5ทำเลทอง EEC คอนโดบูม! ยีลด์สูงแตะ 21% ดึงอยู่อาศัยจริง-นักลงทุน

แสนสิริเผยคอนโดมิเนียมในพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) โตแรง แนะ 5 ทำเลศักยภาพ น่าจับตาทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุน รับผลตอบแทนรวมสูงถึง 21% ภายใน 3 ปี
รเติบโตของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันตลาดที่อยู่อาศัยในภูมิภาคให้ขยายตัวแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ “คอนโดมิเนียม” ซึ่งตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริงและนักลงทุนที่ต้องการปล่อยเช่าในทำเลที่มีดีมานด์สูงอย่างต่อเนื่อง
“การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงานในพื้นที่ ทำให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยเติบโตจริง ไม่ใช่เพียงแค่ speculative demand”
องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมใน EEC โดยเฉพาะในจังหวัดยุทธศาสตร์ ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากหลายกลุ่มเป้าหมาย ทั้งแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม นักศึกษา รวมถึงกลุ่มผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลคุณภาพที่เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยมีผลตอบแทนรวมจากการปล่อยเช่าและมูลค่าทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 21% ภายในระยะเวลา 3 ปี
เจาะลึก 5 ทำเลมาแรงใน EEC ที่น่าจับตา
อันดับ 1 บางแสน ทำเลริมทะเลที่มาพร้อมแหล่งไลฟ์สไตล์ คาเฟ่ และร้านอาหาร ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในโซนอมตะและศรีราชา ชูจุดขาย “คุณภาพชีวิตใกล้ทะเล” ในราคาที่เอื้อมถึง
อันดับ 2 ศรีราชา ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการศึกษา มีท่าเรือแหลมฉบัง และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ครบทั้งระบบขนส่ง การแพทย์ และไลฟ์สไตล์ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคต นักลงทุนให้ความสนใจสูงอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 3 อมตะ ทำเลใกล้นิคมอุตสาหกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศ มีฐานลูกค้าเป็นพนักงานบริษัทระดับโลก เช่น Bridgestone และ Mitsubishi Electric คอนโดในพื้นที่มีความต้องการสูง จากความสะดวกในการเดินทางไปทำงานภายใน 5–10 นาที
อันดับ 4 โพธิสาร (พัทยาเหนือ) จุดยุทธศาสตร์ใหม่ของพัทยา เชื่อมต่อแหล่งงาน แหล่งท่องเที่ยว และโครงข่ายคมนาคม เหมาะสำหรับการลงทุนปล่อยเช่า จากดีมานด์แรงของพนักงานโรงแรม–บริษัท และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเร็ว
“โครงการเวย์ โพธิ์สาร ปิดการขายใน 6 เดือน สะท้อนดีมานด์แท้จริงในพื้นที่นี้”
อันดับ 5 บ้านโพธิ์ ทำเลศักยภาพใกล้กรุงเทพฯ ติดนิคมฯ ฉะเชิงเทรา และเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ราคายังจับต้องได้ เหมาะกับผู้ที่ทำงานในพื้นที่และนักลงทุนที่มองหากำไรจากต้นทุนที่ยังไม่สูง
EEC ทำเลแห่งอนาคตไม่ควรมองข้าม
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก และสนามบินอู่ตะเภา กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าทำเล EEC ให้กลายเป็น New Economic City ของประเทศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าที่อยู่อาศัยในระยะยาว
“EEC เป็นโอกาสทองสำหรับทั้งกลุ่มอยู่อาศัยจริง และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนยั่งยืนจากสินทรัพย์อสังหาด้วยราคาที่เริ่มต้น 699,000 บาท ในบางโครงการ พร้อมรับประกันผลตอบแทนในบางทำเล จึงทำให้คอนโดใน EEC กลายเป็นสมรภูมิใหม่ของผู้ซื้อและนักลงทุนที่ไม่ควรพลาด”
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ REIC เรื่องของที่อยู่อาศัยในทำเล EEC ที่คาดการณ์ว่ายอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าแรงขั้นตํ่า กทม.400บาท ทุบซํ้าอสังหาฯ -ก่อสร้าง วอนชะลอออกไปให้ธุรกิจปรับตัว

กูรูมองค่าแรงขั้นตํ่ากทม.400ทุบซํ้าอสังหาฯ -ก่อสร้าง เอสเอ็มอี ภาคบริการ ควรชะลอออกไปให้ธุรกิจปรับตัวแนะออกมาตรการรองรับ-ปรับตามทักษะ
คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่าเป็น 400 บาทต่อวัน ในกรุงเทพมหานครและบางกิจการในต่างจังหวัด เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ส่งผลดีต่อผู้ใช้แรงงาน แต่ในทางตรงกันข้ามมีผลกระทบต่อต้นทุน ภาคธุรกิจท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน หลายสถานการณ์รุมเร้า และนำไปสู่เสียงคัดค้านเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่แน่ชัดว่าจะเลื่อนการบังคับใช้ออกไปหรือไม่
ปรับค่าแรงกระทบอสังหาฯ-ก่อสร้าง
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นับว่าเป็นนโยบายที่มีเจตนาดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน แต่ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมากอย่างค่าแรงขั้นตํ่าในกรุงเทพมหานคร ปรับขึ้น 28 บาท จาก 372 บาทเป็น 400 บาท เท่ากับ 7.5% ส่งผลให้ ค่าก่อสร้างบ้าน ต้นทุนเพิ่ม ขึ้นประมาณ 2.25% (จากสัดส่วนค่าวัสดุ 70% ค่าแรง 30%) ซึ่งจะมีผลกับโครงการเดิมซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือโครงการที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568นี้เป็นต้นไป

หากมองให้ลึกลงไป จะกระทบโครงการระดับกลางและล่างซึ่งกำหนดราคาขายอย่างจำกัด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และอาจทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ หรือทำให้ที่อยู่อาศัยระดับราคากลางล่างต้องขยับไกลออกไปจากศูนย์กลางกรุงเทพมหานครเนื่องจากต้องหาที่ดินที่ราคาตํ่าลงเพื่อชดเชยต้นทุนการก่อสร้างนี้ ขณะการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามการปรับค่าแรงเฉพาะกรุงเทพมหานครอาจดึงแรงงานจากต่างจังหวัดเข้าสู่เมืองหลวง เกิดการขาดแคลนแรงงานในภูมิภาค และทำให้ต้นทุนก่อสร้างในจังหวัดอื่นพุ่งขึ้นตาม
แนะออกมาตรการรองรับ-ปรับตามทักษะ
ดังนั้น จึงควรมีมาตรการรองรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเช่น
1.การลดภาษีธุรกิจเฉพาะชั่วคราว หรือขยายระยะเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน/จดจำนอง เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการและผู้ซื้อ
2.เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาปรับตัว ควรใช้แนวทางปรับเป็นช่วงเวลา เช่น ปรับขึ้นครึ่งหนึ่งก่อนในไตรมาส 3 และอีกครึ่งในต้นปีถัดไป
นอกจากนี้รัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปและเทคโนโลยีลดใช้แรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งแรงงานมาก เร่งแก้ไขปัญหาอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อธนาคารแก่ลูกค้ารายย่อย หรือ เร่งออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ
เช่น การเพิ่มตัวเลขมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อบ้าน หรือสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อรักษาความต้องการซื้อไม่ให้ชะลอตัวลง รวมถึงการจัดโครงสร้างค่าแรงอย่างเป็นระบบ เช่น ให้มีการจัดทำโครงสร้างค่าจ้างแบบมีตัวแปรตามทักษะ (Skill-based wage) และตามภูมิภาค โดยไม่ใช่แบบอัตราเดียวทั่วประเทศ แรงงานไทยที่มีทักษะบ้างแล้วจึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่ มิฉะนั้นการขึ้นค่าแรงแต่ละครั้งแรงงานต่างด้าวจะได้รับประโยชน์เป็นส่วนใหญ่
นายสุนทร สรุปว่าเป็นแนวคิดที่ดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานไทยอย่างยั่งยืน แต่การปรับค่าแรงควรอยู่บนพื้นฐานของความสามารถในการรองรับของธุรกิจ และควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือเพื่อรักษาสมดุลของระบบเศรษฐกิจด้วย
ก่อสร้าง-โรงงาน-เอสเอ็มอีเสี่ยง
เช่นเดียวกับนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยมองว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าในกรุงเทพมหานคร400บาทต่อวัน แน่นอนว่าจะมีผลกระทบโดยรวมกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ ธุรกิจเอ็นเอ็มอี โรงงานอุตสาหกรรมที่อาจต้องปิดตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังนั้นทางออกเดียวคือผู้ประกอบการต้องลดต้นทุนลง
นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่าภาคก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาทในกรุงเทพมหานคร และกิจกรรมบางจังหวัด ในขณะโครงการเอกชน และภาครัฐลดลง ที่สำคัญสถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อผู้ประกอบการเอ็สเอ็มอี อาจต้องปิดตัวลงทางออกรัฐต้องเข้ามาสนับสนุนทั้งมาตรการช่วยเหลือและให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ
สอดคล้องกับ นายสุรเชษฐ์ กองชีพหัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของบริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด ระบุว่า วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นตํ่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นวันละ 400 บาท และจังหวัดอื่นขึ้นค่าแรง 400 บาท สำหรับคนที่ทำงานในกลุ่มอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการโรงแรมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในภาคการทำงานที่รับค่าแรงขั้นตํ่า โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
ในทางกลับกันก็กลายเป็นการเพิ่มภาระหรือรายจ่ายประจำกับกลุ่มของนายจ้างโดยโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก แต่ยังดีที่การปรับขึ้นครั้งนี้ยังจำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพมหานคร แต่ก็อาจจะกลายเป็นการดึงดูดแรงงานจำนวนมากให้เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนายจ้างที่ได้รับผลกระทบ
คือ กลุ่มของนายจ้างที่เป็นเจ้าของกิจการขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะกำลังอยู่ในช่วงที่รายได้ไม่เพียงพอ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อเจอกับเรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีการจ้างงานเพิ่มเติม หรืออาจจะมีการพิจารณาถึงแนวทางในการจัดการปัญหาเรื่องการจ้างงานของพวกเขาใหม่ เนื่องจากไม่อยากแบกภาระต้นทุนเรื่องค่าจ้างมากเกินไป แม้ว่าการปรับเพิ่มขึ้นครั้งนี้ในมุมมองของกระทรวงแรงงานอาจจะมองว่าเป็นการปรับเพิ่มเพียง 28 บาทสำหรับในกรุงเทพมหานคร เพราะจากปี 2567 อยู่ที่ 372 บาทต่อวัน แต่ถ้ามีลูกจ้างหรือคนงานที่ได้รับค่าแรงขั้นตํ่าอยู่หลายคนก็เพิ่มขึ้นวันละไม่น้อยเลย
แรงงานภาคบริการ ได้อานิสงส์
สำหรับจังหวัดอื่นๆ นอกกรุงเทพ มหานครกลุ่มคนที่ทำงานในโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ จึงจะได้ค่าแรงวันละ 400 บาท ซึ่งอาจจะถือว่าได้เพิ่มขึ้นมากในบางจังหวัดสำหรับคนที่ทำงานในกิจการที่ได้รับอานิสงส์ครั้งนี้ เพราะถ้าทำงานในจังหวัดทางภาคกลาง อีสาน ตะวันตก ใต้ เหนือที่ไม่ใช่จังหวัดใหญ่อาจจะได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นวันละ 40-60 บาทแล้วแต่จังหวัด แต่คนที่งานในภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และเกาะสมุยอาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เพราะได้ 400 บาทต่อวันอยู่แล้ว
คนที่ได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นย่อมยินดี ผู้ประกอบการที่ไม่เคยจ่ายค่าแรงวันละ 400 บาทมาก่อนก็อาจจะต้องพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากขึ้น เพราะธุรกิจการท่องเที่ยว ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้สร้างรายได้มากมายเท่าใดเนื่องจากปัจจัยลบหลายอย่างมีผลต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น และช่วงที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนหายไป การปรับขึ้นค่าแรง 400 บาทในธุรกิจนี้อาจจะมีผลต่อหลายโรงแรมที่มีปัญหาการเงินอยู่แล้ว อาจจะมีการลดคนหรือเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานเป็นแบบอื่น เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าแรงขั้นตํ่าวันละ 400 บาท
แรงงานไทยในกทม.ค่าแรงเกิน 400
ขณะที่นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) มองว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาทต่อวันในกรุงเทพมหานครไม่กระทบต้นทุนผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่มีค่าแรงที่สูงกว่า 400 บาทต่อวันไปแล้วโดยเฉพาะคนไทย
แม้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของปากท้องแต่หากธุรกิจรับมือไม่ไหวผลกระทบที่วนกลับมาคือการเลิกจ้างแรงงาน!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25มิ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways เสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงหากบรรดานักลงทุนต่างชาติตัดสินใจขายทำกำไรสถานะลงทุนในบอนด์ โดยเฉพาะในส่วนของบอนด์ระยะยาวของไทย ลุ้นผลประชุมกนง.บ่ายวันนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25มิ.ย.2568 ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.67 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยมีโซนแนวรับ 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนโซนแนวต้านก็อาจอยู่ในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย
โดยในกรณีที่ กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ เรามองว่า เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน
แต่หาก กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด ทว่ากลับส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย (ซึ่งโอกาสเกิดน้อย) คล้ายกับท่าทีของเฟด เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติตัดสินใจขายทำกำไรสถานะลงทุนในบอนด์ โดยเฉพาะในส่วนของบอนด์ระยะยาวของไทย เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.25% ได้ ภายในปีหน้า
ส่วนในกรณีที่ กนง. ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาด พร้อมส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม ซึ่งเรามองว่า ก็มีโอกาสที่จะเกิดได้ ในกรณีนี้ แม้ว่าท่าทีของ กนง. จะดู Dovish ทว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ต่ำกว่า 1.25% ซึ่งอาจเห็นแรงซื้อบอนด์ไทยเพิ่มเติมได้ ทำให้ เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่า และมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แม้ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาดก็ตาม
