สาระน่ารู้ประจำวันที่ 18 กรกฎาคม 2568

อสังหาฯเช่าโซน EEC โตแรงทำเลใน “ระยอง”ดันผลตอบแทนพุ่ง 8%

ตลาดปล่อยเช่าคอนโด ในโซน EEC คึกคักต่อเนื่อง “HHR” เดินเกมรุกเสริมพอร์ต 1,800 ยูนิต รับดีมานด์พนักงานไทย-ต่างชาติ ชูระยองฮอตสปอตการลงทุนใหม่

ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญแรงต้านจากภาวะดอกเบี้ยสูง หนี้ครัวเรือน และนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวด ตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อ “ซื้อ” อาจชะลอตัวลง แต่ในทางกลับกัน ตลาด “เช่า” กลับเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กำลังกลายเป็นแม่เหล็กใหม่ของทั้งการผลิตและการลงทุน

หนึ่งในผู้เล่นหลักที่ตื่นตัวและขยับตัวเร็วในสมรภูมินี้คือ แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ (HHR) ธุรกิจในกลุ่ม Living Service ของ PRI ที่เดินหน้ารุกตลาดบริหารจัดการคอนโดเพื่อการเช่าและเซอร์วิสเรสซิเดนซ์อย่างเต็มรูปแบบ

“เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน การเช่าไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่มันคือ ‘โอกาส’ ทางธุรกิจ” ปีณิตา ศิลปสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ HHR

ระยอง ฮีโร่ของตลาด Yield

แม้ในพื้นที่ EEC จะมีศูนย์กลางอยู่หลายจุด แต่ “ระยอง” กำลังขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งด้านอสังหาฯเพื่อการเช่า ด้วยจำนวนโรงงานมากกว่า 2,800 แห่ง และการจ้างงานกว่า 220,000 คน โดยเฉพาะการขยายตัวของกลุ่ม อุตสาหกรรม EV ที่ลงทุนเกิน 50,000 ล้านบาท และเตรียมเปิดรับบุคลากรอีกนับหมื่นคน ทำให้ “ดีมานด์ที่อยู่อาศัยแบบเช่า” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

HHR ชูสองโครงการหลักในระยอง ได้แก่

  • Notting Hill Rayong City by Hampton
  • Brixton Rayong

โดยทั้งสองโครงการมีค่าเฉลี่ยอัตราเข้าพัก (Occupancy rate) สูงถึง 85–90% และสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield) อยู่ที่ 6–8% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในกลุ่มอสังหาฯปล่อยเช่า

“ห้องชุดของเรามีผู้เช่าต่อเนื่อง ทั้งชาวต่างชาติและคนไทย โดยเฉพาะชาวจีน ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ที่ได้รับ Housing Allowance สูงถึง 30% ของเงินเดือน”

พอร์ตเช่าขยายแตะ 1,800 ยูนิต

เพื่อตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น HHR ตั้งเป้าขยายพอร์ตคอนโดฯ เพื่อการเช่าผ่านโครงการในรูปแบบ IP Program ให้ครบ 1,800 ยูนิต ภายในปีนี้ โดยจะเริ่มจากการเปิดตัวโครงการไฮไลท์ใหม่ “The Hampton Suites Rayong” ในเดือนส.ค.นี้

โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ Origin Smart City Rayong มิกซ์ยูสขนาดใหญ่ใจกลางระยอง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ตั้งแต่ Rooftop Outdoor Theater, Business Lounge, Sky Pool ไปจนถึงห้องประชุม พร้อมให้บริการแบบ Service Residence ระดับ 5 ดาว ซึ่ง HHR ชูจุดขายการลงทุนแบบยาว ๆ รับผลตอบแทน 5–9% นานถึง 10 ปี

ภาพรวมของตลาดปล่อยเช่าใน EEC โดยเฉพาะจังหวัดระยอง สะท้อนแนวโน้มการลงทุนแบบ “เน้นผลตอบแทนระยะยาว” มากกว่าการขายขาด ด้วยปัจจัยหนุนครบถ้วน ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมที่เติบโต ท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และกำลังซื้อของกลุ่มต่างชาติที่เข้ามาทำงานอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ของ HHR ในการผนวก Property Management + Hotel Service เข้ากับตลาดเช่าในพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ อาจกลายเป็น “ต้นแบบธุรกิจบริหารอสังหาฯเชิงรุก” ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความสะดวก และผลตอบแทนมากกว่า “การถือกรรมสิทธิ์”

“เราไม่ได้แค่บริหารห้องพัก แต่เรากำลังสร้างแพลตฟอร์มที่อยู่อาศัยในเมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เจาะแผน CPANEL ดันครึ่งปีหลัง 68 รายได้โต พร้อมลุยงานรัฐ-เอกชน CPANEL

CPANEL เดินหน้าตลาดพรีคาสต์เต็มกำลัง เผยแผนครึ่งปีหลัง 2568 เร่งขยายฐานลูกค้ารัฐ-เอกชน ลุยส่งมอบงานต่อเนื่อง หวังดันรายได้กลับสู่เกณฑ์ปกติ ควบคู่บริหารต้นทุน ท่ามกลางความท้าทายของภาคการก่อสร้างไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูประบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ประกาศเดินเกมเชิงรุกในครึ่งปีหลัง 2568 ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนคือการ รุกขยายฐานลูกค้าภาครัฐและเอกชน สร้างรายได้สม่ำเสมอ พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางกำลังการผลิตที่ยังมีพื้นที่ว่างรองรับงานใหม่ได้ทันที

แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และตลาดเอกชนบางส่วนยังชะลอการลงทุน แต่ CPANEL กลับมองเห็นโอกาสในภาครัฐที่ต้องการวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง โดยเฉพาะงานที่พักอาศัยข้าราชการ โรงพยาบาล และสถานศึกษา ซึ่งตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งในเรื่องมาตรฐาน ความทนทาน และการติดตั้งรวดเร็ว

“ตอนนี้เรามีแบ็คล็อกอยู่ 1,311.36 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาครัฐและเอกชนฝั่งละ 50% ซึ่งเรามั่นใจว่าสามารถรับรู้รายได้ต่อเนื่องในครึ่งปีหลังได้เต็มที่ และจะช่วยดันรายได้ให้กลับเข้าสู่ระดับปกติ” นายชาคริตกล่าว

เขายังเน้นยํ้าว่า ในส่วนของงานภาครัฐมีจุดแข็งที่แม้โครงการจะไม่ได้ใหญ่เสมอไป แต่มีความสม่ำเสมอ และหากบริษัทสามารถกลายเป็นซัพพลายเออร์หลักในแต่ละหน่วยงานได้ ก็เปรียบเสมือนกลายเป็น “สินค้าประจำ” ที่ลูกค้ารู้จักและเชื่อมั่น

อีกหนึ่งประเด็นที่ CPANEL ให้ความสำคัญคือการนำเสนอ “โซลูชัน” มากกว่าการขายสินค้าแบบทั่วไป โดยบริษัทไม่ได้เพียงแค่จำหน่ายแผ่นพรีคาสต์เท่านั้น แต่ยังวางระบบประกอบติดตั้ง มีคู่มือมาตรฐานกว่า 400 หน้า รองรับการใช้งานทุกสถานการณ์ พร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมให้แก่ลูกค้าในโครงการขนาดต่าง ๆ ทั่วประเทศ

“ลูกค้าที่ซื้อจากเราไม่ได้ซื้อแค่แผ่นพรีคาสต์ แต่เขาซื้อโซลูชันซื้อระบบ ซื้อความเชื่อมั่น และซื้อประสบการณ์ของเรา เราเป็นเหมือนทีมที่เข้าไปช่วยเขาทำให้งานเสร็จเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด”

CPANEL ยังมองว่า การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาสภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญในปีนี้ โดยบริษัทมุ่งจัดการกระแสเงินสดให้รัดกุม พร้อมเลือกคัดลูกค้าให้เหมาะสม ทั้งด้านคุณภาพการทำงาน ความรับผิดชอบทางการเงิน และศักยภาพของโครงการ

อีกทั้งยังเปิดเผยว่า บริษัทยังไม่มีจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มในช่วงนี้ เพราะมีกำลังผลิตเหลือพอรองรับงานจำนวนมาก โดยนายชาคริตเผยว่า CPANEL คือบริษัทเดียวในไทยที่นำเทคโนโลยีโรบอติกส์มาใช้ในระบบ Precast อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยเอกสารคู่มือมาตรฐานที่ผ่านการทำงานร่วมกับภาครัฐมายาวนาน จนได้รับการยอมรับในระดับประเทศ

สำหรับทิศทางครึ่งปีหลัง บริษัทวางเป้าขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มโครงการเอกชนในกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก ตลอดจนโครงการที่พักแนวราบระดับลักชัวรีที่สามารถรับรู้รายได้เร็ว ในขณะเดียวกันยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไว้ด้วยความสัมพันธ์ระยะยาว

ขณะเดียวกัน CPANEL ยังเตรียมแผนรุกขยายฐานลูกค้าในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีโครงการก่อสร้างภาครัฐทยอยเปิดประมูลมากขึ้น เช่น อาคารสาธารณูปโภค โรงพยาบาล และสถานศึกษา ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนสามารถตอบโจทย์เรื่องความเร็ว ประหยัดแรงงาน และควบคุมคุณภาพได้ตรงตามข้อกำหนดของราชการ

“เราเข้าใจข้อจำกัดของงานภาครัฐ ทั้งด้านเวลา ความปลอดภัย และการประสานกับชุมชน เพราะฉะนั้นเราวางระบบและออกแบบทุกอย่างให้สอดคล้องกับมาตรฐานราชการตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ”

แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่เอื้อเต็มที่ แต่ CPANEL มองว่า “วิกฤต” คือโอกาสสำหรับคนที่พร้อมปรับตัว โดยเฉพาะการหาตลาดใหม่และ use case ใหม่ของผลิตภัณฑ์เดิม ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่มีความยืดหยุ่นสูง

“เราต้องขยาย use case ของสินค้าให้มากขึ้น เช่น ใช้กับอาคารสำนักงาน โรงแรม หรือบ้านที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก็ใช้ได้ เป็นการหาตลาดใหม่ที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แต่เพิ่มรายได้ได้จริง เราเชื่อว่าเทคโนโลยีและประสบการณ์ของเราจะเป็นคำตอบให้กับลูกค้าในยุคที่ต้องการความคุ้มค่าและไว้วางใจได้” นายชาคริตกล่าวทิ้งท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ก.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ก.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทได้รับแรงหนุนการแข็งค่าขึ้นจากทั้ง เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงขายทำกำไร รวมถึงการปรับสถานะถือครองจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ขณะเดียวกัน ราคาทองคำยังมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้18ก.ค.2568 ที่ระดับ  32.44 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.50 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทยังไม่สามารถทยอยอ่อนค่าได้อย่างที่ประเมินไว้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง

แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัดและยังคงเผชิญแรงขายทำกำไร รวมถึงการปรับสถานะถือครองจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ยังคงมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง และเป็นอีกปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

 นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ก็ถือว่าเซอร์ไพรส์เราพอสมควร เนื่องจากเรามองว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปัจจัยหนุนที่ชัดเจน เหมือนตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ ที่มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ก็มาพร้อมกับแรงซื้อหุ้นไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนค่าเงินบาท สวนทางกับที่เราประเมินไว้

อย่างไรก็ดี เรายังขอคงมุมมองเดิมไว้ว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง และประเมินว่า เงินบาทจะมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 32.60-32.70 บาทต่อดอลลาร์ ได้

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดอาจปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าออกมาดีกว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ออกมาย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอความชัดเจนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 นอกจากนี้ ปัจจัยกดดันเงินบาทจากในประเทศก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของการเมืองไทย ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองไทยเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น ก็อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยได้ไม่ยาก หลังตลาดหุ้นไทยได้ทยอยปรับตัวขึ้นมาพอสมควรและการปรับตัวขึ้นต่อก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงได้ หากราคาทองคำยังสามารถปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเรายังคงเห็นแรงซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวของผู้เล่นในตลาดอยู่ อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก ก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านอีกครั้ง

 ทำให้โดยรวม เงินบาท (USDTHB) อาจยังติดโซนแนวต้านแถว 32.60-32.70 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เราถึงจะกลับมามั่นใจว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following  โดยแนวต้านถัดไปของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวน ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.43-32.58 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเวลาสั้นๆ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ

หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ทั้ง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ดัชนีภาวะธุรกิจโดยเฟดสาขา Philadelphia ต่างออกมาดีกว่าคาด

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์กลับไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในการทยอยปรับลดสถานะถือครองและขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Christopher Waller (หนึ่งใน Board of Governors และ Voters ของ FOMC) ที่ยังคงสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคมนี้ (“After cutting rate this month I would support further 25bps cuts to move toward neutral rate”)

ซึ่งการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ดังกล่าวในช่วงคืนที่ผ่านมาและช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นจากใกล้โซนแนวรับ 3,300-3,310 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ต่างก็ออกมาสดใสและดีกว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.54% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.96% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ตามอานิสงส์รายงานผลประกอบการของ TSMC ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ASML รีบาวด์ขึ้น +3.9% หลังปรับตัวลงหนักในวันก่อนหน้า

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะออกมาดีกว่าคาด ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ และยังคงแกว่งตัวในกรอบ 4.40%-4.50% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

โดยเฉพาะแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ขณะเดียวกัน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับ ประธานเฟดก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง แม้จะแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่าบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน กอปรกับแรงขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา

และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Christopher Waller ที่ยังคงสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์ ทยอยอ่อนค่าลง โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.4-98.9 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน ซึ่งยังคงสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด

ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับระยะสั้น สู่โซน 3,340-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังบรรยากาศในตลาดการเงินได้กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม

โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) ที่อาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 78% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ และมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 3 ครั้ง ในปี 2026

 และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงระยะสั้นได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.39-32.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดต่างประเทศวานนี้ที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่ แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ มีน้อยลง (หลังจากรับปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดค้าปลีกและตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ไปแล้ว) เนื่องจากตลาดกลับมาสนใจกับเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลัง Fed Governor นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ กล่าวว่า เฟดควรปรับลดดอกเบี้ยในเดือนนี้เพื่อประคองตลาดแรงงานที่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแอ

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ กับหลายๆ ประเทศคู่ค้า ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนมิ.ย. ตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (เบื้องต้น)  เดือนก.ค.  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เพราะเธอคนนี้! “สื่อแดนโสม” ชี้เป้าสาเหตุ “วอลเลย์บอลเกาหลีใต้” หล่นชั้นเนชันส์ลีก

กลายเป็นประเด็นใหญ่ในแดนโสมสำหรับความล้มเหลวของ “ทัพลูกยางสาวเกาหลีใต้” ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025 เมื่อพวกเขาจบอันดับที่ 18 ของตารางทำให้ต้องตกชั้นในฤดูกาลหน้า

โดย ทีมวอลเลย์บอลหญิงเกาหลีใต้ มีผลงานชนะ 1 นัด และแพ้ถึง 11 เกม เก็บได้เพียงแค่ 5 คะแนน ทำให้เป็นรอง “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ที่มีผลงานชนะ 1 นัด และแพ้ 11 เกม แต่สามารถเก็บได้ 6 คะแนน

ส่งผลให้ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก ฤดูกาล 2026 พวกเขาจะถูกตัดสิทธิ์ และต้องกลับไปทำอันดับโลกให้ขยับสูงขึ้นในการแข่งขันของ สมาพันธ์วอลเลย์บอลเอเชีย (AVC) อย่างเช่น เอเชีย เนชันส์ คัพ, เอเชียน แชมเปียนชิพ และ อีสต์ เอเชียน แชมเปียนชิพ

เรื่องนี้สื่อหลักของประเทศเกือบทุกสำนัก ต่างมุ่งประเด็นไปที่การขาดหายไปของ “ราชินีลูกยางแดนโสม” คิมยอนคยอง นักวอลเลย์บอลสาวอดีตกัปตันทีมชาติ ที่ตัดสินใจประกาศอำลาทีมอย่างเป็นทางการ หลังจบโอลิมปิกเกมส์ 2020

ซึ่งนับแต่นั้นมาผลงานของ “ทัพนักตบลูกยางแดนโสม” ก็ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แต่โชคดีที่ผ่านมา สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ยังไม่มีการปรับกฎให้การแข่งขันเนชันส์ลีก มีการตกชั้นเกิดขึ้นจนมาถึงฤดูกาลล่าสุดที่เปลี่ยนกฎและพวกเขาก็ไม่รอด

พร้อมกันนี้สื่อแดนโสมยังได้พุ่งเป้าโจมตีไปที่ สหพันธ์วอลเลย์บอลเกาหลีใต้ (KOVO) ว่าไม่มีการปรับโครงสร้างใหม่ และวางรากฐานสำหรับอนาคตระยะยาว รวมถึงการคัดสรรโค้ชก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

สำหรับอันดับโลกปัจจุบันของ ทีมเกาหลีใต้ หล่นไปอยู่อันดับ 37 ของโลก ถือเป็นเรื่องยากที่จะได้กลับเข้าร่วมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก ฤดูกาล 2027

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไข้เลือดออกมือสอง เมื่อคนดูแลก็ป่วยได้ ผลกระทบที่หลายคนมองข้าม

เมื่อเอ่ยถึง “ไข้เลือดออก” เรามักนึกถึงอาการป่วยที่รุนแรง ความทรมานของผู้ป่วย และความกังวลใจของคนรอบข้าง แต่มีอีกมุมหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ “ความทุกข์ทรมานของผู้อยู่เบื้องหลังการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก” ซึ่งในที่นี้เราอาจเรียกได้ว่าเป็น “ไข้เลือดออกมือสอง” ในเชิงอารมณ์และภาระที่หนักอึ้ง แม้จะไม่ใช่การติดเชื้อโดยตรง แต่ผลกระทบทางกายและใจนั้นมีอยู่จริงและรุนแรงไม่แพ้กัน

รู้จัก “ไข้เลือดออกมือสอง” ภาระและการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก

คำว่า “ไข้เลือดออกมือสอง” ไม่ได้หมายถึงการติดเชื้อไวรัสซ้ำ หรือการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยโดยตรง แต่เป็นการอธิบายถึง ผลกระทบทางอ้อมที่เกิดขึ้นกับผู้ดูแล ผู้ใกล้ชิด และครอบครัวของผู้ป่วยไข้เลือดออก ซึ่งต้องเผชิญกับความกังวล ความเหนื่อยล้า และภาระต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่คนที่รักป่วย

ผลกระทบของไข้เลือดออกมือสอง

  • ความเครียดและความกังวล: เมื่อคนที่คุณรักป่วยด้วยไข้เลือดออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่อาการรุนแรง ผู้ดูแลต้องเผชิญกับความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับสุขภาพของผู้ป่วย การเฝ้าระวังอาการที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และความไม่แน่นอนของผลลัพธ์การรักษา ความเครียดนี้สะสมและส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ดูแลอย่างมาก
  • ภาระทางกายและเวลา: การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกต้องใช้เวลาและความเอาใจใส่สูง ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดตัวลดไข้ ป้อนยา สังเกตอาการผิดปกติ การพาไปโรงพยาบาลหลายครั้ง การเฝ้าไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งอาจหมายถึงการต้องลาหยุดงาน เสียรายได้ หรือต้องจัดการภาระอื่นๆ ในชีวิตที่ทับซ้อนกัน
  • ภาระทางการเงิน: ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่ายา ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย สามารถสร้างภาระทางการเงินอย่างหนักให้กับครอบครัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยเป็นเสาหลักของครอบครัว
  • ผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว: ผู้ดูแลอาจต้องละทิ้งกิจวัตรประจำวัน การพักผ่อน หรือแม้กระทั่งความต้องการส่วนตัว เพื่อทุ่มเทให้กับการดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทางกายและใจสะสม
  • การจัดการความรู้สึกผิดและสิ้นหวัง: ในบางกรณีที่อาการป่วยรุนแรงขึ้น หรือมีการสูญเสีย เพราะโรคไข้เลือดออกเป็นโรคคาดเดาไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มียารักษาแบบเฉพาะเจาะจง อีกทั้งยังขึ้นอยู่ที่ร่างกายแต่ละบุคคล บางรายอาการอาจจะไม่รุนแรง แต่บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตเลย ผู้ดูแลอาจต้องเผชิญกับความรู้สึกผิด (ว่าตัวเองดูแลไม่ดีพอหรือไม่) หรือความสิ้นหวัง ที่เป็นบาดแผลทางใจระยะยาว

รับมือกับ “ไข้เลือดออกมือสอง”

  • แม้จะไม่มียาสำหรับรักษา “ไข้เลือดออกมือสอง” แต่มีแนวทางในการจัดการและบรรเทาความทุกข์ทรมานนี้ได้
  • ขอความช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระ: อย่าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว แจ้งให้ญาติสนิท มิตรสหาย หรือคนรู้จักทราบถึงสถานการณ์ และขอความช่วยเหลือในการดูแล แบ่งเวรเฝ้าไข้ หรือช่วยจัดการเรื่องอื่นๆ เพื่อให้คุณได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง
  • ปรึกษาแพทย์และพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ: ทำความเข้าใจอาการของโรค การเปลี่ยนแปลงที่ต้องสังเกต และแนวทางการรักษาอย่างละเอียด การมีความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยลดความกังวลลงได้
  • ดูแลสุขภาพของตนเอง: แม้จะยุ่งแค่ไหน ก็ต้องไม่ละเลยการกินอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนให้เพียงพอ และพยายามหาเวลาผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ เพราะหากผู้ดูแลป่วยเสียเอง จะไม่มีใครดูแลผู้ป่วยได้
  • พูดคุยและระบายความรู้สึก: อย่าเก็บความกังวลหรือความเครียดไว้คนเดียว ลองพูดคุยกับคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว
  • เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์: เรียนรู้เกี่ยวกับอาการของไข้เลือดออกที่ต้องระวัง (เช่น ไข้ลดแล้วแต่ยังซึมลง อ่อนเพลียมาก ปวดท้องรุนแรง มีเลือดออกผิดปกติ) เพื่อให้สามารถพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ได้ทันท่วงทีหากเกิดภาวะแทรกซ้อน

“ไข้เลือดออกมือสอง” ในบริบทของความทุกข์ทรมานของผู้ดูแลและครอบครัว เป็นอีกด้านหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าโรคไข้เลือดออกไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ผู้ป่วยโดยตรง แต่ยังรวมถึงบุคคลอันเป็นที่รักที่ต้องคอยเฝ้าระวัง ดูแล และแบกรับภาระทั้งทางกาย ใจ และการเงิน ดังนั้น การร่วมมือกันป้องกันไข้เลือดออกในทุกครัวเรือนและชุมชน จึงไม่ใช่แค่การปกป้องสุขภาพของตนเอง แต่ยังเป็นการช่วยลดความทุกข์ทรมานของผู้อื่น และสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากโรคนี้อย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วิธีติดตั้งการใช้งาน Google บนอุปกรณ์หัวเว่ย ทำอย่างไรมาดูกัน

ดาวน์โหลดแอปฯ ระดับพีซีได้โดยตรงจาก AppGallery

AppGallery คือตลาดแอปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์หัวเว่ย ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตลาดแอปฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีตัวเลือกแอปฯ มากมายที่คัดมาแล้วสำหรับผู้บริโภคในมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก AppGallery เป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแอปฯ หลากหมวดหมู่ ทั้งเกม การศึกษา ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น ความบันเทิง และอีกมากมาย AppGallery ยังใช้งานข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่นโดยล็อกอิน HUAWEI ID เดียวกัน ทั้งบนสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ตของหัวเว่ย คุณจึงทำงานมัลติทาส์กได้ในทุกโอกาส ทั้งที่บ้านและที่ออฟฟิศ เพราะรองรับแอปฯ บนดีไวซ์หลากหลาย จึงตอบโจทย์การทำงานและความคิดสร้างสรรค์ได้เหนือชั้น

AppGallery ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทั้งแอปฯ ที่ใช้งานบ่อยในทุกวัน หรือแอปฯ ที่น่าสนใจอื่นๆ อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พร้อมรองรับ Google แล้ว!

หลายคนคงสงสัยว่าดีไวซ์ของหัวเว่ยจะใช้แอปพลิเคชั่นของ Google ได้หรือยัง หลังจากที่เราได้ลองเข้าไปทดสอบดู บอกเลยว่าปัจจุบันสามารถใช้ได้แล้ว โดยเราได้ดาวน์โหลด YouTube และ Google Meet รวมถึง Chrome โดยตรงจาก AppGallery และเมื่อทดลองใช้ก็ทำงานราบรื่นไม่มีปัญหา

ดาวน์โหลดแอปฯ ของ Google ผ่าน AppGallery ได้ง่ายๆ ดังนี้

  • เปิด AppGallery บนอุปกรณ์หัวเว่ย
  • ค้นหาแอปฯ ที่ต้องการ เช่น Google Chrome
  • กด Install และทำตามขั้นตอนที่ขึ้นบนหน้าจอ

ขณะที่ล็อกอิน ผู้ใช้อาจสังเกตเห็นสิ่งที่เรียกว่า “MicroG” ซึ่งไม่ต้องกังวล เพราะซอฟต์แวร์นี้ปลอดภัยและใช้งานง่าย MicroG เป็นปลั๊กอินจากบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ ช่วยให้คุณเข้าสู่ระบบบัญชี Google และซิงค์ข้อมูลข้ามแอปฯ Google ทั้งหมดได้ในครั้งเดียว เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ใช้งานได้ฟรี และใช้กันอย่างแพร่หลายในยุโรป พัฒนาและดูแลโดยชุมชนนักพัฒนาในเยอรมนีซึ่งเป็นที่รู้จัก

นั่นหมายความว่าสามารถใช้แอปฯ Google บนอุปกรณ์หัวเว่ยได้แล้ว

หมดกังวลเรื่องข้อจำกัดของแอปฯ

หลายคนอาจเคยหาแอปฯ บางตัวไม่เจอใน HUAWEI AppGallery เช่น Netflix แต่ข่าวดีคือมีวิธีแก้ง่ายๆ แล้วด้วย GBox

GBox เป็นทางเลือกในการดาวน์โหลดแอปฯ ทดแทน Google Play ช่วยให้ค้นหาและติดตั้งแอปฯ ที่ต้องอาศัย Google Mobile Services ดังนั้นถ้าหาแอปฯ ไม่เจอใน AppGallery ก็สามารถใช้ GBox แทนได้ ซึ่งพัฒนาภายใต้โปรเจกต์ MicroG โอเพนซอร์สที่เชื่อถือได้และดูแลโดยชุมชนนักพัฒนาในยุโรป เพื่อช่วยให้แอปฯ แอนดรอยด์เข้าถึงบริการหลักของ Google ได้อย่างปลอดภัยและยังปกป้องความเป็นส่วนตัว

เพียงติดตั้ง GBox บนอุปกรณ์ครั้งเดียว ก็ดาวน์โหลดและใช้งานแอปฯ ที่อาจจะไม่มีใน AppGallery ได้ทันที ต่อไปนี้ถ้าหาแอปฯ ไม่เจอใน AppGallery ก็ไม่ต้องกังวล เพราะสามารถใช้ GBox แทนได้ง่ายและใช้งานได้จริง

อย่าลืมอัปเดตแอปฯ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

แนะนำว่าให้อัปเดต AppGallery เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด รวมถึงการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพเร็วขึ้น และได้รับสิทธิประโยชน์ล่าสุด โดยวิธีอัปเดตดังนี้ 

  1. เปิด AppGallery
  2. เลือก Me จากนั้นเลือก App Updates
  3. กด Update All

เท่านี้ก็สามารถอัปเดตแอปฯ และ AppGallery ได้ง่ายๆ แค่เพียงปลายนิ้ว

กรณีดาวน์โหลดแอปฯ ผ่าน Gbox ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถอัปเดตแอปฯ ทั้งหมดพร้อมกันได้โดยตรงใน Gbox แต่ต้องไม่ลืมอัปเดตแอปฯ Gbox ผ่าน AppGallery ก่อนอัปเดตแอปฯ อื่นๆ ที่มาจาก GBox ด้วย

รับสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ

AppGallery ยังมอบสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ใช้ เช่น ของกำนัล ส่วนลด และคูปองต่างๆ เพียงเข้าไปเช็คที่ Gift Centre เป็นประจำ ก็สามารถปลดล็อกดีลพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ

เปิดให้ใช้แล้ววันนี้

ลูกค้าหัวเว่ยสามารถค้นหาและเพลิดเพลินกับแอปฯ โปรดของคุณได้ง่ายกว่าเดิมเพียงปลายนิ้วสัมผัส อีกทั้งยังปลอดภัย คุ้มค่า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ

หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอความช่วยเหลือ สามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของหัวเว่ยในเวลาทำการ ที่หมายเลข 1800-010-111 หรือติดต่อทาง Line Official ที่ HUAWEI Support TH (ID: @346cbxoi)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไขปัญหา…ทำไมการใช้ภาษาอังกฤษยังติดขัด

บทความนี้เจาะลึกสาเหตุที่ทำให้หลายคนยัง ใช้ภาษาอังกฤษ ไม่คล่อง แม้จะ เรียนภาษาอังกฤษ มานาน ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือใน คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ต่าง ๆ เราจะอธิบายว่าเหตุผลหลักที่การพูดยังไม่ลื่นไหลนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากความกลัว ความไม่มั่นใจ หรือวิธีฝึกที่ไม่เหมาะสม พร้อมทั้งเสนอเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการฝึกพูด ฟัง อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาหลักการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน สำหรับใครที่กำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรืออยากพัฒนาทักษะเพื่อใช้ในงานและชีวิตจริง บทความนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาและวิธีแก้ไขอย่างเป็นระบบ พร้อมแนวทางที่จะทำให้การ เรียนภาษาอังกฤษ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

1) สาเหตุที่ทำให้การใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่อง

หลายคนอาจรู้สึกผิดหวังที่ เรียนภาษาอังกฤษ มาหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาต้องใช้จริงกลับพูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ หรือใช้คำผิด สาเหตุที่ทำให้การ ใช้ภาษาอังกฤษ ยังติดขัดมีหลายประเด็น ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับ “ความรู้ไม่พอ” เท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนด้วย เช่น:

1.1 ความกลัวการพูดผิด เป็นอุปสรรคอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มต้นศึกษาเพราะไม่มีคนช่วยตรวจสอบหรือให้กำลังใจ ความกลัวถูกแก้ไขบ่อย ๆ กลายเป็นความไม่มั่นใจ ส่งผลให้ไม่กล้าใช้ภาษา

1.2 ขาดการฝึกใช้จริง การ เรียนภาษาอังกฤษ โดยอ่านหรือท่องจำเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอในการพัฒนาทักษะการสื่อสาร หากไม่มีโอกาสฝึกพูดหรือฟังในสถานการณ์จริง สมองจะไม่สามารถดึงคำศัพท์และโครงสร้างประโยคออกมาใช้อย่างคล่องแคล่วได้

1.3 เรียนผิดวิธี บางคน เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีเน้นไวยากรณ์มากเกินไป แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฟังและพูด เช่น การท่องจำแกรมมาร์หรือคำศัพท์เป็นร้อยคำต่อวันโดยไม่ได้นำไปใช้จริง นอกจากจะเหนื่อยแล้วยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

1.4 ขาดเป้าหมายที่ชัดเจน หากคุณเรียนภาษาอังกฤษโดยไม่มีเป้าหมาย เช่น เรียนเพื่อใช้ในการทำงาน หรือเรียนเพื่อใช้ในการเดินทาง การไม่มีเป้าหมายชัดเจนอาจทำให้ขาดแรงจูงใจ และหลงทางในเนื้อหาที่ไม่จำเป็น

1.5 สิ่งแวดล้อมไม่สนับสนุน หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีคนพูดหรือ ใช้ภาษาอังกฤษ เลย เช่น ไม่มีเพื่อนร่วมฝึก ไม่มีโอกาสสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน การฝึกใช้ภาษาอังกฤษก็จะยิ่งยากและช้า

2) เทคนิคง่าย ๆ ช่วยพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษ

การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ย่อมมีความยากในการเริ่มต้น การใช้ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน แต่ก็มีวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถ เรียนภาษาอังกฤษ และพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเครียดหรือรู้สึกกดดัน

2.1 ฝึกทุกวันแม้เพียงเล็กน้อย การฝึกวันละนิดแต่สม่ำเสมอ ดีกว่าฝึกหนักเพียงสัปดาห์ละครั้ง เช่น ฟังพอดแคสต์ภาษาอังกฤษ 10 นาทีต่อวัน หรือเขียนไดอารีภาษาอังกฤษสั้น ๆ วันละ 5 บรรทัด เทคนิคนี้เหมาะมากกับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐาน เลย

2.2 ใช้เทคโนโลยีช่วย ทุกวันนี้มีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยให้คุณฝึกภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แอปฝึกออกเสียง แอปจับคู่คำศัพท์ หรือคลิปสอนภาษาอังกฤษบนสื่อออนไลน์ ที่สั้น เข้าใจง่าย และเรียนฟรี

2.3 หาคู่ฝึก การพูดกับคนอื่นจะช่วยให้คุณกล้าและมั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วม เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยกันหรือหาเพื่อนต่างชาติมาคุยผ่านแอป เช่น HelloTalk หรือ Tandem

2.4 ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น ภายใน 1 สัปดาห์จะพูดแนะนำตัวเองให้ได้ครบ 5 ประโยค หรือฟังคลิปภาษาอังกฤษแล้วจับใจความได้มากกว่าเดิม อย่าเพิ่งกดดันตัวเองว่า “ต้องเก่งเหมือนเจ้าของภาษา” แค่พัฒนาให้ดีกว่าเดิมในทุกวันก็เพียงพอ

2.5 จับหลัก “เข้าใจก่อน พูดทีหลัง” ผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง มักพลาดจุดนี้ เพราะโฟกัสแต่การพูดโดยไม่ได้ฟังหรือเข้าใจประโยคพื้นฐานก่อน ควรเริ่มจากฟังมาก ๆ แล้วจับรูปประโยค นำไปฝึกพูดซ้ำจนคล่อง

การ ใช้ภาษาอังกฤษ อย่างคล่องแคล่ว ไม่ใช่เรื่องของ “พรสวรรค์” แต่เป็นเรื่องของการฝึกฝน เข้าใจตัวเอง และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สามารถพัฒนาให้เก่งขึ้นได้ถ้ามีแนวทางที่ถูกต้อง และมีความตั้งใจจริง ไม่ว่าคุณจะเลือกเรียนในคอร์สหรือออนไลน์ หรือฝึกฝนด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ภาษาให้บ่อย ฝึกใช้ในชีวิตจริง และเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง อย่าลืมว่าการ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีสูตรตายตัว เมื่อเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสม คุณจะเปลี่ยนความ “ติดขัด” ให้กลายเป็น “คล่องแคล่ว” ได้อย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ไขความลับ “กระเจี๊ยบเขียว” ผักพื้นบ้านสายเฮลท์ตี้ ช่วยลดน้ำตาลได้จริง!

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ กระเจี๊ยบเขียว ในฐานะผักที่มีเมือกๆ ลื่นๆ เวลาหั่น หรือเป็นส่วนประกอบในแกงต่างๆ แต่รู้ไหมว่าไอ้เจ้าความ “เมือก” นี่แหละคือขุมทรัพย์ที่ทำให้กระเจี๊ยบเขียวกลายเป็น ซูเปอร์ผักสำหรับสายเฮลท์ตี้ โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด!

วันนี้เราจะมาไขความลับของกระเจี๊ยบเขียวกันว่า ผักพื้นบ้านธรรมดาๆ ชนิดนี้มีดีอะไร ทำไมถึงช่วยลดน้ำตาลได้จริง แล้วมีเคล็ดลับอะไรที่คุณควรรู้ก่อนจะหันมาปักใจกับกระเจี๊ยบเขียวแบบเต็มตัว!

กระเจี๊ยบเขียวคืออะไร?

กระเจี๊ยบเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Abelmoschus esculentus) เป็นพืชล้มลุกที่ปลูกง่ายในเขตร้อน มีฝักสีเขียวเข้มยาวคล้ายพริกหยวก ลักษณะเด่นคือฝักเรียวยาวเป็นเหลี่ยมๆ ที่มีขนอ่อนๆ เล็กน้อย แต่พระเอกตัวจริงที่ทำให้กระเจี๊ยบเขียวโดดเด่นไม่เหมือนใครคือ สารเมือก (Mucilage) ที่อยู่ข้างใน สารเมือกนี้จัดอยู่ในกลุ่มใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแบบสุดๆ

เจาะลึก! ทำไมกระเจี๊ยบเขียวถึงช่วยลดน้ำตาลได้?

นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักที่น่าจับตาสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล:

1.ชะลอการดูดซึมน้ำตาล

สารเมือกในกระเจี๊ยบเขียวทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ หรือเจลที่ไป เคลือบผนังลำไส้ ครับ ทำให้ร่างกายดูดซึมกลูโคส (น้ำตาล) จากอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้าลง การที่น้ำตาลค่อยๆ ถูกดูดซึม จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงปรี๊ดหลังมื้ออาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการควบคุมระดับน้ำตาล

2.ลดภาระอินซูลิน

เมื่อน้ำตาลถูกดูดซึมช้าลง ตับอ่อนก็ไม่จำเป็นต้องหลั่งอินซูลินออกมาในปริมาณมากและรวดเร็ว ทำให้ตับอ่อนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยยืดอายุการทำงานของตับอ่อนได้ด้วย

3.ใยอาหารสูงปรี๊ด… ช่วยคุมหิว

นอกจากสารเมือกแล้ว กระเจี๊ยบเขียวยังอุดมไปด้วยใยอาหารสูงมาก ซึ่งช่วยให้รู้สึก อิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหารจุกจิก และช่วยลดปริมาณการบริโภคอาหารโดยรวม ซึ่งส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาลไปพร้อมๆ กัน

4.ลดคอเลสเตอรอล

ใยอาหารในกระเจี๊ยบเขียวยังช่วย ดักจับไขมันและคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ในทางเดินอาหาร ก่อนที่ร่างกายจะดูดซึม ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยเบาหวานและทุกคน

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวที่หลายคนไม่รู้

1.ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด

เยื่อเมือกในกระเจี๊ยบเขียวอุดมด้วยไฟเบอร์และสารโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ไม่พุ่งสูงรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน

2.ดีต่อระบบย่อยอาหาร

กากใยสูงในกระเจี๊ยบเขียวช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก แถมยังมีพรีไบโอติกส์ธรรมชาติที่ช่วยบำรุงจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วย

3.ลดคอเลสเตอรอล

สารเพกตินและเส้นใยชนิดละลายน้ำ ช่วยลดการดูดซึมไขมันในร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อระดับไขมันในเลือด

4.ต้านอนุมูลอิสระ

วิตามิน C ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย และสารฟลาโวนอยด์ในกระเจี๊ยบเขียวช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ

5.บำรุงกระดูกและฟัน

กระเจี๊ยบเขียว มีวิตามิน K และแคลเซียม ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน

ข้อควรระวังก่อนกินกระเจี๊ยบเขียว

แม้กระเจี๊ยบเขียวจะมีประโยชน์เยอะแยะ แต่ก็มีบางเรื่องที่ควรรู้ไว้เพื่อการบริโภคที่เหมาะสม:

  • อาจส่งผลต่อการดูดซึมยา: สารเมือกในกระเจี๊ยบเขียวอาจไป ลดการดูดซึมยาบางชนิด เช่น ยาเมทฟอร์มิน (ยาเบาหวาน) หรือยาอื่นๆ ดังนั้น ถ้ากำลังกินยาอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับช่วงเวลาการกินยาและกระเจี๊ยบเขียว
  • ระวังท้องเสีย/ท้องอืด: การกินกระเจี๊ยบเขียวในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่คุ้นชินกับใยอาหารสูงๆ อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องอืด หรือมีแก๊สในกระเพาะได้
  • สารออกซาเลต: มีสารออกซาเลตอยู่บ้าง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไตในบางรายที่ไวต่อสารนี้ แต่โดยปกติแล้วการกินในปริมาณที่พอเหมาะในอาหารไม่ได้น่ากังวล

สรุป: กระเจี๊ยบเขียว… มิตรแท้สายเฮลท์ตี้!

กระเจี๊ยบเขียวไม่ได้มีดีแค่ความกรุบกรอบ แต่เต็มไปด้วยคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบาหวาน ระบบขับถ่าย หรือสุขภาพหัวใจ เป็นผักที่กินง่าย แถมราคาไม่แพง เหมาะกับยุคที่สุขภาพดีต้องเริ่มจากของใกล้ตัว ลองหันกลับมามองกระเจี๊ยบเขียวใหม่ แล้วจะรู้ว่าผักพื้นบ้านธรรมดา ๆ นี่แหละ คือของดีของจริง!

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/07/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,150.0051,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,307.0050,134.1252,050.00
ทองรูปพรรณ 90%2,976.3045,120.71n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,645.6040,107.30n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,488.1522,560.35n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,157.4517,546.94n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,426.9451,952.41n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/07/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4449.8449.8449.8441.44
เบนซิน 9541.1449.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า