วิกฤติเชื่อมั่นฉุดอสังหาฯติดหล่มปรับโมเดลอัดยาแรงฟื้นตลาด

วิกฤติเชื่อมั่นทุบเศรษฐกิจฉุดอสังหาฯ‘ติดหล่ม’ เร่งรื้อกลไก ปรับโมเดล อัดยาแรงฟื้นตลาด แนะรัฐใช้มาตรการรัดกุม ทั้งระยะสั้น ระยะยาวเรียกศรัทธากระตุ้นเศรษฐกิจ
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลถือเป็นหัวใจสำคัญ! หากขาดไป หรือ หากรัฐบาลถูกตั้งคำถามมากมายถึงการขับเคลื่อนนโยบาย งบประมาณ ศรัทธาที่สั่นคลอนลุกลามอาจนำไปสู่จุดเปราะบางทางการเมือง ส่งผลกระทบขยายวงกว้าง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนต้องแตะเบรก!
“เมื่อความเชื่อมั่นรัฐบาลหายไป เศรษฐกิจและการลงทุนก็ติดเบรก รัฐต้องใช้มาตรการรัดกุม ทั้งระยะสั้น ระยะยาว เพื่อเรียกศรัทธาประชาชนและหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัว”
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย “ติดหล่ม!” เมื่อเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทำให้คนไม่จับจ่าย แม้จะยังมีรายได้ แต่ก็ “ชะลอ”การตัดสินใจซื้อ
จะเห็นว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ไตรมาส 1/2568 ลดลง 10.5% เหลือ 65,276 หน่วย มูลค่าหาย 13% เหลือ 181,545 ล้านบาท เลวร้ายสุดในรอบ 8 ปี ขณะที่ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อบ้านลดลง 10% เหลือ 109,368 ล้านบาท สะท้อนความต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงทั่วประเทศ

ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวขึ้นกับ “มาตรการรัฐ” โดยทางออกระยะสั้นจำเป็นต้องใช้มาตรการ “ตัดไฟ” พร้อมอัดฉีดตลาด การปรับปรุงโครงการ “คุณสู้เราช่วย” ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยธนาคารและรัฐสนับสนุนภาระดอกเบี้ย/เงินต้น พร้อมเงื่อนไขลดส่วนแบ่งผู้กู้ จากปัจจุบันจ่าย 50% ลดลงเหลือ 25% น่าจะช่วยกระตุ้น
ถัดมาคือการตั้งกองทุนรวม “มอร์ทเกจ อินชัวรันซ์” (Mortgage Insurance Fund) เพื่อช่วยลดอัตราปฏิเสธสินเชื่อโดยการค้ำประกัน 10-20% ของวงเงินกู้แรกช่วยให้กลุ่มรายได้น้อยเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น
สร้างโรงเรียนการเงินแก้รีเจกต์เรต
ขณะที่ยุทธศาสตร์ระยะยาวเสนอให้ใช้โมเดล “ธอส. โรงเรียนการเงิน” ให้กับผู้ฝากเงินที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะได้รับการันตีปล่อยกู้บ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นการส่งเสริมวินัยการเงินและสร้างต้นแบบที่ธนาคารพาณิชย์ควรนำไปใช้
ยกตัวอย่าง ถ้าซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท นำเงินไปฝากเดือนละ 16,500 บาท ครบ 1 ปี รับประกันว่าจะปล่อยกู้ให้แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องไม่ติดหนี้เครดิตบูโร นับเป็นโมเดลที่ดีในการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
“อยากให้ธนาคารพาณิชย์ศึกษาโมเดลนี้ และดำเนินการเช่นเดียวกัน เป็นการสร้างวินัยทางการเงินระดับภาคเอกชน”
อีกประเด็นสำคัญ การปรับกลไกอสังหาริมทรัพย์ในการผลิตตาม “การสั่งจอง” เพื่อให้ซัพพลายกับดีมานด์สมดุลกัน ตาม Escrow Account เป็นการค้ำประกันการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของคู่สัญญาเพื่อให้ผู้ประกอบการบ้านจัดสรรปรับโครงสร้างการผลิตใกล้เคียงกับคอนโดมิเนียม ที่ถูกธนาคารบังคับเรื่องยอดจอง 40% ขึ้นไป จึงจะปล่อยกู้เพื่อพัฒนาโครงการ
แนวคิดนี้ทำให้การเพิ่มซัพพลายด้วยการผลิตล่วงหน้าทำได้ยากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาโอเวอร์ซัพพลายจากปัจจุบันมีสินค้าค้างสต็อกที่อยู่อาศัย (บ้านและคอนโดมิเนียม) จำนวน 230,000 ยูนิต ทั่วประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลา 4.5 ปี ถึงดูดซับหมด
เตรียมรับศึกน้ำมันแพงต้นทุนพุ่ง
ด้าน ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจปีนี้ไม่ง่าย! โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต้องวางแผนรอบคอบกว่าที่เคย เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด จากความรุนแรงของสงครามในตะวันออกกลาง
โดยเฉพาะกรณีการปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งและวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพาการขนส่งและราคาวัตถุดิบอย่างสูง ความผันผวนนี้จึงส่งผลโดยตรงต่อ “ต้นทุนการพัฒนาโครงการ” ซึ่งยากจะควบคุมในช่วงเวลาเช่นนี้
ดังนั้นกลยุทธ์หลัก ดีเวลลอปเปอร์มุ่งเก็บเงินสด ชะลอเปิดโครงการใหม่ เน้นตลาดบนเพื่อรับมือกับภาวะไม่แน่นอน จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายเริ่มชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะในส่วนที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง พร้อมหันไปเร่งขายและโอนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเสริมกระแสเงินสด
“สภาพคล่องคือหัวใจในช่วงวิกฤติ ยิ่งต้นทุนสูง เรายิ่งต้องวางแผนการใช้เงินอย่างระมัดระวัง”
นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นการ “ปรับพอร์ต” จากคอนโดมิเนียมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และกลุ่มเป้าหมายที่ไร้กำลังซื้อ มาสู่การพัฒนา โครงการแนวราบระดับบน จับกลุ่มลูกค้าอำนาจซื้อสูง ได้รับผลกระทบน้อยจากดอกเบี้ยขาขึ้น
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอก ทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มปะทุจากประเด็นเขตแดน เพิ่มความกังวลเรื่องเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนตะวันออก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีบทบาทต่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง
เศรษฐกิจไทยวันนี้ถูกขยี้ด้วย “ความไม่เชื่อใจ” จากระบบการเมืองที่ไม่ชัดเจน ประเด็นหลักไม่ใช่แค่ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ หรือตัวเลข GDP แต่ วิกฤติศรัทธารัฐบาล! ที่สั่นคลอน จึงต้องใช้ทั้งมาตรการยาแรงในระยะสั้น และปรับโครงสร้างใหม่ในระยะยาว เร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืน ทั้งมิติเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ก่อนจะสายเกินแก้ไข
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
วิธีเลือกซื้อคอนโด เพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนทำกำไรดี

วิธีเลือกซื้อคอนโด เพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนทำกำไรที่ดี คนรุ่นใหม่ วัยทำงาน เลือกทำเลที่น่าสนใจ แนวรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งงาน สถานศึกษา
การเลือกซื้อคอนโดเพื่อการลงทุนและให้ผลตอบแทนที่ดี จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย และขายต่อได้กำไรในอนาคต โดยมีแนวทางที่ควรพิจารณาดังนี้

1. ทำเลที่ตั้ง (Location is King)
- ใกล้รถไฟฟ้า (BTS/MRT) เดินไม่เกิน 500 เมตร จะปล่อยเช่าง่ายกว่ามาก
- ย่านที่มีดีมานด์สูง เช่น สุขุมวิท, สาทร, อโศก, ลาดพร้าว, รัชดา, บางนา
- ใกล้สถานศึกษา/โรงพยาบาล/แหล่งงาน/ห้างฯ จะดึงดูดทั้งผู้เช่าและผู้ซื้อในอนาคต
- ดูแนวโน้มโครงการสาธารณูปโภคในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าเส้นใหม่, ทางด่วน
2. ราคาซื้อ & ศักยภาพการเติบโต
- ตรวจสอบราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.ของย่านนั้น และเปรียบเทียบกับโครงการใกล้เคียง
- วิเคราะห์แนวโน้มราคาย้อนหลัง 5 ปี เพื่อดูศักยภาพการเติบโตของมูลค่า
- อย่าซื้อแพงเกินไปตั้งแต่ต้น ควรมี “margin of safety” (ราคาต่ำกว่าค่าเช่าหรือราคาตลาด 10-15%)
3. อัตราผลตอบแทน (Rental Yield)
- คำนวณ Rental Yield = ค่าเช่ารายปี / ราคาซื้อ x 100
- Yield ที่ดีควรอยู่ที่ 5–8% ต่อปี
- ตรวจสอบว่าในพื้นที่นั้นมี Demand ผู้เช่าเพียงพอหรือไม่ เช่น กลุ่มนักศึกษา, พนักงานออฟฟิศ, ชาวต่างชาติ
4. ลักษณะของห้อง
- ขนาด 25-35 ตร.ม. (1 ห้องนอน) เป็นที่นิยมที่สุด ปล่อยเช่าง่าย
- มีแปลนห้องที่ลงตัว ไม่อึดอัด วิวดี แดดไม่ร้อน
- ชั้นกลางถึงสูง (ถ้าไม่ติดเรื่องราคา) มักเป็นที่นิยมมากกว่า
- ทิศเหนือ/ตะวันออกเย็นกว่า ไม่ร้อนช่วงบ่าย
5. โครงการและผู้พัฒนา
- เลือก Developer ที่มีชื่อเสียง คุณภาพงานดี และบริการหลังการขายดี
- ดูรีวิวจากผู้ซื้อ-ผู้เช่าจริง เช่น ใน Pantip, Facebook Group, Google Review
- เลือกโครงการที่มี Facility ครบ สะอาด และบริหารนิติบุคคลดี
6. ค่าบริหารจัดการและค่าส่วนกลาง
- ค่าส่วนกลางไม่ควรสูงเกินไป (ปกติประมาณ 40–60 บาท/ตร.ม./เดือน)
- ตรวจสอบว่านิติบุคคลดูแลดีหรือไม่ มีปัญหาเรื่องการเงินหรือเปล่า
7. ความสามารถในการขายต่อ (Resale Potential)
- เลือกห้องที่เป็น “Type ยอดนิยม” เพราะขายต่อได้ง่าย
- อยู่ในโครงการที่มีประวัติราคาขึ้นต่อเนื่อง
- มีห้องแบบเดียวกันไม่มากเกินไป (ความพิเศษช่วยเพิ่มมูลค่า)
8. ข้อกฎหมายและภาษี
- ตรวจสอบสัญญาจะซื้อจะขายให้รอบคอบ
- พิจารณาค่าธรรมเนียมโอน, ภาษีธุรกิจเฉพาะ, ภาษีรายได้จากค่าเช่า ฯลฯ
- หากจะปล่อยเช่าระยะสั้น ต้องศึกษาข้อกฎหมายด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26มิ.ย.“แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าลงบ้าง เหตุตลาดการเงินไทย ฝั่งผู้นำเข้า อาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้างในช่วงปลายเดือน ตรงข้ามกับโฟลว์ธุรกรรมเอกชนในต่างประเทศที่ช่วงนี้ทยอยขายเงินดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็ทยอยอ่อนค่าลง ส่วนราคาทองคำก็มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างจากโซนแนวรับ
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากในฝั่งตลาดการเงินไทย บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง แถวโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือระดับแข็งค่ากว่านั้นเล็กน้อย ในช่วงปลายเดือน ซึ่งอาจตรงข้ามกับโฟลว์ธุรกรรมของบรรดาบริษัทเอกชนในต่างประเทศ ที่ช่วงนี้เป็นฝั่งการทยอยขายเงินดอลลาร์ (Net USD Selling)
และเห็นการทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Ratio) จากบรรดาผู้เล่นในตลาดมากขึ้น (ทั้งฝั่งนักลงทุนและบริษัทเอกชน) โดยหากเงินบาทสามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อทดสอบโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่า อาจเป็นโซนแนวรับที่แข็งแกร่งพอควรในระยะสั้น
โดยเฉพาะในช่วงนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดมากพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งต่างจากคาดการณ์ดอกเบี้ยของเฟด หรือ Dot Plot (รวมถึง มุมมองของเราพอควร)
ทำให้เรามองว่า มีความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก หากผ่านช่วงโฟลว์ธุรกรรมปลายเดือนที่เป็นฝั่งขายเงินดอลลาร์สุทธิ แล้วรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาดบ้าง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจกลับมากดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินบาทได้ในช่วงที่เข้าใกล้กำหนดพักการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเราคาดว่า สุดท้าย รัฐบาลสหรัฐฯ อาจขยายเวลาไปก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าได้
และแม้ว่าเงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราจะกลับมาเชื่อว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.67 บาทต่อดอลลาร์)
หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาจากทั้งโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ในฝั่งของบรรดาบริษัทเอกชน (จากการสำรวจของนักวิเคราะห์หลายๆ ที่) ในช่วงปลายเดือน รวมถึงการทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเตรียมเสนอรายชื่อประธานเฟดคนใหม่ภายในช่วง Summer ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า “ว่าที่” ประธานเฟดคนใหม่ อาจมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน และแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia +4.3%
