สาระน่ารู้ประจำวันที่ 08 กันยายน 2568

SC Asset พลิกเกมอสังหาผนึกKBankหนุนลูกบ้านขายพลังงานสะอาด

SC Asset จับมือKBank เปิดทางลูกบ้านขึ้นทะเบียนขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สร้างรายได้เสริม พร้อมผลักดันสังคมสู่ Net Zero

ดีลประวัติศาสตร์ของวงการอสังหาไทย ที่ทำให้ “พลังงานสะอาด” ไม่ใช่แค่เรื่องของภาครัฐหรือองค์กรใหญ่ แต่คือเรื่องของ “ทุกครัวเรือน” ที่มีโซลาร์รูฟบนหลังคา

ในอดีต เวลาพูดถึง พลังงานสะอาด หรือคำว่า Net Zero หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นขององค์กรระดับโลก หรือประเทศมหาอำนาจเท่านั้น

แต่วันนี้… บางที “คำว่า Net Zero” อาจอยู่แค่บนหลังคาบ้านของเราเอง

เพราะ SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของไทย ได้จับมือกับธนาคารกสิกรไทย เดินหมากสำคัญ เปิดดีลใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในไทย ให้ลูกบ้านที่ติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป สามารถขึ้นทะเบียน ขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ได้ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass โดย ไม่มีค่าใช้จ่าย

“กู้ได้อยู่แล้ว แต่วันนี้เรากำลังบอกว่า ‘โซลาร์ขายได้’ ด้วย”

ดีลนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแค่ “วิธีคิด” ของผู้บริโภคแต่มันอาจเปลี่ยน อนาคตของธุรกิจอสังหาฯ ทั้งอุตสาหกรรม

จาก “ค่าใช้จ่าย” กลายเป็น “รายได้”

แนวคิดที่เคยเข้าใจว่า โซลาร์คือ “ต้นทุน” ที่ต้องแบกรับเพื่อรักษ์โลก กำลังถูกพลิกบทบาทเพราะ REC ที่ลูกบ้านสามารถขายได้นั้น เท่ากับการแปลงพลังงานสะอาดให้กลายเป็น “สินทรัพย์ใหม่” ที่สร้างรายได้ได้จริง

SC Asset เริ่มต้นด้วยการเปิดให้ ลูกบ้านกว่า 600 ยูนิต ที่ติดตั้งโซลาร์แล้ว ทั้งบ้านเดี่ยวและคลับเฮ้าส์ในหลายโครงการ ขึ้นทะเบียนขาย REC ได้ช่วยลดคาร์บอนมากกว่า 2 ล้านกิโลกรัม CO₂/ปีลดค่าไฟรวมเกือบ 14.5 ล้านบาทต่อปี

แต่สิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าคือ “ต้นแบบ” ที่จะขยายไปยังโครงการอื่นทั่วประเทศ

“เรามองพลังงานสะอาด ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมแต่คือโอกาสทางเศรษฐกิจของครอบครัวไทย” สุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล SC Asset

ไม่ใช่แค่บ้าน แต่ถึงระดับ “องค์กร”

SC Asset ไม่ได้หยุดแค่บ้านพักอาศัยแต่ยังดึง อาคารสำนักงานของบริษัท เช่น SCT Tower, ชินวัตร 3 และ The Junction เข้าร่วมระบบ REC ด้วยแสดงให้เห็นว่าการสร้าง “ระบบพลังงานสะอาดแบบบูรณาการ” เริ่มต้นได้ตั้งแต่ระดับครัวเรือน ไปจนถึงระดับองค์กร

ฝั่งธนาคารกสิกรไทย ก็เสริมทัพด้วย แพลตฟอร์ม GreenPass ที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนการขึ้นทะเบียน REC ให้ลูกค้าไม่ต้องวิ่งเอกสารเองง่ายกว่า เร็วกว่า และ ไม่มีค่าใช้จ่าย

“หลังคาบ้านคุณคือเครื่องมือสร้างรายได้และกำลังกลายเป็นทรัพย์สินทางพลังงานที่คนทั้งโลกต้องการ” ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ KBank

จากบ้านเป็นทรัพย์สินสะอาด และทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทน

การเปลี่ยนแนวคิดจาก “บ้านคือที่อยู่อาศัย” สู่ “บ้านคือสินทรัพย์พลังงานสะอาด” กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก
แนวโน้มในไทยเองก็กำลังเร่งตัวอย่างน่าสนใจ:

คาดว่าในปี 2568–2578 จะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากกว่า 100,000 หลังคาเรือนทั่วประเทศ

  • ต้นทุนการติดตั้งลดลง
  • ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุน
  • ตลาด REC จะขยายตัวจาก “อุตสาหกรรม” สู่ “ภาคครัวเรือน”

ดีลนี้จึงไม่ใช่แค่ “แคมเปญสีเขียว” แต่คือการ สร้างระบบเศรษฐกิจใหม่จากแสงแดด ที่จับต้องได้จริง

ในโลกที่พลังงานกลายเป็นสินทรัพย์ และความยั่งยืนไม่ใช่แค่ CSR
SC Asset กำลังแสดงให้เห็นว่า อสังหาริมทรัพย์ไทย… กำลังก้าวสู่มิติใหม่

ไม่ใช่แค่ “อยู่อาศัยได้ดี” แต่ “อยู่ไปแล้ว…ยังได้รายได้เพิ่ม”และทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนในเมือง หรือผู้มีทุนแต่คือการเปิดประตูใหม่ให้ คนไทยทุกหลังคาเรือน เข้าถึงพลังงานสะอาด และเปลี่ยนแสงแดดให้กลายเป็นรายได้

“อนาคตของบ้านไทย ไม่ได้อยู่แค่บนที่ดินแต่อยู่บนหลังคา…ที่ผลิตพลังงานสะอาดได้ทุกวัน”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


แสนสิริรุกตลาดบ้านสร้างเอง เจาะเซกเมนต์ไฮเอนด์ติดสนามกอล์ฟ

หลังประสบความสำเร็จในธุรกิจรับสร้างบ้านต้นแบบ ‘Crafted by Sansiri’ แสนสิริเดินหน้าขยายพอร์ต เจาะลูกค้าพรีเมียมที่มีที่ดินติดสนามกอล์ฟ บ้านขนาดใหญ่ 300–600 ตร.ม.

เพียง 5 เดือนหลังจากแสนสิริเปิดตัวธุรกิจรับสร้างบ้าน ภายใต้แบรนด์ Crafted by Sansiri โมเดลนี้ได้กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่พิสูจน์แล้วว่าตลาดบ้านสร้างเองยังมีศักยภาพสูงเกินคาด โดยสามารถทำยอดขายทะลุ 150 ล้านบาท ในระยะเวลาอันสั้น สะท้อนถึง “ดีมานด์แฝง” ของผู้บริโภคที่ต้องการบ้านคุณภาพสูงบนที่ดินของตนเอง

“ไม่ใช่แค่บ้าน…แต่คือชีวิตในแบบที่เลือกได้”

“บ้านไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็นการสะท้อนตัวตนของเจ้าของบ้าน” นี่คือแนวคิดที่แสนสิรินำมาใช้กับ Crafted by Sansiri ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ออกแบบบ้านให้สวย แต่ยังเน้นให้ฟังก์ชันทุกตารางเมตร “พูดได้” กับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า

จากบ้านซีรีส์ฮิตอย่าง Modern Classic, Georgian, Modern Farmhouse สู่การขยายเซกเมนต์ใหม่ในปีนี้ แสนสิริเตรียมเปิดตัว “บ้านใหญ่” ขนาด 300–600 ตร.ม. เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์โดยเฉพาะ เช่น เจ้าของที่ดินติดสนามกอล์ฟ หรือกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการบ้านเฉพาะทาง

“ลูกค้าที่มีที่ดินของตนเองมองหาอะไรที่มากกว่าแค่บ้าน แต่ต้องการทีมที่เข้าใจ ตั้งแต่การดีไซน์ไปจนถึงการก่อสร้าง ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ Crafted by Sansiri ตอบโจทย์”

ปรากฏการณ์ “บ้านสร้างเอง” กลับมาคึก

ข้อมูลจาก สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผยว่า มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศครึ่งปีแรก 2568 อยู่ที่ 96,000 ล้านบาท โดยกว่า 80% ของมูลค่าตลาดกระจุกตัวอยู่ในต่างจังหวัด และยังคาดการณ์ว่าปีนี้ตลาดบ้านสร้างเองจะมีมูลค่ารวมทะลุ 120,000 ล้านบาท

แสนสิริจึงมองเห็นโอกาสในตลาดภูมิภาค โดยเริ่มมีฐานลูกค้าในจังหวัดที่ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นชัดเจน เช่น ชลบุรี, สุพรรณบุรี, สระแก้ว, สระบุรี, ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ นำไปสู่การวางแผนขยายบริการให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าที่มีที่ดินเองเข้ามาอยู่ในระบบสร้างบ้านแบบ “ครบวงจร”

แตกต่างด้วย “บ้านตัวอย่างจริง” และระบบก่อสร้างพรีคาสท์

หนึ่งใน “อาวุธลับ” ที่ทำให้ Crafted by Sansiri แตกต่างจากผู้เล่นในตลาด คือ การมี บ้านตัวอย่างจริงให้ดูมากถึง 14 ซีรีส์ รวม 84 แบบ ก่อนตัดสินใจ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ ทั้งในเรื่องของฟังก์ชัน วัสดุ และคุณภาพการก่อสร้าง

แสนสิริยังใช้ระบบ พรีคาสท์จากโรงงานของตนเอง ที่สามารถควบคุมคุณภาพและเวลาในการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ เป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ One Stop Service Solution ที่ช่วยย่นระยะเวลาการสร้างบ้าน และควบคุมงบประมาณได้จริง

พร้อมเปิดบ้านใหญ่ครั้งแรกกลางกรุง

ช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ แสนสิริเตรียมเผยโฉมแบบบ้านใหม่ขนาดใหญ่ครั้งแรก ในกิจกรรมที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ระหว่างวันที่ 11–17 กันยายน 2568 พร้อมโปรโมชั่นมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งค่าสำรวจ ฟรี Voucher ตกแต่งบ้าน และบริการที่ปรึกษาสินเชื่อจากพันธมิตรธนาคาร

“ตลาดบ้านสร้างเองกำลังเติบโตในแนวดิ่ง ด้วยความต้องการที่เปลี่ยนจาก ‘แค่มีบ้าน’ ไปสู่ ‘การมีบ้านที่ใช่’ Crafted by Sansiri จึงเกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในจุดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มไฮเอนด์ที่มองหาประสบการณ์ที่มากกว่า”

จาก “ทดลองตลาด” สู่ “ยุทธศาสตร์ใหม่”

แสนสิริไม่ได้มอง Crafted by Sansiri เป็นเพียงธุรกิจเสริม แต่กำลังปักธงให้เป็นหนึ่งในเสาหลักของการเติบโตในอนาคต ด้วยจุดแข็งด้านแบรนด์ ดีไซน์ การบริการ และระบบก่อสร้างที่ครบวงจร โดยเฉพาะการรุกเจาะตลาดบ้านใหญ่ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการตอบโจทย์ชีวิตแบบ Personalization ซึ่งกำลังกลายเป็นเทรนด์หลักในโลกอสังหาฯ วันนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้8ก.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk มีโอกาสอ่อนค่าบ้างหลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมาพอสมควร

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้8ก.ย. ที่ระดับ  32.10 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.18 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับสำคัญ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.02-32.20 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ (สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ)

ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวขึ้น ของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ออกมาน่าผิดหวัง โดยยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เพิ่มขึ้นเพียง 2.2 หมื่นตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาด 7.5 หมื่นตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.3% ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะยิ่งหนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 75% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้

และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง ในปีหน้า พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า มีโอกาสที่เฟดจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์เริ่มรีบาวด์สูงขึ้น

 ส่วนราคาทองคำก็ชะลอการปรับตัวขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ซึ่งกดดันทั้งเงินยูโร (EUR) และ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY)

สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก หนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ พร้อมติดตามสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ญี่ปุ่นและไทยอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪        ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนสิงหาคม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว ในรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกันยายน ซึ่งจะสะท้อนถึงแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พร้อมกันนั้น

ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานของทาง BLS (BLS Preliminary Benchmark Revision to Establishment Survey Data) ซึ่งอาจยิ่งสะท้อนภาพการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้นได้ โดยทั้งข้อมูลสะท้อนภาพเงินเฟ้อและการจ้างงานสหรัฐฯ ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ

หลังล่าสุด ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนสิงหาคม ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก ทำให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน พร้อมประเมินว่า เฟดมีโอกาส 75% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจลดดอกเบี้ยราว 3-4 ครั้ง ในปี 2026

▪        ฝั่งยุโรป – เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว โดย ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ทว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB ก็พร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสม

สอดคล้องกับสถานการณ์ สะท้อนว่า ECB ยังคงมีทางเลือกในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ถ้าจำเป็น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่อนถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ของยูโรโซน ในเดือนกันยายน

ทั้งนี้ อีกไฮไลท์สำคัญของฝั่งยุโรป จะอยู่ที่สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการโหวตมติไว้วางใจ (Confidence Vote) นายกฯ François Bayrou โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า นายกฯ จะพ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสมีเสียงน้อยกว่าฝ่ายค้านพอสมควร ซึ่งจะนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของนายกฯ โดยประธานาธิบดี Emmanuel Macron สามารถแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่มาแทน

หรือ เลือกที่จะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ได้ โดยรายงานข่าวล่าสุด สะท้อนว่า ประธานาธิบดี Emmanuel Macron อาจเลือกแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ โดยเลือกตัวแทนจากฝั่งซ้าย เพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส แทนที่จะประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่

▪        ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า ในเดือนสิงหาคม รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนสิงหาคม ที่จะช่วยสะท้อนว่า เศรษฐกิจจีนจะยังคงอยู่ในภาวะเงินฝืด (Deflation) ต่อเนื่องหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น หลังล่าสุด นายกฯ Shigeru Ishiba ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้สถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นเสี่ยงเผชิญความปั่นป่วน เนื่องจากพรรคฝ่ายรัฐบาล LDP และ Komeito ต่างสูญเสียการครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา

ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า หัวหน้าพรรค LDP คนใหม่ ที่จะมาแทน อดีตนายกฯ Shigeru Ishiba อาจจะไม่ได้เป็นนายกฯ คนถัดไป อีกทั้ง ยังเพิ่มโอกาสที่นายกฯ คนใหม่ อาจเลือกที่จะยุบสภา เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่    

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ภายใต้นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนสิงหาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทอาจกลับไปอ่อนค่าต่อเนื่องอย่างชัดเจน “ยาก” หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทยก็ดูคลี่คลายลงบ้าง ลดความเสี่ยงที่จะเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติที่รุนแรง

อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk โดยเรามองว่า ยังมีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าลงบ้าง หรืออย่างน้อยการแข็งค่าขึ้นขอเงินบาทก็ควรชะลอลง หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมาพอสมควร

 โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 75% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ ทำให้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อาจรีบาวด์ขึ้น

กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่นในระยะสั้น  

อนึ่ง เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินหยวนจีน (CNY) อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของทั้งสองสินทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญ Two-way risk แต่ เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์ขึ้น หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เร่งตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ขณะเดียวกัน ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น อาจกดดันบรรดาสกุลเงินหลักได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.85-32.45 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.20 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


‘อาการบ้านหมุน เวียนหัว’ ต้นเหตุของการเกิดโรคอะไร? ได้บ้าง

  • อาการบ้านหมุน เวียนศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุดมาจากโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน พบได้ประมาณ 20-30% ของผู้ป่วย 
  • โรคนี้เป็นได้กับทุกเพศ ทุกวัย เกิดได้เอง หายได้เองในบางราย เป็นโรคที่รักษาหายขาด เพียงแต่มีโอกาสเกิดซ้ำได้ โดยโอกาสเกิดซ้ำประมาณ 15-20% ต่อปี
  • หากอาการเวียนศีรษะเกิดขึ้นตลอดเวลา หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางอื่น เช่น อ่อนแรง ภาพซ้อน หรือการได้ยินผิดปกติร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์

ใครที่มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนบ่อยๆ เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันที่เมื่อเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ เช่น ลุกขึ้น นอนลง ก้มเงย โดยอาการเวียนศีรษะมักเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 1 นาที แล้วค่อยๆ หายไปเมื่ออยู่นิ่ง แต่จะกลับมาอีกครั้งเมื่อเปลี่ยนท่าทาง อาการเหล่านี้ เข้าข่ายว่าคุณกำลังเสี่ยง “โรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน” โรคฮิตของคนเวียนหัว

โรคนี้มักไม่พบอาการอื่น ๆ เช่น หูอื้อ การได้ยินผิดปกติ หรืออาการทางระบบประสาทอื่น ๆ  และเป็นโรคที่พบมากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน โดยจากสถิติมีรายงานว่าพบโรคนี้ 20-30%ในคลินิก และโดยมากมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในอัตราส่วน 1:5 – 2:1

อาการบ้านหมุน คือ ความรู้สึกว่าตนเองหมุน หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุน โดยมักเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน เช่น โรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน หรือน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ก็อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ เช่น ไมเกรน หรือโรคหลอดเลือดสมอง หากมีอาการบ้านหมุนร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ควรไปพบแพทย์ทันที

อาการบ้านหมุน มีลักษณะเป็นอย่างไร?

  • ความรู้สึกว่าหมุนหรือโคลงเคลง: รู้สึกว่าตัวเองหมุน หรือสิ่งของรอบตัวหมุนไปมา หรือพื้นโยกไปมา 
  • สูญเสียการทรงตัว: เดินเซ หรือทรงตัวลำบาก 
  • อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นร่วมด้วย: เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หูอื้อ เสียงในหู หรือการกลอกตาผิดปกติ 

สาเหตุของอาการบ้านหมุน

  • โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (BPPV)

เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนหลุดออกจากตำแหน่งเดิม ทำให้มีอาการบ้านหมุนเฉียบพลันเมื่อเปลี่ยนท่าทางศีรษะ 

  • โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease)

เกิดจากความผิดปกติของของเหลวในหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการบ้านหมุนร่วมกับหูอื้อและการได้ยินลดลง 

  • โรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis)

เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทการทรงตัวในหูชั้นใน มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส 

  • โรคเวียนศีรษะไมเกรน

มีอาการบ้านหมุนร่วมกับอาการปวดศีรษะไมเกรน 

  • โรคหลอดเลือดสมอง

อาจทำให้เกิดอาการบ้านหมุน ร่วมกับอาการทางสมองอื่น ๆ เช่น แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก พูดไม่ชัด 

  • ปัจจัยอื่นๆ

เช่น ความเครียด การอดนอน ภาวะขาดน้ำ หรือผลข้างเคียงจากยา 

รู้จัก “โรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน”

พญ. กนกรัตน์ สุวรรณสิทธิ์ แพทย์ศูนย์หู คอ จมูก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ กล่าวในบทความว่าโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo : BPPV) เป็นสาเหตุของอาการเวียนศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะจากโรคหู พบได้ประมาณ 20-30%ของผู้ป่วยที่มาด้วยความผิดปกติของการเวียนศีรษะ โดยผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมักเป็นแบบเฉียบพลัน สัมพันธ์กับท่าทางหรือการขยับศีรษะ

ตะกอนหินปูนหูชั้นใน (otoconia) เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัวของร่างกาย ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมคาร์บอเนต และเนื้อโปรตีน (Protein Matrix) เมื่ออายุมากขึ้นผลึกแคลเซียมหรือตะกอนหินปูนหูชั้นในจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่น แข็งขึ้น เปราะง่ายขึ้น การเกิดโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อนนั้นเป็นผลมาจากเปลี่ยนตำแหน่งของตะกอนหินปูนหูชั้นในที่ผิดไปจากตำแหน่งปกติ

สาเหตุของโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ มีบางปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน ได้แก่ อุบัติเหตุศีรษะกระแทก โรคทางหูชั้นในบางอย่างที่พบร่วมกับโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน การผ่าตัดหูบางชนิด

 มีการศึกษาวิจัยพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน เช่น อายุมาก เพศหญิง โรคความดันโลหิตสูง ไขมันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคเบาหวาน กระดูกพรุน ภาวะขาดวิตามินดี เป็นต้น

ขณะที่ ข้อมูลจากโรงพยาบาลรามคำแหง ระบุว่า สาเหตุของโรคพอสันนิษฐานได้ว่าเกิดจาก

  • การเคยได้รับอุบัติเหตุทางศรีษะมาก่อนซึ่งพบร้อยละ 47
  • การเคยติดเชื้อในหูชั้นในร้อยละ 26
  • เส้นประสาทหูอักเสบ คนสูงอายุหรือคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน
  • ภาวะเครียดและขาดการออกกำลังกาย ทำให้พยาธิสภาพเกิดขึ้นกับอวัยวะที่ควบคุมการทรงตัวรูปเกือกม้าในหูชั้นใน ซึ่งพบในส่วนหลังมากที่สุด (ร้อยละ 90)
  • รองลงมาเป็นส่วนที่อยู่ในแนวนอนร้อยละ 5-10 และส่วนที่อยู่ด้านหน้าร้อยละ 1 เชื่อว่าเกิดจากการตกตะกอนของสารที่อยู่ภายใน หรือมีหินปูนจากอวัยวะที่ควบคุมการทรงตัวข้างเคียงหลุดเข้ามาอยู่ภายในอวัยวะรูปเกือกม้า

อาการของโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน

ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมักเป็นแบบเฉียบพลัน โดยอาการบ้านหมุนมักเป็นไม่นาน ประมาณไม่กี่นาที แต่อาจมีอาการมึนศีรษะตามมาได้ อาการบ้านหมุนสัมพันธ์กับท่าทางหรือการขยับศีรษะ เช่น ลุกจากที่นอน พลิกตะแคงตัว ก้มเงย หรือ นอนสระผม เป็นต้น

ในบางครั้งผู้ป่วยจะสามารถระบุข้างที่มีอาการได้ เช่น นอนตะแคงข้างขวาและมีบ้านหมุนซ้ำ ๆ เป็นไม่นาน เมื่อเปลี่ยนข้างอาการดีขึ้นหรือหายไป ทั้งนี้อาการเวียนศีรษะต้องไม่มีความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางอื่น เช่น อ่อนแรง ภาพซ้อน หรือการได้ยินผิดปกติร่วมด้วย

วินิจฉัยโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน

โรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อนนั้นสามารถวินิจฉัยได้จากประวัติและการตรวจร่างกายที่จำเพาะ การตรวจร่างกายสำหรับการวินิจฉัยโรคอาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการบ้านหมุนในขณะตรวจร่างกายได้

การรักษาโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน

แม้ว่าโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในจะหายเองได้ในผู้ป่วยบางราย แต่บางครั้งอาการอาจจะคงอยู่นานทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน การรักษาหลักคือการทำกายภาพบำบัด ทั้งนี้อาจเป็นการทำกายภาพบำบัดโดยแพทย์หากตรวจพบตากระตุกในขณะตรวจร่างกายที่จำเพาะ

การรักษาชนิดนี้ได้ผลดี สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ถึง 80% ในการรักษาครั้งแรก และหากต้องทำซ้ำ โอกาสหายเพิ่มขึ้นถึง 92% ในการรักษาซ้ำ หรือ อาจจะเป็นการให้คำแนะนำเป็นท่าบริหารที่บ้านเพื่อปรับสภาพสมองให้อาการเวียนศีรษะดีขึ้น ปัจจุบันยังไม่มียาที่จำเพาะต่อโรค โดยทั่วไป ยาที่ผู้ป่วยได้รับนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดอาการเวียนศีรษะชั่วคราว สำหรับการผ่าตัดมีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น

การทำกายภาพบำบัด

วิธีที่ 1 คือการทำกายภาพบำบัดเพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนหรือแคลเซียมออกจากอวัยวะทรงตัวในหูชั้นในที่เป็นรูปเกือกม้า เมื่อตะกอนหินปูนเคลื่อนออกมาแล้วก็จะไม่กระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะอีก วิธีนี้กระทำภายใต้การดูแลของแพทย์ชำนาญการด้านโรคเวียนศีรษะเท่านั้น

วิธีที่ 2 แนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปทำกายภาพบำบัดที่บ้าน ซึ่งผู้ป่วยทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อทำครั้งแรกจะรู้สึกเวียนศีรษะ แต่พอทำไปนาน ๆ ร่างกายจะปรับตัว ซึ่งอาการจะดีขึ้นตามลำดับ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน

โรคนี้เป็นได้กับทุกเพศ ทุกวัย เกิดได้เอง หายได้เองในบางราย เป็นโรคที่รักษาหายขาด เพียงแต่มีโอกาสเกิดซ้ำได้ โดยโอกาสเกิดซ้ำประมาณ 15-20% ต่อปี

ผู้ป่วยมักมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนชั่วคราวและสัมพันธ์กับท่าทาง หากอาการเวียนศีรษะเกิดขึ้นตลอดเวลา หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางอื่น เช่น อ่อนแรง ภาพซ้อน หรือการได้ยินผิดปกติร่วมด้วย ควรรีบมาพบแพทย์เนื่องจากลักษณะดังกล่าวไม่ใช่อาการปกติของผู้ป่วยโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน เนื่องจากผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบอาจมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนร่วมกับมีความผิดปกติของระบบประสาทร่วมด้วยได้

เนื่องจากโรคดังกล่าวไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด จึงยังไม่มีการป้องกันที่สาเหตุ นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายเมื่อหายจากโรคตะกอนหินปูนหูชั้นในเคลื่อน อาจมีอาการโคลง เวียนศีรษะสัมพันธ์กับการขยับศีรษะเร็วๆ อาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้น แนะนำหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรือ พลัดตกหกล้มหากมีอาการดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ตารางคะแนน “ลูกยางสาวไทย” หลังจบ ศึกวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ทางการ

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2025 ปิดฉากอย่างเป็นทางการ

โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” เจ้าภาพที่เป็นทีมวางในกลุ่มเอ ถูกจับสลากให้อยู่ร่วมกับทีมแกร่งอย่าง เนเธอร์แลนด์, สวีเดน และ อียิปต์ สามชาติยักษ์ใหญ่วงการลูกยาง

ก่อนจบอันดับ 2 ของกลุ่มเอ ด้วยผลงานชนะ 2 แพ้ 1 นัด มี 7 คะแนน ตามหลัง เนเธอร์แลนด์ ที่ชนะ 3 นัด คว้าแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยกันทั้งคู่

ตารางคะแนน วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 กลุ่มเอ

อันดับ 1 : เนเธอร์แลนด์ ชนะ 3 แพ้ 0 นัด 7 คะแนน
อันดับ 2 : ไทย ชนะ 2 แพ้ 1 นัด 7 คะแนน
อันดับ 3 : สวีเดน ชนะ 1 แพ้ 2 นัด 4 คะแนน
อันดับ 4 : อียิปต์ ชนะ 0 แพ้ 3 นัด 0 คะแนน

อย่างไรก็ตามในรอบ 16 ทีมสุดท้าย “สาวไทย” เป็นฝ่ายแพ้ให้กับ ญี่ปุ่น 0-3 เซต (20-25, 23-25 และ 23-25) ทำให้ต้องยุติเส้นทางลงในรอบนี้ ด้วยผลงานรวมทั้งหมดชนะ 2 แพ้ 2 นัด

ซึ่งหลังจบทัวร์นาเมนต์ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้จัดอันดับทั้ง 32 ชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ปรากฏว่า “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” จบอันดับ 13 ของรายการ

สรุปอันดับการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025

1. อิตาลี (แชมป์)
2. ตุรกี (รองแชมป์)
3. บราซิล (อันดับ 3)
4. ญี่ปุ่น
5. สหรัฐอเมริกา
6. เนเธอร์แลนด์
7. โปแลนด์
8. ฝรั่งเศส
9. จีน
10. เซอร์เบีย
11. เบลเยียม
12. เยอรมนี
13. ไทย
14. โดมินิกัน
15. แคนาดา
16. สโลวีเนีย
17. ยูเครน
18. สเปน
19. สวีเดน
20. เคนยา
21. กรีซ
22. อาร์เจนตินา
23. คิวบา
24. เม็กซิโก
25. สาธารณรัฐเช็ก
26. โคลอมเบีย
27. บัลแกเรีย
28. เปอร์โตริโก
29. อียิปต์
30. สโลวาเกีย
31. เวียดนาม
32. แคเมอรูน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


จับตา ‘AI Agent’ จิ๊กซอว์เปลี่ยนเกม ‘ธุรกิจ – ตลาดแรงงาน’

  • บริษัทที่ยังไม่ปรับใช้ AI Agent อาจเสี่ยงต่อการเสียเปรียบและสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้คู่แข่ง
  • เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • AI Agent ช่วยปลดล็อกศักยภาพของพนักงาน ทำให้มนุษย์สามารถมุ่งเน้นไปที่งานเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ที่มีมูลค่าสูงกว่าได้
  • ความสำเร็จในการนำ AI Agent มาใช้ขึ้นอยู่กับการสร้างความไว้วางใจ ซึ่งต้องอาศัยความโปร่งใส คุณภาพของข้อมูล และกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน

วันนี้ธุรกิจไทยต่างมุ่งเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI…

การวิจัยของ “เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce)” พบว่า 84% ของผู้บริหารระดับสูงในไทยมองว่า ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (generative AI) เป็นหนึ่งในความสำคัญอันดับต้นๆ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของธุรกิจ

โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มบี ซึ่งพบว่า 70% ของ เอสเอ็มบี ไทยได้นำ AI มาใช้ในธุรกิจแล้วหรืออยู่ระหว่างการทดลองใช้งาน

ทั้งนี้ 84% ของเอสเอ็มบีไทยมีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคตของธุรกิจเมื่อได้เร่งการนำ AI มาใช้งานเพื่อช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขัน

แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวจากแชทบอทไปสู่ผู้ช่วย AI (Copilot) และ AI Agent อัตโนมัติหรือ “ระบบเอเจนต์” บริษัทที่ยังไม่ปรับใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการเสียเปรียบและสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดต่อคู่แข่งอย่างรวดเร็ว

กระทบตลาดแรงงานไทย

อรุณ กุมาร ปารเมศวรัน รองประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ เซลส์ฟอร์ซ ประจำภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ข้อมูลว่า AI Agent อัจฉริยะสามารถทำงานอัตโนมัติ (Autonomous AI Agents) และจัดการการโต้ตอบที่ซับซ้อนเกินกว่าสคริปต์ที่ตั้งไว้ล่วงหน้าได้

ไม่เพียงสร้างเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังสามารถตัดสินใจและดำเนินการด้วยการควบคุมของมนุษย์ที่จำกัดหรือไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ การเปลี่ยนสู่แรงงานดิจิทัลอัจฉริยะที่ปรับขนาดได้นี้ถือเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญ

การ์ทเนอร์ คาดว่า ภายในปี 2571 ราว 33% ของซอฟต์แวร์องค์กรจะมี AI Agent ทำให้การตัดสินใจในงานประจำวันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติถึง 15%

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจไทย เนื่องจากตลาดแรงงานไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เช่น อัตราแรงงานที่ลดลงและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แรงงานดิจิทัลจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับมนุษย์ ลดต้นทุน และขับเคลื่อนนวัตกรรม

รวมถึงช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ AI Agent อัตโนมัติที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงสามารถเสริมแรงงานในทุกอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มผลผลิต ประสิทธิภาพ และความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ดันองค์กร ‘โต’ ด้วย Agent

ปัจจุบัน AI Agent สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายกรณี เช่น ในงานบริการลูกค้า ให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมปัญหาหลากหลาย สำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง เอเจนต์สามารถทำงานอัตโนมัติ ปรับระดับสินค้าให้เหมาะสม และให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ด้านการสรรหาบุคลากร เอเจนต์ช่วยคัดเลือกประวัติผู้สมัคร กำหนดเวลาสัมภาษณ์ และประเมินผลเบื้องต้น ช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากร

AI Agent รับผิดชอบงานที่ต้องทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน ทำให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่าสูง เช่น งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ กลยุทธ์ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

นอกเหนือจากภาคธุรกิจ เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนด้วยการสอนพิเศษเฉพาะบุคคล หรือในด้านการแพทย์ ช่วยลดภาระงานบริหาร ทำให้บุคลากรสามารถมุ่งเน้นเคสซับซ้อนและติดตามความก้าวหน้าของผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การนำ AI Agent มาใช้ยังมาพร้อมความเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องความน่าเชื่อถือและความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล การสร้างความไว้วางใจจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานร่วมกับเอเจนต์

‘ความโปร่งใส’ กำหนดผลลัพธ์

รายงานวิจัย State of IT ล่าสุดของ เซลส์ฟอร์ซพบว่า เกือบครึ่งของผู้นำด้านความปลอดภัยระบบเอไอในไทยยังไม่แน่ใจว่าองค์กรของตนมีข้อมูลที่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับรองรับการทำงานของ AI Agent และ 43% ยังไม่มั่นใจในความแม่นยำหรือความโปร่งใสของผลลัพธ์จาก AI

เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและเกี่ยวข้อง รักษาความเป็นส่วนตัว และทำงานภายใต้กรอบจริยธรรมและกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งหมายถึงการนำการกำกับดูแลและการควบคุมดูแลข้อมูลที่แข็งแกร่งมาใช้

AI Agent ต้องมีความโปร่งใสและสามารถอธิบายได้ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจว่าเมื่อใดกำลังโต้ตอบกับ AI และ AI ทำงานอย่างไร ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของเอเจนต์ต้องชัดเจน

เพราะความโปร่งใสเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ของเอเจนต์ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานที่ราบรื่นและเป็นประโยชน์ การร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ องค์กรไม่แสวงหากำไร และสถาบันการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างแนวทางและมาตรการกำกับดูแลอย่างครอบคลุม

มองไทยก้าวไปได้ ‘ถูกทาง’

อีกทางหนึ่ง การฝึกอบรม AI อย่างต่อเนื่องก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งจะช่วยอัพเดท AI ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่งานเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น

หากปราศจากการกำกับดูแลที่เหมาะสม AI อัตโนมัติอาจตัดสินใจขัดแย้งกับค่านิยมหรือจริยธรรมของมนุษย์ ส่งผลให้สูญเสียความไว้วางใจ ปัญหาทางกฎหมาย และชื่อเสียงเสื่อมเสีย การบริหารจัดการที่ครอบคลุมจากหลายฝ่ายจึงเป็นสิ่งสำคัญ

สำหรับประเทศไทยนับว่ากำลังก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องเห็นได้จากที่ คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้อนุมัติการลงทุนมูลค่า 25,000 ล้านบาท (769 ล้านดอลลาร์) เพื่อเร่งการพัฒนา AI ทั่วประเทศจนถึงปี 2570 ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในแผนพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศ งบประมาณนี้ครอบคลุมการฝึกอบรมบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการใช้งาน AI

ด้วยความก้าวหน้าเหล่านี้ ไม่ควรมีการมาตั้งคำถามว่าองค์กรควรนำ AI Agent มาใช้หรือไม่ แต่เป็นเรื่องของการหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้แรงงานมนุษย์และแรงงานดิจิทัลทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

แม้ AI Agent จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด หลักการพื้นฐานของนโยบายสาธารณะด้าน AI ที่ดีเพื่อปกป้องประชาชนและส่งเสริมนวัตกรรมยังคงเดิม ได้แก่ การจัดการตามความเสี่ยง กำหนดบทบาทที่ชัดเจนในระบบนิเวศ และสนับสนุนด้วยความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใส และมาตรการความปลอดภัย

การให้ความสำคัญต่อประเด็นเหล่านี้จะช่วยให้ประเทศไทยมองเห็นอนาคตของผลผลิตที่มีประสิทธิภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่ขับเคลื่อนโดยแรงงานดิจิทัลที่เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


30 แคปชั่นภาษาอังกฤษไว้ลงรูปเที่ยว เท่ ๆ ปัง ๆ ไม่ซ้ำใคร! พร้อมคำแปลและไอเดียใช้จริง

ทำไมแคปชั่นภาษาอังกฤษถึงยังเวิร์ก?

การใช้แคปชั่นภาษาอังกฤษสำหรับลงรูปเที่ยว ยังคงเป็นกระแสนิยมในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Facebook หรือ TikTok เพราะทำให้โพสต์ดูเก๋ เท่ และน่าดึงดูดมากขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีคำแปลและใช้ให้ถูกบริบท จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้คุณดูเป็นคนมีสไตล์และมีอินเตอร์สุด ๆ

วันนี้เราเลยรวบรวม แคปชั่นภาษาอังกฤษสำหรับลงรูปเที่ยว ที่หลากหลาย ทั้งสายทะเล สายคาเฟ่ สายเขา สายโซโล่ รวมไว้ให้ครบในบทความเดียว!

แคปชั่นภาษาอังกฤษสำหรับ “เที่ยวคนเดียว” (Solo Travel)

สำหรับคนที่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว พร้อมรูปสวย ๆ และใจที่อิสระ

  1. “Collecting moments, not things.”
    เก็บความทรงจำ ไม่ใช่สิ่งของ
  2. “Solo but never lonely.”
    เดินทางคนเดียว แต่ไม่เดียวดาย
  3. “Lost in the right direction.”
    หลงในทิศทางที่ใช่
  4. “My favorite travel partner: me.”
    คู่หูเที่ยวที่ดีที่สุดก็คือ…ตัวเอง
  5. “Finding myself one city at a time.”
    ค้นหาตัวเองผ่านทุกเมืองที่ไป

แคปชั่นเที่ยว “ทะเล” แบบเท่ ๆ และมีความหมาย

ชิล ๆ บนหาดทราย พร้อมลมทะเล และแคปชั่นที่ชวนฝัน

  1. “Ocean air, salty hair, don’t care.”
    ลมทะเล ผมเค็ม ฉันไม่แคร์
  2. “Life’s better at the beach.”
    ชีวิตมันดีกว่าตรงที่มีทะเล
  3. “Beach, please.”
    (เล่นคำกับ “b*tch please”) = พาฉันไปทะเลเดี๋ยวนี้!
  4. “Sandy toes & sun-kissed nose.”
    นิ้วเท้าเปื้อนทราย จมูกโดนแดดจูบ
  5. “Let the sea set you free.”
    ให้ทะเลปลดปล่อยความรู้สึกในใจ

แคปชั่นเที่ยว “ภูเขา-ธรรมชาติ” สำหรับสายเขียว

สูดอากาศบริสุทธิ์ พร้อมเติมพลังใจ

  1. “Into the wild I go, losing my way to find my soul.”
    เข้าสู่ป่าเขา เพื่อหลงทางแล้วพบตัวเอง
  2. “Mountains are my therapy.”
    ภูเขาคือการบำบัดของฉัน
  3. “Sky above. Earth below. Peace within.”
    ท้องฟ้าอยู่ข้างบน แผ่นดินอยู่ข้างล่าง และความสงบอยู่ในใจ
  4. “Take a hike and find yourself.”
    ออกเดินป่า แล้วคุณจะพบตัวเอง
  5. “Nature never goes out of style.”
    ธรรมชาติไม่มีวันตกเทรนด์

แคปชั่นเที่ยว “คาเฟ่-เมืองสวย” แบบมีคลาส

สายถ่ายรูปเก๋ ๆ ดื่มกาแฟ พร้อมบรรยากาศดี ๆ

  1. “Espresso yourself.”
    เล่นคำจาก “Express yourself” = แสดงความเป็นตัวเองแบบกาแฟ!
  2. “Caffeine and calm vibes only.”
    วันนี้ขอแค่กาแฟกับความสงบ
  3. “Wandering with coffee in hand.”
    เดินเรื่อยเปื่อย พร้อมกาแฟในมือ
  4. “City lights & coffee nights.”
    แสงเมืองยามค่ำ กับกาแฟร้อน ๆ
  5. “Sipping happiness, one cup at a time.”
    จิบความสุขทีละแก้ว

แคปชั่นแบบ “ฟีลกู้ด-สร้างแรงบันดาลใจ” เวลาลงรูปเที่ยว

สำหรับใครที่อยากแชร์ความรู้สึกดี ๆ ให้กับผู้ตาม

  1. “Travel is the only thing you buy that makes you richer.”
    การเดินทางคือสิ่งเดียวที่ซื้อแล้วคุณจะรวยขึ้น (ด้วยประสบการณ์)
  2. “Life’s short. Travel far.”
    ชีวิตมันสั้น…เดินทางให้ไกลเข้าไว้
  3. “Wander often, wonder always.”
    ออกเดินทางบ่อย ๆ แล้วคุณจะได้ทึ่งในโลกเสมอ
  4. “Leave nothing but footprints. Take nothing but memories.”
    อย่าทิ้งอะไรไว้เลย นอกจากรอยเท้า และอย่าเอาอะไรกลับมาเลย นอกจากความทรงจำ
  5. “Travel far enough to meet yourself.”
    เดินทางให้ไกลพอ จนคุณได้พบตัวตนของคุณเอง

แคปชั่น “ถ่ายรูปสวย” พร้อมวิวปัง ๆ (แต่คำไม่ซ้ำใคร!)

ถ้ารูปคุณสวยแล้ว คำก็ต้องเท่ตาม

  1. “Caught between the sun and the skyline.”
    ระหว่างแสงแดดกับเส้นขอบฟ้า
  2. “This view? 10/10. Would stare again.”
    วิวนี้…ให้เต็มสิบ ไม่หัก
  3. “Not all classrooms have four walls.”
    ไม่ใช่ทุกห้องเรียนจะมีแค่สี่ผนัง (หมายถึง การเรียนรู้จากโลกกว้าง)
  4. “Views like this don’t need filters.”
    วิวแบบนี้ ไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์ก็สวย
  5. “Picture perfect, memory forever.”
    ภาพนี้เพอร์เฟกต์ และความทรงจำจะอยู่ตลอดไป

เทคนิคใส่แคปชั่นให้ปัง บน Instagram / Facebook

เพื่อให้โพสต์ของคุณไม่แค่ดูดี แต่ยังมีโอกาสติดหน้าฟีดมากขึ้น:

  • ใช้ แฮชแท็กผสมกัน เช่น #เที่ยวคนเดียว #TravelThailand #Wanderlust
  • ใส่ คำแปลใต้แคปชั่น สำหรับคนที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ → ทำให้โพสต์ดูใส่ใจและเข้าถึงได้มากขึ้น
  • เลือกคำที่ เกี่ยวข้องกับภาพ และ สื่ออารมณ์ได้ชัด เพื่อให้คนรู้สึกอิน
  • อย่าลืมใส่ Location และ Tag เพื่อน (ถ้ามี) เพื่อเพิ่มการเข้าถึง
  • อย่าใช้ประโยคซ้ำ ๆ จากเว็บทั่ว ๆ ไป เลือกคำใหม่ที่มี “ตัวตนคุณ” มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


Overnight Oat คืออะไร? ทำไมถึงฮิตในกลุ่มคนรักสุขภาพ

Overnight oat คือหนึ่งในเมนูอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนที่รักสุขภาพและคนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ โดยเฉพาะในยุคที่การเตรียมอาหารล่วงหน้ากลายเป็นทางเลือกหลักของคนยุคใหม่ แต่หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่า Overnight oat คืออะไร และควรกินตอนไหนถึงจะได้ผลดีต่อร่างกาย

Overnight Oat คืออะไร

Overnight oat คือข้าวโอ๊ตที่ไม่ต้องนำไปต้ม แต่ใช้วิธีแช่ในของเหลว เช่น นม น้ำเปล่า หรือนมพืช (นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง) แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นข้ามคืน เพื่อให้ข้าวโอ๊ตดูดซึมน้ำและนิ่มลงจนกินได้ทันทีในเช้าอีกวัน โดยสามารถเติมผลไม้ ถั่ว เมล็ดเจีย หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติ

ประโยชน์ของ Overnight Oat

  1. ให้พลังงานยาวนาน
    ข้าวโอ๊ตเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานต่อเนื่องโดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
  2. อุดมไปด้วยไฟเบอร์
    ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดอาการท้องผูก และทำให้รู้สึกอิ่มนาน
  3. เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก
    ด้วยพลังงานที่เหมาะสมและไฟเบอร์สูง จึงช่วยลดความหิวระหว่างมื้อโดยไม่ต้องพึ่งขนมจุกจิก
  4. ช่วยลดคอเลสเตอรอล
    ข้าวโอ๊ตมีสารเบต้ากลูแคน ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
  5. ประหยัดเวลาและสะดวก
    เตรียมล่วงหน้าได้ในคืนก่อน ไม่ต้องตื่นเช้ามาทำอาหารให้วุ่นวาย เพียงแค่หยิบออกจากตู้เย็นก็พร้อมทานทันที
  6. เหมาะกับคนที่แพ้นมวัวหรือกินเจ
    สามารถปรับสูตรด้วยนมพืชหรือโยเกิร์ตจากพืชเพื่อให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์

Overnight Oat กินตอนไหนดีที่สุด

หลายคนสงสัยว่า Overnight oat ควรกินตอนไหน คำตอบคือสามารถกินได้หลากหลายช่วงเวลา แต่เวลาที่นิยมที่สุดคือช่วงเช้า เพราะให้พลังงานดีอิ่มนาน เหมาะกับการเริ่มต้นวันใหม่หรือหากต้องการพลังงานก่อนออกกำลังกายก็สามารถกินเป็นมื้อก่อนออกกำลังกายได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถเก็บไว้กินเป็นของว่างระหว่างวันหรือมื้อเย็นเบาๆ ได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a54,200.0054,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,504.0053,120.6455,100.00
ทองรูปพรรณ 90%3,153.6047,808.58n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,803.2042,496.51n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,576.8023,904.29n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,226.4018,592.22n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,631.0955,047.32n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9541.2449.8141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า