พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชูจุดยืนการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชูจุดยืนการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืนผ่าน3 เสาหลักจัดการขยะ – ลดการใช้พลังงาน -ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงแค่แข่งขันกันในด้านการออกแบบและทำเลที่ตั้งอีกต่อไป แต่ยังต้องตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืนมากขึ้น หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการยกระดับมาตรฐานการบริหารอสังหาฯ ไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม คือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ไม่เพียงแค่เติบโตในด้านธุรกิจ แต่ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับทั้งลูกบ้าน ชุมชน และโลกใบนี้
พลัส พร็อพเพอร์ตี้มีแผนความยั่งยืนที่ชัดเจน ภายใต้แนวคิด “การบริหารจัดการที่ยั่งยืน” ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานใน 3 เสาหลักสำคัญ ได้แก่ การจัดการขยะ การลดการใช้พลังงาน และการส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม ร่วมกับการให้ความสำคัญกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ พลัสฯ ยังตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง
การจัดการขยะ (Waste Management) ใช้โมเดล “Waste to Worth” ที่ไม่เพียงแค่คัดแยกขยะในโครงการที่ดูแล แต่ยังผลักดันให้มีการอบรมและส่งเสริมการคัดแยกขยะในระดับโครงการทุกแห่ง ในปีที่ผ่านมา โครงการทั้งหมดลดปริมาณขยะลง 35% และเพิ่มการรีไซเคิลได้ถึง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ พลัสฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มอัตราการรีไซเคิลในปี 2025 อีก 30% และลดปริมาณขยะลง 5%
การลดการใช้พลังงาน (Energy Consumption) ตั้งเป้าหมายลดการใช้พลังงานในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ โดยการใช้เทคโนโลยีและการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น การลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำ รวมถึงการลดกระดาษในทุกกระบวนการต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการใช้พลังงานลง 5% ภายในปี 2025
กิจกรรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม (Green Activity)ไม่เพียงแค่พูดถึงการจัดการขยะและพลังงาน แต่ยังมีการจัดกิจกรรมที่ผสานกับการมีส่วนร่วมของลูกบ้าน เช่น กิจกรรม “คัด แยก แลก สุข” ที่ให้ลูกบ้านสามารถแลกขยะรีไซเคิลเป็นของรางวัล หรือกิจกรรมการปลูกผักที่ไม่เพียงแค่สร้างพื้นที่สีเขียว แต่ยังช่วยกระจายผลผลิตให้กับชุมชนและผู้อยู่อาศัย
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ มองว่า การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจในวันนี้ แต่ต้องมีการวางแผนระยะยาว เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ดังนั้น จึงมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
โจทย์หินอสังหาฯ ไม่มีมาตรการใหม่เอื้อ!
ตลาดอสังหาฯ 68 อลเวง มาตรการลดค่าโอน-จดจำนองส่อเคว้ง รัฐต้อการรายได้ เหตุปล่อยให้หมดอายุ โจทย์หินฟื้นอสังหาฯ ไม่มีมาตรการใหม่เอื้อ! ลุ้นกระทรวงการคลัง ดัน4ข้อเสนอ 6สมาคมอสังหาฯ เข้าครม. กระตุ้นกำลังซื้อ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายยังไม่เห็นตอนนี้ ขณะปลดล็อกLTV อยาก
สถานการณ์อสังหา ริมทรัพย์ ในปี 2568 หลายฝ่ายประเมินว่ายังน่ากังวล โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงที่ยากจะคาดเดา ทั้งภายในและภายนอก ขณะการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่2.9% เติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย สะท้อนว่าการฟื้นตัวของกำลังซื้อคงยากยิ่ง ดีเวลลอปเปอร์ประกาศเปิดโครงการใหม่ลดลง และเบนเข็มลงทุน รับภาคท่องเที่ยวกันมากขึ้น ซึ่งมีเพียงอุตสาหกรรมเดียวที่มีโอกาสพึ่งพาได้ อย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบให้เช่า โรงแรม ศูนย์การค้า รวมถึงโกดัง โรงงานเพื่อเช่า รองรับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ที่อาจใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตและส่งออก หนีกำแพงภาษี จากการมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีความพร้อม มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย มองว่า ไม่ง่ายที่จะได้รับการพิจารณาสินเชื่อได้เหมือนในอดีต อีกทั้งมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นเศรษฐีเงินเย็น ยังต้องการเก็บออมเพื่อดูท่าที เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และความไม่ต่อเนื่องนโยบายของรัฐบาลเก่า (เศรษฐา ทวีสิน) และรัฐบาลใหม่ (แพทองธาร ชินวัตร)
ย้อนดู มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง เหลือรายการละ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งสิ้นสุดอายุลงตั้งแต่ สิ้นปี 2567 แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับการขยายอายุ หรือเรียกว่าปล่อยให้หมดอายุลง
หากจะมีการขยายอายุ แบบไร้รอยต่อ เหมือนรัฐบาลเศรษฐา จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ต้องดำเนินการก่อนที่มาตรการนั้นจะหมดอายุลง เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ วันที่ 9 เมษายน2567 ที่นอกจากจะขยายอายุมาตรการแล้ว ยังขยายเพดานราคาที่อยู่อาศัยจากไม่เกิน 3 ล้านบาทเป็นไม่เกิน 7 ล้านบาท แม้ว่า มาตรการดังกล่าวจะได้ผลไม่เต็มประสิทธิภาพนัก เนื่องจากแรงกดดันเศรษฐกิจมีสูง แต่ในสายตาของผู้ประกอบการ มองว่า “มีดีกว่าไม่มี”
อย่างไรก็ตาม 6สมาคมอสังหาริมทรัพย์ นำโดย นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการอสังหา ริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เสนอ 4ข้อ เร่งด่วน เพื่อพยุงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่อ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่14มกราคม2568ที่ผ่านมา ได้แก่
1.ขยายอายุมาตรการโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองที่อยู่อาศัยเหลือ 0.01% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน
2. รัฐบาลสนับสนุนดอกเบี้ยตํ่าขอสินเชื่อง่ายขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคที่มีความพร้อมสามารถกู้ได้
3.ลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2568 ลง 50% เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชนจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น
4. ลดขนาดแปลงที่ดินจัดสรร เพื่อให้ ประชาชนมีทางเลือกมองหาซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองได้ ลดผลกระทบราคาที่ดินมีราคาสูงและต้องขยับซื้อโครงการนอกเมือง
เมื่อดูเวลา ณ ขณะนี้ ต้องลุ้นว่าจะเคว้งหรือไม่ เนื่องจากมีผู้ที่จะโอนที่อยู่อาศัยยกยอดมาจากปีที่ผ่านมา มีคำถามว่า มาตรการโอนและจดจำนอง หมดอายุแล้วใช่หรือไม่ ส่งผลให้ เกิดการตัดพ้อว่า เขาต้องควักกระเป๋าจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ ซึ่งบางค่ายจะออกค่าใช้จ่ายในส่วนค่าธรรมเนียมการโอนให้แต่ค่าจดจำนองผู้ซื้อเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง เต็ม 1% บางโครงการแบกภาระให้ทั้งหมดเพื่อต้องการให้ลูกค้าได้โอนบ้าน
“ฐานเศรษฐกิจ” สอบถาม นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งระบุสั้นๆว่า หากจะใช้มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ต่อไป กระทรวงการคลังต้อง นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อครม.ใหม่ และเริ่ม นับหนึ่งใหม่ ไม่ใช่ลักษณะการต่ออายุ อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการต่างเฝ้ารอมาตรการดังกล่าว มองว่า ช่วยประชาชนผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อีกมาก และในช่วงที่ยังไม่มีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองมาสนับสนุน ผู้ประกอบการอาจต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปก่อนเพื่อเป็นแรงจูงใจ และระบายสินค้าในมือ
ท่ามกลาง สต๊อกที่อยู่อาศัย รอขายสะสมอยู่มาก สะท้อนจากข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ณ ไตรมาสที่ 3 ปี2567 กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีหน่วยเหลือขายสูงถึง 215,800 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.2% มูลค่า 1,313,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3% โดยเพิ่มขึ้นทุกระดับราคาเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดว่าใช้เวลาในการขาย 49 เดือน ซึ่งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ที่มีการขยายเพดานราคาบ้านมือหนึ่งและมือสองไม่เกิน 7 ล้านบาท
พบว่าทำให้กลุ่มระดับราคา ตํ่ากว่า 7.50 ล้านบาท ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม มีทิศทางลดลง เชื่อได้ว่ามาตรการดังกล่าวมีความจำเป็น ทั้งนี้ต้องจับตากันต่อไป เพราะรัฐบาลเองก็ต้องการรายได้ จากภาษีที่มากขึ้น เพื่อมาสนับสนุนนโยบายหาเสียง อย่างเงินดิจิทัล 10,000 บาท หรือให้ความสำคัญกับบ้านเพื่อคนไทยแม้จะมองว่าเป็นคนละกลุ่มกันกับภาคเอกชน แต่ ตามข้อเท็จจริง กลุ่มกำลังซื้อจำนวนหนึ่งได้หายไป จากดอกเบี้ยตํ่าระยะยาว และไม่มีเงินดาวน์
ในทางกลับกัน หากรัฐบาลสนับสนุน ภาคเอกชนดอกเบี้ยตํ่า ในระยะยาว และให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเชื่อว่าผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อจะกลับมา แต่โลกแห่งความจริง ไม่เป็นเช่นนั้น รวมถึงการลดลงของดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงไม่ได้ปรับลงอีกในระยะอันใกล้ หลังจากปรับลดลงไปแล้วรอบแรกเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยธปท.ให้เหตุผล
ของการไม่ปรับลงของดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ว่าไม่ต้องการเร่งการก่อหนี้ใหม่ นอกจากนี้ความต้องการของภาคเอกชน กรณีปลดล็อก มาตรการ LTV (Loan to Value Ratio) เพื่อให้กำลังซื้อกลับมา สำหรับบ้านหลังที่สองหลังที่สาม ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องยากเช่นกัน
ในมุมของ สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย มองว่าปี2568 รัฐบาลอาจจะไม่มีนโยบายหรือมาตรการอะไรออกมากระตุ้นกำลังซื้อได้มากกว่ามาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและค่าจดจำนองในปีที่แล้วซึ่งหมดอายุไปแล้วและมีการเรียกร้องให้ออกมาตรการเดิมอีกครั้ง รวมไปถึงภาคเอกชนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการออกข้อเรียกร้องต่างๆ ให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือ ซึ่งมีการเรียกร้องขอให้รัฐบาลลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกอบการเพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
แต่สุดท้ายแล้วทุกข้อเรียกร้องของภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รัฐบาลต้องขาดรายได้ หรือต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม รัฐบาลอาจจะไม่สามารถตอบสนองได้หมด เพราะรัฐบาลต้องการรายได้เข้ามาพยุงสถานะทางการเงินเช่นกัน รวมไปถึงการออกมาเรียกร้องให้ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ในปี2568 เพื่อให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยไม่ติดเรื่องของ LTV นอกจากนี้เรื่องของการลดดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกเรื่องที่มีการเรียกร้องกันออกมา
ต้องรอการพิจารณาจาก ธปท.และ กนง. ต่อไป ปัญหาในหลาย อย่างยังมีอยู่ต่อเนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเริ่มส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี2567 และคงต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี โดยปีนี้ หากไม่มีปัญหาเรื่องของความขัดแย้งทั้งภายในประเทศ และนอกประเทศซึ่งอาจจะมีผลต่อราคานํ้ามัน การส่งออกหรือการท่องเที่ยว การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยคงไม่ตํ่ากว่าปีที่ผ่านมามากนัก และธุรกิจอื่นๆ คงอยู่ในภาวะที่ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมามากเกินไปเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ก.พ. “อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเสี่ยงที่จะกลับมาทยอยอ่อนค่าลง หรือ อย่างน้อยแกว่งตัว Sideways หากทะลุโซน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนเงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นหนุนโดยภาวะปิดรับความเสี่ยง-ความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้3 ม.ค.2568 ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.67 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนัก (แกว่งตัวในกรอบ 33.54-34.17 บาทต่อดอลลาร์)
โดยในช่วงแรกเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม อยู่ที่ระดับ 2.6% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อยู่ที่ระดับ 2.8%) ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทำให้ผู้เล่นในตลาดไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มากนัก ทว่าจุดเปลี่ยนของตลาดการเงินนั้นอยู่ที่การประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจหนุนให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงช้า หรือ
ปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้เฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ เหลือ 60% ส่วนการลดดอกเบี้ยในปีหน้านั้น ผู้เล่นในตลาดก็ปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หรือ 25bps เหลือ 78% จากเดิมที่เคยให้โอกาสสูงเกิน 90%
ซึ่งการปรับเปลี่ยนมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นแรง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ท่ามกลางความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรปด้วยเช่นกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นทำ All-Time High ของราคาทองคำ
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรเตรียมรับมือความผันผวนจากความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 พร้อมระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ และผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งจะมีการปรับปรุงข้อมูล (Annual Revision) จนถึงช่วงเดือนมีนาคมปีก่อนหน้า ทำให้ยอดการจ้างงานฯ ในอดีตที่ผ่านมา จนถึงเดือนมีนาคม มีโอกาสปรับตัวลดลงเฉลี่ยเดือนละ 4-5 หมื่นราย และ
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) เดือนมกราคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนกุมภาพันธ์
ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ หุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Alphabet และ Amazon
▪ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเรามองว่า BOE อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.75% ในการประชุมครั้งนี้ (ผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมิน BOE ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.50%) หลังอัตราเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังอยู่ในระดับสูง
ทว่า BOE อาจส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ย จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจได้ ซึ่งเราคาดว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 3.75% ในปีนี้ (ลดดอกเบี้ยในการประชุมรายไตรมาส)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนมกราคม และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนธันวาคมปีก่อนหน้า พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาค การผลิตและภาคการบริการ (Caixin Manufacturing & Services PMIs) เดือนมกราคม
ซึ่งจะสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจของบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ได้ดีกว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของทางการจีนที่ได้รายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งออกมาแย่กว่าคาดทั้งหมด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนมกราคม ด้วยเช่นกัน
พร้อมรอจับตาท่าทีของทางการจีน ว่าจะตอบโต้รัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไร หลังถูกขึ้นภาษีนำเข้า 10% ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและ
ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 6.25% เพื่อช่วยหนุนภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอลงในระยะหลัง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อก็ได้ชะลอลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ดัชนี PMI ภาคการผลิต รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนมกราคม
โดยในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ CPI นั้น เราคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย +0.10% จากเดือนก่อนหน้า หรือราว +1.30%y/y ตามอานิสงส์ของการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารสด และฐานราคาสินค้าและบริการที่ต่ำในปีก่อน
ทว่า ราคาพลังงานที่ปรับตัวลงจากเดือนก่อนหน้า ก็มีส่วนกดดันอัตราเงินเฟ้อทั่วไป นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลการดำเนินงานของบรรดาบริษัทจดทะเบียน สำหรับ แนวโน้มเงินบาท นั้น หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following
เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงที่จะกลับมาทยอยอ่อนค่าลง หรือ อย่างน้อยแกว่งตัว Sideways หาก เงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้าน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน
ซึ่งภาพดังกล่าวก็มีความเป็นไปได้สูง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นแรง ตามความกังวลผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าล่าสุดของรัฐบาล Trump 2.0 ทั้งนี้ ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิดด้วย เนื่องจากหากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ก็อาจพอช่วยหนุนเงินบาทได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงกลับมาอ่อนค่าลง โดยเฉพาะหากอ่อนค่าทะลุโซน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำ
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ที่ในระยะหลังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทสูงกว่า 70% ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทย มีแนวโน้มที่จะเห็นแรงขายหุ้นไทยเพิ่มเติม ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หนุนโดยภาวะปิดรับความเสี่ยง และความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทว่า เงินดอลลาร์ก็อาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ออกมาแย่กว่าคาด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.65 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.20 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า
เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.03-34.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.17 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ…เงินบาทพลิกอ่อนค่ากลับมาเคลื่อนไหวในฝั่งที่อ่อนค่ากว่าแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับ Sentiment ที่อ่อนแอของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หลังปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับแคนาดา เม็กซิโก และจีน ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.90-34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ประเด็นตึงเครียดของมาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าสำคัญ อัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของยูโรโซน ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดเงินรางวัล! “หมิว พรปวีณ์” เจ้าของแชมป์หญิงเดี่ยว ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025
ประเดิมศักราชใหม่ได้สวยสำหรับ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักแบดมินตันมือ 8 ของโลกชาวไทย ที่สามารถหยิบแชมป์รายการ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
โดย นักตบลูกขนไก่สาววัย 27 ปี ฝืนลงแข่งขันทั้งที่มีอาการบาดเจ็บก่อนแซงเอาชนะ โกมัง อายู กายา เดวี จากอินโดนีเซีย ไปได้ 2-1 เกม (18-21, 21-16 และ 21-13) คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ
จากชัยชนะในครั้งนี้ทำให้ พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ คว้าถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมทั้งรับเงินรางวัล 18,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 600,000 บาท)
นอกจากนี้ยังเป็นการกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในรอบเกือบ 2 ปี หลังรายการสุดท้ายที่ทำได้คือรายการ สวิส โอเพ่น เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2023
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 สัญญาณอันตราย เสี่ยง “ต้อลม”
คุณผู้หญิงคุณผู้ชายที่ปัญหากับค่าสายตา จนต้องใส่แว่น หรือคอนแทคเลนส์อยู่เป็นประจำ รวมไปถึงหนุ่มสาววัยรุ่น และชาวออฟฟิศที่ใช้สายตาอยู่หน้าจอคอมมากเกินไป อาจเคยมีอาการเคืองตา ตาแห้ง แสบตามาบ้างใช่ไหมคะ บางทีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือน “โรคต้อลม” ที่อาจต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็ได้
โรคต้อลม คืออะไร?
โรคต้อลม เป็นโรคที่เกิดจากอาการเสื่อมของเยื่อบุตาขาวที่พบได้บ่อย มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนสีขาวหรือเหลือง มีขนาดเล็ก อยู่ที่บริเวณตาขาวค่อนไปทางหัวตา หรือหางตา (แต่พบที่บริเวณใกล้หัวตามากกว่า) ต้อลมไม่ใช่เนื้องอก แต่หากปล่อยให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจลุกลามจนกลายเป็นแผ่นเนื้อที่บดบังตาดำ ทำให้การมองเห็นแย่ลง และกลายเป็นต้อเนื้อได้
โรคต้อลม เกิดจากสาเหตุใด?
แม้ว่าจะชื่อว่าต้อลม แต่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากลมแต่อย่างใด ต้อลมเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น รังสียูวีจากแสงแดด หลอดไฟ ฝุ่นควันจากสภาพแวดล้อม หรือความร้อนที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตาขาว
นอกจากนี้หากมีอาการตาแห้งบ่อยๆ อาจเกิดจาดตาแห้งโดยธรรมชาติ หรือการใส่คอนแทคเลนส์ค่าอมน้ำต่ำ จนทำให้มาการตาแห้ง ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อลมได้เหมือนกัน
โรคต้อลม มีอาการอย่างไร?
สัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคต้อลม มีดังนี้
- เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล
- พบก้อนเนื้อเล็กๆ เหมือนเยื่อๆ คล้ายเยลลี่สีใสอมเหลืองอ่อน ในเยื่อบุตาขาว
- อาจตาแดงในบริเวณที่พบก้อนเนื้อ
- ยิ่งใช้สายตาในบริเวณที่แดดแรง โดนลม ฝุ่นเข้าตา อาการจะยิ่งแย่ลง
- หากมีอาการหนักขึ้น ก้อนเนื้อที่พบขยายใหญ่จนลามไปที่ตาดำ อาจทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง ตาเบลอ มัว มองไม่ค่อยชัดได้
ดังนั้นหากใครที่พบอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที ก่อนที่จะลามเป็นต้อเนื้อ โดยอาจได้รับเป็นยามาหยอดตา หรือพักการใช้สายตาให้น้อยลง ลดการใช้คอนแทคเลนส์ หรือหากมีอาการอักเสบมากจนรบกวนการมองเห็น หรือก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แพทย์อาจพิจารณาวิธีผ่าตัดลอกต้อลมออกเป็นวิธีสุดท้าย แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการร้ายแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด เพราะฉะนั้นรีบพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีที่สุดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
PwC คาดปี 68 การใช้งาน GenAI พุ่งแรงในไทย
PwC ประเทศไทย คาด GenAI จะถูกนำมาใช้งานเพื่อบรรลุกลยุทธ์ทางธุรกิจมากขึ้นในปี 2568 แนะผู้ประกอบการบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการและรูปแบบการทำงานเพื่อสร้างคุณค่าทางธุรกิจใหม่ ระบุการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบจะเป็นพื้นฐานสำหรับความสำเร็จอย่างยั่งยืน
วิไลพร ทวีลาภพันทอง หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการทางการเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และหัวหน้าสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ไม่ใช่แค่กระแส แต่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ
โดยการทำให้ AI เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญขององค์กรนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะกลยุทธ์ AI จะทำให้บริษัทต่างๆ สามารถก้าวหน้าไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและทำให้คู่แข่งตามทันได้ยาก
ในปีนี้ GenAI จะถูกพัฒนาและนำมาใช้งานเพื่อบรรลุกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างจริงจังและแพร่หลายมากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมา GenAI ได้รับการตอบรับที่ดีมากในตลาดไทย โดยองค์กรหลายแห่งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลากหลายมิติไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ การตลาดแบบเฉพาะบุคคล การยกระดับการให้บริการลูกค้า การพัฒนาเกมและความบันเทิงให้มีความน่าสนใจ รวมไปจนถึงการใช้งานด้านการศึกษาและการฝึกอบรม”
กล่าวได้ว่าสำหรับภาคธุรกิจ AI เป็นเทคโนโลยีที่หลายอุตสาหกรรมนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเขียนโค้ด การสนับสนุนลูกค้าด้วยแชทบอท AI ที่มีการปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์และการจัดการคำถามที่ซับซ้อน รวมไปถึงการยกระดับทักษะและการฝึกอบรมพนักงานผ่านแพลตฟอร์ม AI ให้เหมาะกับรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคน
ข้อมูลจากศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance Center หรือ AIGC) ภายใต้ ETDA ได้เผยผลสำรวจ ความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับบริการดิจิทัลประจำปี 2567 (AI Readiness Measurement 2024) โดยระบุว่า สัดส่วนขององค์กรไทยที่ประยุกต์ใช้งาน AI แล้วเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.8% จากปี 2566 อยู่ที่ 15.2% และยังมีองค์กรที่จะเตรียมใช้งาน AI ในอนาคตสูงถึง 73.3%
เมื่อเดือนธันวาคม 2567 บทความ ‘2025 AI Business Predictions’ ของ PwC ได้ระบุถึงการช่วยลูกค้าเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วย AI ว่า บริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจะเปลี่ยนจากการไล่ตามกรณีการใช้ AI ไปสู่การใช้ AI เพื่อเติมเต็มกลยุทธ์ทางธุรกิจ
โดยกระบวนการทำงานพื้นฐานจะเปลี่ยนแปลงไป แต่มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสอนและจัดการ AI ในขณะที่พวกเขาจะสามารถทำงานในรูปแบบอัตโนมัติได้ง่ายขึ้น
แนวโน้ม ‘การใช้งาน AI’ ปี 2568
- การปรับแต่งเฉพาะบุคคลขั้นสูง: GenAI จะเสนอการปรับแต่งที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยระบบมีความสามารถในการสร้างเนื้อหาและประสบการณ์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล โดยอิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจบูรณาการ AI เข้ากับเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความเป็นจริง (augmented reality: AR) และเทคโนโลยีความจริงเสมือน (virtual reality: VR) เพื่อเสริมประสบการณ์เฉพาะบุคคล
- การร่วมมือกับมนุษย์ที่มากขึ้น: เครื่องมือ GenAI จะสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการสร้างสรรค์ เสนอแนะ และการทำซ้ำความคิดแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลากหลายโดเมน
- กำหนดกรอบจริยธรรมและระเบียบข้อบังคับ: การใช้ GenAI อย่างแพร่หลายจะนำไปสู่แนวปฏิบัติและระเบียบข้อบังคับด้านจริยธรรมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเน้นถึงความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และการลดอคติ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ
- ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม: การพัฒนาเทคโนโลยี GenAI อาจเน้นที่ความยั่งยืน โดยใช้ AI เพื่อสร้างโซลูชันสำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากร หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
- การรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันจะถูกยกระดับ: GenAI สามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน เช่น การสร้างโปรโตคอลความปลอดภัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ หรือการจำลองภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นเพื่อการเตรียมความพร้อมรับมือที่ดีขึ้น
- AI ในศิลปะสร้างสรรค์: ศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานศิลปะอาจใช้ GenAI มากขึ้นเพื่อขยายขอบเขตของงานศิลปะ ซึ่งจะนำไปสู่ศิลปะประเภทใหม่ ๆ ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์กับเนื้อหาที่สร้างโดยเครื่องจักร (machine-generated content)
‘Responsible AI’ หน้าที่ของทุกธุรกิจ
วิไลพร ย้ำว่า ภาคธุรกิจยังคงต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้งาน AI เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งที่ผ่านมา PwC ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและนำแนวทางปฏิบัติด้าน AI อย่างมีความรับผิดชอบ (responsible AI) ไปประยุกต์ใช้กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยควรยึดหลักสี่ประการ ดังต่อไปนี้ คือ การออกแบบและการใช้งานตามจริยธรรม, การลดอคติ, ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว และการกำกับดูแลและความรับผิดชอบ
การกำกับดูแล AI อย่างมีความรับผิดชอบ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องมีเพื่อสร้างความไว้วางใจและจัดการความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ โดยการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะผ่านทีมตรวจสอบภายในที่มีทักษะสูง หรือผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการใช้งาน AI และยังเป็นแนวทางที่จะดึงศักยภาพของ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัล
ส่วนของการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม (AI ethics) นั้น ข้อมูลจากผลสำรวจ ความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับบริการดิจิทัลประจำปี 2567 ของศูนย์ AIGC โดย ETDA ระบุว่า มีเพียง 16.5% ขององค์กรไทยที่นำ AI ethics มาประยุกต์ใช้ภายในองค์กรแล้ว ในขณะที่ 43.7% กำลังเริ่มวางแนวคิดในการนำ AI ethics มาปรับใช้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แคปชั่นหวานซึ้ง บอกรักวันวาเลนไทน์
I LOVE YOUUUUUU ❤️… เดือนแห่งความรักทั้งที ต้องต้อนรับด้วยการบอกรักกันซะหน่อย >.< แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมคะว่าการบอกรักในภาษาอังกฤษ นอกจากคำว่า I LOVE YOU แล้ว ยังมีประโยค วลี และสำนวนให้เลือกใช้อีกเพียบบบบบ ใครที่เล็งไว้ว่าจะใช้โอกาสวาเลนไทน์นี้บอกรักคนที่เลิฟ มองหาแคปชั่นหวานซึ้งน้ำตาลเรียกพี่อยู่ วอลล์สตรีท อิงลิช ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว รับรองได้เลยว่าคนได้รับอ่านแล้วต้องละลายแน่นอน
- Let’s grow old together! – เราจะแก่ไปด้วยกัน
- You are my everything. – เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน
- The best thing about me is you. – สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับฉันคือเธอ
- You made me found a happy me. – เธอทำให้ฉันได้พบตัวเองที่มีความสุข
- I love you more than you could possibly know. – ฉันรักเธอมากกว่าที่เธอจะรู้
- I hit the jackpot when I met you! – ฉันโชคดีเหมือนเจอแจ็กพ็อตตั้งแต่ได้พบเธอ
- Together with you is my favorite place to be. – การได้อยู่กับเธอคือที่ที่ฉันชอบที่สุด
- Every time I see you I fall in love all over again. – ฉันตกหลุมรักเธอในทุกครั้งที่ได้พบ
- I love you to the moon and back. – ฉันรักเธอมากเท่ากับระยะทางไปกลับจากดวงจันทร์
- My heart belongs to you today and always. – หัวใจของฉันเป็นของเธอวันนี้และตลอดไป
- You ‘ve made my routine days become more meaning – เธอทำให้วันธรรมดาของฉันมีความหมายมากยิ่งขึ้น
- To the world you may be one, but to me you are the world. – เธออาจเป็นใครสักคนบนโลกใบนี้ แต่สำหรับฉันคุณคือโลกทั้งใบ
- I’m so lucky to have a boyfriend (or girlfriend) as amazing as you. – ฉันนี่ช่างโชคดีเหลือเกินที่มีแฟนที่แสนวิเศษอย่างเธอ
- You still give me butterflies. – เธอยังคงทำให้ฉันรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้องเสมอ (เปรียบเปรยถึงความรู้สึกตื่นเต้น)
- There are only two times that I want to be with you now and forever. – มีแค่ 2 เวลาที่ฉันอยากอยู่กับเธอนั่นก็คือ… ตอนนี้และตลอดไป
- Love is not a matter of counting the year But making the years count. – รักกันมากี่ปี ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับเราทำปีนี้ให้เป็นอีกปีที่เรารักกัน
- My day is not complete without thinking of you. You are my one and only love. – วันของฉันจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่ได้คิดถึงเธอ เธอคือคนที่ใช่และรักเดียวของฉัน