ทว่า รายงานยอดขายของ Tesla ในยุโรปที่ดิ่งลงกว่าคาด ก็มีส่วนกดดันให้ราคาหุ้น Tesla ดิ่งลงกว่า -3.8% กดดันตลาดโดยรวมเช่นกัน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.74% แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทยอยคลี่คลายลง ทว่าผู้เล่นในตลาดก็เริ่มกลับมากังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังเข้าใกล้กำหนดครบการพักเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป หลังการรีบาวด์ในช่วงระยะสั้นล่าสุด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศของตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.28%
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะจำกัดลง หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราก็มองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร
และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%) ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์โดยสุทธิของบรรดาบริษัทเอกชน ในช่วงปลายเดือน
นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดให้โอกาสราว 55%) ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 97.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.4-98.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะดูทยอยคลี่คลายลง ทว่าความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับเข้ามาช่วยหนุนความต้องการถือทองคำ กอปรกับ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีจังหวะปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง คาดการณ์ครั้งสุดท้ายของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025 ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนพฤษภาคม
และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในอนาคต
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.50-32.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.01 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง หลังปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงกล่าวในเชิงกดดันประธานเฟด และเตรียมที่จะเริ่มสรรหาประธานเฟดคนใหม่ในเดือนก.ย. หรือต.ค. นี้เพื่อมาแทนนายเจอโรม พาวเวลที่จะหมดวาระในปีหน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก
สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/68 (final) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ครอง 4 สัปดาห์ติด! “วิว กุลวุฒิ” ยังรั้งมือ 1 โลก ภายหลัง BWF ประกาศอันดับโลกใหม่

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย ยังคงครองมือ 1 ของโลก เป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน จากการประกาศอันดับโลกใหม่ของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา
โดยภายหลังจากที่ นักตบลูกขนไก่หนุ่มวัย 24 ปี เดินหน้าหยิบแชมป์ในปีนี้ได้ถึง 4 รายการ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025, แชมป์ เอเชีย แชมเปี้ยนชิพ 2025, แชมป์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 และล่าสุด สิงคโปร์ โอเพ่น 2025
ซึ่งทำให้ “วิว กุลวุฒิ” เก็บคะแนนเพิ่มมาได้อย่างต่อเนื่องจนสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักกีฬาแบดมินตันชายไทยคนแรกที่ก้าวขึ้นเป็นมือ 1 โลก เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ขณะที่ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น นักตบลูกขนไก่จากเดนมาร์ก สามารถทำแต้มแซง ฉี ยู่ฉี จากจีน ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของโลก ด้วยการมี 92,253 คะแนน
อันดับโลกของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ประเภทชายเดี่ยว
1. กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (ไทย) 97,179 คะแนน
2. แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น (เดนมาร์ก) 92,253 คะแนน
3. ฉี ยู่ฉี (จีน) 91,517 คะแนน
4. โจนาธาน คริสตี้ (อินโดนีเซีย) 80,614 คะแนน
5. หลี่ ชื่อเฟิง (จีน) 79,678 คะแนน
6. โจว เทียน เฉิน (ไต้หวัน) 78,979 คะแนน
7. โคได นาราโอกะ (ญี่ปุ่น) 73,204 คะแนน
8. อเล็กซ์ ลาเนียร์ (ฝรั่งเศส) 72,951 คะแนน
9. วิคเตอร์ อเซลเซ่น (เดนมาร์ก) 69,440 คะแนน
10. โลห์ เคียนยิว (สิงคโปร์) 66,719 คะแนน
สำหรับ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ได้รับการจับตามองนับตั้งแต่เป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าแชมป์เยาวชนโลกได้ 3 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์โลกประเภทชายเดี่ยวคนแรกของไทย รวมถึงหยิบเหรียญเงินในกีฬาโอลิมปิก 2024 ได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ขี้หนาวเกิดจากอะไร? สาเหตุและวิธีดูแลตัวเองสำหรับคนหนาวง่าย

หลายคนมักรู้สึกหนาวง่ายกว่าคนอื่น แม้อากาศไม่ได้หนาวมาก ซึ่งอาการขี้หนาว อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่างได้ บทความนี้จะพาไปดูสาเหตุที่ทำให้เป็นคนขี้หนาว และวิธีดูแลตัวเองให้ร่างกายอบอุ่นและสุขภาพแข็งแรง
ขี้หนาวคืออะไร อาการแบบไหนถึงเรียกว่าขี้หนาว
ขี้หนาว คือ ภาวะที่รู้สึกหนาวง่ายกว่าคนทั่วไป อาจรู้สึกหนาวแม้อยู่ในอุณหภูมิห้องปกติ หรือเมื่ออยู่ในที่อากาศเย็นเพียงเล็กน้อย มักมีอาการมือเท้าเย็น หนาวสั่น และบางครั้งมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย
ขี้หนาวเกิดจากอะไรบ้าง
- การไหลเวียนเลือดไม่ดี
เมื่อร่างกายส่งเลือดไปเลี้ยงปลายมือปลายเท้าไม่เพียงพอ ทำให้รู้สึกหนาวง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาโรคหลอดเลือด เช่น โรค Raynaud’s syndrome - ระบบเผาผลาญพลังงานต่ำ
คนที่มีระบบเผาผลาญต่ำ เช่น คนที่รับประทานอาหารน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือผู้สูงอายุ มักมีอุณหภูมิร่างกายต่ำ รู้สึกขี้หนาวง่าย - ภาวะขาดธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็กช่วยในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง หากขาดธาตุเหล็กจะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ รู้สึกหนาวง่าย อ่อนเพลีย และซีด - ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)
ฮอร์โมนไทรอยด์ช่วยควบคุมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ถ้าฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำจะทำให้การเผาผลาญช้าลง ส่งผลให้รู้สึกหนาวง่าย - น้ำหนักตัวน้อยหรือไขมันในร่างกายน้อยเกินไป
ไขมันในร่างกายช่วยเก็บความร้อน ถ้ามีน้อยเกินไปจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนได้ง่าย จึงรู้สึกหนาวกว่าคนปกติ - ความเครียดและความวิตกกังวล
ความเครียดส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังปลายมือปลายเท้าน้อยลง จึงรู้สึกขี้หนาว
วิธีดูแลตัวเองสำหรับคนขี้หนาว
- เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสม เช่น ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หรือใส่เสื้อผ้าหลายชั้นเพื่อรักษาอุณหภูมิ
- ออกกำลังกายเบา ๆ ทุกวัน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือยืดเหยียด
- ดื่มน้ำอุ่นและกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น น้ำขิง ซุป อาหารที่มีโปรตีน
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง
- ตรวจสุขภาพประจำปี หากมีอาการหนาวง่ายผิดปกติ เช่น หนาวจนฟันกระทบกัน อ่อนเพลียมาก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
อาการขี้หนาว อาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่ถ้ามีอาการบ่อยและมากเกินไป ควรหาสาเหตุและดูแลตัวเองให้เหมาะสม ทั้งการปรับพฤติกรรม เลือกอาหารที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพหากจำเป็น เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและแข็งแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 ประโยคภาษาอังกฤษน่ารู้! เมื่อต้อง “ประชุมออนไลน์”

ประโยค “ประชุมออนไลน์”
ประโยคภาษาอังกฤษที่จำเป็นในการประชุมออนไลน์ มีดังต่อไปนี้
• Are we waiting for anyone else?
(อา วี เวท’ทิง ฟอร์ เอน’นีวัน เอลซฺ)
เราต้องรอใครอีกไหม
• Has Peter joined the meeting yet?
(แฮซ ปีเตอร์ จอย เดอะ มีททิง เยท)
เราต้องรอใครอีกไหม
• Are you on mute? (mute = no sound)
(อา ยู ออน มิวทฺ)
คุณปิดเสียงอยู่หรือเปล่า (ปิดเสียง = ไม่มีเสียง)
• Are you still there?
(อา ยู สทิล แธร์)
คุณยังอยู่หรือเปล่า?
• I can hear you but I can’t see you.
(ไอ แคน เฮียร์ ยู บัท ไอ คานท์ ซี ยู)
ฉันได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นหน้าคุณ
• Do you have an audio problem?
(ดู ยู แฮฟ แอน ออดีโอ พรอบเลิม)
คุณมีปัญหาเกี่ยวกับเสียงไหม?
• I am having trouble hearing you.
(ไอ แอม แฮฟวิง ทรัพเบิล เฮียริง ยู)
ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินคุณ
• Could you speak a little bit louder?
(เคอะดฺ ยู สปีค อะ ลิตเทิล บิท ลาวเดอร์)
ช่วยพูดดังขึ้นอีกนิดได้ไหม
• Sorry, can you say that again? I can’t hear you clearly.
(ซอรี แคน ยู เซย์ แธด อะเกน ไอ คานท์ เฮีย ยู เคลียร์ลี)
ขอโทษที ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม ฉันได้ยินไม่ชัด
• I think I may have a problem with the connection.
(ไอ ธิงค์ ไอ เมย์ แฮฟ อะ พรอบ’เลิม วิธ เดอะ คอนเนคเชิน)
ฉันน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
นักวิจัยชี้! ใช้ AI มากๆ สมองอาจจะเสื่อม ความจำสั้น?

โลกของ AI ใกล้ตัวมากขึ้นทุกทีเพราะทุกวันนี้เชื่อว่าหลายคนก็นำ AI มาทำงานไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งเป็น Generative AI ช่วยคิดเรื่องต่างๆ แต่เมื่อมีนักวิัจัยจาก MIT เผยว่า ใช้เยอะๆ ระวังจะทำให้สมองเสื่อม เรื่องนี้จริงหรือไม่วันนี้ เรามาหาคำตอบกัน
ใช้ ChatGPT หรือ AI เยอะๆ สมองเสื่อมจริงไหม?
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เริ่มศึกษาผลกระทบทางปัญญา (Cognitive Cost) ของการใช้ AI ซึ่งจุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสิ่งที่งานวิจัยค้นพบ แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับความเข้าใจผิด พร้อมเสนอแนวทางการใช้ AI อย่างไรให้เป็นคุณ ไม่ใช่โทษ
เจาะลึกงานวิจัย เมื่อสมอง “ทำงานน้อยลง” เมื่อมี AI
งานวิจัยเบื้องต้นชิ้นหนึ่งได้ทำการทดลองที่น่าสนใจ โดยเปรียบเทียบการทำงานของสมองระหว่างกลุ่มคนที่เขียนเรียงความโดยใช้เครื่องมือต่างกัน 3 รูปแบบ และวัดผลด้วยคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)
- กลุ่มใช้สมองล้วน (Brain-only): ไม่ใช้เครื่องมือช่วย
- กลุ่มใช้ Search Engine (เช่น Google): ค้นข้อมูลประกอบการเขียน
- กลุ่มใช้ AI (ChatGPT): ให้ AI ช่วยในการเขียน
ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ: กลุ่มที่ ใช้ AI (ChatGPT) มีรูปแบบการเชื่อมโยงของเครือข่ายประสาทในสมอง “อ่อนแอที่สุด” อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับอีกสองกลุ่มที่ต้องใช้ความคิดและประมวลผลข้อมูลด้วยตัวเองมากกว่า
พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อมี AI คอยช่วยเหลือ สมองของเราก็เหมือนกับ “ออกแรงน้อยลง” ในการทำงานชิ้นนั้นๆ นอกจากนี้ กลุ่มที่ใช้ AI ยังจดจำเนื้อหาที่ตัวเองเขียนได้น้อยกว่า และรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในงานชิ้นนั้นน้อยกว่าอีกด้วย

“สมองทำงานน้อยลง” ไม่เท่ากับ “สมองเสื่อม”
นี่คือประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนที่สุดครับ งานวิจัยนี้ ไม่ได้ชี้ว่าการใช้ AI ทำให้เกิดภาวะ “สมองเสื่อม” (Brain Degeneration) ซึ่งเป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึงการที่เซลล์สมองถูกทำลายหรือตายไปอย่างถาวรจากโรคภัยไข้เจ็บ
แต่สิ่งที่งานวิจัยค้นพบคือภาวะ “การมีส่วนร่วมทางปัญญาลดลง” (Reduced Cognitive Engagement)
ถ้าพูดให้เห็นภาพมากขึ้นเช่นการใช้เครื่องคิดเลขเพื่อหาผลลัพธ์ที่ซับซ้อน ไม่ได้ทำให้สมองส่วนคำนวณของคุณ “เสื่อม” แต่มันทำให้คุณไม่ได้ “ฝึก” ทักษะการคิดเลขในใจหรือการทดเลขด้วยตัวเอง หากทำบ่อยๆ ทักษะการคำนวณของคุณก็อาจจะลดลงได้ฉันใด การพึ่งพา AI ให้คิดแทนทั้งหมด ก็อาจทำให้ “กล้ามเนื้อสมอง” ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ การเรียบเรียง และการสร้างสรรค์ ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ฉันนั้น
สิ่งที่ข้อวิจัยมีจำกัด
สิ่งสำคัญคือต้องมองผลลัพธ์นี้อย่างรอบด้าน โดยผู้วิจัยเองก็ได้ย้ำถึงข้อจำกัดสำคัญไว้หลายประการไม่ว่าจะเป็น
- เป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้น: ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล
- ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ (Not Peer-Reviewed): ยังไม่ได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ
- กลุ่มตัวอย่างน้อยและบริบทจำกัด: ทดลองกับคนกลุ่มเล็กๆ ในกิจกรรม “การเขียนเรียงความ” เท่านั้น จึงอาจไม่สามารถนำไปสรุปกับการใช้งาน AI ในรูปแบบอื่นๆ ได้ทั้งหมด

แนวทางปฏิบัติ ใช้ AI อย่างไรให้เป็น “ผู้ช่วยที่ชาญฉลาด” ไม่ใช่ “เจ้านายที่คิดแทน”
แทนที่จะกังวลจนไม่กล้าใช้ เราควรเปลี่ยนมุมมองมาเป็นการเรียนรู้ที่จะ “ใช้งานอย่างชาญฉลาด” เพื่อดึงศักยภาพของ AI มาส่งเสริมทักษะของเรา แทนที่จะให้มันมาลดทอนความสามารถ
- ใช้เป็น “คู่คิดระดมสมอง” (Brainstorming Partner): ใช้ AI ช่วยหาไอเดียตั้งต้น, เสนอมุมมองที่แตกต่าง หรือสร้างโครงร่างของงาน แต่ให้เราเป็นคนตัดสินใจเลือก, ต่อเติม และลงรายละเอียดด้วยตัวเอง
- ใช้เป็น “บรรณาธิการส่วนตัว” (Personal Editor): หลังจากที่เราเขียนเนื้อหาฉบับร่างแรกด้วยความคิดของตัวเองเสร็จแล้ว ค่อยใช้ AI ช่วยตรวจทานไวยากรณ์, ปรับสำนวนภาษา หรือเสนอคำศัพท์ที่ดีกว่า
- ใช้เป็น “เครื่องมือเรียนรู้” (Learning Tool): หากเจอหัวข้อที่ซับซ้อน ลองขอให้ AI “อธิบายเรื่อง X ให้เข้าใจง่ายเหมือนเล่าให้เด็กฟัง” เพื่อทำความเข้าใจแก่นของเรื่อง ก่อนจะไปศึกษาลงลึกด้วยตัวเอง
- ใช้เพื่อ “ทลายกำแพง” (Break the Barrier): เมื่อเกิดภาวะ “คิดไม่ออก” (Writer’s block) ลองให้ AI ช่วยร่างประโยคแรกหรือย่อหน้าแรก เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เราสามารถคิดต่อไปได้
ดังนั้นในคำถามที่ว่า “ใช้ ChatGPT บ่อยๆ แล้วสมองเสื่อมจริงหรือ?” คือ ไม่จริง ในความหมายทางการแพทย์ แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือความเสี่ยงที่จะเกิด “ภาวะสมองขี้เกียจ” หรือการถดถอยของทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หากเราพึ่งพามันมากเกินไปโดยไม่ใช้ความคิดของตัวเองเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“เอลเดอร์เบอร์รี่” ผลไม้มาแรง กับประโยชน์ที่ช่วยป้องกันไวรัส

เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry) ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะแวดวงผู้รักสุขภาพในบ้านเรา ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเบอร์รี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ
เอลเดอร์เบอร์รี่ คืออะไร?
เอลเดอร์เบอร์รี่ เป็นผลเบอร์รี่ขนาดเล็กสีม่วงเข้ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sambucus nigra เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในยุโรป และแอฟริกาทางตอนเหนือ ในหลายประเทศในแถบยุโรปมักนำดอกเอลเดอร์เบอร์รี่มาทำเป็นน้ำเชื่อมเพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารเช้า รวมทั้งนำผลมาทำเป็นเครื่องดื่ม ไวน์ แยม น้ำผลไม้
ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่
เอลเดอร์เบอร์รี่ ถือเป็นพืชมหัศจรรย์ตระกูลเบอร์รี่เลยก็ว่าได้ ซึ่งในเม็ดเล็กที่เราเห็นกันนั้น มีสารหลากหลายที่เป็นคุณประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ
- กรดอะมิโนรูติน
- เคอเซติน
- วิตามินเอ
- วิตามินบี
- วิตามินซี
- สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์
สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและด้วยสารนานาชนิดที่อยู่ในผลเอลเดอร์เบอร์รี่ จึงทำให้วงการแพทย์สกัดสารต่างๆ ในเบอร์รี่ชนิดนี้มาใช้เป็นยาต้านหรือยับยั้งเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น
- โรคหวัด
- ไข้หวัดใหญ่
- การติดเชื้อไวรัสเริม
- ยับยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัสในร่างกาย
- ลดการอักเสบ
- ยับยั้งการหลั่งของสารก่อการอักเสบในร่างกาย
และสำหรับในแวดวงสุขภาพได้นิยมรับประทานมากขึ้นเพราะ เอลเดอร์เบอร์รี่มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงสายตา ที่สำคัญเพิ่มภูมิคุ้มกัน และด้วยคุณประโยชน์มากมาย ทำให้คนยุโรปมีความเชื่อว่า เอลเดอร์เบอร์รี่คือยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย
วิธีกินเอลเดอร์เบอร์รี่ให้ได้ประโยชน์
เอลเดอร์เบอร์รี่ดิบอาจพบสารพิษที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ดังนั้นจึงควรนำมาปรุงให้สุกผ่านความร้อนก่อนกิน โดยสามารถนำมาทำเป็นแยม เป็นไส้ในขนมปังต่างๆ ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,150.00 | 51,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,307.00 | 50,134.12 | 52,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,976.30 | 45,120.71 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,645.60 | 40,107.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,488.15 | 22,560.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,157.45 | 17,546.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,426.94 | 51,952.41 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.15 | 33.15 | 33.65 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.78 | 32.78 | 33.28 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.94 | 30.94 | 31.44 | 30.94 | 30.94 | – | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.29 | 29.29 | – | – | – | – | – | – | – | 29.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.74 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.74 |
เบนซิน 95 | 41.44 | – | – | – | 49.81 | – | 41.94 | 41.59 | – | 41.44 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |