำเลที่เติบโตสูงสุด 7.8% ราคาขายเฉลี่ย 2.89 ล้านบาทต่อยูนิต การเติบโตนี้เกิดขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพราะทำเลสามารถเชื่อมต่อได้ง่ายกับตัวเมือง มีความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งงาน โรงเรียน  ตลาดรองลงมา คือ “บางแค-เพชรเกษม”  เติบโต 2.3% ราคาเฉลี่ย 2.99 ล้านบาท และ “บางนา-บางบ่อ” เติบโต 1% ราคา 2.49 ล้านบาท ขณะที่ “พุทธมณฑล-ศาลายา” เติบโตสูงสุดในกลุ่มทาวน์โฮมที่ 10% ราคาขายเฉลี่ย 2.5 ล้านบาท แม้ว่าบางทำเลอย่าง “รังสิต-ปทุมธานี” มีเติบโตลดลง หรือ ติดลบ 1% แต่ยังคงเป็นตลาดที่มีความต้องการในระดับหนึ่ง เพราะราคาเข้าถึงได้ง่าย

บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด : บูมฝั่งตะวันตก

เมื่อมองไปที่ตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด พบว่า ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ยังคงเป็นทำเลที่มีอัตราการขายสูงสุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยทำเล “บางใหญ่-บางบัวทอง” ราคาเฉลี่ย 4.99 ล้านบาท เติบโต 4% “สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ” และ “เพชรเกษม-บางบอน” เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 8% และ 6% ตามลำดับ

ทำเลอื่นๆ อย่าง “รามอินทรา-วงแหวน-จตุโชติ” และ “สมุทรปราการ-บางนา” กำลังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค แม้ว่าการเติบโตในบางพื้นที่อาจไม่สูงเท่าฝั่งตะวันตก แต่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

ข้อมูลข้างต้นสะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายคมนาคม พื้นที่แหล่งงาน โดยเฉพาะ “บางนา-ลาดกระบัง” สำหรับคอนโดมิเนียม “รามอินทรา-มีนบุรี” สำหรับทาวน์โฮม และ ฝั่งตะวันตก สำหรับบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด การเติบโตของแต่ละทำเลสะท้อนความต้องการในแต่ละกลุ่มลูกค้า ทั้งด้านราคาที่จับต้องได้และการเข้าถึงบริการ การคมนาคมที่สะดวกสบาย ทำให้การลงทุนในทำเลเหล่านี้มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


งูเล็กพ่นพิษแรง! ฉุดอสังหาฯ ซึมลึก เบรกลงทุน เปิดโครงการใหม่ต่ำสุดรอบ15ปี

งูเล็กพ่นพิษแรง! ฉุดอสังหาฯ ซึมลึก เบรกลงทุน เปิดโครงการใหม่ต่ำสุดรอบ15ปีจากปัญหารุมเร้าจาก “ความไม่แน่นอน” ภายในและภายนอกประเทศแลนด์แอนด์เฮ้าส์ -เฟรเซอร์ฯ-ศุภาลัย เปิดตัวโครงการ“ลดลง”

ภาวะเศรษฐกิจปี 2568 ส่อแววหลายปัญหารุมเร้าจาก “ความไม่แน่นอน” ในหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเตรียมรับมือกับความความท้าทายรอบด้านแบบขนานใหญ่ พิสูจน์ฝีมือ “ตัวจริง” ที่จะอยู่รอดได้!

หลังเปิดศักราชใหม่เดือนแรกแห่งปีนี้ บรรดาดีเวลลอปเปอร์บิ๊กคอร์ปทยอยประกาศแผนประจำปี สะท้อนทิศทางธุรกิจ เริ่มจากพี่ใหญ่แห่งวงการ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ประกาศชัดว่าปี 2568 จะเปิดโครงการใหม่เพียง 4 โครงการ ต่ำสุดในรอบ 20 ปีทีเดียว  ขณะที่ “เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้” เตรียมเปิด 6 โครงการ ล่าสุด “ศุภาลัย” เปิดตัว 36 โครงการใหม่ มูลค่า 46,000 ล้านบาท มากสุดขณะนี้ แต่เทียบปีก่อน “ลดลง” จากที่เปิดตัว 41 โครงการ มูลค่า 52,380 ล้านบาท

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 จะมีการเปิดตัวโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล น้อยที่สุดอย่างมีนัยสำคัญในรอบ 15 ปีย้อนหลัง ซึ่งขณะนั้นตัวเลขการเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 60,000 ยูนิต แต่ปีนี้อาจน้อยกว่านั้น เพราะตลาดแนวราบเปิดน้อยลง ส่วนคอนโดมิเนียมการขอ EIA (Environmental Impact Assessment Report) หรือ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ยังน้อยอยู่  ฉะนั้นมีโอกาสอย่างมากที่การเปิดตัวโครงการในภาพรวมปีนี้จะต่ำสุดในรอบ 15 ปี!

จากประสบการณ์ในปีที่ผ่านมา พบว่า ดีมานด์ไม่ได้หายไป แม้ว่าหลายคนมองว่าตลาด “ไม่ดี” แต่คอนโดมิเนียมพร้อมโอน พร้อมขายของศุภาลัย “ขายดีมากที่สุด” ในรอบ 10 ปี สะท้อนว่าดีมานด์ยังมีอยู่ แต่จำนวนซัพพลายมี “จำกัด” ขณะที่ดอกเบี้ยปี 2568 มีแนวโน้มปรับ “ลดลง” ท่ามกลางการรอคอยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว พร้อมกับความหวังว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาอีกครั้้ง นั่นหมายความว่า “จุดต่ำสุด” ของอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้ตลาดปีนี้ไม่เลวร้ายไปกว่าปี 2567

“ไม่ว่าตลาดจะดีหรือแย่ แต่การที่สถานะการเงินของเราแข็งแรง มีความพร้อมในทุกด้าน ศุภาลัยจะใช้โอกาสในช่วงที่การเปิดตัวโครงการไม่เยอะในการกินมาร์เก็ตแชร์คู่แข่ง”

ขณะที่ ธนพล ศิริธนชัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ของบริษัทปี 2568 สะท้อนถึงการปรับตัว และมุ่งสร้างการเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศโดยมองว่าการมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ สร้าง “แรงกดดัน” ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกและการลงทุนในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ที่ยังคงพึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลัก ขณะเดียวกันการส่งออกก็มีความไม่แน่นอนจากกำแพงภาษีสหรัฐ

นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในตลาดทุนของไทยยังอยู่ในภาวะอ่อนไหว หนี้ครัวเรือนสูง และการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดจากธนาคาร ส่งผลให้การลงทุนในธุรกิจต่างๆ ชะลอตัว ขณะที่การดำเนินธุรกิจในหลายภาคส่วนต้นทุนสูงขึ้นจากค่าแรงและราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

“ภาคอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มที่ท้าทายในหลายๆ ส่วน เช่น ตลาดบ้านหรูที่เริ่มอิ่มตัวจากการที่ซัพพลายเพิ่มขึ้น แต่ดีมานด์กลับลดลง โดยเฉพาะบ้านระดับลักชัวรี ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมยังคงมีการเติบโตจากความต้องการของลูกค้าชาวต่างชาติ”

เฟรเซอร์สฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่หลายแห่งทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดระดับลักชัวรี รวมถึงคอนโดมิเนียมและทาวน์โฮมพรีเมียมในทำเลต่างๆ เช่น กรุงเทพ นครราชสีมา และขอนแก่น รวมทั้งการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะ “จีน” ด้วยการจัดโรดโชว์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจโครงการคอนโดมิเนียม ปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน

นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) ประเมินว่า อสังหาริมทรัพย์ปี 2568 อยู่ในภาวะ “ทรงตัว” แม้จะมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง และคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโต 2.9% แต่เครืื่องยนต์เศรษฐกิจใหญ่อย่างการส่งออก “ชะลอตัว” ทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่สูงมากนัก ทั้งยังเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิม ขณะที่ความต้องการซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับแรงกดดันจากสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) และภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ยอดปฏิเสธสินเชื่อ หรือ รีเจกต์เรตสูง!

จากตัวเลขรีเจกต์เรตเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20% ของบริษัทในทุกกลุ่มระดับราคา สะท้อนว่าตลาดยังมีความเสี่ยง! จำเป็นต้งปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยปีนี้มีการเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท 

“การเปิดตัวลดลง 64% จากปีที่ผ่านมา ที่มีการเปิดตัว 12 โครงการใหม่ มูลค่า 30,850 ล้านบาท ซึ่ง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราทยอยลดการพัฒนาโครงการลงมาเรื่อยๆ จากอดีตเคยเปิด 15-16 โครงการต่อปี เหลือ 11-12 โครงการ ล่าสุดลงมาที่ 4 โครงการ เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี เราพยายามบาลานซ์พอร์ตให้เหมาะสม”

ก่อนหน้านี้ มีบางดีเวลลอปเปอร์ส่งสัญญาณ “ไม่เปิดตัวโครงการใหม่” หรือ “เปิดตัวลดลง” หนึ่งในนั้น ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2568 ไม่มีแผนเปิดโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ เพราะตลาดยังไม่ฟื้นตัวดี มีปัญหาขอสินเชื่อไม่ผ่าน โดยเฉพาะกลุ่ม 3 ล้านบาท เป็นผลจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูง ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ

ปัจจุบัน บริษัทยังมีโครงการเพียงพอที่จะรับรู้รายได้ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดโครงการใหม่เพิ่ม โดยมีโครงการเก่า “บ้าน” และ “คอนโดมิเนียม” มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท พอต่อการรองรับดีมานด์ลูกค้าในช่วงเวลานี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ม.ค. “ทรงตัว”ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงระหว่างวันทิศทางการเคลื่อนไหวอาจขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำ แต่การแข็งค่าอาจถูกจำกัดโดยแรงซื้อเงินดอลลาร์โดยเฉพาะจากฝั่งผู้นำเข้า

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้30 ม.ค.2568 ที่ระดับ  33.74 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท ผลการประชุม FOMC ของเฟดในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจเรียกได้ว่า เป็น “Non-Event” ที่แทบไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ

ทำให้เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.20 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุม ECB เรามองว่า ทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาท ก็อาจขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำด้วยเช่นกัน โดยหากราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ก็จะช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

ทว่า เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจถูกจำกัดโดยแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้า ทำให้เงินบาทก็อาจยังติดอยู่แถวโซนแนวรับ 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์  ไปก่อนได้

อย่างไรก็ดี ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายหุ้นไทยได้บ้างในช่วงนี้

ทั้งนี้ เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ECB จะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ พร้อมส่งสัญญาณชัดเจน เดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม

โดยผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสราว 59% ที่จะลดดอกเบี้ยได้รวม 4 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้ ทำให้ หากผลการประชุม ECB ไม่ได้สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาด

เช่น ECB ลดดอกเบี้ยตามคาด แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจทำให้ เงินยูโร (EUR) กลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง กดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways ต่อ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.85 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และช่วง Press Conference ของประธาน ECB)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.71-33.87 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ตามการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด

ทั้งนี้ เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ทยอยปรับตัวลดลงบ้าง แม้ว่า เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% ตามคาด

อีกทั้งประธานเฟด Jerome Powell ยังย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยก็ตาม ส่วนผู้เล่นในตลาดยังคงมุมมองเดิมว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ และอีกราว 1 ครั้ง ในปี 2026 อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่รีบร้อนปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ เพื่อรอติดตามผลการประชุม ECB ในช่วงค่ำของวันพฤหัสฯ นี้เช่นกัน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันบ้าง หลังประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ หุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia -4.1% ก็เผชิญแรงเทขายอีกครั้ง

ท่ามกลางความกังวลว่า รัฐบาล Trump 2.0 อาจออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปของ Nvidia ให้กับจีน หลังการเปิดตัว AI จีน “DeepSeek” ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.47%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.50% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor โดยเฉพาะ ASML +5.6% ซึ่งได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ออกมาแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองหุ้นยุโรปอย่างชัดเจน 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.60% หลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.54% ใกล้เคียงกับระดับในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด หลังผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า เฟดอาจสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปีนี้

นอกจากนี้ บรรยากาศระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดก็มีส่วนกดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 20 อย่างใกล้ชิด ทำให้เราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคาซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจ)

 ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด ทว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ก็ทำให้เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม ECB ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินยูโร (EUR) และเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงสู่โซน 108.0 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.9-108.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมีความผันผวนพอสมควร ตามแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ราว 2 ครั้ง

รวมถึงบรรยากาศระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดก็พอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 2,790-2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง

เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย (Press Conference โดยประธาน ECB ในช่วง 20.45 น.)

โดยเรามองว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจยูโรโซนและทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่จะทยอยกลับสู่เป้าหมาย 2% ของ ECB จะทำให้ ECB มีตัดสินใจ “ลดดอกเบี้ยนโยบาย” (Deposit Facility Rate) 25bps สู่ระดับ 2.75%

และมีโอกาสที่ ECB จะส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องได้ ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป โดยเฉพาะในกรณีที่เศรษฐกิจยูโรโซนเผชิญแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 ที่ผ่านมา

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 ด้วยเช่นกัน พร้อมรอติดตามรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

และในฝั่งญี่ปุ่น ช่วงราว 6.30 น. – 6.50 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รวมถึง รายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.74-33.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย (แต่ในภาพรวมยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ)  โดยเงินบาททยอยได้รับแรงหนุนจากทิศทางเงินเยนที่แข็งค่า และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก หลังจากเงินดอลลาร์ฯ แทบไม่ได้รับแรงหนุนจากมติของเฟดที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบ 4.25-4.50% ตามที่ตลาดคาด

และส่งสัญญาณว่าเฟดไม่รีบร้อนที่จะปรับดอกเบี้ย (โดยจะติดตามดูพัฒนาการของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า) โดยแรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด ย้ำว่า เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอลง 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้  ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.60-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากผลการประชุมเฟด

ประเด็นเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลการประชุม ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567และข้อมูลยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือน ธ.ค.  
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เมย์ รัชนก” ควง “หมิว พรปวีณ์” ฉลุยรอบสองแบดมินตัน ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส

การแข่งขันแบดมินตัน ในศึก “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ทัวร์นาเมนต์ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2568

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก

  • “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ ชนะ เธท ฮาตาร์ ธูซาร์ (เมียนมา) 2-0 เกม (21-7 และ 21-13)
  • “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ชนะ “เจเจ” ณัฏฐ์นลิน รัตนภาณุวงศ์ 2-0 เกม (21-9 และ 21-10)
  • “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ ชนะ ยูเลีย โจเซฟีน ซูซานโต (อินโดนีเซีย) 2-0 เกม (21-17 และ 21-17)
  • “จิว” ลลินรัศฐ์ ไชยวรรณ ชนะ แอกเนส โคโรซี่ (ฮังการี) 2-0 เกม (21-12 และ 21-14)
  • “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ ชนะ เชอยาลชี วาลิเช็ตตี้ (อินเดีย) 2-0 เกม (21-7 และ 21-13)

ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก

  • “กัน” กันตภณ หวังเจริญ ชนะ “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตน์สกุล 2-1 เกม (21-17, 19-21 และ 21-16)

ประเภทคู่ผสม รอบแรก

  • “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ / “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ชนะ ฮัง กุ้ยชุน / เจิง ฮิวหยาน (ฮ่องกง) 2-0 เกม (21-11 และ 21-8)
  • “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล / “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ ชนะ ราสมุส เอสเพอร์เซน / อเมเลีย เซซิเลีย คุซ (เดนมาร์ก) 2-0 เกม 21-17, 21-13
  • “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ / “เฟม” ศุภิสรา เพียวสรามพราน ชนะ ไถ่ ฟูเฉิง / ซุง ยู่ซวน (ไต้หวัน) 2-0 เกม (21-9 และ 21-9)
  • “มิกซ์” รัชพล มรรคศศิธร / “หว่าหวา” นัทธมน ไล้สวน ชนะ ไล่ โปหยู / หลิน เสี่ยวหมิน (ไต้หวัน) 2-1 เกม (21-18, 10-21 และ 21-16)
  • โรฮาล คูปอร์ / รุชวีก้า ชิวานี่ การ์เด้ (อินเดีย) ชนะ “ปริ๊น” วีรภัทร ภาคจรุง / “เป้” ศรารัตน์ เชื้อบ่อคา 2-0 เกม (21-8 และ 21-6)
  • “จ็อบ” สุรสิทธิ์ อริยะบารนีกุล / “แบม” อทิตยา โปวานนท์ ชนะ “มิก” กิติพัฒน์ กานต์นิธิวัฒน์ / “ฟ้าใส” วรกร จิตต์เจริญ 2-0 เกม (22-20 และ 21-16)
  • “โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบันลือกิจ / “กวางตุ้ง” ฟุ้งฟ้า กอปรธรรมกิจ แพ้ เกา เจียซวน / หวู เม็งหยิง (จีน) 1-2 เกม (21-18, 11-21 และ 16-2)

ประเภทชายคู่ รอบแรก

  • “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ / “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล ชนะ “ภีม” ภรัณยู ขาวสำอางค์ / “ปุ้น” ธนดล พันธ์พานิช 2-0 เกม (21-19 และ 21-9)

สำหรับการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนต์ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 จะแข่งขันระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อากาศวันนี้ ฝุ่น PM 2.5 ยึดกรุงเทพฯ สีส้ม 14 เขต นครปฐม-ระยอง หนักกว่า เตือนระดับสีแดง

อากาศวันนี้ ฝุ่น PM 2.5 ยึดกรุงเทพฯ สีส้ม 14 เขต นครปฐม-ระยอง หนักสุดค่าพุ่งเตือนระดับสีแดง

ฝุ่น PM 2.5 ที่ปกคลุมทั่วกรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สีส้มเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 14 เขต ขณะที่จังหวัดนครปฐม สมุทรสงคราม ระยอง ค่าฝุ่นเป็นสีแดง พุ่งเกินมาตรฐาน

เมื่อเวลา 07:00 น. วันที่ 30 มกราคม 2566 ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 35.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)

12 อันดับของค่าฝุ่น PM 2.5 เขตสูงสุดในกรุงเทพมหานคร

1. เขตคลองสามวา 46 มคก./ลบ.ม.
2. เขตลาดกระบัง 43.9 มคก./ลบ.ม.
3. เขตบางขุนเทียน 43.4 มคก./ลบ.ม.
4. เขตภาษีเจริญ 42.9 มคก./ลบ.ม.
5. เขตพระโขนง 42.7 มคก./ลบ.ม.
6. เขตคันนายาว 41.6 มคก./ลบ.ม.
7. เขตหนองจอก 41.5 มคก./ลบ.ม.
8. เขตหนองแขม 40.9 มคก./ลบ.ม.
9. เขตธนบุรี 40.1 มคก./ลบ.ม.
10. เขตหลักสี่ 40 มคก./ลบ.ม.
11. เขตมีนบุรี 39.6 มคก./ลบ.ม.
12. เขตวังทองหลาง 38.6 มคก./ลบ.ม.

กรุงเทพเหนือ
29.9 – 40 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม: อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

กรุงเทพตะวันออก
34.1 – 46 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม: อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

กรุงเทพกลาง
26.6 – 38.6 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม: อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

กรุงเทพใต้
28.9 – 42.1 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม: อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

กรุงธนเหนือ
31.5 – 40.1 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม: อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

กรุงธนใต้
32.7 – 43.4 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม: อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

ฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ภาพรวม: คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

ข้อแนะนำสุขภาพ:

คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 

ประชาชนทั่วไป: ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM 2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา

ประชาชนกลุ่มเสี่ยง: ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM 2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์

ขณะที่แอปฯ IQAir ตรวจสอบคุณภาพอากาศ รายงานว่า เมื่อเวลา 07:47 น. พบพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน 10 อันดับแรกของไทย ได้แก่

  • อ.เมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
  • อ.ปลวกแดง จังหวัดระยอง
  • อ.เมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม
  • อ.เมืองระยอง จังหวัดระยอง
  • อ.เมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
  • อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี
  • อ.เมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
  • อ.บางละมุง จังหวัดชลบุรี
  • อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
  • อ.หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เทคกูรู มองนโยบายทรัมป์ 2.0 ตัวเร่ง AI จีน บุกยึดหัวหาดไทย 

สงครามเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ โดยเฉพาะ AI กลับมาอีกรอบ โดยนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชัดเจน ต้องการเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 ทันทีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2 ก็ได้ลงนามเพิกถอนคำสั่งการบริหารงานของไบเดน ที่ลงนามไว้เมื่อ 2567 อันเป็นข้อจำกัดในการพัฒนา AI

นอกจากนี้ทรัมป์ ยังเชิญผู้นำ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย นายมาซาโยชิ ซัน ผู้ก่อตั้งซอฟต์แบงก์กรุ๊ป คอร์ป นายแซม อัลท์แมน ซีอีโอ OpenAI และนายแลร์รี เอลลิสัน ซีอีโอ ออราเคิล คอร์ป มาประชุมที่ทำเนียบขาว เพื่อจัดตั้งบริษัทสตาร์เกต ที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 17 ล้านล้านบาท

โดยเบื้องต้น 3 บริษัทจะลงทุนก่อน 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.7 ล้านล้านบาท จะขยายให้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะสร้างงานด้าน AI ในสหรัฐฯสูงถึง 1 แสนตำแหน่ง

“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอพพ์เทคโนโลยี จำกัด (iAPP) หนึ่งในกูรูด้าน AI ของไทย ถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 รวมไปถึงโอกาส และการปรับตัวของไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ดร.กอบกฤตย์ กล่าวว่ายุคทรัมป์ 2.0 จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้นักพัฒนาจีน โดยเฉพาะในสาย AI หันมามองไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย 

1. เกิดการเปลี่ยนเส้นทางการค้าและเทคโนโลยีของจีนภายใต้นโยบายกดดันของสหรัฐฯ จีนต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งสร้างพันธมิตรในตลาดที่เปิดกว้างกว่า ไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค และมีความสัมพันธ์ที่ดีทางการค้ากับจีน จึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยี AI หรือการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา หรือ R&D

2. ความต้องการโซลูชัน AI ในตลาดไทย โดยประเทศไทยกำลังผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และการแพทย์ ซึ่งเป็นจุดที่ AI สามารถเข้ามาแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพได้ทันที จีนซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing: NLP)และ Computer Vision จึงอาจมองไทยเป็นโอกาสในการขยายตลาดและทดลองนวัตกรรมใหม่

3. ข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดตะวันตก หากสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายกีดกัน บริษัทเทคโนโลยีจีนจำเป็นต้องมองหาตลาดที่มีศักยภาพและข้อจำกัดน้อยกว่า ซึ่งไทยเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี และกำลังเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น 5G และ Data Center

4. บทบาทของไทยในระบบนิเวศ AI สำหรับไทยเอง การดึงดูดนักพัฒนาจีนและบริษัทเทคโนโลยีจีน ไม่ได้เป็นเพียงโอกาสในการรับการลงทุน แต่ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรไทยผ่านการถ่ายทอดความรู้ การร่วมวิจัย และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไทยต้องทำเพื่อดึงดูดการเคลื่อนตัวนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ 

 1. นโยบายส่งเสริม AI อย่างจริงจัง เช่น ตั้งหน่วยงานที่ดูแลด้าน AI ของไทยอย่างจริงจัง, การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี, การตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนา AI

 2. การสร้างบุคลากร AI ที่มีคุณภาพ ซึ่งตอนนี้ไทยขาดบุคลากรด้าน Digital และ AI อย่างมาก (มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital น้อยกว่า 1% ของประชากร ในขณะที่สิงคโปร์มี 8% และเพื่อนบ้านในอาเซียนมี 3% เป็นอย่่งต่ำ) เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาร่วมกัน

3. การกำหนดบทบาทของไทยในภูมิภาค ไทยต้องสร้างความแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซียหรือเวียดนาม ด้วยความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่ยืดหยุ่น

ดังนั้น หากเราสามารถวางตำแหน่งของไทยให้เป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในสายตานักพัฒนาจีน มองว่าโอกาสที่ไทยจะเป็นจุดหมายสำคัญในยุคนี้มีสูงมาก แต่เราต้องทำให้เร็วและชัดเจน เพราะการแข่งขันในภูมิภาคนี้จะดุเดือดมากขึ้นแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คำว่า สวย ดูดี ไม่ได้มีแค่ Beautiful! มารูัศัพท์ในการชมก่อนใคร ให้ตัวเองดูโปรแบบ 3000%

เมื่อพูดถึงคำว่า สวย ภาษาอังกฤษ หรือ ดูดี หลายคนอาจนึกถึงคำว่า “Beautiful” ที่เป็นคำพื้นฐานที่ใช้อธิบายความงามในภาษาอังกฤษ แต่จริงๆ แล้วภาษาอังกฤษมีคำศัพท์อื่น ๆ ที่สามารถใช้แทนคำนี้ได้หลายคำ ขึ้นอยู่กับบริบทหรือคุณสมบัติที่ต้องการเน้นย้ำ บางคำอาจใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า “Beautiful” เช่น ความงามที่มีเสน่ห์หรือความน่าสนใจในแบบต่างๆ ในบทความนี้ เราจะมาคุยถึงคำศัพท์ที่สามารถแปลว่า “สวย” หรือ “ดูดี” ที่ไม่ใช่แค่ “Beautiful” เท่านั้น เพื่อให้คุณสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้หลากหลายและเหมาะสมยิ่งขึ้นในทุกสถานการณ์

คำว่า สวย ภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีแค่ Beautiful

ยังมีคำอื่นๆให้ได้เลือกใช้อีก ได้แก่ Pretty –
ใช้สำหรับคำที่แสดงถึงความสวยที่น่ารัก หรือดูดีในแบบอ่อนหวาน Gorgeous – ใช้สำหรับคำที่แสดงถึงความสวยที่โดดเด่น หรือสวยงามมาก Lovely – ใช้เมื่ออยากบอกว่าอะไรบางอย่างหรือคนดูน่ารักหรือสวยงามในวิธีที่อบอุ่น Stunning – ใช้เมื่ออยากบอกว่าความสวยนั้นทำให้คนมองตะลึง Attractive – ใช้เพื่อบอกถึงความดึงดูดสายตาหรือความน่าสนใจ Radiant – ใช้เมื่อพูดถึงความสวยที่มีแสงสว่างหรือเปล่งประกาย Exquisite – ใช้เมื่อพูดถึงความสวยในรายละเอียดที่ละเอียดและมีความประณีต Enchanting – ใช้เพื่อบอกถึงความสวยที่มีเสน่ห์และทำให้หลงใหล Breathtaking – ใช้เมื่อบรรยายถึงความสวยที่ทำให้หายใจไม่ออกหรือเหลือบมองCharming – ใช้เมื่อพูดถึงความสวยที่มีเสน่ห์และดึงดูดใจ เป็นต้น

ศัพท์และการเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับสิ่งต่าง ๆ

  1. Beautiful
  • ความหมาย: สวยในลักษณะกว้าง ๆ ใช้ได้กับทั้งคน, สถานที่, หรือสิ่งของทั่วไป
  • ใช้เมื่อ: ต้องการพูดถึงความสวยโดยรวม หรือความสวยที่ลึกซึ้งและมีคุณค่า
  • ตัวอย่างThe sunset is beautiful.
  • ตัวอย่าง (คน)She is a beautiful woman.
  1. Pretty
  • ความหมาย: สวยในแบบที่น่ารัก อ่อนหวาน มักใช้พูดถึงสิ่งที่มีความน่ารักมากกว่าความหรูหรา
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงคนหรือสิ่งที่มีความน่ารักในลักษณะสง่างาม
  • ตัวอย่างYou look pretty today.
  • ตัวอย่าง (สิ่งของ)The flowers are pretty.
  1. Gorgeous
  • ความหมาย: สวยโดดเด่นและหรูหรา มักใช้เมื่อพูดถึงสิ่งที่สวยมากจนทำให้ตกตะลึง
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงความสวยที่ดึงดูดและสะดุดตา
  • ตัวอย่างYou look gorgeous in that dress.
  • ตัวอย่าง (สถานที่)The view from the top of the hill is gorgeous.
  1. Lovely
  • ความหมาย: สวยในลักษณะที่อบอุ่น, น่ารัก, หรือมีเสน่ห์
  • ใช้เมื่อ: ต้องการบรรยายความสวยที่ทำให้รู้สึกดีหรืออบอุ่น
  • ตัวอย่างShe has a lovely smile.
  • ตัวอย่าง (สิ่งของ)What a lovely gift!
  1. Stunning
  • ความหมาย: สวยจนทำให้ตะลึง หรือไม่สามารถมองข้ามได้
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงความสวยที่เหนือความคาดหมาย หรือทำให้คนตกใจ
  • ตัวอย่างThe model looked stunning on the runway.
  • ตัวอย่าง (ทิวทัศน์)The view of the ocean was stunning.
  1. Attractive
  • ความหมาย: มีเสน่ห์หรือความดึงดูดใจ ไม่จำเป็นต้องสวยตามมาตรฐานทั่วไป แต่มีเสน่ห์ที่ดึงดูด
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงความดึงดูดที่ไม่จำเป็นต้องสวยแบบคลาสสิก
  • ตัวอย่างHe has an attractive personality.
  • ตัวอย่าง (คน)She has an attractive smile.
  1. Radiant
  • ความหมาย: สวยที่เปล่งประกายหรือมีความสดใส
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงความสวยที่ส่องแสงออกมา เช่น ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งหรือความสดใสในท่าทาง
  • ตัวอย่างShe looked radiant at the wedding.
  • ตัวอย่าง (คน)Her face was radiant with happiness.
  1. Exquisite
  • ความหมาย: สวยในลักษณะที่ละเอียด, ประณีต หรือหรูหรา
  • ใช้เมื่อ: ต้องการพูดถึงความสวยที่มีคุณภาพสูงหรือพิถีพิถัน
  • ตัวอย่างThe designer shoes are exquisite.
  • ตัวอย่าง (งานศิลปะ)The painting is exquisite.
  1. Enchanting
  • ความหมาย: สวยที่มีเสน่ห์และทำให้หลงใหล
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงสิ่งที่มีความน่าหลงใหล ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์
  • ตัวอย่างThe music was enchanting.
  • ตัวอย่าง (สถานที่)The forest is enchanting at night.
  1. Charming
  • ความหมาย: สวยในลักษณะที่มีเสน่ห์ ทำให้ผู้คนประทับใจ
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงความสวยที่ดึงดูดใจในลักษณะที่อบอุ่นหรือสุภาพ
  • ตัวอย่างHe has a charming personality.
  • ตัวอย่าง (สถานที่)The café has a charming atmosphere.
  1. Breathtaking
  • ความหมาย: สวยจนทำให้หายใจไม่ออกหรือไม่สามารถมองข้ามได้
  • ใช้เมื่อ: พูดถึงสิ่งที่สวยมากจนทำให้ตกใจหรือหลงใหล
  • ตัวอย่างThe view from the mountain top is breathtaking.

           การเลือกใช้คำให้เหมาะสม

  • คน: ถ้าต้องการพูดถึงคนที่ดูสวยหรือมีเสน่ห์, คำเช่น beautiful, pretty, gorgeous, stunning, และ radiant จะเหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับความสวย
  • สถานที่: ใช้คำเช่น gorgeous, lovely, breathtaking, หรือ charming สำหรับสถานที่ที่มีความสวยงามโดดเด่น
  • สิ่งของ: คำอย่าง exquisite, beautiful, pretty, หรือ charming เหมาะสำหรับสิ่งของที่ต้องการสื่อถึงความประณีตหรือน่ารัก

ตัวอย่างประโยค ชมว่า สวย ภาษาอังกฤษ

  1. Beautiful
  • The sunset over the ocean was truly beautiful.
  • She looked beautiful in her wedding dress.
  1. Pretty
  • You look pretty in that new dress.
  • The flowers in the garden are so pretty.
  1. Gorgeous
  • The view from the mountain top was absolutely gorgeous.
  • You look gorgeous tonight!
  1. Lovely
  • We had a lovely time at the picnic.
  • The weather today is lovely.
  1. Stunning
  • Her performance was stunning; everyone was amazed.
  • The architecture of the cathedral is simply stunning.
  1. Attractive
  • He has an attractive smile that lights up the room.
  • The hotel has an attractive design with modern features.
  1. Radiant
  • She looked radiant on her birthday, glowing with happiness.
  • The city looks radiant at night with all the lights.
  1. Exquisite
  • The necklace she wore was exquisite, made of diamonds and gold.
  • The restaurant serves exquisite French cuisine.
  1. Enchanting
  • The old town has an enchanting atmosphere with its cobblestone streets.
  • Her voice was so enchanting that everyone listened in awe.
  1. Charming
  • He has a charming way of speaking that makes everyone feel comfortable.
  • The little cottage by the lake is absolutely charming.
  1. Breathtaking
  • The view from the top of the hill is breathtaking, you can see the entire city.
  • The performance was breathtaking and left the audience speechless.

ทำไมถึงต้องเลือกใช้ศัพท์ให้หลากหลาย  

  1. ความหลากหลายช่วยให้การสื่อสารดูมีสีสันและน่าสนใจ การใช้คำที่หลากหลายทำให้การสื่อสารไม่ซ้ำซากและสามารถสร้างความน่าสนใจในคำพูดได้มากขึ้น เช่น ถ้าเราพูดว่า “She looks pretty” ทุกครั้งมันอาจจะดูซ้ำ แต่ถ้าเราใช้คำว่า “She looks radiant” หรือ “She looks stunning” มันจะทำให้การบรรยายความสวยนั้นดูมีมิติและลึกซึ้งขึ้น
  2. ช่วยให้เหมาะสมกับลักษณะของสิ่งที่ต้องการสื่อ การเลือกใช้คำที่เหมาะสมจะช่วยให้เราแสดงถึงลักษณะเฉพาะของความสวยได้ดีขึ้น เช่น ถ้าพูดถึงทิวทัศน์ที่สวยงาม คำว่า “breathtaking” หรือ “gorgeous” จะเหมาะสมมากกว่าเพราะมันสื่อถึงความสวยที่ตระการตา ส่วนคำว่า “pretty” อาจจะใช้ได้ดีกับสิ่งที่น่ารักและอ่อนหวานมากกว่า
  3. เพิ่มความลึกซึ้งในการแสดงความรู้สึก คำที่หลากหลายช่วยให้เราสามารถแสดงความรู้สึกและอารมณ์ได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการบรรยายถึงความสวยของคนที่ทำให้คุณตะลึง คุณอาจใช้คำว่า “stunning” หรือ “breathtaking” ซึ่งทำให้เห็นถึงการประทับใจอย่างมาก แต่ถ้าเป็นการพูดถึงความน่ารักแบบเบา ๆ คำว่า “pretty” หรือ “lovely” อาจเหมาะสมกว่า
  4. สื่อถึงความแตกต่างในระดับความสวย คำที่ใช้ต่างกันสามารถสะท้อนถึงระดับของความสวยได้ เช่น “beautiful” อาจจะเป็นคำที่ใช้ได้ทั่วไปและเหมาะสมในหลาย ๆ สถานการณ์ ส่วนคำว่า “exquisite” หรือ “gorgeous” อาจจะใช้เมื่อเราต้องการสื่อถึงความสวยที่พิเศษหรือหรูหรา
  5. ความเหมาะสมกับบริบท การเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับบริบทจะช่วยให้การสื่อสารดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น ถ้าพูดถึงคนที่คุณรู้สึกดึงดูดใจ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้คำที่เว่อร์เกินไป เช่น “attractive” อาจจะเหมาะสมกว่าการใช้ “gorgeous” ที่อาจดูโอ้อวดเกินไปในบางบริบท
  6. สร้างอารมณ์หรือบรรยากาศเฉพาะ คำบางคำสามารถสร้างอารมณ์หรือบรรยากาศเฉพาะได้ เช่น คำว่า “charming” อาจจะสื่อถึงความสวยที่อบอุ่นและดึงดูดในลักษณะที่เป็นมิตร ส่วนคำว่า “radiant” มักจะเกี่ยวข้องกับความสดใสและเปล่งประกาย เหมาะสำหรับการบรรยายถึงความสวยที่มีความมีชีวิตชีวา
  7. ทำให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น บางครั้งคำบางคำสามารถช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่เราพูดได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องการเน้นความสวยในลักษณะพิเศษ เช่น “exquisite” อาจจะช่วยสื่อถึงความสวยที่มีคุณภาพสูงหรือละเอียดมากกว่าแค่คำว่า “beautiful”

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


วิธีปอกมะม่วงดิบ ไม่ให้เนื้อดำ กรอบอร่อยข้ามวัน สดเหมือนนั่งกินใต้ต้น

อยากทานมะม่วงดิบให้สดชื่น กรอบอร่อย ไร้กังวลเรื่องเนื้อมะม่วงดำคล้ำใช่ไหม? วันนี้เราจะมาไขปริศนาและเผยเคล็ดลับการปอกมะม่วงดิบให้ได้เนื้อมะม่วงที่กรอบอร่อย เหมือนเพิ่งหั่นเสร็จใหม่ๆ รับรองว่าใครได้ลองทำตามก็ต้องติดใจ

วิธีปอกมะม่วงดิบไม่ให้เนื้อมะม่วงดำ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1.มะม่วงดิบที่จะปอก

2.มีดสำหรับปอกมะม่วง

3.กะละมังที่สามารถแช่มะม่วงได้

4.เกลือป่นเล็กน้อย

5.ช้อน

6.น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ

7.น้ำแข็งก้อนประมาณ 1 ถ้วยใหญ่

ขั้นตอนการปอกมะม่วงดิบ

1.ล้างมะม่วงดิบให้สะอาด

2.ปอกเปลือกมะม่วงให้เรียบร้อย
3.เตรียมน้ำใส่กะละมังที่เตรียมไว้
4.เติมเกลือป่นปลายช้อนโต๊ะลงไปในน้ำ
5.เติมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
6.ตามด้วยน้ำแข็ง 1 ถ้วยใหญ่ จากนั้นผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
7.นำมะม่วงไปแช่ไว้ในกะละมังประมาณ 20 นาที
8.หั่นมะม่วงตามแนวยาวของลูก แล้วนำไปแช่ในน้ำ ก่อนจะล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/01/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a44,000.0044,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,850.0043,206.0044,600.00
ทองรูปพรรณ 90%2,565.0038,885.40n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,280.0034,564.80n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,283.0019,450.28n/a
ทองรูปพรรณ 40%998.0015,129.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,953.0044,767.48n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/01/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.7535.7536.2535.7535.7535.7535.7535.7535.7535.75
แก๊สโซฮอล์ 9135.3835.3835.8835.3835.3835.3835.3835.3835.3835.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5434.0433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8532.5932.5932.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.3449.8449.8449.8444.34
เบนซิน 9544.0449.8144.5444.1944.04
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า