- Thank you for the millions of ways you show your love. You make every day special. – ขอบคุณล้านวิธีที่เธอแสดงความรักกับฉัน เธอทำให้ทุกวันเป็นวันที่แสนพิเศษ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
“ข้าวโพด” กับผลกระทบ ผลข้างเคียง ข้อควรระวังก่อนรับประทาน
ข้าวโพดสามารถจัดได้ทั้งเป็นธัญพืชหรือผัก ขึ้นอยู่กับความสุกและเวลาที่เก็บเกี่ยว ข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวเมื่อสุกเต็มที่และแห้ง (ใช้ในอาหารต่างๆ เช่น ตอร์ติญ่าข้าวโพด ป๊อปคอร์น และขนมปังข้าวโพด) ถือเป็นธัญพืช ในขณะที่ข้าวโพดสด (ข้าวโพดฝัก หรือเมล็ดข้าวโพดแช่แข็ง) ที่เก็บเกี่ยวเมื่ออ่อนนุ่มและมีเมล็ดเต็มไปด้วยของเหลว ถือเป็นผักที่มีแป้ง
ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าข้าวโพดเป็นเมล็ดที่ได้มาจากดอก/รังไข่ของต้นข้าวโพด ดังนั้นจึงเป็นผลไม้ ท้ายที่สุดแล้ว เช่นเดียวกับผลผลิตอื่นๆ หลายชนิด ข้าวโพดสามารถถือได้ว่าเป็นทั้งธัญพืช ผัก และผลไม้ เพราะในทางเทคนิคแล้วเข้ากับคำจำกัดความของทั้งสามอย่าง
แม้ว่าข้าวโพดจะมีประโยชน์มากมายทั้งส่งเสริมสุขภาพลำไส้ ทางเดินอาหาร ป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ช่วยในการลดน้ำหนัก นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เพราะช่วยบำรุงแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร รวมปถึงยังช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา และอีกมากมาย อย่างไรก็ตามข้ามโพดก็มีผลกระทบ ผลข้างเคียงและข้อควรระมัดระวังก่อนรับประทาน
ผลกระทบ ผลข้างเคียงด้านสุขภาพของข้าวโพด
เช่นเดียวกับมันฝรั่งและถั่วลันเตา ข้าวโพดเป็นผักที่มีแป้ง ซึ่งหมายความว่ามีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต การบริโภคมากเกินไป การรับประทานในปริมาณที่มาก และการเติมส่วนผสมที่มีไขมัน (เนยและน้ำมัน) อาจไม่เพียงแต่ทำลายประโยชน์ต่อสุขภาพของมัน แต่ยังอาจทำให้เป็นอันตรายได้อีกด้วย
1.มีสารต้านอาหาร สารต้านอาหารคือสารประกอบที่ขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร การแช่ข้าวโพดสามารถช่วยกำจัดสารเหล่านี้ออกไปได้มาก
2. การปนเปื้อน ข้าวโพดมักจะปนเปื้อนด้วยเชื้อราที่ปล่อยสารพิษที่เรียกว่าไมโคทอกซิน การรับประทานข้าวโพดจำนวนมากที่มีสารพิษเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด ปัญหาเกี่ยวกับตับ ปัญหาเกี่ยวกับปอด และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ช้าลง
3.เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภาวะแพ้กลูเตน
4.ข้าวโพดอาจทำให้เกิดอาการกำเริบในผู้ที่มีโรคลำไส้แปรปรวน
5.ดัดแปลงพันธุกรรม นักวิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกในข้าวโพดเพื่อให้มีความต้านทานต่อภัยแล้งหรือแมลงมากขึ้น หรือเพิ่มสารอาหารมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/02/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 44,650.00 | 44,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,892.00 | 43,842.72 | 45,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,602.80 | 39,458.45 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,313.60 | 35,074.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,301.00 | 19,723.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,012.00 | 15,341.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,997.00 | 45,434.52 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/02/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 36.25 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.88 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.54 | 33.54 | 34.04 | 33.54 | 33.54 | – | 33.54 | 33.54 | 33.54 | 33.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.59 | 32.59 | – | – | – | – | – | – | – | 32.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 44.04 | – | – | – | 49.81 | – | 44.54 | 44.19 | – | 44.04 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |