สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 12 เมษายน 2561 …

ชี้ตลาดรับสร้างบ้านโตรอบ3ปี คาดไตรมาส2สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ขยายตัวสูงสุด ในรอบ  3 ปี สะท้อนตัวเลขงาน”รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018”  ยอดขายเพิ่มขึ้น  65% ขณะที่มูลค่า เพิ่มถึง 40% แรงหนุนเศรษฐกิจ กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น  คาดไตรมาส 2 ตลาดเติบโตต่อเนื่อง

เหตุผู้บริโภคเร่งสร้างบ้าน ก่อนราคารับสร้างบ้านปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง เตรียมเจรจากลุ่มวัสดุก่อสร้างคงราคาพิเศษ หวังตรึงราคาค่าก่อสร้างให้นานที่สุด
 
นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  (Home Builder Association :HBA)  เปิดเผยว่า จากแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ปี2561 มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด”รับสร้างบ้าน” ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สะท้อนจากตัวเลขการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” พบว่า ยอดขายแง่ยูนิตเพิ่มขึ้นถึง 65%  ในแง่ของมูลค่า ก็เพิ่มขึ้นมากถึง  40%  ของยอดขายรวม  1,200 ล้านบาท จากตั้งเป้ายอดขายไว้ที่  1,100 ล้านบาท  ซึ่งทั้งตัวเลขยอดขายและมูลค่า นับเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปี
เนื่องด้วยปัจจัยบวกหลายอย่าง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2561 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 79.3  ทั้งปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมไปถึงด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่า ตลาดรับสร้างไตรมาส 2  จะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความเป็นรูปบธรรมชัดเจน และหากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณกลางปี โครงการไทยนิยมที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น ส่งให้ผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวเกิน 4.2%  ทำให้จีดีพีทั้งปีเติบโต 4.2-4.6%  อีกทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  เพราะความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ข่วงชาขึ้น ทำให้เชื่อว่า ผู้บริโภคจะมีความสนใจและความต้องการปลูกสร้างบ้านใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นราคารับสร้างบ้าน เนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ  ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น และมีผลต่อค่าเฉลี่ยราคาก่อสร้างปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะช่วยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินปลูกสร้างบ้านเร็วขึ้น
“ตลาดหลักของรับสร้างบ้านในขณะนี้ ยังคงเป็นบ้านระดับราคา 2.5-10 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของตลาดรวม ทั้งนี้กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโต ส่วนตลาดสร้างบ้านในต่างจังหวัดยังเติบได้ไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะราคาสินค้าเกษตรยังไม่ดีมาก ขณะที่จังหวัดที่มีรายได้จากภาคบริการ เช่นธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวดียังพอที่จะผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตดี”
  นางศิริพร กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน มีแนวโน้มพิจารณาปรับราคาก่อสร้างขึ้น คาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีไปแล้ว เพราะผู้ประกอบการเองก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากองค์ประกอบหลายด้าน ทั้ง ต้นทุนราคาวัสดุ  ค่าแรงของกลุ่มแรงงาน และกลุ่มแรงงานฝีมือ   เพราะส่วนที่มีผลกระทบต่อการปรับราคามากสุด คือ กลุ่มแรงงาน  ตามมาด้วยแรงงานฝีมือซึ่งต้องปรับตาม แม้ว่าปัจจุบันอัตราค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม  แต่แนวโน้มคาดว่าราคาจะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 3-5 %
อย่างไรก็ตามสมาคมฯ ได้มีการประสานกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้คงราคาพิเศษสำหรับสมาชิกของสมาคมฯ
เพื่อให้สามารถตรึงต้นทุนค่าก่อสร้างไว้ได้  รวมถึงสถาบันการเงินพันธมิตรที่พิจารณาให้สินเชื่อกับสมาชิกสมาคมฯ เป็นกรณีพิเศษด้วย เพื่อที่ผู้ประกอบการสมาชิกสมาคมฯ สามารถประคองราคาไว้นานที่สุดเพื่อช่วยผู้บริโภค
“ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในช่วงกลางปีไปแล้ว แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น”
นางศิริพร กล่าวอีกว่า  สมาคมฯ ยังเดินหน้าแผนสร้างสมาคมฯ ให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกทุกประเภทขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 127 ราย เป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 53 ราย และที่เหลือเป็นกลุ่มวัสดุ  นอกจากนี้จะสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของสมาชิกผ่านกิจกรรมในทุกๆ ด้าน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านได้เข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกและเครือข่าย และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ

http://www.bangkokbiznews.com


คิงเพาเวอร์ ทุ่ม1.4 หมื่นล้าน ซื้อ ‘มหานคร’

“เพซ ดีเวลลอปเมนท์” ปิดดีลขายโครงการคอนโดมหานคร ให้ “คิง เพาเวอร์​มหานคร” มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท พร้อมเข้าซื้อหุ้นจากอพอลโลและโกลด์แมน ใน PP1 และ PP3 ส่งผลข้อผูกมัดตามเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่มีต่ออพอลโลและโกลด์แมนเป็นอันสิ้นสุดลง

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE แจ้งตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการได้มาและการจำหน่ายซึ่งสินทรัพย์ในวันที่ 10 เมษายน 2561 โดยบริษัทได้จำหน่ายทรัพย์สิน มูลค่ารวมจำนวนไม่เกิน 14,000 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ มหานคร จำกัด ซึ่งไม่เป็นบุคคลท่ีเกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ ดังนั้นรายการจึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตาม ประกาศรายการที่เก่ียวโยงกัน

ซึ่งประกอบด้วย การจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด (“PP1”) และบริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด (“PP3”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมผ่านบริษัท เพซ เรียลเอสเตท จำกัด (“PRE”) รวมร้อยละ 51.00 และ 51.28 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทดังกล่าวตามลำดับ โดยทรัพย์สินที่ PP1 และ PP3 จะ จำหน่าย ได้แก่ ที่ดิน โรงแรม อาคารจุดชมวิว อาคารรีเทลคิวบ์ ปฏิมากรรม ภาพวาด ใบอนุญาตต่าง ๆ รวมถึงสัญญาต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องในการประกอบธุรกิจของ PP1 (โรงแรม) และ PP3 (อาคารจุดชมวิวและ อาคารรีเทลคิวบ์) ในโครงการมหานคร คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 12,617 ล้านบาท

การจำหน่ายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่าง PP1 บริษัท เพซ โปรเจ็ค ทู จำกัด (“PP2”) PP3 และ PRE คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 183 ล้านบาท ซึ่งสามารถคิดเป็นมูลค่าตามสัดส่วนกรรมสิทธ์ ซึ่งประกอบด้วย PP1 คิดเป็นสัดส่วนมูลค่า 60 ล้านบาท PP2 คิดเป็นสัดส่วนมูลค่า 60 ล้านบาท PP3 คิดเป็นสัดส่วนมูลค่า 60 ล้านบาท PRE คิดเป็นสัดส่วนมูลค่า 3 ล้านบาท

และในการเข้าทำรายการคร้ังนี้ บริษัทได้รับค่าตอบแทนสาหรับการจัดหา บริหารและดาเนินการให้เกิด รายการ เป็นมูลค่า 1,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นที่อพอลโล เอเชีย สปริ้นท์ คอมปานี ลิมิเต็ด (“อพอลโล”) และโกลด์แมน แซคส์ อิน เวสเมนท์ส โฮลดิ้งส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด (“โกลด์แมน”) ถืออยู่ใน PP1 และ PP3 ร้อยละ 49.00 และ ร้อยละ 48.72 ของหุ้นท่ีจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทดังกล่าวตามลำดับ ทั้งหมดรวมเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 320 ล้านดอลลาร์ หรือไม่เกิน 10,000 ล้านบาท

จำกการข้าซื้อหุ้นจำกอพอลโลและโกลด์แมนใน PP1 และ PP3 จำนวนร้อยละ 49.00 และ ร้อยละ 48.72 ตามลำดับ ทำให้บริษัทฯ และ PRE ถือหุ้นทั้งหมดใน 2 บริษัทดังกล่าว และทำให้ข้อผูกมัดตามเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่บริษัทฯ มีต่ออพอลโลและโกลด์แมนเป็นอันสิ้นสุดลง

ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นวันนี้ (10 เม.ย.) หุ้น PACE มีแรงเก็งกำไรเข้ามาหนาแน่นโดยเฉพาะในภาคการซื้อขายช่วงบ่ายโดยท้ายตลาดปิดการซื้อขายที่ 0.58 บาทเพิ่มขึ้น 0.03  บาทหรือเพิ่มขึ้น 5.45% มูลค่าการซื้อขาย 153 ล้านบาท

http://www.bangkokbiznews.com


เศรษฐกิจฐานรากช่วงสงกรานต์ดีขึ้น-ต้องการสินเชื่อสูงขึ้น

ธนาคารออมสิน เผยผลสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 พบปชช.ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม-ต้องการสินเชื่อบัตรกดเงินสดมากที่สุด

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน ได้ทำการสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศจำนวน 2,200 ตัวอย่าง

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า “ศูนย์วิจัยฯ ได้ทำการสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศจำนวน 2,200 ตัวอย่าง พบว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลสงกรานต์คาดว่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 16,500 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 3,970 บาท โดยปัจจัยสนับสนุนที่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ส่วนหนึ่งส่งผลมาจากการที่รัฐบาลประกาศเพิ่มวันหยุดต่อเนื่อง 5 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 12-16 เม.ย. 2561 เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางกลับภูมิลำเนา และกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั่วประเทศ

เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์กับปีก่อน พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 43.6 มีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ในขณะที่ ร้อยละ 31.7 คิดว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการวางแผนที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด และรู้สึกว่าราคาสินค้าบางส่วนมีการปรับเพิ่มขึ้น เช่น ค่าน้ำมัน ขณะที่ร้อยละ 20.6 มีค่าใช้จ่ายน้อยลง เนื่องจากต้องประหยัดและใช้จ่าย เท่าที่จำเป็น

สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่นำมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ส่วนใหญ่เกินครึ่ง มาจากรายได้ (ร้อยละ 71.8) เงินออม (ร้อยละ 14.1) เงินจากคนในครอบครัว (ร้อยละ 9.0) เงินกู้ยืม ซึ่งมีทั้งเงินกู้นอกระบบและในระบบ (ร้อยละ 4.3) และเงินสวัสดิการจากภาครัฐ (ร้อยละ 0.8)

เมื่อสำรวจลักษณะการทำกิจกรรม และคาดการณ์ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า กิจกรรม 3 อันดับแรกที่ประชาชนฐานรากนิยม คือ (1) ทำบุญ/สรงน้ำพระ/รดน้ำ ขอพรผู้ใหญ่ ร้อยละ 86.0 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 445 บาท (2) สังสรรค์ เลี้ยงฉลอง ร้อยละ 61.4 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 980 บาท (3) ให้เงินพ่อ แม่ และคนในครอบครัว ร้อยละ 56.3 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,770 บาท ทั้งนี้ โดยภาพรวมประชาชนฐานรากมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น เช่น ลดการสังสรรค์ เลี้ยงฉลอง ลดการซื้อของฝาก ขณะที่มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นจากการเดินทางพักผ่อน เล่นน้ำ ตามประเพณี และกลับภูมิลำเนา/เยี่ยมญาติ

สำหรับของซื้อ /ของฝากที่ประชาชนฐานรากคาดว่าจะซื้อให้กับตนเองและผู้อื่น พบว่า 3 อันดับแรก คือ อาหาร/ขนม (ร้อยละ 75.1) ผัก/ผลไม้ (ร้อยละ 58.0) และเสื้อผ้า/เครื่องนุ่งห่ม (ร้อยละ 55.1) โดยบุคคลที่ต้องการให้ คือ คนในครอบครัว (ร้อยละ 93.2) ผู้ใหญ่ที่เคารพ (ร้อยละ 30.9) ตนเอง (ร้อยละ 12.4) และเพื่อน (ร้อยละ 9.8)

เมื่อสอบถามถึงความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อใช้จ่าย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 15.4 มีความต้องการสินเชื่อ โดยต้องการใช้สินเชื่อบัตรกดเงินสดมากที่สุด (ร้อยละ59.3) และยังคงมีความต้องการใช้บริการผ่านช่องทางสาขามากที่สุด (ร้อยละ 57.8)” นายชาติชายฯ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com


คาดรายได้ไทยเที่ยวไทย 515,000 ล้าน ชี้เที่ยวเชิงประวัติศาสตร์คึกคัก

การท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหนุนตลาดไทยเที่ยวไทยครึ่งแรกของปี 2561 คึกคัก คาดรายได้ท่องเที่ยว 515,000 ล้านบาท

สถานการณ์ตลาดไทยเที่ยวไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2561นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า บรรยากาศคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนเฉพาะอย่างความนิยมในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่กลับมาเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวไทย อาทิ จ.กรุงเทพฯ และ จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงวันหยุดยาวต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน

โดยเฉพาะบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงงานเทศกาลสงกรานต์ที่คนไทยจะเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเพื่อร่วมประเพณีสงกรานต์ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วง 7 วัน (ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2561) ของการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ น่าจะก่อให้เกิดรายได้ในตลาดไทยเที่ยวไทยเป็นมูลค่าประมาณ 15,585.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

และจากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 นี้ มูลค่าตลาดไทยเที่ยวไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 515,000 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเที่ยวในประเทศมีประมาณ 74.8 ล้านคน-ครั้ง เติบโตร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

http://www.bangkokbiznews.com


สบส. เร่งดันกฎกระทรวง เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ

สบส.เร่งผลักดันกฎกระทรวง เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา แพทย์หญิงประนอม คำเที่ยง อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(กรมสบส.) เป็นประธานเปิดประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างกฎกระทรวง “กิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง” โดยจากการประเมินสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทยของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ พบว่าปี2561 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุสูงถึง 1 ใน5 ของประชากรทั้งหมดและมากกว่าประชากรเด็ก พร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(กรม สบส.)ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมผู้ประกอบการด้านบริการสุขภาพเพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองและมีสุขภาพดี จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวขึ้นเพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีคุณภาพมาตรฐาน โดยที่กิจการดังกล่าวเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ตามมาตรา3(3)ในกิจการอื่นตามที่กฎกระทรวงกำหนดกรม สบส.จึงได้จัดประชุมสัมมนารับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเพื่อให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก่อนที่จะทำการประกาศใช้ต่อไป

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 12/04/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,850.00 19,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,286.00 19,495.76 20,450.0
ทองรูปพรรณ 90% 1,157.40 17,546.18 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 579.00 8,777.64 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 450.00 6,822.00 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,333.00 20,208.28 n/a
 
ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  12/04/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
27.95
27.95
27.95
27.95
27.95
27.95
27.95
27.95
27.95
27.95
แก๊สโซฮอล E-20 25.44 25.44 25.44 25.44 25.44 25.44 25.44 25.44 25.44
แก๊สโซฮอล E-85 20.14 20.14 20.14 20.14
แก๊สโซฮอล 91 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68
เบนซิน 95 35.06 35.51 35.56 35.06 35.06 35.06
ดีเซลหมุนเร็ว 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.29 30.29 30.29 30.29 30.29
มีผลตั้งแต่ 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00 06 Apr 05:00

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า