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในกรอบ Sideways ไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรีบาวด์สูงขึ้นจากโซนแนวรับของราคาทองคำ (XAUUSD) แถว 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าการเคลื่อนไหวโดยรวมของเงินบาทยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ที่จะรับรู้ในช่วงราว 14.00 น. ของวันพุธ 25 มิถุนายน นี้
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทว่าพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางดังกล่าว ได้กดดันให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงหนัก อาทิ Exxon Mobil -3.0% ตามการปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.11%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +1.11% หนุนโดยสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงแรงของราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ Shell -3.5%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell จะยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด เช่นเดียวกันกับบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด
อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ก็มีส่วนหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.29%
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง
จากท่าทีของทั้งประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ที่ยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อลงเล็กน้อย สู่ระดับ 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้บรรดาผู้เล่นในตลาดจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนแนวรับระยะสั้น หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,340-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราประเมินว่า ในการประชุมครั้งนี้ กนง. อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ อย่าง การเมืองในประเทศ อีกทั้งการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงเผชิญความไม่แน่นอนสูง อาจทำให้ประสิทธิผลของนโยบายการเงินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจไทย อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า กนง. มีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 1.25% ได้ภายในปีหน้า
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสโดยประธานเฟด Jerome Powell ทั้งนี้ แม้ว่าประธานเฟดจะยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ในการแถลงต่อคณะกรรมาธิการในวันก่อน
ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 40% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า คาดการณ์หรือ Dot Plot ของเฟดล่าสุด
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.59-32.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.04 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงอ่อนแอลง แม้ว่า ประธานเฟดยังคงกล่าวย้ำในถ้อยแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่า เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย เนื่องจากยังคงถูกกดดันจากข่าวการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม กนง. ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
โปรแกรมวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ ลีก 2025 สัปดาห์สาม ของทีมลูกยางสาวไทย

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สาม กลุ่ม 8 ที่เมืองอาร์ลิงตัน สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568
โดย “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” ที่ลงเล่นครบในสองสัปดาห์ มีผลงานชนะ 1 และแพ้ 7 นัด มีเพียง 5 คะแนน อยู่อันดับที่ 16 ของตารางคะแนนรวม
ซึ่งในสัปดาห์ที่สอง ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย จะอยู่ในกลุ่ม 8 ร่วมกับ สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, สาธารณรัฐโดมินิกัน และ แคนาดา
โปรแกรม วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ศึกเนชั่นส์ลีก 2025 สัปดาห์สาม
วันที่ 10 กรกฎาคม 2568
- เวลา 07.30 น. ไทย พบ สหรัฐอเมริกา
วันที่ 11 กรกฎาคม 2568
- เวลา 04.00 น. ไทย พบ เยอรมนี
วันที่ 12 กรกฎาคม 2568
- เวลา 04.00 น. ไทย พบ สาธารณรัฐโดมินิกัน
วันที่ 14 กรกฎาคม 2568
- เวลา 03.00 น. ไทย พบ แคนาดา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไมกลิ่นถึงมีผลต่อความทรงจำ? ไขความลับของประสาทสัมผัสที่เชื่อมโยงอดีต

กลิ่นเป็นมากกว่าความหอม เพราะมันสามารถพาเราย้อนกลับไปในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นอาหาร หรือแม้กระทั่งกลิ่นฝนแรก ล้วนปลุกภาพความทรงจำเก่า ๆ ให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง แล้ว ทำไมกลิ่นถึงมีผลต่อความทรงจำ ได้มากขนาดนี้?
กลิ่นกับสมอง: การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งในสมองมนุษย์
กลิ่นที่เราสัมผัสไม่ได้ถูกประมวลผลแบบเดียวกับภาพหรือเสียง สมองส่วนที่รับกลิ่น (Olfactory bulb) จะเชื่อมต่อโดยตรงกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) และอะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเก็บข้อมูลความทรงจำและอารมณ์ ความใกล้ชิดของโครงสร้างสมองนี้ ทำให้กลิ่นสามารถกระตุ้นความทรงจำและอารมณ์ได้รวดเร็วและลึกซึ้งกว่าประสาทสัมผัสอื่น
กลิ่น…สะพานสู่ความทรงจำในอดีต
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณได้กลิ่นน้ำหอมแล้วนึกถึงคนรักเก่า หรือกลิ่นขนมอบแล้วย้อนคิดถึงวัยเด็กในบ้านคุณยาย กลิ่นเหล่านี้มักทำหน้าที่เป็น “ตัวกระตุ้นความทรงจำ” (Proustian memory) ที่พาเรากลับไปยังเหตุการณ์เดิมได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำที่มาพร้อมอารมณ์ เช่น ความรัก ความคิดถึง หรือความโหยหา
กลิ่นคือกุญแจสำคัญที่เปิดประตูความทรงจำ
กลิ่นไม่ได้มีไว้เพียงให้รับรู้ความหอมเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางประสาทวิทยาที่ทรงพลังที่สุดในการกระตุ้นความทรงจำของมนุษย์ หากคุณอยากสร้างความประทับใจระยะยาว การเลือกกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สื่อสารอย่างโปร! รวม 10 สำนวนภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในการทำงาน

ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษกลายเป็นพื้นฐานและทักษะสำคัญในการทำงาน หลายบริษัทที่มีทั้งชาวไทยและต่างชาติ เมื่อจะติดต่อกันผ่านอีเมลก็เลือกส่งอีเมลภาษาอังกฤษเป็นหลัก คนทำงานจึงต้อง เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง แม้ว่าการใช้ไวยากรณ์หรือ Grammar และการรู้คำศัพท์จะเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสาร แต่อีกหนึ่งเรื่องที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ควรใส่ใจไม่แพ้กันคือ สำนวนภาษาอังกฤษ หรือ Idiom เพื่อให้เข้าใจเจ้าของภาษาได้มากขึ้น
ทำไมต้องรู้จัก สำนวนภาษาอังกฤษ
บางคนอาจคิดว่า เรียนภาษาอังกฤษ แค่เรื่องคำศัพท์และ Grammar อย่างเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้ารู้สำนวนด้วยจะทำให้เรามีวิธีพูดเรื่องเดียวกันได้อย่างหลากหลาย และสิ่งสำคัญนอกเหนือจากนั้นก็คือความเข้าใจ เพราะสำนวนคือสิ่งที่เจ้าของภาษาใช้ในชีวิตประจำวันพอ ๆ กับคำศัพท์ทั่วไป รวมถึงบางครั้งการสื่อสารด้วยสำนวนก็ให้ภาพที่ชัดเจนกว่า ถ้าอยากเข้าใจเจ้าของภาษา ก็จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องนี้
10 สำนวนภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในการทำงาน
- A win-win situation
ความหมาย: สถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ตัวอย่าง: This deal is a win-win situation. The client gets what they need, and we gain a long-term partner.
(สถานการณ์นี้สองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการ ส่วนเราก็ได้พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจในระยะยาว)
- Beat the clock
ความหมาย: ทำงานหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เสร็จทันเวลา
ตัวอย่าง:
We managed to beat the clock and submitted the report just before the deadline.
(เราจัดการทำรีพอร์ตและส่งทันก่อนกำหนดเส้นตายพอดี)
- Behind the scenes
ความหมาย: สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังหรือไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
ตัวอย่าง:
A lot of planning goes on behind the scenes before a product launch.
(มีแผนหลายอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหลังก่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์)
- Behind closed doors
ความหมาย: เกิดขึ้นแบบลับ ๆ หรือเป็นการประชุมส่วนตัว
ตัวอย่าง:
The board made the decision behind closed doors without consulting anyone.
(คณะกรรมการตัดสินใจเรื่องนี้เองโดยไม่ได้ปรึกษาใคร)
- Get straight to the point
ความหมาย: พูดหรือทำอะไรอย่างตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม อีกสำนวนหนึ่งที่มีความหมายใกล้เคียงกันคือ Cut to the chase
ตัวอย่าง:
Let’s get straight to the point—we need to reduce our expenses this quarter.
(เข้าเรื่องเลยนะ … ไตรมาสนี้พวกเราต้องลดค่าใช้จ่าย)
- Go back to the drawing board
ความหมาย: เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ เพราะแผนเดิมไม่ได้ผล อีกหนึ่งสำนวนที่มีความหมายใกล้เคียงกันคือ from scratch
ตัวอย่าง:
The proposal was rejected. It’s time to go back to the drawing board.
(ข้อเสนอถูกปฏิเสธ ตอนนี้พวกเราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด)
- In a nutshell
ความหมาย: กล่าวสรุปโดยย่อ
ตัวอย่าง:
In a nutshell, our goal is to increase market share by 15% in the next year.
(สรุปว่าปีหน้าเราจะต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 15%)
- Lots of moving parts
ความหมาย: โปรเจกต์หรือสถานการณ์ที่ซับซ้อน มีหลายองค์ประกอบ
ตัวอย่าง:
This campaign has lots of moving parts, so we need a detailed plan.
(โครงการนี้มีหลายส่วนประกอบเข้าด้วยกัน เราจึงจำเป็นต้องมีแผนซึ่งมีรายละเอียดชัดเจน)
- On the same page
ความหมาย: เข้าใจตรงกันหรือมีความเห็นสอดคล้องกัน
ตัวอย่าง:
Before we proceed, let’s make sure we’re all on the same page.
ก่อนไปต่อ เอาให้แน่ใจก่อนนะว่าเราเข้าใจตรงกัน
- Think outside the box
ความหมาย: คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ
ตัวอย่าง:
We need to think outside the box if we want to beat the competition.
(ถ้าอยากชนะการแข่งขัน พวกเราต้องคิดนอกกรอบ)
เทคนิคฝึกใช้สำนวนให้คล่อง
การรู้จักใช้สำนวนด้วยวิธี เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือเรียนผ่านคอร์สเรียนเพียงอย่างเดียวถือว่าดีแต่ยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งสำคัญคือต้องนำสำนวนนั้นไปใช้จริงได้ด้วย หรือต่อให้ไม่มีโอกาสได้ใช้จริง ก็ต้องมีโอกาสเห็นการใช้สำนวนจากแหล่งอื่น ทั้งหมดทำได้ด้วยเทคนิคการสร้างบทสนทนาขึ้นมาเอง รวมถึงการอ่านนิยาย ฟัง podcast หรือดูจากซีรีส์และคลิปวิดีโอต่าง ๆ แหล่งข้อมูลมีมากมาย การฝึกใช้สำนวนหรือเห็นการนำสำนวนไปใช้จึงไม่ใช่เรื่องยาก อีกทั้งเป็นเรื่องน่าสนุกอีกด้วย เพราะทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
‘ไมโครซอฟท์’ ถอดรหัส ‘Frontier Firm’ ปลุกองค์กรไทย สู่ผู้นำยุค ‘AI’

- 75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มากขึ้น
- ในทางกลับกันพนักงานกว่า 88% บอกว่าทำอย่างเต็มที่แล้ว กระทั่งไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะจัดการหรือรับมือกับงานที่รับผิดชอบในมือ
- ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล
- ผู้นำธุรกิจในไทยมองว่า AI Agents คือหนทางขยายศักยภาพองค์กร
ทุกวันนี้ผู้บริหารในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ต่างมีโจทย์ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง…
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า 75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มากขึ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มีอยู่ราว 53%
จากรายงาน “Work Trend Index” ล่าสุดของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญว่า ในมุมของพนักงาน 88% บอกว่าทำอย่างเต็มที่แล้ว กระทั่งไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะจัดการหรือรับมือกับงานที่รับผิดชอบในมือส่วนค่าทั่วโลกอยู่ที่ราว 80%
จากสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 พบว่า คนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน
การแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม มากกว่านั้นราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน
‘Agentic AI’ ทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล
ดังนั้นระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม ขณะที่การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI เป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก
ที่น่าสนใจพบด้วยว่า ผู้นำธุรกิจในไทยส่วนใหญ่มองว่า “เอเจนต์” คือหนทางขยายศักยภาพองค์กร โดย 68% ขององค์กรในไทยเริ่มต้น “ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI” แล้ว ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 46%
นอกจากนี้ 93% ของผู้นำไทยระบุว่า บริษัทของตนกำลังพิจารณา “เพิ่มบทบาทที่เน้น AI” ทั่วโลก 78% และ 90% ของผู้นำไทยมั่นใจว่าจะใช้ “แรงงานดิจิทัล” เพื่อขยายขีดความสามารถของบุคลากร ทั่วโลก 82%
กล่าวได้ว่า ผู้นำองค์กรไทยให้ความสำคัญกับการใช้ AI และแรงงานดิจิทัลมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเฉพาะการปรับกระบวนการให้เป็นอัตโนมัติ และการเตรียมเพิ่มตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับ AI
โดย 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ
กลยุทธ์มุ่งสู่สถานะ ‘Frontier Firm’
สำหรับการบูรณาการ AI ในองค์กรไทย ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าองค์กรไทยจะเพิ่มบทบาทด้าน AI ทั้งด้านการฝึก การออกแบบ การจัดการ และการสร้างระบบอัตโนมัติ
โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบ่งเป็น 4 บทบาทสำคัญคือ การฝึกอบรมเอเจนต์ AI 56%, การออกแบบระบบใหม่โดยใช้ AI 51%, การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน 51% และการจัดการเอเจนต์ AI 46%
ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ “Frontier Firm” ไว้ดังนี้
- ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
- ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
- บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโต
โชว์เคส ‘3 องค์กร’ ผู้นำยุค ‘เอไอ’
ไมโครซอฟท์ เปิดโชว์เคส 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว
เอสซีบีเอกซ์ สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนการเงินและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า เอสซีบี เอกซ์ส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ขณะเดียวกันสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่มีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI
สำหรับ เอสซีจี เคมิคอลส์ ส่งเสริมให้พนักงานนำAIมาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร
สัญญา จินดาประเสริฐ ผู้อำนวยการสายงานดิจิทัลองค์กรบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ให้ความสำคัญกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น
ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า AI มีส่วนช่วยให้ก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน
ขณะเดียวกัน เปิดโอกาสให้สามารถวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ ทั้งยังช่วยให้นักกฎหมายทำงานได้เร็วขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“เห็ดหอม” ที่จริงคือเห็ดอะไร? เปิดสรรพคุณ ทำไมถึงถูกยกเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด”

ในยุคที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น อาหารจากธรรมชาติก็ได้รับความนิยมตามไปด้วย หนึ่งในวัตถุดิบที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในวงการโภชนาการคือ “เห็ดหอม” ซึ่งหลายคนอาจคุ้นชื่อแต่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีคุณค่าอย่างไร และทำไมจึงถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่ควรมีติดครัวไว้เสมอ
เห็ดหอมคือเห็ดอะไร?
เห็ดหอม (Shiitake Mushroom) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lentinula edodes เป็นเห็ดที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะในจีนและญี่ปุ่น ลักษณะเด่นคือหมวกเห็ดสีน้ำตาลเข้ม เนื้อแน่น มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายทั้งแบบสดและแบบแห้ง เช่น ต้ม ซุป ผัด หรือตุ๋น
เห็ดหอม กับ เห็ดชิตาเกะ คือเห็ดชนิดเดียวกันไหม?
เห็ดหอมกับเห็ดชิตาเกะคือเห็ดชนิดเดียวกัน แต่เหตุผลที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันในไทยนั้น สะท้อนถึงแหล่งที่มาและบริบทของการใช้งาน
ในประเทศไทย ชื่อ “เห็ดหอม” เป็นชื่อที่ใช้กันมานานในครัวเรือนไทย โดยเฉพาะในอาหารจีนและอาหารไทย เช่น เห็ดหอมตุ๋นยาจีน หรือข้าวอบเห็ดหอม คำว่า “หอม” ในที่นี้ มาจากกลิ่นเฉพาะตัวของเห็ดชนิดนี้เมื่อผ่านการอบแห้งหรือปรุงสุก ซึ่งให้กลิ่นหอมเข้มข้นโดดเด่น จึงกลายเป็นชื่อสามัญที่คนไทยคุ้นเคย
ขณะที่ชื่อ “เห็ดชิตาเกะ (Shiitake)” เป็นชื่อในภาษาญี่ปุ่นที่นิยมใช้ในระดับสากล โดยเฉพาะในการตลาด การส่งออก หรือในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เข้ามาในไทยช่วงหลายปีหลัง ด้วยกระแสรักสุขภาพและวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยม ทำให้คนไทยเริ่มรู้จักคำว่า “ชิตาเกะ” มากขึ้น และมักใช้เรียกเห็ดหอมสดที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารแนวฟิวชัน เช่น เมนู “สเต็กเห็ดชิตาเกะ” หรือ “ซุปเห็ดชิตาเกะ”

สรรพคุณของเห็ดหอม
เห็ดหอมอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ได้แก่
- เสริมภูมิคุ้มกัน
มีสารเบต้ากลูแคน (β-glucan) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยให้ร่างกายต้านทานโรคได้ดีขึ้น
- ลดคอเลสเตอรอล
สารอิริทาดีนีน (Eritadenine) ในเห็ดหอมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ต้านมะเร็ง
งานวิจัยจาก University of Texas MD Anderson Cancer Center พบว่า เห็ดหอมมักใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งในประเทศจีนและญี่ปุ่น
- ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และชะลอความเสื่อมของเซลล์
- อุดมด้วยโปรตีนและไฟเบอร์
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทานอาหารมังสวิรัติหรือควบคุมน้ำหนัก
เห็ดหอมช่วยลดและป้องกัน “กลิ่นตัวผู้สูงอายุ”
สารประกอบในเห็ดหอมมีคุณสมบัติในการต่อต้านกระบวนการออกซิเดชันภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ “กลิ่นตัวผู้สูงวัย” หรือที่เรียกว่า “กลิ่นแก่” จากสารโนเนนอล (2-Nonenal) เห็ดหอมช่วยลดการสะสมของสารนี้ และทำให้กลิ่นตัวลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานเป็นประจำ
ทำไมเห็ดหอมถูกยกเป็นซูเปอร์ฟู้ด?
เห็ดหอมจัดอยู่ในกลุ่ม “ซูเปอร์ฟู้ด” (Superfood) เพราะให้คุณค่าทางโภชนาการสูงแต่แคลอรีต่ำ อุดมด้วยสารอาหารที่มีหลักฐานวิจัยรองรับว่าส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ที่สำคัญคือ หาซื้อง่าย ปรุงง่าย และเข้ากับอาหารหลายรูปแบบ
เห็ดหอมไม่เพียงเพิ่มรสชาติให้อาหาร แต่ยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ทั้งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคเรื้อรัง และแม้แต่ช่วยลด “กลิ่นตัวผู้สูงอายุ” ได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากคุณกำลังมองหาอาหารที่ดีต่อทั้งร่างกายและคุณภาพชีวิตในระยะยาว เห็ดหอมคือคำตอบที่ไม่ควรมองข้าม
สุดท้ายไม่ว่าจะเรียกว่า “เห็ดหอม” หรือ “เห็ดชิตาเกะ” สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือประโยชน์อันหลากหลายของเห็ดชนิดนี้ที่ดีต่อทั้งร่างกายและคุณภาพชีวิต การมีเห็ดหอมติดครัวไว้ จึงเปรียบเสมือนมี “หมอยา” จากธรรมชาติที่ดูแลคุณได้ทุกวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,350.00 | 51,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,319.00 | 50,316.04 | 52,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,987.10 | 45,284.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,655.20 | 40,252.83 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,493.55 | 22,642.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,161.65 | 17,610.61 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,439.38 | 52,141.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.65 | 33.65 | 34.15 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.28 | 33.28 | 33.78 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.44 | 31.44 | 31.94 | 31.44 | 31.44 | – | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.79 | 29.79 | – | – | – | – | – | – | – | 29.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 42.24 |
เบนซิน 95 | 41.94 | – | – | – | 49.81 | – | 42.44 | 42.09 | – | 41.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |