สห โตคิว คอร์ปอเรชั่นเครือสหพัฒน์จับมือดุสิตธานี เปิดเกมรุกผุดโรงแรม-อพาร์ตเมนต์ กลิ่นอายญี่ปุ่นในEEC รองรับนักธุรกิจ–นักท่องเที่ยวทั่วโลก
ในจังหวะที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังเร่งเครื่องเต็มสปีด “ศรีราชา” หนึ่งในหัวเมืองสำคัญกำลังถูกวางตำแหน่งใหม่ให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก เมื่อสองกลุ่มทุนใหญ่ “สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น” ในเครือสหพัฒน์ จับมือกับ “ดุสิตธานี” เปิดตัวโครงการ “ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา” ที่พักระดับลักชัวรีผสานกลิ่นอายญี่ปุ่น ตั้งเป้าดึงดูดทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
โครงการนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จของทั้งสองพันธมิตร หลังเคยจับมือกันในโครงการระดับพรีเมียมมาแล้วทั้งที่กรุงเทพฯ และชลบุรี โดยคราวนี้เป็นการเปิดหน้ารุกตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในทำเลศักยภาพสูงสุดของภาคตะวันออก
“นี่คือก้าวแรกของเป้าหมายใหม่ เพื่อสร้างจุดศูนย์กลางแห่งใหม่ของธุรกิจและการพักผ่อนในศรีราชา” ชินจิ สุยะมะ กรรมการผู้จัดการ สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น
ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา จะเป็นอาคารสูง 12 ชั้น รวม 195 ห้องพัก รองรับทั้งระยะสั้นและระยะยาว ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องอาหาร ห้องประชุม สปา ออนเซนแบบญี่ปุ่นแท้ และซาวน่าสาธารณะ พร้อมตอบโจทย์ผู้เข้าพักทุกเชื้อชาติที่แสวงหาความหรูหรา ผ่อนคลาย และมาตรฐานบริการระดับโลกความน่าสนใจของโครงการไม่ใช่แค่ตัวอาคารหรือสิ่งอำนวยความสะดวก แต่คือแนวคิดเบื้องหลังที่เชื่อมโยงความเป็นญี่ปุ่นกับบริการแบบไทย ผ่านเลนส์ของดุสิตธานี ที่จะเข้ามาบริหารจัดการทั้งหมด
“เรานำเอาความละเมียดละไมแบบญี่ปุ่นมาหลอมรวมกับ ‘Dusit Graciousness’ เพื่อส่งมอบประสบการณ์พักผ่อนที่ไม่เหมือนใคร” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ดุสิตธานี
ตั้งอยู่ติด “เจ-พาร์ค” คอมมูนิตี้มอลล์แนวญี่ปุ่นที่สหพัฒน์พัฒนาไว้ก่อนหน้า โครงการใหม่นี้จึงได้เปรียบทั้งด้านทำเลและฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่มีความผูกพันกับพื้นที่มายาวนาน ขณะเดียวกันยังล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรม และอยู่ในพื้นที่ส่งเสริมการลงทุน EEC ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังเร่งผลักดันเต็มที่การลงทุนครั้งนี้จึงไม่ได้มองแค่ตลาดวันนี้ แต่คือการวางหมากระยะยาว เพื่อปักธง “ศรีราชา” ให้เป็นมากกว่าเมืองอุตสาหกรรม
การจับมือของสองกลุ่มทุนในโครงการ “ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา” จึงไม่ใช่แค่การเปิดโรงแรมใหม่ แต่เป็นการ “ยกระดับเมือง” ปั้นเมืองอุตสาหกรรมให้กลายเป็น “ฮับท่องเที่ยว–ธุรกิจระดับโลก” สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเมืองรองไทยในยุค EECโครงการนี้สะท้อนแนวคิด ‘จากท้องถิ่น สู่เวทีโลก’ ของดุสิต ได้อย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ศุภาลัย จับมือยักษ์ใหญ่ออฟฟิศโลก IWG เปิดตัว “Regus” พื้นที่สำนักงานยืดหยุ่น ใจกลางย่านธุรกิจ รองรับเทรนด์การทำงานยุคใหม่
เมื่อเทรนด์การทำงานเปลี่ยน สำนักงานยุคเก่าจึงต้องปรับตัวการทำงานแบบ Hybrid Work ได้กลายเป็นความปกติใหม่ของหลายองค์กรทั่วโลก และในประเทศไทยเอง แนวโน้มนี้ก็เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน หลังโควิด-19 ที่ทำให้ทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ประกอบการรายย่อย ต่างมองหาพื้นที่ทำงานที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น ทั้งในแง่เวลา พื้นที่ และค่าใช้จ่าย
เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ศุภาลัย จึงเดินเกมรุก ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลกอย่าง International Workplace Group (IWG) เปิดตัว “Regus” พื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบครบวงจร บนชั้น 3 ของ อาคารสำนักงานศุภาลัย ไอคอน สาทร ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ
บุศรินทร์ รุ่งรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายอาคารสูง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤติกรรมการทำงานของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เราเชื่อว่าพื้นที่ทำงานที่ดีในวันนี้ ต้องมีความยืดหยุ่น และตอบโจทย์ได้หลายมิติ Regus ในโครงการนี้ ถูกวางตำแหน่งให้เป็นศูนย์รวมของการทำงานแบบไฮบริดที่ครบวงจร
ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานส่วนตัว โคเวิร์กกิ้งสเปซ หรือห้องประชุม ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามขนาดองค์กร และความต้องการเฉพาะทาง ตั้งแต่ SMEs, สตาร์ทอัพ, ฟรีแลนซ์ ไปจนถึงองค์กรข้ามชาติ
นอกจากรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นแล้ว ทำเลของโครงการก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” ตั้งอยู่บนถนนสาทรเหนือ เชื่อมต่อระบบคมนาคมหลัก ทั้ง MRT ลุมพินี, BTS ช่องนนทรี และศาลาแดง รวมถึงใกล้ทางด่วนสายหลัก รองรับการเดินทางที่คล่องตัวในทุกทิศทาง
นอกจากนี้อาคารยังได้รับมาตรฐาน LEED Green Building สะท้อนถึงการออกแบบที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ หรือพื้นที่จอดรถ รองรับทั้งไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตอย่างสมดุล
ธิติวัฒน์ ธนาพรนิธินันท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย IWG ระบุว่า Regus แห่งนี้จะเชื่อมโยงกับเครือข่ายกว่า 50 แห่งในไทย และอีก 5,000 แห่งทั่วโลก สมาชิกของเราสามารถเคลื่อนย้ายการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา
แม้ตลาดสำนักงานให้เช่ายังเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน แต่โครงการนี้สะท้อนทิศทางใหม่ของการพัฒนาอสังหาฯ ที่มุ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้งานมากกว่าการแข่งขันด้านพื้นที่เพียงอย่างเดียว“Regus @ Supalai Icon Sathorn” ไม่เพียงเติมเต็มฟังก์ชันของอาคารสำนักงานในเชิงกายภาพ แต่ยังเป็นหมุดหมายใหม่ของแนวคิดการทำงานแบบยืดหยุ่น ที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเติบโตได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้27มิ.ย. 2568ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงก่อนหน้า อาจชะลอลงบ้าง สอดคล้องกับการชะลออ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำ
ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นผลมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 (ขายทำกำไรสถานะ Short USD ที่เรียกได้ว่า ทำผลตอบแทนได้ดีในปีนี้PlayNextMute
เช่นเดียวกัน กับการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำ ซึ่งทำผลงานได้โดดเด่นในปีนี้) ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนกรกฎาคม ซึ่งเรามองว่า อาจต้องเห็นข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน (จับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า)
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นในช่วงนี้ อาจสะท้อนว่า หากไม่มีปัจจัยกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม ราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ซึ่งเรามองว่า หากไม่มีปัจจัยหนุนที่ชัดเจน การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจเป็นไปอย่างจำกัดและทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอทยอยขายทำกำไร หรือใช้กลยุทธ์ Range-Bound Trading ซึ่งทำให้ เมื่อราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น ทดสอบโซนแนวต้าน ก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทบ้าง
โดยเราคงมองว่า เงินบาทยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำในระดับสูง และมีความอ่อนไหวหรือ Sensitivity ต่อการปรับตัวของราคาทองคำ ราว 0.3-0.5
แม้ว่า เงินบาทอาจยังไม่มีการเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่ชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่เรากังวล คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์หน้าที่ ตลาดการเงินไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ใกล้โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.44-32.54 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เผชิญแรงกดดันจากมุมมองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งต่างเชื่อว่า เฟดมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ออกมาแย่กว่าคาด
อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ ก็หดตัวราว -0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.974 ล้านราย สะท้อนถึงความยากลำบากในการหางานที่มากขึ้น อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด และเงินดอลลาร์ก็สามารถพลิกกลับมารีบาวด์สูงขึ้นได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการทยอยทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาด หลังเงินดอลลาร์ได้อ่อนค่าลงมาต่อเนื่องในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ผ่านแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัย
ทั้งเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำ ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ส่งผลดีต่อบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตลด์ Growth อาทิ Meta +2.5% และ Amazon +2.4% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.97% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.80%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย +0.09% แม้จะถูกกดดันบ้าง จากแรงขายบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH -1.6% แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน อาทิ Rheinmetall +7.3%
และ Airbus +2.7% หลังบรรดาประเทศสมาชิก NATO ต่างเห็นชอบในการเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร ตามคำเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาดเป็นส่วนใหญ่และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน ซึ่งออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ย ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.25%
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะจำกัดลง และต้องรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ชัดเจน โดยเราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%)
ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงมาบ้าง ทว่า เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์ขึ้น ตามการทยอยลดสถานะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาด อย่าง เงินเยนญี่ปุ่นและทองคำ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนบ้าง จากการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short USD ในช่วงสิ้นไตรมาส ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.0-97.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยย่อตัวลงสู่โซนแนวรับแถว 3,320-3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจเห็นแรงซื้อ Buy on Dip จากผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Cherophobia หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคกลัวความสุข เป็นภาวะทางจิตวิทยาที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคกลัวเฉพาะเจาะจง (Specific Phobia) ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีความกลัวอย่างรุนแรงหรือไม่สมเหตุสมผลต่อความสุข หรือการมีความสุข พวกเขาอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความสุข เพราะเชื่อว่าหลังจากความสุขแล้วจะต้องมีสิ่งร้าย ๆ เกิดขึ้นตามมา หรือรู้สึกว่าความสุขเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรกับตัวเอง ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วย
สาเหตุของ Cherophobia นั้นซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล มักเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีตหรือรูปแบบการคิดที่ฝังลึก:
1. ประสบการณ์เชิงลบที่ตามมาด้วยความสุข
2. ความรู้สึกไม่คู่ควรหรือไม่เหมาะสม
3. ความเชื่อที่ว่าความสุขคือการไม่รับผิดชอบ
ผู้ที่มี Cherophobia อาจแสดงอาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ควรจะมีความสุข หรือเมื่อนึกถึงความสุข:
1. อาการทางร่างกาย
2. อาการทางจิตใจและพฤติกรรม
Cherophobia สามารถรักษาได้ และการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และเพลิดเพลินกับความสุขได้อีกครั้ง:
1. การบำบัดพฤติกรรมและความคิด (Cognitive Behavioral Therapy – CBT)
CBT เป็นแนวทางการบำบัดที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคกลัวและภาวะวิตกกังวล นักบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วย:
2. การบำบัดด้วยการเปิดรับสิ่งกระตุ้น (Exposure Therapy)
วิธีนี้จะค่อย ๆ ให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความสุขอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เพื่อช่วยให้สมองเรียนรู้ว่าความสุขไม่ได้เป็นอันตราย:
3. การทำความเข้าใจและจัดการกับบาดแผลในอดีต
หาก Cherophobia มีสาเหตุมาจากประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจในอดีต การบำบัดที่เน้นการประมวลผลบาดแผลทางใจ (เช่น EMDR – Eye Movement Desensitization and Reprocessing) อาจเป็นประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับความรู้สึกและผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้น
4. การใช้ยา
ในบางกรณี หากอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้ารุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาเพื่อช่วยลดอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมักใช้ควบคู่ไปกับการบำบัดทางจิตวิทยา
5. การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และทัศนคติ
หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักแสดงอาการของ Cherophobia หรือ โรคกลัวความสุข การปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาสามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถก้าวข้ามความกลัวนี้และกลับมาเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตได้อย่างเต็มที่
หมายเหตุ: Cherophobia ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นความผิดปกติอย่างเป็นทางการในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) ของ American Psychiatric Association แต่เป็นที่ยอมรับและมีการศึกษาในวงกว้างในฐานะภาวะหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลและรูปแบบความคิด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โชว์ฟอร์มสุดคม ไล่ต้อนคู่แข่งไต้หวันขาดลอย ขณะที่คู่ผสมตัวเต็งอย่าง “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค และ “เจน” เฌอย์ณิชา ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เดินหน้าปราบคู่แข่งจากอินโดนีเซียอย่างเหนือชั้น ต่างกอดคอผ่านเข้าสู่รอบสองแบดมินตัน ยูเอส โอเพ่น 2025 ไปปอย่างสวยงาม
การแข่งขันแบดมินตันรายการ ยูเอส โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,920,000 บาท ที่เมืองเคาน์ซิลบลัฟส์ รัฐไอโอว่า สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 26 มิ.ย.68 โดยเป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 58 ของโลก พบกับ หวง ชิงปิง มืออันดับ 67 ของโลกจากไต้หวัน เกมนี้ “พิงค์” พิชฌามลณ์ ออกสตาร์ตได้อย่างมั่นใจในกมแรก เล่นได้หลากหลายและแม่นยำ ทำให้หวง ชิงปิง ตามไม่ทันหลายจังหวะ พิงค์สามารถควบคุมเกมได้ตลอด และปิดเกมแรกไปด้วยสกอร์ 21-17
ในเกมที่สอง “พิงค์” พิชฌามลณ์ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ตีได้ดุดันและเน้นจังหวะบุกมากขึ้น ทำให้คู่แข่งจากไต้หวันไม่สามารถต้านทานได้ ปิดแมตช์เอาชนะไปอีกที่ 21-8 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ แทนวี่ ชาร์มา มืออันดับ 66 ของโลกจากอินเดีย
ด้านประเภทคู่ผสม รอบแรก “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 18 ของโลก พบกับ กาเบรียล คริสโตเฟอร์ วินตัน วิจายา กับ เซเรน่า คานิ คู่จากอินโดนีเซีย
เกมนี้ คู่ไตเติ้ล กับ เจน โชว์ฟอร์มได้อย่างเหนือชั้น ตั้งแต่ต้นเกม คุมเกมบุกได้เป็นอย่างดี ทำให้คู่จากอินโดนีเซียไม่สามารถต้านทานได้ ไตเติ้ล กับ เจนปิดเกมแรกไปได้อย่างง่ายดายด้วยสกอร์ 21-10 ในเกมสอง รูปเกมยังคงเป็นของคู่ไตเติ้ล กับ เจน อย่างต่อเนื่อง และเล่นเกมบุกที่หลากหลาย ก่อนที่ ไตเติ้ล กับ เจน จะปิดแมตช์เอาชนะไปที่ 21-14 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ ซี่ เว่ยเหอ กับ หยาน เฟยเฉิน คู่มืออันดับ 188 ของโลกจากไต้หวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
การ ฝึกพูดอังกฤษ ให้เข้าใจและพูดคล่องโดยไม่ต้องแปลเป็นไทยในหัวก่อน เป็นเป้าหมายสำคัญของหลายคน เพราะเราคนไทยโดยคนส่วนมากจะใช้ภาษาไทยตลอด จึงมีความเคยชินกับการใช้ภาษาไทยจนเกิดความสับสนในการพูดและ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ได้ แต่คุณจะปลดล็อกสกิลนี้ได้แน่นอน หากใช้วิธีที่ถูกต้อง ฝึกฝนและนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอ
ตามที่เราได้ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ มานั้น หลักสูตรการศึกษาในไทยจะเน้นการใช้ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการเรียนทักษะต่าง ๆ โดยเน้นการใช้แกรมม่าเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราเน้นไวยากรณ์มากเกินไปและการจำโดยไม่มีความเข้าใจ แกรมม่าที่เราเรียนนั้นก็จะสูญเปล่า เพราะหากเรากลัวข้อผิดพลาดในการใช้มากเกินไป อาจทำให้เกิด Distraction หรือเกิดการขัดขวางในการสื่อสารมากกว่านำไปใช้จริง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือการเรียนรู้จากบทสนทนาประจำวันง่าย ๆ และการเรียนรู้จากหนัง เกมและเพลงต่าง ๆ เพื่อความเพลิดเพลินในการเรียนรู้ สร้างแรงจูงใจให้ เรียนภาษาอังกฤษ ได้สนุกจากสิ่งที่ชอบมากยิ่งขึ้น
การ เรียนภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาประจำวัน (Daily Conversations) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการ ฝึกพูดอังกฤษ และฟัง (Speaking and Listening) ให้เข้าใจ โดยไม่ต้องแปลเป็นไทยก่อนทุกคำ เพราะคุณจะเรียนรู้จาก “สถานการณ์จริง” ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเราสามารถฝึกการพูดนี้กับเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ชาวต่างชาติ หรือแม้แต่โปรแกรมที่มี AI เพื่อช่วยพัฒนาและฝึกสำเนียงการพูด ซึ่งเราแนะนำให้เริ่มจากประโยคง่าย ๆ ก่อน ยกตัวอย่างเช่น
A: Hi! How are you?
B: I’m good, thanks. And you?
A: Not bad. Just a bit tired from work.
B: I know the feeling. Long day, huh?
= A: หวัดดี! สบายดีไหม
B: สบายดี ขอบคุณ แล้วเธอล่ะ
A: ก็ไม่แย่นะ แค่เหนื่อยจากการทำงานนิดหน่อย
B: เข้าใจเลย คงจะเป็นวันที่ยาวนานเลยสินะ
A: Can I get an iced latte please?
B: Sure. Anything else?
A: No, that’s all. Thank you.
= ขอลาเต้เย็นที่หนึ่ง
รับอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกไหม
ไม่แล้วล่ะ ขอบคุณ
A: Would you mind sending me the report before noon?
B: Of course, I’ll handle it right away.
= ช่วยส่งรายงานให้ก่อนเที่ยงได้ไหม
ได้เลย เดี๋ยวผมจะจัดการให้ทันที
A: Excuse me, where’s the nearest grocery?
B: It’s around the corner, next to the restaurant.
= ขอโทษค่ะ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน
อยู่ตรงหัวมุม ข้างร้านอาหารเลย
การ เรียนภาษาอังกฤษ จากหนัง เกมและเพลงต่าง ๆ เป็นวิธีที่สนุกและได้ผลดีมาก ได้เรียน สำเนียงจริง (อเมริกัน/อังกฤษ)เข้าใจ คำสแลงและภาษาพูดอย่างเป็นธรรมชาติจาก Native Speaker หรือ เจ้าของสำเนียงได้โดยตรง นอกจากนี้ยังรวมถึงอารมณ์ สีหน้าและน้ำเสียง โดยมีประโยชน์จากเรียนผ่านช่องทางอื่น ๆ นอกจากห้องเรียนดังนี้
โดยเราแนะนำให้คุณลิสต์ชื่อหนัง/เพลง/เกมแนะนำตามระดับภาษาตามความเข้าใจ หรือ ในระดับที่สามารถเข้าใจได้ก่อน นอกจากนี้ยังสามารถตามอ่านวลีเด็ดจากหนังหรือเพลง หนังและเกมที่คุณชอบเป็นพิเศษ บอกเลยว่า วิธีนี้ได้ผล ช่วยให้เราสามารถแปล หรือ พูดภาษาอังกฤษได้ผ่านการเรียนซ้ำ ๆ และความเคยชินจนไม่ต้องเสียเวลาแปลเป็นไทยให้เสียเวลา
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) เปิดรายงาน 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่แห่งปี 2025 ที่กำลังข้ามจุดเปลี่ยนจากห้องวิจัยสู่การเปลี่ยนโลกจริง โดยเน้นเทคโนโลยีที่พร้อมส่งผลกระทบในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ทั้งด้านพลังงาน สุขภาพ ความยั่งยืน และความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัล โดยรายงานนี้เผยแพร่ในงานประชุม Annual Meeting of the New Champions หรือ “Summer Davos” ที่จีนเมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมชี้ 4 แนวโน้มใหญ่ที่ต้องจับตาในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
รายงานระบุว่า เทคโนโลยีปี 2025 ถูกคัดเลือกจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความแปลกใหม่ พัฒนาการของเทคโนโลยี และศักยภาพในการสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดย 4 เทรนด์หลักที่ครอบคลุมเทคโนโลยีทั้ง 10 รายการ ได้แก่ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในโลกที่เชื่อมต่อกัน เทคโนโลยีชีวภาพยุคใหม่เพื่อสุขภาพ การออกแบบระบบอุตสาหกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืน และการบูรณาการพลังงานกับวัสดุ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนแนวโน้มใหญ่ของ “การบรรจบกันของเทคโนโลยี” เช่น การผสาน AI กับระบบชีวภาพ หรือวัสดุนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนพลังงานสะอาด
เทคโนโลยีแรกที่น่าจับตาคือ “แบตเตอรี่โครงสร้าง” (Structural Battery Composites) ซึ่งเป็นวัสดุที่ทั้งรับน้ำหนักและเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ในตัว เช่น คาร์บอนไฟเบอร์หรือเรซิน หากใช้งานได้จริง จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องบินมีน้ำหนักเบาลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ยังต้องผ่านด่านความปลอดภัยก่อนใช้งานจริงในวงกว้าง
ถัดมาคือ “ระบบผลิตไฟฟ้าจากแรงดันออสโมซิส” (Osmotic Power Systems) ที่ใช้หลักต่างระดับความเค็มของน้ำ 2 แหล่งเพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนแบบไร้คาร์บอน แม้แนวคิดมีมาตั้งแต่ปี 1975 แต่เทคโนโลยีวัสดุใหม่ทำให้เข้าใกล้การใช้งานจริงยิ่งขึ้น โดยมี 2 แนวทางหลัก ได้แก่ Pressure Retarded Osmosis และ Reverse Electrodialysis ที่ต่างใช้เยื่อบางควบคุมการเคลื่อนที่ของน้ำหรือไอออนเพื่อสร้างพลังงาน
เทคโนโลยีนิวเคลียร์ก็กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจ รายงานพูดถึง “เทคโนโลยีนิวเคลียร์ยุคใหม่” (Advanced Nuclear Technologies) ที่มีเป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัย ทั้งการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMRs) และการมุ่งสู่ปฏิกิริยาฟิวชัน ซึ่งหากทำได้จริง จะเปลี่ยนสมการพลังงานโลกอย่างสิ้นเชิง
ในมิติสุขภาพ “เทคโนโลยีชีวภาพรักษาโรคจากภายใน” (Engineered Living Therapeutics) เปิดมุมใหม่ของการใช้จุลินทรีย์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้ผลิตยาในร่างกายมนุษย์โดยตรง เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ ระบบนี้จะช่วยผลิตอินซูลินเองอย่างต่อเนื่อง ลดต้นทุนการผลิตยาได้ถึง 70% และลดความถี่ในการรักษา
ขณะเดียวกัน “ยารุ่นใหม่ GLP-1” (GLP-1s for Neurodegenerative Disease) ซึ่งเคยใช้รักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน กำลังถูกศึกษาว่าสามารถช่วยโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสันได้ เพราะช่วยลดการอักเสบและขจัดโปรตีนพิษในสมอง หากพัฒนาได้จริงจะสร้างผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากทั่วโลกมีผู้ป่วยสมองเสื่อมกว่า 55 ล้านคน
อีกเทคโนโลยีที่มาแรงคือ “อุปกรณ์ตรวจจับชีวเคมีอัตโนมัติ” (Autonomous Biochemical Sensing) ที่สามารถตรวจวัดสารชีวภาพได้แบบเรียลไทม์ เช่น มลพิษในน้ำ หรือระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยไม่ต้องพึ่งห้องแล็บ ตัวอย่างที่เริ่มใช้งานแล้วคืออุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และมีแนวโน้มขยายสู่ด้านอื่น เช่น ความปลอดภัยอาหารหรือการดูแลวัยทอง
ในภาคเกษตรกรรม รายงานชู “การตรึงไนโตรเจนแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (Green Nitrogen Fixation) ที่พัฒนาวิธีผลิตปุ๋ยโดยใช้แสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาด แทนกระบวนการเดิมที่ใช้พลังงานโลกถึง 2% เพื่อผลิตแอมโมเนีย รองรับความต้องการอาหารของประชากรโลกถึงครึ่งหนึ่ง
อีกหนึ่งนวัตกรรมคือ “นาโนไซม์” (Nanozymes) วัสดุนาโนที่เลียนแบบเอนไซม์แต่ผลิตง่าย ทนทาน และต้นทุนต่ำกว่า สามารถนำไปใช้ในการบำบัดน้ำเสีย ความปลอดภัยด้านอาหาร และแม้กระทั่งการรักษามะเร็งหรือโรคสมองเสื่อม โดยอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก แม้ยังมีข้อกังวลเชิงจริยธรรมและเทคนิคบางประการ
เทคโนโลยี “การรับรู้ร่วมกัน” (Collaborative Sensing) ก็เปิดโลกใหม่ให้กับการจัดการข้อมูลแบบเครือข่าย เช่น การเชื่อมต่อกล้องจราจรกับเซนเซอร์สภาพอากาศเพื่อควบคุมสัญญาณไฟจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดมลพิษ และแก้รถติด นอกจากนี้ยังใช้ในเหมือง การพยากรณ์พายุ และการวางแผนผังเมืองได้
ปิดท้ายด้วย “ระบบฝังลายน้ำในคอนเทนต์ AI” (Generative Watermarking) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีฝังรหัสที่มองไม่เห็นในภาพหรือวิดีโอที่ผลิตโดย AI เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและช่วยให้ผู้ใช้แยกแยะว่าอะไรคือของจริงหรือของปลอม แม้ยังมีข้อท้าทาย เช่น การพยายามลบลายน้ำหรือการตีตราผิดพลาด แต่หลายบริษัทเทคโนโลยีเริ่มนำไปใช้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของเทคโนโลยีที่กำลังจะมีบทบาทต่อชีวิตจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะในฐานะเครื่องมือเปลี่ยนโลกธุรกิจใหม่ หรือเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนให้สังคมโลกเดินหน้าอย่างมีความหวังในยุคที่ความท้าทายใหญ่ไม่สามารถแก้ไขด้วยเครื่องมือเก่าๆ ได้อีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
น้ำฟักทอง คือเครื่องดื่มสุขภาพที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งเบตาแคโรทีน วิตามินเอ และไฟเบอร์ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักสูตรทำน้ำฟักทองอย่างง่าย พร้อมแนะนำเวลาที่ควรกินเพื่อให้ร่างกายดูดซึมประโยชน์ได้สูงสุด
น้ำฟักทอง คือเครื่องดื่มสุขภาพที่ทำง่าย ดื่มอร่อย และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลาย ถ้าเลือกเวลาดื่มให้เหมาะสม เช่น ตอนเช้า หรือช่วงก่อนอาหารกลางวัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเต็มที่ พร้อมช่วยควบคุมน้ำหนักและบำรุงสุขภาพในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,700.00 | 50,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,277.00 | 49,679.32 | 51,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,949.30 | 44,711.39 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,621.60 | 39,743.46 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,474.65 | 22,355.69 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,146.95 | 17,387.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,395.85 | 51,481.09 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.15 | 33.15 | 33.65 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.78 | 32.78 | 33.28 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.94 | 30.94 | 31.44 | 30.94 | 30.94 | – | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.29 | 29.29 | – | – | – | – | – | – | – | 29.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.74 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.74 |
เบนซิน 95 | 41.44 | – | – | – | 49.81 | – | 41.94 | 41.59 | – | 41.44 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |
วิกฤติเชื่อมั่นทุบเศรษฐกิจฉุดอสังหาฯ‘ติดหล่ม’ เร่งรื้อกลไก ปรับโมเดล อัดยาแรงฟื้นตลาด แนะรัฐใช้มาตรการรัดกุม ทั้งระยะสั้น ระยะยาวเรียกศรัทธากระตุ้นเศรษฐกิจ
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลถือเป็นหัวใจสำคัญ! หากขาดไป หรือ หากรัฐบาลถูกตั้งคำถามมากมายถึงการขับเคลื่อนนโยบาย งบประมาณ ศรัทธาที่สั่นคลอนลุกลามอาจนำไปสู่จุดเปราะบางทางการเมือง ส่งผลกระทบขยายวงกว้าง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนต้องแตะเบรก!
“เมื่อความเชื่อมั่นรัฐบาลหายไป เศรษฐกิจและการลงทุนก็ติดเบรก รัฐต้องใช้มาตรการรัดกุม ทั้งระยะสั้น ระยะยาว เพื่อเรียกศรัทธาประชาชนและหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัว”
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย “ติดหล่ม!” เมื่อเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทำให้คนไม่จับจ่าย แม้จะยังมีรายได้ แต่ก็ “ชะลอ”การตัดสินใจซื้อ
จะเห็นว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ไตรมาส 1/2568 ลดลง 10.5% เหลือ 65,276 หน่วย มูลค่าหาย 13% เหลือ 181,545 ล้านบาท เลวร้ายสุดในรอบ 8 ปี ขณะที่ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อบ้านลดลง 10% เหลือ 109,368 ล้านบาท สะท้อนความต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงทั่วประเทศ
ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวขึ้นกับ “มาตรการรัฐ” โดยทางออกระยะสั้นจำเป็นต้องใช้มาตรการ “ตัดไฟ” พร้อมอัดฉีดตลาด การปรับปรุงโครงการ “คุณสู้เราช่วย” ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยธนาคารและรัฐสนับสนุนภาระดอกเบี้ย/เงินต้น พร้อมเงื่อนไขลดส่วนแบ่งผู้กู้ จากปัจจุบันจ่าย 50% ลดลงเหลือ 25% น่าจะช่วยกระตุ้น
ถัดมาคือการตั้งกองทุนรวม “มอร์ทเกจ อินชัวรันซ์” (Mortgage Insurance Fund) เพื่อช่วยลดอัตราปฏิเสธสินเชื่อโดยการค้ำประกัน 10-20% ของวงเงินกู้แรกช่วยให้กลุ่มรายได้น้อยเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น
ขณะที่ยุทธศาสตร์ระยะยาวเสนอให้ใช้โมเดล “ธอส. โรงเรียนการเงิน” ให้กับผู้ฝากเงินที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะได้รับการันตีปล่อยกู้บ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นการส่งเสริมวินัยการเงินและสร้างต้นแบบที่ธนาคารพาณิชย์ควรนำไปใช้
ยกตัวอย่าง ถ้าซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท นำเงินไปฝากเดือนละ 16,500 บาท ครบ 1 ปี รับประกันว่าจะปล่อยกู้ให้แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องไม่ติดหนี้เครดิตบูโร นับเป็นโมเดลที่ดีในการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
“อยากให้ธนาคารพาณิชย์ศึกษาโมเดลนี้ และดำเนินการเช่นเดียวกัน เป็นการสร้างวินัยทางการเงินระดับภาคเอกชน”
อีกประเด็นสำคัญ การปรับกลไกอสังหาริมทรัพย์ในการผลิตตาม “การสั่งจอง” เพื่อให้ซัพพลายกับดีมานด์สมดุลกัน ตาม Escrow Account เป็นการค้ำประกันการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของคู่สัญญาเพื่อให้ผู้ประกอบการบ้านจัดสรรปรับโครงสร้างการผลิตใกล้เคียงกับคอนโดมิเนียม ที่ถูกธนาคารบังคับเรื่องยอดจอง 40% ขึ้นไป จึงจะปล่อยกู้เพื่อพัฒนาโครงการ
แนวคิดนี้ทำให้การเพิ่มซัพพลายด้วยการผลิตล่วงหน้าทำได้ยากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาโอเวอร์ซัพพลายจากปัจจุบันมีสินค้าค้างสต็อกที่อยู่อาศัย (บ้านและคอนโดมิเนียม) จำนวน 230,000 ยูนิต ทั่วประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลา 4.5 ปี ถึงดูดซับหมด
ด้าน ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจปีนี้ไม่ง่าย! โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต้องวางแผนรอบคอบกว่าที่เคย เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด จากความรุนแรงของสงครามในตะวันออกกลาง
โดยเฉพาะกรณีการปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งและวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพาการขนส่งและราคาวัตถุดิบอย่างสูง ความผันผวนนี้จึงส่งผลโดยตรงต่อ “ต้นทุนการพัฒนาโครงการ” ซึ่งยากจะควบคุมในช่วงเวลาเช่นนี้
ดังนั้นกลยุทธ์หลัก ดีเวลลอปเปอร์มุ่งเก็บเงินสด ชะลอเปิดโครงการใหม่ เน้นตลาดบนเพื่อรับมือกับภาวะไม่แน่นอน จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายเริ่มชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะในส่วนที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง พร้อมหันไปเร่งขายและโอนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเสริมกระแสเงินสด
“สภาพคล่องคือหัวใจในช่วงวิกฤติ ยิ่งต้นทุนสูง เรายิ่งต้องวางแผนการใช้เงินอย่างระมัดระวัง”
นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นการ “ปรับพอร์ต” จากคอนโดมิเนียมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และกลุ่มเป้าหมายที่ไร้กำลังซื้อ มาสู่การพัฒนา โครงการแนวราบระดับบน จับกลุ่มลูกค้าอำนาจซื้อสูง ได้รับผลกระทบน้อยจากดอกเบี้ยขาขึ้น
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอก ทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มปะทุจากประเด็นเขตแดน เพิ่มความกังวลเรื่องเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนตะวันออก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีบทบาทต่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง
เศรษฐกิจไทยวันนี้ถูกขยี้ด้วย “ความไม่เชื่อใจ” จากระบบการเมืองที่ไม่ชัดเจน ประเด็นหลักไม่ใช่แค่ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ หรือตัวเลข GDP แต่ วิกฤติศรัทธารัฐบาล! ที่สั่นคลอน จึงต้องใช้ทั้งมาตรการยาแรงในระยะสั้น และปรับโครงสร้างใหม่ในระยะยาว เร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืน ทั้งมิติเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ก่อนจะสายเกินแก้ไข
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
การเลือกซื้อคอนโดเพื่อการลงทุนและให้ผลตอบแทนที่ดี จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย และขายต่อได้กำไรในอนาคต โดยมีแนวทางที่ควรพิจารณาดังนี้
1. ทำเลที่ตั้ง (Location is King)
2. ราคาซื้อ & ศักยภาพการเติบโต
3. อัตราผลตอบแทน (Rental Yield)
4. ลักษณะของห้อง
5. โครงการและผู้พัฒนา
6. ค่าบริหารจัดการและค่าส่วนกลาง
7. ความสามารถในการขายต่อ (Resale Potential)
8. ข้อกฎหมายและภาษี
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็ทยอยอ่อนค่าลง ส่วนราคาทองคำก็มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างจากโซนแนวรับ
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากในฝั่งตลาดการเงินไทย บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง แถวโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือระดับแข็งค่ากว่านั้นเล็กน้อย ในช่วงปลายเดือน ซึ่งอาจตรงข้ามกับโฟลว์ธุรกรรมของบรรดาบริษัทเอกชนในต่างประเทศ ที่ช่วงนี้เป็นฝั่งการทยอยขายเงินดอลลาร์ (Net USD Selling)
และเห็นการทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Ratio) จากบรรดาผู้เล่นในตลาดมากขึ้น (ทั้งฝั่งนักลงทุนและบริษัทเอกชน) โดยหากเงินบาทสามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อทดสอบโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่า อาจเป็นโซนแนวรับที่แข็งแกร่งพอควรในระยะสั้น
โดยเฉพาะในช่วงนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดมากพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งต่างจากคาดการณ์ดอกเบี้ยของเฟด หรือ Dot Plot (รวมถึง มุมมองของเราพอควร)
ทำให้เรามองว่า มีความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก หากผ่านช่วงโฟลว์ธุรกรรมปลายเดือนที่เป็นฝั่งขายเงินดอลลาร์สุทธิ แล้วรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาดบ้าง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจกลับมากดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินบาทได้ในช่วงที่เข้าใกล้กำหนดพักการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเราคาดว่า สุดท้าย รัฐบาลสหรัฐฯ อาจขยายเวลาไปก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าได้
และแม้ว่าเงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราจะกลับมาเชื่อว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.67 บาทต่อดอลลาร์)
หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาจากทั้งโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ในฝั่งของบรรดาบริษัทเอกชน (จากการสำรวจของนักวิเคราะห์หลายๆ ที่) ในช่วงปลายเดือน รวมถึงการทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเตรียมเสนอรายชื่อประธานเฟดคนใหม่ภายในช่วง Summer ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า “ว่าที่” ประธานเฟดคนใหม่ อาจมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน และแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia +4.3%
ทว่า รายงานยอดขายของ Tesla ในยุโรปที่ดิ่งลงกว่าคาด ก็มีส่วนกดดันให้ราคาหุ้น Tesla ดิ่งลงกว่า -3.8% กดดันตลาดโดยรวมเช่นกัน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.74% แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทยอยคลี่คลายลง ทว่าผู้เล่นในตลาดก็เริ่มกลับมากังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังเข้าใกล้กำหนดครบการพักเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป หลังการรีบาวด์ในช่วงระยะสั้นล่าสุด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศของตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.28%
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะจำกัดลง หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราก็มองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร
และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%) ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์โดยสุทธิของบรรดาบริษัทเอกชน ในช่วงปลายเดือน
นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดให้โอกาสราว 55%) ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 97.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.4-98.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะดูทยอยคลี่คลายลง ทว่าความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับเข้ามาช่วยหนุนความต้องการถือทองคำ กอปรกับ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีจังหวะปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง คาดการณ์ครั้งสุดท้ายของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025 ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนพฤษภาคม
และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในอนาคต
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.50-32.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.01 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง หลังปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงกล่าวในเชิงกดดันประธานเฟด และเตรียมที่จะเริ่มสรรหาประธานเฟดคนใหม่ในเดือนก.ย. หรือต.ค. นี้เพื่อมาแทนนายเจอโรม พาวเวลที่จะหมดวาระในปีหน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก
สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/68 (final) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย ยังคงครองมือ 1 ของโลก เป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน จากการประกาศอันดับโลกใหม่ของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา
โดยภายหลังจากที่ นักตบลูกขนไก่หนุ่มวัย 24 ปี เดินหน้าหยิบแชมป์ในปีนี้ได้ถึง 4 รายการ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025, แชมป์ เอเชีย แชมเปี้ยนชิพ 2025, แชมป์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 และล่าสุด สิงคโปร์ โอเพ่น 2025
ซึ่งทำให้ “วิว กุลวุฒิ” เก็บคะแนนเพิ่มมาได้อย่างต่อเนื่องจนสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักกีฬาแบดมินตันชายไทยคนแรกที่ก้าวขึ้นเป็นมือ 1 โลก เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ขณะที่ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น นักตบลูกขนไก่จากเดนมาร์ก สามารถทำแต้มแซง ฉี ยู่ฉี จากจีน ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของโลก ด้วยการมี 92,253 คะแนน
1. กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (ไทย) 97,179 คะแนน
2. แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น (เดนมาร์ก) 92,253 คะแนน
3. ฉี ยู่ฉี (จีน) 91,517 คะแนน
4. โจนาธาน คริสตี้ (อินโดนีเซีย) 80,614 คะแนน
5. หลี่ ชื่อเฟิง (จีน) 79,678 คะแนน
6. โจว เทียน เฉิน (ไต้หวัน) 78,979 คะแนน
7. โคได นาราโอกะ (ญี่ปุ่น) 73,204 คะแนน
8. อเล็กซ์ ลาเนียร์ (ฝรั่งเศส) 72,951 คะแนน
9. วิคเตอร์ อเซลเซ่น (เดนมาร์ก) 69,440 คะแนน
10. โลห์ เคียนยิว (สิงคโปร์) 66,719 คะแนน
สำหรับ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ได้รับการจับตามองนับตั้งแต่เป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าแชมป์เยาวชนโลกได้ 3 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์โลกประเภทชายเดี่ยวคนแรกของไทย รวมถึงหยิบเหรียญเงินในกีฬาโอลิมปิก 2024 ได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
หลายคนมักรู้สึกหนาวง่ายกว่าคนอื่น แม้อากาศไม่ได้หนาวมาก ซึ่งอาการขี้หนาว อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่างได้ บทความนี้จะพาไปดูสาเหตุที่ทำให้เป็นคนขี้หนาว และวิธีดูแลตัวเองให้ร่างกายอบอุ่นและสุขภาพแข็งแรง
ขี้หนาว คือ ภาวะที่รู้สึกหนาวง่ายกว่าคนทั่วไป อาจรู้สึกหนาวแม้อยู่ในอุณหภูมิห้องปกติ หรือเมื่ออยู่ในที่อากาศเย็นเพียงเล็กน้อย มักมีอาการมือเท้าเย็น หนาวสั่น และบางครั้งมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย
อาการขี้หนาว อาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่ถ้ามีอาการบ่อยและมากเกินไป ควรหาสาเหตุและดูแลตัวเองให้เหมาะสม ทั้งการปรับพฤติกรรม เลือกอาหารที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพหากจำเป็น เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและแข็งแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประโยคภาษาอังกฤษที่จำเป็นในการประชุมออนไลน์ มีดังต่อไปนี้
• Are we waiting for anyone else?
(อา วี เวท’ทิง ฟอร์ เอน’นีวัน เอลซฺ)
เราต้องรอใครอีกไหม
• Has Peter joined the meeting yet?
(แฮซ ปีเตอร์ จอย เดอะ มีททิง เยท)
เราต้องรอใครอีกไหม
• Are you on mute? (mute = no sound)
(อา ยู ออน มิวทฺ)
คุณปิดเสียงอยู่หรือเปล่า (ปิดเสียง = ไม่มีเสียง)
• Are you still there?
(อา ยู สทิล แธร์)
คุณยังอยู่หรือเปล่า?
• I can hear you but I can’t see you.
(ไอ แคน เฮียร์ ยู บัท ไอ คานท์ ซี ยู)
ฉันได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นหน้าคุณ
• Do you have an audio problem?
(ดู ยู แฮฟ แอน ออดีโอ พรอบเลิม)
คุณมีปัญหาเกี่ยวกับเสียงไหม?
• I am having trouble hearing you.
(ไอ แอม แฮฟวิง ทรัพเบิล เฮียริง ยู)
ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินคุณ
• Could you speak a little bit louder?
(เคอะดฺ ยู สปีค อะ ลิตเทิล บิท ลาวเดอร์)
ช่วยพูดดังขึ้นอีกนิดได้ไหม
• Sorry, can you say that again? I can’t hear you clearly.
(ซอรี แคน ยู เซย์ แธด อะเกน ไอ คานท์ เฮีย ยู เคลียร์ลี)
ขอโทษที ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม ฉันได้ยินไม่ชัด
• I think I may have a problem with the connection.
(ไอ ธิงค์ ไอ เมย์ แฮฟ อะ พรอบ’เลิม วิธ เดอะ คอนเนคเชิน)
ฉันน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
โลกของ AI ใกล้ตัวมากขึ้นทุกทีเพราะทุกวันนี้เชื่อว่าหลายคนก็นำ AI มาทำงานไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งเป็น Generative AI ช่วยคิดเรื่องต่างๆ แต่เมื่อมีนักวิัจัยจาก MIT เผยว่า ใช้เยอะๆ ระวังจะทำให้สมองเสื่อม เรื่องนี้จริงหรือไม่วันนี้ เรามาหาคำตอบกัน
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เริ่มศึกษาผลกระทบทางปัญญา (Cognitive Cost) ของการใช้ AI ซึ่งจุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสิ่งที่งานวิจัยค้นพบ แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับความเข้าใจผิด พร้อมเสนอแนวทางการใช้ AI อย่างไรให้เป็นคุณ ไม่ใช่โทษ
งานวิจัยเบื้องต้นชิ้นหนึ่งได้ทำการทดลองที่น่าสนใจ โดยเปรียบเทียบการทำงานของสมองระหว่างกลุ่มคนที่เขียนเรียงความโดยใช้เครื่องมือต่างกัน 3 รูปแบบ และวัดผลด้วยคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)
ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ: กลุ่มที่ ใช้ AI (ChatGPT) มีรูปแบบการเชื่อมโยงของเครือข่ายประสาทในสมอง “อ่อนแอที่สุด” อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับอีกสองกลุ่มที่ต้องใช้ความคิดและประมวลผลข้อมูลด้วยตัวเองมากกว่า
พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อมี AI คอยช่วยเหลือ สมองของเราก็เหมือนกับ “ออกแรงน้อยลง” ในการทำงานชิ้นนั้นๆ นอกจากนี้ กลุ่มที่ใช้ AI ยังจดจำเนื้อหาที่ตัวเองเขียนได้น้อยกว่า และรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในงานชิ้นนั้นน้อยกว่าอีกด้วย
นี่คือประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนที่สุดครับ งานวิจัยนี้ ไม่ได้ชี้ว่าการใช้ AI ทำให้เกิดภาวะ “สมองเสื่อม” (Brain Degeneration) ซึ่งเป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึงการที่เซลล์สมองถูกทำลายหรือตายไปอย่างถาวรจากโรคภัยไข้เจ็บ
แต่สิ่งที่งานวิจัยค้นพบคือภาวะ “การมีส่วนร่วมทางปัญญาลดลง” (Reduced Cognitive Engagement)
ถ้าพูดให้เห็นภาพมากขึ้นเช่นการใช้เครื่องคิดเลขเพื่อหาผลลัพธ์ที่ซับซ้อน ไม่ได้ทำให้สมองส่วนคำนวณของคุณ “เสื่อม” แต่มันทำให้คุณไม่ได้ “ฝึก” ทักษะการคิดเลขในใจหรือการทดเลขด้วยตัวเอง หากทำบ่อยๆ ทักษะการคำนวณของคุณก็อาจจะลดลงได้ฉันใด การพึ่งพา AI ให้คิดแทนทั้งหมด ก็อาจทำให้ “กล้ามเนื้อสมอง” ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ การเรียบเรียง และการสร้างสรรค์ ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ฉันนั้น
สิ่งสำคัญคือต้องมองผลลัพธ์นี้อย่างรอบด้าน โดยผู้วิจัยเองก็ได้ย้ำถึงข้อจำกัดสำคัญไว้หลายประการไม่ว่าจะเป็น
แทนที่จะกังวลจนไม่กล้าใช้ เราควรเปลี่ยนมุมมองมาเป็นการเรียนรู้ที่จะ “ใช้งานอย่างชาญฉลาด” เพื่อดึงศักยภาพของ AI มาส่งเสริมทักษะของเรา แทนที่จะให้มันมาลดทอนความสามารถ
ดังนั้นในคำถามที่ว่า “ใช้ ChatGPT บ่อยๆ แล้วสมองเสื่อมจริงหรือ?” คือ ไม่จริง ในความหมายทางการแพทย์ แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือความเสี่ยงที่จะเกิด “ภาวะสมองขี้เกียจ” หรือการถดถอยของทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หากเราพึ่งพามันมากเกินไปโดยไม่ใช้ความคิดของตัวเองเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry) ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะแวดวงผู้รักสุขภาพในบ้านเรา ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเบอร์รี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ
เอลเดอร์เบอร์รี่ เป็นผลเบอร์รี่ขนาดเล็กสีม่วงเข้ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sambucus nigra เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในยุโรป และแอฟริกาทางตอนเหนือ ในหลายประเทศในแถบยุโรปมักนำดอกเอลเดอร์เบอร์รี่มาทำเป็นน้ำเชื่อมเพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารเช้า รวมทั้งนำผลมาทำเป็นเครื่องดื่ม ไวน์ แยม น้ำผลไม้
เอลเดอร์เบอร์รี่ ถือเป็นพืชมหัศจรรย์ตระกูลเบอร์รี่เลยก็ว่าได้ ซึ่งในเม็ดเล็กที่เราเห็นกันนั้น มีสารหลากหลายที่เป็นคุณประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ
สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและด้วยสารนานาชนิดที่อยู่ในผลเอลเดอร์เบอร์รี่ จึงทำให้วงการแพทย์สกัดสารต่างๆ ในเบอร์รี่ชนิดนี้มาใช้เป็นยาต้านหรือยับยั้งเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น
และสำหรับในแวดวงสุขภาพได้นิยมรับประทานมากขึ้นเพราะ เอลเดอร์เบอร์รี่มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงสายตา ที่สำคัญเพิ่มภูมิคุ้มกัน และด้วยคุณประโยชน์มากมาย ทำให้คนยุโรปมีความเชื่อว่า เอลเดอร์เบอร์รี่คือยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย
เอลเดอร์เบอร์รี่ดิบอาจพบสารพิษที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ดังนั้นจึงควรนำมาปรุงให้สุกผ่านความร้อนก่อนกิน โดยสามารถนำมาทำเป็นแยม เป็นไส้ในขนมปังต่างๆ ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,150.00 | 51,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,307.00 | 50,134.12 | 52,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,976.30 | 45,120.71 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,645.60 | 40,107.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,488.15 | 22,560.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,157.45 | 17,546.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,426.94 | 51,952.41 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.15 | 33.15 | 33.65 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.78 | 32.78 | 33.28 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 | 32.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.94 | 30.94 | 31.44 | 30.94 | 30.94 | – | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.29 | 29.29 | – | – | – | – | – | – | – | 29.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.74 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.74 |
เบนซิน 95 | 41.44 | – | – | – | 49.81 | – | 41.94 | 41.59 | – | 41.44 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |
แสนสิริเผยคอนโดมิเนียมในพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) โตแรง แนะ 5 ทำเลศักยภาพ น่าจับตาทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุน รับผลตอบแทนรวมสูงถึง 21% ภายใน 3 ปี
รเติบโตของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันตลาดที่อยู่อาศัยในภูมิภาคให้ขยายตัวแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ “คอนโดมิเนียม” ซึ่งตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริงและนักลงทุนที่ต้องการปล่อยเช่าในทำเลที่มีดีมานด์สูงอย่างต่อเนื่อง
“การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงานในพื้นที่ ทำให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยเติบโตจริง ไม่ใช่เพียงแค่ speculative demand”
องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมใน EEC โดยเฉพาะในจังหวัดยุทธศาสตร์ ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากหลายกลุ่มเป้าหมาย ทั้งแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม นักศึกษา รวมถึงกลุ่มผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลคุณภาพที่เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยมีผลตอบแทนรวมจากการปล่อยเช่าและมูลค่าทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 21% ภายในระยะเวลา 3 ปี
อันดับ 1 บางแสน ทำเลริมทะเลที่มาพร้อมแหล่งไลฟ์สไตล์ คาเฟ่ และร้านอาหาร ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในโซนอมตะและศรีราชา ชูจุดขาย “คุณภาพชีวิตใกล้ทะเล” ในราคาที่เอื้อมถึง
อันดับ 2 ศรีราชา ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการศึกษา มีท่าเรือแหลมฉบัง และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ครบทั้งระบบขนส่ง การแพทย์ และไลฟ์สไตล์ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคต นักลงทุนให้ความสนใจสูงอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 3 อมตะ ทำเลใกล้นิคมอุตสาหกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศ มีฐานลูกค้าเป็นพนักงานบริษัทระดับโลก เช่น Bridgestone และ Mitsubishi Electric คอนโดในพื้นที่มีความต้องการสูง จากความสะดวกในการเดินทางไปทำงานภายใน 5–10 นาที
อันดับ 4 โพธิสาร (พัทยาเหนือ) จุดยุทธศาสตร์ใหม่ของพัทยา เชื่อมต่อแหล่งงาน แหล่งท่องเที่ยว และโครงข่ายคมนาคม เหมาะสำหรับการลงทุนปล่อยเช่า จากดีมานด์แรงของพนักงานโรงแรม–บริษัท และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเร็ว
“โครงการเวย์ โพธิ์สาร ปิดการขายใน 6 เดือน สะท้อนดีมานด์แท้จริงในพื้นที่นี้”
อันดับ 5 บ้านโพธิ์ ทำเลศักยภาพใกล้กรุงเทพฯ ติดนิคมฯ ฉะเชิงเทรา และเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ราคายังจับต้องได้ เหมาะกับผู้ที่ทำงานในพื้นที่และนักลงทุนที่มองหากำไรจากต้นทุนที่ยังไม่สูง
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก และสนามบินอู่ตะเภา กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าทำเล EEC ให้กลายเป็น New Economic City ของประเทศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าที่อยู่อาศัยในระยะยาว
“EEC เป็นโอกาสทองสำหรับทั้งกลุ่มอยู่อาศัยจริง และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนยั่งยืนจากสินทรัพย์อสังหาด้วยราคาที่เริ่มต้น 699,000 บาท ในบางโครงการ พร้อมรับประกันผลตอบแทนในบางทำเล จึงทำให้คอนโดใน EEC กลายเป็นสมรภูมิใหม่ของผู้ซื้อและนักลงทุนที่ไม่ควรพลาด”
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ REIC เรื่องของที่อยู่อาศัยในทำเล EEC ที่คาดการณ์ว่ายอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่าเป็น 400 บาทต่อวัน ในกรุงเทพมหานครและบางกิจการในต่างจังหวัด เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ส่งผลดีต่อผู้ใช้แรงงาน แต่ในทางตรงกันข้ามมีผลกระทบต่อต้นทุน ภาคธุรกิจท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน หลายสถานการณ์รุมเร้า และนำไปสู่เสียงคัดค้านเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่แน่ชัดว่าจะเลื่อนการบังคับใช้ออกไปหรือไม่
ปรับค่าแรงกระทบอสังหาฯ-ก่อสร้าง
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นับว่าเป็นนโยบายที่มีเจตนาดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน แต่ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมากอย่างค่าแรงขั้นตํ่าในกรุงเทพมหานคร ปรับขึ้น 28 บาท จาก 372 บาทเป็น 400 บาท เท่ากับ 7.5% ส่งผลให้ ค่าก่อสร้างบ้าน ต้นทุนเพิ่ม ขึ้นประมาณ 2.25% (จากสัดส่วนค่าวัสดุ 70% ค่าแรง 30%) ซึ่งจะมีผลกับโครงการเดิมซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือโครงการที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568นี้เป็นต้นไป
หากมองให้ลึกลงไป จะกระทบโครงการระดับกลางและล่างซึ่งกำหนดราคาขายอย่างจำกัด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และอาจทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ หรือทำให้ที่อยู่อาศัยระดับราคากลางล่างต้องขยับไกลออกไปจากศูนย์กลางกรุงเทพมหานครเนื่องจากต้องหาที่ดินที่ราคาตํ่าลงเพื่อชดเชยต้นทุนการก่อสร้างนี้ ขณะการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามการปรับค่าแรงเฉพาะกรุงเทพมหานครอาจดึงแรงงานจากต่างจังหวัดเข้าสู่เมืองหลวง เกิดการขาดแคลนแรงงานในภูมิภาค และทำให้ต้นทุนก่อสร้างในจังหวัดอื่นพุ่งขึ้นตาม
แนะออกมาตรการรองรับ-ปรับตามทักษะ
ดังนั้น จึงควรมีมาตรการรองรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเช่น
1.การลดภาษีธุรกิจเฉพาะชั่วคราว หรือขยายระยะเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน/จดจำนอง เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการและผู้ซื้อ
2.เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาปรับตัว ควรใช้แนวทางปรับเป็นช่วงเวลา เช่น ปรับขึ้นครึ่งหนึ่งก่อนในไตรมาส 3 และอีกครึ่งในต้นปีถัดไป
นอกจากนี้รัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปและเทคโนโลยีลดใช้แรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งแรงงานมาก เร่งแก้ไขปัญหาอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อธนาคารแก่ลูกค้ารายย่อย หรือ เร่งออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ
เช่น การเพิ่มตัวเลขมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อบ้าน หรือสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อรักษาความต้องการซื้อไม่ให้ชะลอตัวลง รวมถึงการจัดโครงสร้างค่าแรงอย่างเป็นระบบ เช่น ให้มีการจัดทำโครงสร้างค่าจ้างแบบมีตัวแปรตามทักษะ (Skill-based wage) และตามภูมิภาค โดยไม่ใช่แบบอัตราเดียวทั่วประเทศ แรงงานไทยที่มีทักษะบ้างแล้วจึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่ มิฉะนั้นการขึ้นค่าแรงแต่ละครั้งแรงงานต่างด้าวจะได้รับประโยชน์เป็นส่วนใหญ่
นายสุนทร สรุปว่าเป็นแนวคิดที่ดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานไทยอย่างยั่งยืน แต่การปรับค่าแรงควรอยู่บนพื้นฐานของความสามารถในการรองรับของธุรกิจ และควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือเพื่อรักษาสมดุลของระบบเศรษฐกิจด้วย
ก่อสร้าง-โรงงาน-เอสเอ็มอีเสี่ยง
เช่นเดียวกับนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยมองว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าในกรุงเทพมหานคร400บาทต่อวัน แน่นอนว่าจะมีผลกระทบโดยรวมกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ ธุรกิจเอ็นเอ็มอี โรงงานอุตสาหกรรมที่อาจต้องปิดตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังนั้นทางออกเดียวคือผู้ประกอบการต้องลดต้นทุนลง
นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่าภาคก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาทในกรุงเทพมหานคร และกิจกรรมบางจังหวัด ในขณะโครงการเอกชน และภาครัฐลดลง ที่สำคัญสถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อผู้ประกอบการเอ็สเอ็มอี อาจต้องปิดตัวลงทางออกรัฐต้องเข้ามาสนับสนุนทั้งมาตรการช่วยเหลือและให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ
สอดคล้องกับ นายสุรเชษฐ์ กองชีพหัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของบริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด ระบุว่า วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นตํ่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นวันละ 400 บาท และจังหวัดอื่นขึ้นค่าแรง 400 บาท สำหรับคนที่ทำงานในกลุ่มอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการโรงแรมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในภาคการทำงานที่รับค่าแรงขั้นตํ่า โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
ในทางกลับกันก็กลายเป็นการเพิ่มภาระหรือรายจ่ายประจำกับกลุ่มของนายจ้างโดยโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก แต่ยังดีที่การปรับขึ้นครั้งนี้ยังจำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพมหานคร แต่ก็อาจจะกลายเป็นการดึงดูดแรงงานจำนวนมากให้เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนายจ้างที่ได้รับผลกระทบ
คือ กลุ่มของนายจ้างที่เป็นเจ้าของกิจการขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะกำลังอยู่ในช่วงที่รายได้ไม่เพียงพอ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อเจอกับเรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีการจ้างงานเพิ่มเติม หรืออาจจะมีการพิจารณาถึงแนวทางในการจัดการปัญหาเรื่องการจ้างงานของพวกเขาใหม่ เนื่องจากไม่อยากแบกภาระต้นทุนเรื่องค่าจ้างมากเกินไป แม้ว่าการปรับเพิ่มขึ้นครั้งนี้ในมุมมองของกระทรวงแรงงานอาจจะมองว่าเป็นการปรับเพิ่มเพียง 28 บาทสำหรับในกรุงเทพมหานคร เพราะจากปี 2567 อยู่ที่ 372 บาทต่อวัน แต่ถ้ามีลูกจ้างหรือคนงานที่ได้รับค่าแรงขั้นตํ่าอยู่หลายคนก็เพิ่มขึ้นวันละไม่น้อยเลย
แรงงานภาคบริการ ได้อานิสงส์
สำหรับจังหวัดอื่นๆ นอกกรุงเทพ มหานครกลุ่มคนที่ทำงานในโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ จึงจะได้ค่าแรงวันละ 400 บาท ซึ่งอาจจะถือว่าได้เพิ่มขึ้นมากในบางจังหวัดสำหรับคนที่ทำงานในกิจการที่ได้รับอานิสงส์ครั้งนี้ เพราะถ้าทำงานในจังหวัดทางภาคกลาง อีสาน ตะวันตก ใต้ เหนือที่ไม่ใช่จังหวัดใหญ่อาจจะได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นวันละ 40-60 บาทแล้วแต่จังหวัด แต่คนที่งานในภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และเกาะสมุยอาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เพราะได้ 400 บาทต่อวันอยู่แล้ว
คนที่ได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นย่อมยินดี ผู้ประกอบการที่ไม่เคยจ่ายค่าแรงวันละ 400 บาทมาก่อนก็อาจจะต้องพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากขึ้น เพราะธุรกิจการท่องเที่ยว ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้สร้างรายได้มากมายเท่าใดเนื่องจากปัจจัยลบหลายอย่างมีผลต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น และช่วงที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนหายไป การปรับขึ้นค่าแรง 400 บาทในธุรกิจนี้อาจจะมีผลต่อหลายโรงแรมที่มีปัญหาการเงินอยู่แล้ว อาจจะมีการลดคนหรือเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานเป็นแบบอื่น เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าแรงขั้นตํ่าวันละ 400 บาท
แรงงานไทยในกทม.ค่าแรงเกิน 400
ขณะที่นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) มองว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาทต่อวันในกรุงเทพมหานครไม่กระทบต้นทุนผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่มีค่าแรงที่สูงกว่า 400 บาทต่อวันไปแล้วโดยเฉพาะคนไทย
แม้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของปากท้องแต่หากธุรกิจรับมือไม่ไหวผลกระทบที่วนกลับมาคือการเลิกจ้างแรงงาน!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25มิ.ย.2568 ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.67 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยมีโซนแนวรับ 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนโซนแนวต้านก็อาจอยู่ในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย
โดยในกรณีที่ กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ เรามองว่า เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน
แต่หาก กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด ทว่ากลับส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย (ซึ่งโอกาสเกิดน้อย) คล้ายกับท่าทีของเฟด เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติตัดสินใจขายทำกำไรสถานะลงทุนในบอนด์ โดยเฉพาะในส่วนของบอนด์ระยะยาวของไทย เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.25% ได้ ภายในปีหน้า
ส่วนในกรณีที่ กนง. ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาด พร้อมส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม ซึ่งเรามองว่า ก็มีโอกาสที่จะเกิดได้ ในกรณีนี้ แม้ว่าท่าทีของ กนง. จะดู Dovish ทว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ต่ำกว่า 1.25% ซึ่งอาจเห็นแรงซื้อบอนด์ไทยเพิ่มเติมได้ ทำให้ เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่า และมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แม้ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาดก็ตาม
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในกรอบ Sideways ไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรีบาวด์สูงขึ้นจากโซนแนวรับของราคาทองคำ (XAUUSD) แถว 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าการเคลื่อนไหวโดยรวมของเงินบาทยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ที่จะรับรู้ในช่วงราว 14.00 น. ของวันพุธ 25 มิถุนายน นี้
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทว่าพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางดังกล่าว ได้กดดันให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงหนัก อาทิ Exxon Mobil -3.0% ตามการปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.11%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +1.11% หนุนโดยสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงแรงของราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ Shell -3.5%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell จะยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด เช่นเดียวกันกับบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด
อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ก็มีส่วนหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.29%
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง
จากท่าทีของทั้งประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ที่ยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อลงเล็กน้อย สู่ระดับ 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้บรรดาผู้เล่นในตลาดจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนแนวรับระยะสั้น หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,340-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราประเมินว่า ในการประชุมครั้งนี้ กนง. อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ อย่าง การเมืองในประเทศ อีกทั้งการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงเผชิญความไม่แน่นอนสูง อาจทำให้ประสิทธิผลของนโยบายการเงินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจไทย อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า กนง. มีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 1.25% ได้ภายในปีหน้า
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสโดยประธานเฟด Jerome Powell ทั้งนี้ แม้ว่าประธานเฟดจะยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ในการแถลงต่อคณะกรรมาธิการในวันก่อน
ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 40% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า คาดการณ์หรือ Dot Plot ของเฟดล่าสุด
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.59-32.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.04 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงอ่อนแอลง แม้ว่า ประธานเฟดยังคงกล่าวย้ำในถ้อยแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่า เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย เนื่องจากยังคงถูกกดดันจากข่าวการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม กนง. ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สาม กลุ่ม 8 ที่เมืองอาร์ลิงตัน สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568
โดย “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” ที่ลงเล่นครบในสองสัปดาห์ มีผลงานชนะ 1 และแพ้ 7 นัด มีเพียง 5 คะแนน อยู่อันดับที่ 16 ของตารางคะแนนรวม
ซึ่งในสัปดาห์ที่สอง ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย จะอยู่ในกลุ่ม 8 ร่วมกับ สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, สาธารณรัฐโดมินิกัน และ แคนาดา
วันที่ 10 กรกฎาคม 2568
วันที่ 11 กรกฎาคม 2568
วันที่ 12 กรกฎาคม 2568
วันที่ 14 กรกฎาคม 2568
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กลิ่นเป็นมากกว่าความหอม เพราะมันสามารถพาเราย้อนกลับไปในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นอาหาร หรือแม้กระทั่งกลิ่นฝนแรก ล้วนปลุกภาพความทรงจำเก่า ๆ ให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง แล้ว ทำไมกลิ่นถึงมีผลต่อความทรงจำ ได้มากขนาดนี้?
กลิ่นที่เราสัมผัสไม่ได้ถูกประมวลผลแบบเดียวกับภาพหรือเสียง สมองส่วนที่รับกลิ่น (Olfactory bulb) จะเชื่อมต่อโดยตรงกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) และอะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเก็บข้อมูลความทรงจำและอารมณ์ ความใกล้ชิดของโครงสร้างสมองนี้ ทำให้กลิ่นสามารถกระตุ้นความทรงจำและอารมณ์ได้รวดเร็วและลึกซึ้งกว่าประสาทสัมผัสอื่น
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณได้กลิ่นน้ำหอมแล้วนึกถึงคนรักเก่า หรือกลิ่นขนมอบแล้วย้อนคิดถึงวัยเด็กในบ้านคุณยาย กลิ่นเหล่านี้มักทำหน้าที่เป็น “ตัวกระตุ้นความทรงจำ” (Proustian memory) ที่พาเรากลับไปยังเหตุการณ์เดิมได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำที่มาพร้อมอารมณ์ เช่น ความรัก ความคิดถึง หรือความโหยหา
กลิ่นไม่ได้มีไว้เพียงให้รับรู้ความหอมเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางประสาทวิทยาที่ทรงพลังที่สุดในการกระตุ้นความทรงจำของมนุษย์ หากคุณอยากสร้างความประทับใจระยะยาว การเลือกกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษกลายเป็นพื้นฐานและทักษะสำคัญในการทำงาน หลายบริษัทที่มีทั้งชาวไทยและต่างชาติ เมื่อจะติดต่อกันผ่านอีเมลก็เลือกส่งอีเมลภาษาอังกฤษเป็นหลัก คนทำงานจึงต้อง เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง แม้ว่าการใช้ไวยากรณ์หรือ Grammar และการรู้คำศัพท์จะเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสาร แต่อีกหนึ่งเรื่องที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ควรใส่ใจไม่แพ้กันคือ สำนวนภาษาอังกฤษ หรือ Idiom เพื่อให้เข้าใจเจ้าของภาษาได้มากขึ้น
บางคนอาจคิดว่า เรียนภาษาอังกฤษ แค่เรื่องคำศัพท์และ Grammar อย่างเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้ารู้สำนวนด้วยจะทำให้เรามีวิธีพูดเรื่องเดียวกันได้อย่างหลากหลาย และสิ่งสำคัญนอกเหนือจากนั้นก็คือความเข้าใจ เพราะสำนวนคือสิ่งที่เจ้าของภาษาใช้ในชีวิตประจำวันพอ ๆ กับคำศัพท์ทั่วไป รวมถึงบางครั้งการสื่อสารด้วยสำนวนก็ให้ภาพที่ชัดเจนกว่า ถ้าอยากเข้าใจเจ้าของภาษา ก็จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องนี้
ความหมาย: สถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ตัวอย่าง: This deal is a win-win situation. The client gets what they need, and we gain a long-term partner.
(สถานการณ์นี้สองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการ ส่วนเราก็ได้พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจในระยะยาว)
ความหมาย: ทำงานหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เสร็จทันเวลา
ตัวอย่าง:
We managed to beat the clock and submitted the report just before the deadline.
(เราจัดการทำรีพอร์ตและส่งทันก่อนกำหนดเส้นตายพอดี)
ความหมาย: สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังหรือไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
ตัวอย่าง:
A lot of planning goes on behind the scenes before a product launch.
(มีแผนหลายอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหลังก่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์)
ความหมาย: เกิดขึ้นแบบลับ ๆ หรือเป็นการประชุมส่วนตัว
ตัวอย่าง:
The board made the decision behind closed doors without consulting anyone.
(คณะกรรมการตัดสินใจเรื่องนี้เองโดยไม่ได้ปรึกษาใคร)
ความหมาย: พูดหรือทำอะไรอย่างตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม อีกสำนวนหนึ่งที่มีความหมายใกล้เคียงกันคือ Cut to the chase
ตัวอย่าง:
Let’s get straight to the point—we need to reduce our expenses this quarter.
(เข้าเรื่องเลยนะ … ไตรมาสนี้พวกเราต้องลดค่าใช้จ่าย)
ความหมาย: เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ เพราะแผนเดิมไม่ได้ผล อีกหนึ่งสำนวนที่มีความหมายใกล้เคียงกันคือ from scratch
ตัวอย่าง:
The proposal was rejected. It’s time to go back to the drawing board.
(ข้อเสนอถูกปฏิเสธ ตอนนี้พวกเราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด)
ความหมาย: กล่าวสรุปโดยย่อ
ตัวอย่าง:
In a nutshell, our goal is to increase market share by 15% in the next year.
(สรุปว่าปีหน้าเราจะต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 15%)
ความหมาย: โปรเจกต์หรือสถานการณ์ที่ซับซ้อน มีหลายองค์ประกอบ
ตัวอย่าง:
This campaign has lots of moving parts, so we need a detailed plan.
(โครงการนี้มีหลายส่วนประกอบเข้าด้วยกัน เราจึงจำเป็นต้องมีแผนซึ่งมีรายละเอียดชัดเจน)
ความหมาย: เข้าใจตรงกันหรือมีความเห็นสอดคล้องกัน
ตัวอย่าง:
Before we proceed, let’s make sure we’re all on the same page.
ก่อนไปต่อ เอาให้แน่ใจก่อนนะว่าเราเข้าใจตรงกัน
ความหมาย: คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ
ตัวอย่าง:
We need to think outside the box if we want to beat the competition.
(ถ้าอยากชนะการแข่งขัน พวกเราต้องคิดนอกกรอบ)
การรู้จักใช้สำนวนด้วยวิธี เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือเรียนผ่านคอร์สเรียนเพียงอย่างเดียวถือว่าดีแต่ยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งสำคัญคือต้องนำสำนวนนั้นไปใช้จริงได้ด้วย หรือต่อให้ไม่มีโอกาสได้ใช้จริง ก็ต้องมีโอกาสเห็นการใช้สำนวนจากแหล่งอื่น ทั้งหมดทำได้ด้วยเทคนิคการสร้างบทสนทนาขึ้นมาเอง รวมถึงการอ่านนิยาย ฟัง podcast หรือดูจากซีรีส์และคลิปวิดีโอต่าง ๆ แหล่งข้อมูลมีมากมาย การฝึกใช้สำนวนหรือเห็นการนำสำนวนไปใช้จึงไม่ใช่เรื่องยาก อีกทั้งเป็นเรื่องน่าสนุกอีกด้วย เพราะทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ทุกวันนี้ผู้บริหารในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ต่างมีโจทย์ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง…
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า 75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มากขึ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มีอยู่ราว 53%
จากรายงาน “Work Trend Index” ล่าสุดของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญว่า ในมุมของพนักงาน 88% บอกว่าทำอย่างเต็มที่แล้ว กระทั่งไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะจัดการหรือรับมือกับงานที่รับผิดชอบในมือส่วนค่าทั่วโลกอยู่ที่ราว 80%
จากสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 พบว่า คนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน
การแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม มากกว่านั้นราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน
ดังนั้นระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม ขณะที่การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI เป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก
ที่น่าสนใจพบด้วยว่า ผู้นำธุรกิจในไทยส่วนใหญ่มองว่า “เอเจนต์” คือหนทางขยายศักยภาพองค์กร โดย 68% ขององค์กรในไทยเริ่มต้น “ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI” แล้ว ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 46%
นอกจากนี้ 93% ของผู้นำไทยระบุว่า บริษัทของตนกำลังพิจารณา “เพิ่มบทบาทที่เน้น AI” ทั่วโลก 78% และ 90% ของผู้นำไทยมั่นใจว่าจะใช้ “แรงงานดิจิทัล” เพื่อขยายขีดความสามารถของบุคลากร ทั่วโลก 82%
กล่าวได้ว่า ผู้นำองค์กรไทยให้ความสำคัญกับการใช้ AI และแรงงานดิจิทัลมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเฉพาะการปรับกระบวนการให้เป็นอัตโนมัติ และการเตรียมเพิ่มตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับ AI
โดย 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ
สำหรับการบูรณาการ AI ในองค์กรไทย ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าองค์กรไทยจะเพิ่มบทบาทด้าน AI ทั้งด้านการฝึก การออกแบบ การจัดการ และการสร้างระบบอัตโนมัติ
โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบ่งเป็น 4 บทบาทสำคัญคือ การฝึกอบรมเอเจนต์ AI 56%, การออกแบบระบบใหม่โดยใช้ AI 51%, การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน 51% และการจัดการเอเจนต์ AI 46%
ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ “Frontier Firm” ไว้ดังนี้
ไมโครซอฟท์ เปิดโชว์เคส 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว
เอสซีบีเอกซ์ สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนการเงินและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า เอสซีบี เอกซ์ส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ขณะเดียวกันสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่มีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI
สำหรับ เอสซีจี เคมิคอลส์ ส่งเสริมให้พนักงานนำAIมาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร
สัญญา จินดาประเสริฐ ผู้อำนวยการสายงานดิจิทัลองค์กรบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ให้ความสำคัญกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น
ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า AI มีส่วนช่วยให้ก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน
ขณะเดียวกัน เปิดโอกาสให้สามารถวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ ทั้งยังช่วยให้นักกฎหมายทำงานได้เร็วขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ในยุคที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น อาหารจากธรรมชาติก็ได้รับความนิยมตามไปด้วย หนึ่งในวัตถุดิบที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในวงการโภชนาการคือ “เห็ดหอม” ซึ่งหลายคนอาจคุ้นชื่อแต่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีคุณค่าอย่างไร และทำไมจึงถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่ควรมีติดครัวไว้เสมอ
เห็ดหอม (Shiitake Mushroom) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lentinula edodes เป็นเห็ดที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะในจีนและญี่ปุ่น ลักษณะเด่นคือหมวกเห็ดสีน้ำตาลเข้ม เนื้อแน่น มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายทั้งแบบสดและแบบแห้ง เช่น ต้ม ซุป ผัด หรือตุ๋น
เห็ดหอมกับเห็ดชิตาเกะคือเห็ดชนิดเดียวกัน แต่เหตุผลที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันในไทยนั้น สะท้อนถึงแหล่งที่มาและบริบทของการใช้งาน
ในประเทศไทย ชื่อ “เห็ดหอม” เป็นชื่อที่ใช้กันมานานในครัวเรือนไทย โดยเฉพาะในอาหารจีนและอาหารไทย เช่น เห็ดหอมตุ๋นยาจีน หรือข้าวอบเห็ดหอม คำว่า “หอม” ในที่นี้ มาจากกลิ่นเฉพาะตัวของเห็ดชนิดนี้เมื่อผ่านการอบแห้งหรือปรุงสุก ซึ่งให้กลิ่นหอมเข้มข้นโดดเด่น จึงกลายเป็นชื่อสามัญที่คนไทยคุ้นเคย
ขณะที่ชื่อ “เห็ดชิตาเกะ (Shiitake)” เป็นชื่อในภาษาญี่ปุ่นที่นิยมใช้ในระดับสากล โดยเฉพาะในการตลาด การส่งออก หรือในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เข้ามาในไทยช่วงหลายปีหลัง ด้วยกระแสรักสุขภาพและวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยม ทำให้คนไทยเริ่มรู้จักคำว่า “ชิตาเกะ” มากขึ้น และมักใช้เรียกเห็ดหอมสดที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารแนวฟิวชัน เช่น เมนู “สเต็กเห็ดชิตาเกะ” หรือ “ซุปเห็ดชิตาเกะ”
เห็ดหอมอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ได้แก่
มีสารเบต้ากลูแคน (β-glucan) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยให้ร่างกายต้านทานโรคได้ดีขึ้น
สารอิริทาดีนีน (Eritadenine) ในเห็ดหอมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
งานวิจัยจาก University of Texas MD Anderson Cancer Center พบว่า เห็ดหอมมักใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งในประเทศจีนและญี่ปุ่น
ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และชะลอความเสื่อมของเซลล์
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทานอาหารมังสวิรัติหรือควบคุมน้ำหนัก
สารประกอบในเห็ดหอมมีคุณสมบัติในการต่อต้านกระบวนการออกซิเดชันภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ “กลิ่นตัวผู้สูงวัย” หรือที่เรียกว่า “กลิ่นแก่” จากสารโนเนนอล (2-Nonenal) เห็ดหอมช่วยลดการสะสมของสารนี้ และทำให้กลิ่นตัวลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานเป็นประจำ
เห็ดหอมจัดอยู่ในกลุ่ม “ซูเปอร์ฟู้ด” (Superfood) เพราะให้คุณค่าทางโภชนาการสูงแต่แคลอรีต่ำ อุดมด้วยสารอาหารที่มีหลักฐานวิจัยรองรับว่าส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ที่สำคัญคือ หาซื้อง่าย ปรุงง่าย และเข้ากับอาหารหลายรูปแบบ
เห็ดหอมไม่เพียงเพิ่มรสชาติให้อาหาร แต่ยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ทั้งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคเรื้อรัง และแม้แต่ช่วยลด “กลิ่นตัวผู้สูงอายุ” ได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากคุณกำลังมองหาอาหารที่ดีต่อทั้งร่างกายและคุณภาพชีวิตในระยะยาว เห็ดหอมคือคำตอบที่ไม่ควรมองข้าม
สุดท้ายไม่ว่าจะเรียกว่า “เห็ดหอม” หรือ “เห็ดชิตาเกะ” สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือประโยชน์อันหลากหลายของเห็ดชนิดนี้ที่ดีต่อทั้งร่างกายและคุณภาพชีวิต การมีเห็ดหอมติดครัวไว้ จึงเปรียบเสมือนมี “หมอยา” จากธรรมชาติที่ดูแลคุณได้ทุกวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,350.00 | 51,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,319.00 | 50,316.04 | 52,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,987.10 | 45,284.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,655.20 | 40,252.83 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,493.55 | 22,642.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,161.65 | 17,610.61 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,439.38 | 52,141.00 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.65 | 33.65 | 34.15 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.28 | 33.28 | 33.78 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.44 | 31.44 | 31.94 | 31.44 | 31.44 | – | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.79 | 29.79 | – | – | – | – | – | – | – | 29.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 42.24 |
เบนซิน 95 | 41.94 | – | – | – | 49.81 | – | 42.44 | 42.09 | – | 41.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
กลางมรสุมเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย “ชาญอิสสระ” เร่งปรับแผนธุรกิจ ผลักดันบ้านซูเปอร์ลักชัวรีเป็นหัวหอก! สู้ศึกอสังหาริมทรัพย์ภายใต้กลยุทธ์รัดเข็มขัด และเก็บเงินสด
ในโลกที่เศรษฐกิจไร้ทิศทางและแรงกดดันจากทั่วสารทิศ “สภาพคล่อง” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะยิ่งท้าทายกว่าช่วงที่ผ่านมา
“ตอนนี้ไทยหลังชนฝาแล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เราไม่มีทางรู้ว่าทางไหนจะประสบความสำเร็จ แต่ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ”
สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและมุมมองของผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งในและต่างประเทศ
จากปัจจัยเสี่ยงในระดับโลก ทั้งสงครามการค้า นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่และรุนแรงขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอ่อนแรง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวเริ่มชะลอ หนี้ครัวเรือนยังคงพุ่งสูง ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ เดินหน้าปรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง 2568 โดยเน้น “บริหารต้นทุน-เพิ่มสภาพคล่อง” และมุ่งเป้า “ตลาดบน” วิกฤติด้วยการโฟกัสในกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี ที่ยังมีแรงซื้อและกระแสเงินสดจริง
แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะชะลอตัว แต่กลุ่มบ้านหรูระดับราคา 80-150 ล้านบาทต่อยูนิต ยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเศรษฐีไทยและนักลงทุนต่างชาติ เช่น ชาวจีน และญี่ปุ่น ซึ่งนิยมซื้อแบบ Leasehold (สิทธิการเช่า 30 ปี) และมีพฤติกรรมการซื้อเงินสดถึง 50-60%
“กลุ่มนี้ไม่ได้ดูเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจ แต่เน้นทำเลและคุณภาพชีวิตเป็นหลัก”
สงกรานต์ กล่าวว่า สินค้าหลักที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้คือโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรีระดับราคา 130-150 ล้านบาท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวปลายปีนี้บนถนนกรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 40 ไร่ วางแผนพัฒนา 2 เฟส ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบเทรนด์การซื้อบ้านหรูเงินสดในทำเลต่างจังหวัด เช่น หัวหิน สะท้อนว่า ดีมานด์บ้านระดับบน ยังมีอยู่จริงแม้เศรษฐกิจชะลอตัว
จากสถานการณ์อึมครึม ทำให้แบรนด์อสังหาริมทรัพย์หลายรายจะเร่งปล่อยของ ลดราคา หรือทำโปรโมชันเพื่อเร่งยอดขาย แต่ “ชาญอิสสระ” กลับเลือกคัดโครงการที่ “ใช่” และประคอง “กระแสเงินสด” ให้มั่นคง ซึ่งอาจดูช้าในสายตาคู่แข่ง แต่สะท้อนวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยมบนพื้นฐานความเสี่ยงที่มองทะลุรอบเศรษฐกิจ
“ตอนนี้ต้องรัดกุมให้มากขึ้น เลือกโครงการที่มีโอกาสจริง และพยายามควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด”
ประเทศไทยต้อง “เล่าเรื่องใหม่” ให้โลกฟัง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคเอกชนปรับตัวได้เร็ว แต่ภาครัฐกลับยังไม่มีทิศทางการลงทุนที่ชัดเจน! โดย สงกรานต์ มองว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้าง “Story ใหม่” ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่างประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย ที่มีแรงงาน และค่าแรงถูกกว่าให้ได้
“วันนี้ไทยยังไม่มีอะไรดึงดูดเหมือน ‘อีสเทิร์นซีบอร์ด’ เมื่อ 30 ปีก่อน”
สงกรานต์ เสนอแนวคิดพัฒนาโครงการ คอคอดกระ เพื่อสร้างทางเลือกด้านโลจิสติกส์จากสิงคโปร์ ดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานผลิตเข้ามาประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งนโยบายเพิ่มสิทธิการเช่าที่ดินจาก 30 ปี เป็น 50 เพื่อดึงดูดการลงทุนในรูปแบบ leasehold
เสียงเตือนของสงกรานต์ ไม่ได้สะท้อนแค่ความกังวลต่อเศรษฐกิจ แต่ยังส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจในการกำหนดทิศทางประเทศว่า หากไทยไม่เริ่ม “กล้า” ที่จะเปลี่ยน! ไม่มีเรื่องเล่าใหม่ๆ ให้โลกฟัง อาจ “เสียโอกาส” ให้กับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างถาวร
สำหรับเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีการประเมิน GDP โตต่ำกว่า 2% ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก โรงแรม และ หนึ่งในนั้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเศรษฐกิจยังไร้ทิศทาง ธุรกิจที่อยู่รอดจึงไม่ใช่ผู้ที่เติบโตเร็วที่สุด แต่คือผู้ที่ “มีสภาพคล่องมากที่สุด” รู้จักเลือก “ตลาดที่ยังมีโอกาส” ซึ่งวันนี้ “บ้านซูเปอร์ลักชัวรี” คือคำตอบของ “ชาญอิสสระ” ท่ามกลางภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญการแข่งขันอย่างเข้มข้น เพื่อช่วงชิงโอกาสในการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
SCB ผนึกกำลัง SC Asset เสริมเขี้ยวเล็บวงการอสังหาฯ พรีเมียม เดินหน้าหนุน 17 โครงการบ้าน–คอนโดระดับหรู พร้อมเปิดตัว “SONLE RESIDENCES” มูลค่า 1,200 ล้าน รับตลาดบน
ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่ข้อได้เปรียบ แต่เป็น “รากฐาน” ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ล่าสุด ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้แสดงบทบาทดังกล่าวอย่างชัดเจน ด้วยการอนุมัติวงเงินรวมกว่า 17,600 ล้านบาท เพื่อสนับสนุน 17 โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมของ SC Asset ครอบคลุมทั้งโครงการที่เปิดขายแล้ว และโครงการใหม่ในอนาคต
“แม้เศรษฐกิจจะเผชิญความท้าทาย แต่กลุ่มลูกค้ามั่งคั่งยังคงต้องการสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุน” กฤษณ์ จันทโนทก
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์
ความร่วมมือครั้งนี้ประกอบด้วย
ไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว “SONLE RESIDENCES” บ้านเดี่ยวระดับอัลตราลักชัวรี ซึ่ง SC Asset เตรียมเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ ด้วย ราคาต่อยูนิตเริ่มต้น 260 ล้านบาท และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,200 ล้านบาท โดยวางตำแหน่งเป็น Flagship ประจำปี ที่สะท้อนความกล้าคิด กล้าทำ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดบ้านหรู
“SC Asset เป็นพันธมิตรที่เราร่วมงานมายาวนาน ด้วยวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกันในด้านความยั่งยืน คุณภาพ และนวัตกรรม”
การสนับสนุนครั้งนี้ครอบคลุมรูปแบบสินเชื่อ Pre-finance ที่ช่วยให้ SC Asset สามารถวางแผนพัฒนาและเปิดตัวโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของภาคอสังหาริมทรัพย์ในฐานะ “ฟันเฟือง” ของระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การกระจายรายได้ หรือการพัฒนาเมือง
เส้นทาง 22 ปี ที่เติบโตไปด้วยกัน
“SCB ไม่ใช่แค่สถาบันการเงิน แต่เป็นพันธมิตรที่เข้าใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของเราเสมอมา” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SC Asset
ความร่วมมือระหว่าง SCB และ SC Asset ดำเนินมาแล้วกว่า 22 ปี สนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการรวมกว่า 50 โครงการในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ และขยายไปถึงบริการด้านลูกค้าสัมพันธ์ แคมเปญสินเชื่อบ้าน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพได้ง่ายขึ้น
ในปี 2568 SC Asset ตั้งเป้าเปิดตัว 15 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 29,000 ล้านบาท ชูจุดแข็ง “ทำเล–นวัตกรรม–คุณภาพ” พร้อมเดินเกมรุกเจาะตลาดบนอย่างชัดเจน
SONLE RESIDENCES: มากกว่าแค่บ้าน…คือบทใหม่ของชีวิตหรู
โครงการ SONLE RESIDENCES ไม่ใช่แค่บ้านเดี่ยวราคา 260-400 ล้านบาท แต่เป็น “Statement” ที่สะท้อนถึงความเข้าใจในลูกค้ากลุ่มบน ซึ่งมองหาความแตกต่างเฉพาะตัวและประสบการณ์อยู่อาศัยที่เหนือระดับ
“เราต้องการสร้างบ้านที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็น ‘ที่ทาง’ สำหรับชีวิตที่มีความหมาย”
โครงการเรือธงนี้จะตอกย้ำภาพลักษณ์ SC Asset ในฐานะ ผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวพรีเมียม และแสดงให้เห็นถึงความกล้าคิด กล้าลงทุนในตลาดบน ซึ่งยังมีดีมานด์แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
แม้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่างจะยังชะลอตัวจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง แต่ในฝั่ง Luxury segment กลับยังคงมีศักยภาพสูง กลุ่มผู้ซื้อมีความพร้อมด้านการเงินและมองหาการลงทุนใน “สินทรัพย์มั่นคง” อย่างบ้านระดับอัลตราลักชัวรี ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ที่อยู่ แต่เป็นสินทรัพย์สะสมระยะยาว
การสนับสนุนของ SCB ต่อ SC Asset ครั้งนี้จึงสะท้อนถึงการวางกลยุทธ์เชิงรุกในตลาดที่ “แข็งแรงกว่าที่คิด” และตอกย้ำแนวโน้มว่า ธุรกิจอสังหาฯ ยังเป็นภาคที่มีศักยภาพสูงหากรู้จักเลือกจุดยืนที่ถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24มิ.ย.2568 ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.02 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้น เหนือความคาดหมายของเราไปพอสมควร
เนื่องจากเหตุผลหลักมาจากทั้งถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Michelle Bowman ซึ่งมักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish (ไม่รีบลดดอกเบี้ย) และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูจะคลี่คลายลงได้เร็ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น ทว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หลังราคาทองคำได้ย่อตัวลงเข้าใกล้โซนแนวรับ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอย Buy on Dip ทองคำได้ โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นในตลาดที่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ
อนึ่ง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม กอปรกับ สถานการณ์การเมืองไทยที่ดูจะวุ่นวายน้อยลง หลังบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลยังคงส่งสัญญาณพร้อมอยู่กับพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลต่อ ก็อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง
โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้น ที่ปรับตัวลดลงมาใกล้ระดับที่ตลาดการเงินเผชิญความเสี่ยงภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ของไทย ในวันพุธ 25 มิถุนายน นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.70-33.03 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด Michelle Bowman (Board of Governors) ที่มักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish ได้ให้ความเห็น อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคม (ซึ่งเรียกได้ว่า ความเห็นดังกล่าว มีความ Dovish พอสมควร เมื่อเทียบกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจาก Dot Plot ล่าสุด)
ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ เกิน 2 ครั้ง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูทยอยคลี่คลายลง หลังการโจมตีตอบโต้สหรัฐฯ จากอิหร่านไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล
อีกทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังได้ระบุว่า อิหร่านกับอิสราเอลได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวเข้าสู่โซนแนวรับของราคาทองคำ หลังไร้แรงหนุนจากปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk)
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากทั้งความหวังว่าเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด อย่าง Michelle Bowman รวมถึง แนวโน้มสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.96%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.28% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะท่าทีของอิหร่านในการตอบโต้การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ล่าสุด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการเดือนมิถุนายน ที่ออกมาแย่กว่าคาด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างเร็วสุดในการประชุมเดือน FOMC กรกฎาคม และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงทดสอบโซน 4.30% ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างสู่ระดับ 4.35% ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ
อนึ่ง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง แม้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันจาก ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกรกฎาคม
และบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-99.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็ถูกกดดันจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เริ่มทยอยคลี่คลายลง ลดความน่าสนใจในการถือครองทองคำ กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,360-3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสโดยประธานเฟด Jerome Powell
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางทั้งสอง พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) เดือนมิถุนายน ของเยอรมนี และยูโรโซน ที่จะช่วยสะท้อนถึงมุมมองของภาคเอกชน หลังเผชิญความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การแข่งขัน MotoGP 2025 เดินทางถึงสนามที่ 9 ที่ Mugello Circuit เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสนามสุดท้ายก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกกลางฤดูกาล ล่าสุด อเล็กซ์ มาร์เกซ (Alex Marquez) จากทีม BK8 Gresini Racing MotoGP โชว์ฟอร์มแกร่ง ไล่บี้ทีมโรงงาน Ducati แบบไม่เกรงกลัว จบอันดับ 2 ด้วยระยะห่างเพียง +1.942 วินาทีจากแชมป์สนาม
ด้วยผลงานระดับโพเดี้ยมในสนามนี้ ทำให้คะแนนสะสมของ BK8 Gresini Racing MotoGP ขยับเพิ่มเป็น 274 คะแนน ครองอันดับ 2 ของประเภททีมอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะบทบาทของ อเล็กซ์ มาร์เกซ ที่โชว์ความสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นฤดูกาล เป็นหัวใจหลักของทีม ขณะที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง เฟร์มิน อัลเดเกร์ (Fermin Aldeguer) รุกกี้หน้าใหม่ ก็มีส่วนสำคัญเก็บแต้มช่วยทีมได้ต่อเนื่องเช่นกัน
ถือเป็นผลงานที่น่าจับตามอง เพราะ BK8 Gresini Racing MotoGP เป็นทีมรอง ใช้รถแข่งเวอร์ชั่น GP24 ไม่ใช่ตัวล่าสุดแบบทีมโรงงาน แต่กลับขับเคี่ยวกับทีมชั้นนำได้อย่างสูสี
Ducati Lenovo Team — 373 คะแนน
BK8 Gresini Racing MotoGP — 274 คะแนน
Pertamina Enduro VR46 Racing Team — 214 คะแนน
Red Bull KTM Factory Racing — 111 คะแนน
LCR Honda — 97 คะแนน
Monster Energy Yamaha MotoGP Team — 90 คะแนน
Aprilia Racing — 87 คะแนน
Red Bull KTM Tech3 — 83 คะแนน
Trackhouse MotoGP Team — 68 คะแนน
Honda HRC Castrol — 65 คะแนน
Prima Pramac Yamaha MotoGP — 37 คะแนน
ผ่านพ้นมาจะถึงกลางฤดูกาลแล้ว เหล่าแฟน ๆ ต้องจับตาดูว่า อเล็กซ์ มาเกซ จะสามารถพาทีม BK8 Gresini Racing MotoGP ไล่กดดัน Ducati ต่อได้หรือไม่ และจะรักษาอันดับรองจ่าฝูงไว้ได้แค่ไหนในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
หลายปีที่ผ่านมา “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” ถูกกล่าวถึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังขาดความตระหนักและความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก ที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วภาวะดังกล่าวใกล้ตัวและร้ายแรงกว่าที่คิด ซึ่งในขณะนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในโรคหัวใจที่กำลังแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิกของชาวมิลเลนเนียลที่ถูกกระตุ้นด้วยสังคมผู้สูงอายุ เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณะสุข ทั้งด้านการเงินและความเป็นอยู่ของผู้ป่วย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นระริก หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เอเอฟ” (AF: Atrial Fibrillation) คือการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ ส่วนมากหัวใจจะเต้นเร็วเกินไป มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (ปกติจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที) จนส่งผลให้การบีบกล้ามเนื้อของหัวใจห้องบนทั้งสองห้องไม่สัมพันธ์กัน
จากรายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019)* พบว่าภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากถึง 5-6 เท่า หลอดเลือดสมองอุดตัน 2.5-3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-3 เท่า ภายในปี พ.ศ. 2593 มีการคาดเดาว่าจำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียจะมีมากถึง 72 ล้านคน และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีผู้ป่วยมากเป็น 2 เท่าของจำนวนผู้ป่วยในยุโรปและอเมริกาเหนือรวมกัน
อ.นพ.ธัชพงศ์ งามอุโฆษ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จริง ๆ แล้วมีเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นภาวะนี้คือ อายุ และเนื่องด้วยสังคมปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้นตามไปด้วย
ส่วนปัจจัยเสี่ยงรองลงมาคือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ไขมันสูง และผู้ที่เคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
อาการโดยทั่วไปของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ
ซึ่งมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยออกกำลังกายได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม อ.นพ.ธัชพงศ์ กล่าวว่า “เนื่องจากอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้งไม่ชัดเจนเหมือนโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่คิดว่านั่นคือความผิดปกติที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มาหาหมอครั้งแรกด้วยอาการอัมพาต บ้างมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลวจากภาวะน้ำท่วมปอด” ซึ่งสอดคล้องกับรายงานฯ ที่พบว่า 15-46% ของผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกไม่มีอาการ และผู้ป่วย 10.7% มีอาการเรื้อรังขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี
นอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังก่อให้เกิดภาระในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านการเงิน ครอบครัว และคุณภาพชีวิต จากรายงานข้างต้น ผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้นถึง 1.8-5.6 เท่าในทุก ๆ 10 ปี และมากถึง 57% กล่าวว่าคุณภาพชีวิตถูกบั่นทอน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวและใช้เวลาโดยเฉลี่ย 5 ถึง 12.5 วันต่อปีในโรงพยาบาล ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อปีกว่า 2,400 เหรียญสหรัฐในไต้หวัน (ประมาณ 73,000 บาท) 3,600 เหรียญสหรัฐในไทย (ประมาณ 109,000 บาท) และเกือบ 9,000 เหรียญสหรัฐในเกาหลี (ประมาณ 273,000 บาท)
ศาสตราจารย์ภิชาน นพ.กุลวี เนตรมณี อาจารย์พิเศษ ฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และอายุรแพทย์โรคหัวใจ และหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์หัวใจเต้นผิดจังหวะ รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีการติดตามและร่วมการศึกษากับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกเพื่อติดตามการรักษาและสถานการณ์ของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมจากภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจในไทยนั้นค่อนข้างจำกัด โอกาสต่อยอดและการฝึกฝนจึงมีน้อยตามไปด้วย ทำให้แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในการรักษาในไทยมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย”
การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบันนับว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก การรักษามี 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
คุณหมอทั้งสองท่านกล่าวเหมือนกันว่า เราควรตรวจดูชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ เพราะหากตรวจเจอเร็วก็จะสามารถรักษาได้แต่เนิ่น ๆ เปอร์เซ็นต์การหายขาดก็จะเพิ่มขึ้นตาม แต่ที่สำคัญที่สุดเราควรมีวินัยในการดูแลสุขภาพตัวเอง ป้องกันกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วคุณภาพชีวิตที่ดีก็จะตามมา
*รายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019) คือรายงานสถิติที่ถูกรวมรวบโดย Biosense Webster ผู้นำระดับสากลด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินัจฉัยและรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สถิติและข้อมูลในรายงานถูกรวบรวมจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์และการค้นคว้าทางคลินิก ทั้งนี้ ข้อมูลด้านความแพร่หลายและค่ารักษาพยาบาลถูกรวบรวมจากงานวิจัยที่ถูกจัดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตัวเลขจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky)” พบว่า การตรวจจับการโจมตีเพื่อขโมยพาสเวิร์ดทั่วโลกเพิ่มขึ้น 21% ระหว่างปี 2023 – 2024
มัลแวร์ขโมยข้อมูล (infostealer malware) เป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่แพร่หลายที่สุด มัลแวร์เหล่านี้มักกำหนดเป้าหมายโจมตีอุปกรณ์หลายล้านเครื่องทั่วโลก และทำลายข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของบุคคลและองค์กร
โปรแกรมที่เป็นอันตรายต่างๆ ได้รับการออกแบบมาเพื่อดึงข้อมูลรับรองตัวตน คุกกี้ และข้อมูลที่มีค่าอื่นๆ ซึ่งจะรวบรวมเป็นไฟล์บันทึกและเผยแพร่บนเว็บมืด
ล่าสุด นักวิจัยไซเบอร์นิวส์ได้เปิดเผยข้อมูลรับรองการเข้าสู่ระบบ 16,000 ล้านรายการจากชุดข้อมูล 30 ชุด ซึ่งน่าจะมาจากมัลแวร์ขโมยข้อมูล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อการยึดบัญชีและการขโมยข้อมูลประจำตัว
ชุดข้อมูลดังกล่าวซึ่งมีตั้งแต่หลายล้านรายการไปจนถึงหลายพันล้านรายการนั้นรวมถึงข้อมูลรับรองตัวตนสำหรับบริการต่างๆ
อเล็กซานดรา เฟโดซิโมวา นักวิเคราะห์ดิจิทัลฟุตปริ้นต์ แคสเปอร์สกี้ เผยว่า ข้อมูลรั่วจำนวน 16,000 ล้านรายการเป็นตัวเลขที่มากเกือบสองเท่าของจำนวนประชากรโลกเลยทีเดียว และยากที่จะเชื่อว่าข้อมูลจำนวนมหาศาลเช่นนี้จะถูกเปิดเผยได้
การรั่วไหลนี้เป็นการรวบรวมการละเมิดข้อมูล 30 รายการจากแหล่งต่างๆ หลักๆ แล้ว อาชญากรไซเบอร์ได้รับชุดข้อมูลเหล่านี้ทุกๆ วัน ผ่านโปรแกรมขโมยข้อมูล ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันอันตรายที่ขโมยข้อมูล นักวิจัยของไซเบอร์นิวส์รวบรวมข้อมูลนี้เป็นเวลาหกเดือนตั้งแต่ต้นปี
ชุดข้อมูลนี้อาจมีข้อมูลซ้ำ เนื่องจากปัญหาการใช้พาสเวิร์ดซ้ำในหมู่ผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แม้จะสังเกตเห็นว่าฐานข้อมูลที่นักวิจัยพบไม่มีการรายงานมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลประจำตัวเหล่านี้ไม่เคยรั่วไหลจากบริการอื่นหรือถูกรวบรวมโดยโปรแกรมขโมยข้อมูลอื่นๆ มาก่อน ทำให้จำนวนข้อมูลผู้ใช้ที่ไม่ซ้ำกันและผู้ใช้ใหม่ในกลุ่มนี้ลดลงอย่างมาก แม้ว่าการกำหนดตัวเลขที่แน่นอนหรือข้อมูลโดยประมาณจะเป็นเรื่องท้าทายหากไม่มีการวิเคราะห์โดยละเอียด
ดิมิทรี กาลอฟ หัวหน้าทีมวิเคราะห์และวิจัยระดับโลก ประจำรัสเซียและเครือรัฐเอกราช แคสเปอร์สกี้ กล่าวถึงข้อมูลสำคัญที่พบจากการวิจัยว่า การวิจัยของไซเบอร์นิวส์ระบุถึงการรั่วไหลของข้อมูลหลายครั้งตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจอาชญากรรมไซเบอร์ที่เฟื่องฟูซึ่งมีการขโมยข้อมูลประจำตัว
สิ่งที่เราเห็นคือส่วนหนึ่งของตลาดอาชญากรรมไซเบอร์ที่จัดการเป็นอย่างดี ข้อมูลประจำตัวถูกรวบรวมผ่านโปรแกรมขโมยข้อมูล แคมเปญฟิชชิง และมัลแวร์อื่นๆ จากนั้นจึงรวบรวม เสริมแต่ง และขายต่อหลายครั้ง รายการที่เรียกว่า ‘คอมโบลิสต์’ ได้รับการอัปเดต ปรับเปลี่ยนแพ็คเกจ และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
โดยผู้ก่อภัยคุกคามบนเว็บมืด และปัจจุบันมีจำนวนมากขึ้นในแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้สาธารณะ สิ่งที่น่าสังเกตในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องการละเมิดข้อมูลขนาดใหญ่หรือการละเมิดหลายครั้งเพียงอย่างเดียว แต่ไซเบอร์นิวส์อ้างว่าชุดข้อมูลนั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชั่วคราวผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ทุกคนที่พบข้อมูลนี้สามารถเข้าถึงได้
แอนนา ลาร์กินา ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เว็บคอนเท้นต์ แคสเปอร์สกี้ แนะนำถึงมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์กรณีข้อมูลรั่วไหลว่า ข่าวการรั่วไหลครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าเราควรให้ความสำคัญกับสุขอนามัยดิจิทัลและตรวจสอบบัญชีดิจิทัลทั้งหมด อัปเดตพาสเวิร์ดเป็นประจำ และเปิดใช้งานการตรวจสอบสองขั้นตอน (2FA)
หากผู้โจมตีเข้าถึงบัญชีได้แล้ว ผู้ใช้ควรรีบโปรดติดต่อฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคทันที เพื่อควบคุมและประเมินว่าข้อมูลอื่นใดที่อาจเปิดเผย
นอกจากนี้ ผู้ใช้ควรเฝ้าระวังกลลวงทางวิศวกรรมสังคมด้วย เนื่องจากมิจฉาชีพอาจใช้ข้อมูลรายละเอียดที่รั่วไหลในกิจกรรมอันตรายต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
หากพูดถึงเหตุผลที่เราต้อง เรียนภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นวัยทำงาน หรือคนที่กำลังเข้าสู่วัยทำงาน หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือการเรียนเพื่อเตรียมตัว สอบ TOEIC แม้ว่าการสอบนี้จะไม่ได้บังคับให้คนทำงานต้องสอบ แต่ถ้าสอบได้คะแนนดีและยื่นคะแนนประกอบการสมัครงาน ก็จะเป็นเครื่องการันตีได้ว่าเรามีความรู้ภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้ทำงานได้ ทุกวันนี้เรา เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เพื่อเตรียมสอบได้ และหนึ่งในพาร์ตที่ต้องเตรียมคือ Grammar!
ไวยากรณ์หรือ Grammar คือความจำเป็นในการ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่เข้าใจ Grammar จะมีปัญหามากโดยเฉพาะเมื่อต้องเขียนภาษาอังกฤษ หากไม่เข้าใจ Grammar เราอาจพูดสื่อสารได้โดยที่เจ้าของภาษาเข้าใจ แต่เมื่อเป็นการใช้เพื่อการทำงาน เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก ฉะนั้นต่อให้ไม่สอบ TOEIC แต่งานที่ทำต้องใช้ภาษาอังกฤษ ก็หลีกเลี่ยง Grammar ไม่ได้
มามองที่การ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบ TOEIC กันบ้าง Grammar ถือว่ามีส่วนสำคัญในสอง Part หลักคือ part 5 (Incomplete Sentences) ซึ่งเป็นการเติมคำในประโยคสั้น ๆ ให้ถูกตามหลักไวยากรณ์ และ Part 6 (Text Completion) ซึ่งเป็นการเติมคำในบทความขนาดสั้น แต่นอกเหนือจากสองพาร์ตนี้แล้ว Grammar ก็ยังมีส่วนสำคัญในพาร์ตอื่นด้วย เพราะหากเข้าใจ Grammar (เช่น เข้าใจ Subject-verb Agreement และเรื่อง Tense) ก็จะช่วยให้ทำพาร์ตการอ่านได้เร็วขึ้น
คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะระดับไหน คงรู้อยู่แล้วว่า Tense มีความสำคัญมาก ซึ่งในข้อสอบ TOEIC ก็เช่นกัน เพราะ Tense จะเป็นตัวกำหนดว่าคำกิริยาของประโยคควรอยู่ในรูปใด Tense พื้นฐานที่ควรทำความเข้าใจให้ได้คือ Present simple, Present continuous, Past simple, Present perfect และ Future tense ทั้ง will และ be going to ขอให้ลองดูโจทย์นี้
The report ___ by the manager before the meeting.
ประโยคนี้มองหาคำกิริยาในรูป Passive แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องเป็น Past simple เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น before the meeting เราจึงต้องมองหาตัวเลือกอย่างเช่น “was reviewed” ส่วนใหญ่ในข้อสอบ TOEIC จะใช้กิริยาตัวเดียวกันทั้ง 4 ตัวเลือก ฉะนั้นถ้ารู้ tense ก็จะเลือกคำตอบได้ถูกต้อง
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องพื้นฐานที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ต้องรู้ เพราะประธานหรือ subject ของประโยคจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับกิริยา เช่น ใน Present simple จะมีการเติม -s หรือ -es ที่คำกิริยาเมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 หรืออีกตัวอย่างคลาสสิกคือ verb to be ที่จะเปลี่ยนรูปไปตามประธานที่ต่างกัน
เรื่องนี้ถือว่าจำเป็นกับการ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบ TOEIC เพราะในพาร์ตที่ให้เติมคำในช่องว่าง ข้อสอบมักทดสอบว่าเรารู้ไหมว่าควรเติมคำนาม คำกริยา หรือคำคุณศัพท์ลงไปในประโยค เช่น ถ้าโจทย์บอกว่า
The manager gave a very ___ explanation.
ตัวเลือกอาจมีคำว่า clear ในรูปแบบต่าง ๆ แต่สิ่งที่เราต้องเลือกคือคำว่า “clear” เท่านั้น เพราะเป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) ไม่ใช่คำอื่นอย่าง clearly ที่เป็น Adverb
สิ่งที่ออกสอบค่อนข้างบ่อยคือ Preposition of time โดยโจทย์อาจต้องการทดสอบว่าเราเลือก in, on และ at หรือ for กับ since ได้ถูกต้องหรือไม่
เรื่องนี้ออกสอบเพื่อวัดความเข้าใจโครงสร้างประโยค เช่น การเปรียบเทียบ ประโยคที่มีเนื้อความขัดแย้งหรือแสดงความเป็นเหตุเป็นผลกัน คำเชื่อมประโยคถือว่าสำคัญมาก หากเลือกผิด การสื่อความหมายก็จะผิดไปด้วย
แม้ Grammar จะมีรายละเอียดแบ่งเป็นหลายส่วน แต่ก็มีวิธีจำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราขอแนะนำให้จำเป็นกลุ่มคำและโครงสร้างหลัก เช่น จำว่า responsible for … หรือจำว่า even though ต้องบวกประโยค เทคนิคนี้อาจฟังดูยาก แต่สิ่งที่จะช่วยได้คือการทำโจทย์ซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับข้อสอบ ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือเราจะเข้าใจ pattern ของภาษา เมื่อเจอโจทย์ที่เข้ากับ pattern ก็จะเลือกคำตอบได้ทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ถ้าเคยเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ ๆ ตามสวนสาธารณะต่างๆ หรือแม้แต่ตามหัวไร่ปลายนา เพราะเป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาดีเยี่ยม จะมีดอกสีขาวนวลรูปแตร หล่นตามพื้น มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ บานเต็มต้นแต่ร่วงตอนเช้า นั่นแหละ “ดอกแคนา” (ชื่อวิทย์ฯ Dolichandrone serrulata) ที่เรากำลังจะพูดถึง
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกเรื่องของดอกแคนา ทั้งประโยชน์ดีๆ ที่ควรรู้ และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมไอเดียเด็ดๆ สำหรับสายกินและสายสุขภาพ!
คำตอบคือ “กินได้” โดยเฉพาะ “ดอกอ่อน” ที่นิยมเอาไปลวกจิ้มน้ำพริก หรือใส่แกงจืด ใครที่ชอบอาหารพื้นบ้านแบบไทยแท้ต้องเคยกินมาบ้าง
เชื่อว่าเมนูยอดฮิตของดอกแคนาก็คือ การนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริก หรือใส่ในแกงส้ม แกงคั่วต่างๆ เพราะความขมอมหวานเฉพาะตัว (ที่ต้องเด็ดเกสรออกก่อนนะ!) ทำให้มันเข้ากันได้ดีกับอาหารไทย แต่รู้ไหมว่าดอกแคนาไม่ได้มีแค่รสชาติที่โดดเด่น แต่ยังอุดมไปด้วยสารพัดประโยชน์ที่ร่างกายต้องการอีกด้วย!
ใครมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ลองเมนูที่มีดอกแคนาดูสิ! ดอกแคนาถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้านที่ช่วยผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสงบ และส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น
ดอกแคนาขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณเย็น ดับร้อนในร่างกายได้ดี ช่วยลดอาการไข้และบรรเทาอาการเจ็บคอได้ เหมาะมากสำหรับอากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าว!
ดอกแคนาเป็นพืชที่มีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ลดปัญหาท้องผูกได้ดี
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องไหม? ดอกแคนาช่วยได้! สรรพคุณในการขับลมในลำไส้ ทำให้คุณรู้สึกสบายท้องขึ้น
เหมือนกับผักพื้นบ้านส่วนใหญ่ ดอกแคนาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการถูกทำลาย ชะลอความเสื่อม และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ
รสขมอ่อนๆ ของดอกแคนา (เมื่อเด็ดเกสรออกแล้ว) กลับช่วยกระตุ้นต่อมรับรส ทำให้เจริญอาหารได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับคนเบื่ออาหาร หรืออยากเพิ่มความอยากอาหาร
ในตำราแพทย์แผนไทยบางเล่ม ระบุว่าดอกแคนาและส่วนอื่นๆ ของต้นมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
แม้จะมีประโยชน์ล้นเหลือ แต่ดอกแคนาเองก็มีข้อควรรู้และระวัง เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดและปลอดภัย
นี่คือหัวใจสำคัญของการกินดอกแคนาให้อร่อย! เกสรสีเหลืองด้านในของดอกแคนาจะมีความขมจัด ถ้าไม่เด็ดออก รับรองว่าได้ประสบการณ์ความขมจนกินต่อไม่ไหวแน่นอนครับ วิธีง่ายๆ คือใช้นิ้วบิดเกสรออกเบาๆ ก่อนนำไปลวกหรือประกอบอาหาร
ดอกแคนาสดมีรสชาติเฝื่อนและไม่อร่อย ส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาลวก ต้ม หรือทำให้สุกก่อนบริโภค
มีข้อมูลบางส่วนที่ระบุว่าดอกแคนาอาจมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ซึ่งอาจไม่ปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ ดังนั้น เพื่อความชัวร์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค หากกำลังตั้งครรภ์
เหมือนกับอาหารทุกชนิด การกินดอกแคนาในปริมาณที่พอเหมาะจะดีที่สุด การกินมากเกินไปอาจทำให้บางคนมีอาการท้องไส้ปั่นป่วนได้
จะเห็นได้ว่า ดอกแคนา ไม่ได้เป็นแค่ดอกไม้สวยๆ ริมทาง แต่ยังเป็นแหล่งรวมประโยชน์ด้านสุขภาพที่น่าทึ่ง ทั้งช่วยแก้ร้อนใน บำรุงการนอนหลับ และดีต่อระบบขับถ่าย ที่สำคัญคือหาง่าย ราคาไม่แพง และนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม แกงเลียง หรือจะแค่ลวกจิ้มน้ำพริกก็อร่อยเด็ดแล้ว
แต่จำไว้ด้วยว่า เด็ดเกสรออกก่อนเสมอ! และหากอยู่ในกลุ่มสตรีมีครรภ์ หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภคในปริมาณมากเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,900.00 | 52,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,355.00 | 50,861.80 | 52,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,019.50 | 45,775.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,684.00 | 40,689.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,509.75 | 22,887.81 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,174.25 | 17,801.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,476.68 | 52,706.47 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.65 | 33.65 | 34.15 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.28 | 33.28 | 33.78 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.44 | 31.44 | 31.94 | 31.44 | 31.44 | – | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.79 | 29.79 | – | – | – | – | – | – | – | 29.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 42.24 |
เบนซิน 95 | 41.94 | – | – | – | 49.81 | – | 42.44 | 42.09 | – | 41.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
SCB EIC ชี้ ภาคก่อสร้างไทยจะรอด ต้องเร่งใช้เทคโนโลยีให้เป็นเครื่องมือหลัก รับมือต้นทุนสูง แก้ปัญหา แรงงานหาย รายได้หด
ในวันที่ต้นทุนสูง แรงงานหาย รายได้หด และงานใหม่ไม่เข้า… การนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือ “ความอยู่รอด” ของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติรอบด้าน ภาคก่อสร้างไทยที่มีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 8% ของ GDP กำลังเข้าสู่ภาวะชะงักงันจากหลายแรงกดดัน ทั้ง Productivity ที่ต่ำสุดในกลุ่มบริการ การขาดแคลนแรงงานพื้นฐาน การแข่งขันจากผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะจีน และต้นทุนวัสดุที่พุ่งไม่หยุดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน
ข้อมูลจาก SCB EIC ชี้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยเพียง 2.7% ต่อปี ต่ำกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างชัดเจน ขณะที่ภาคบริการอื่น เช่น โรงแรมหรือร้านอาหาร มีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 5.1%ไม่เพียงเท่านั้น ภาคก่อสร้างยังเผชิญความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการรัฐ และราคากลางที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของผู้รับเหมา โดยเฉพาะรายเล็กและรายกลาง
เทรนด์อาคารเขียว อาคารอัจฉริยะ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กลายเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หยิบมาใช้คัดเลือกผู้รับเหมา โครงการใหม่ในอนาคตอาจกำหนดเงื่อนไขด้านความปลอดภัย มลภาวะ และการจัดการขยะก่อสร้างอย่างเข้มงวด “สิ่งปลูกสร้างยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วหรือขนาดอีกต่อไป แต่ที่ความยั่งยืน และความปลอดภัยของแรงงานและสิ่งแวดล้อม”
เทคโนโลยีที่จะกลายเป็น Game Changer ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้แก่
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีเหล่านี้ยังจำกัดอยู่ในวงของผู้รับเหมารายใหญ่หรือโครงการขนาดใหญ่เท่านั้น
ทางรอดของผู้รับเหมารายกลาง-เล็ก ต้องปรับตัว ถ้าไม่ปรับตัว…คือรอวันหายไปจากตลาด ผู้รับเหมากลุ่มกลางและเล็กกำลังกลายเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่มีแนวโน้มจะถูกกลืนหายไปจาก Supply chain หากไม่เร่งปรับตัวด้วยการยกระดับความสามารถในการใช้ BIM หรือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมารายใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีแล้ว“ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยี เราก็ไม่มีจุดแข็งพอที่จะอยู่ในห่วงโซ่อุปทานอีกต่อไป”
เพื่อให้เกิดการปรับตัวอย่างเป็นระบบ ภาครัฐควรเข้ามาสนับสนุนผ่านการ
การจะอยู่รอดในวันพรุ่งนี้ ต้องกล้าลงทุนวันนี้การเปลี่ยนผ่านของภาคก่อสร้างไทย ไม่ใช่เพียงการ “รอด” จากวิกฤติในปัจจุบัน แต่คือการ “สร้างภูมิคุ้มกัน” ระยะยาวให้สามารถรับมือกับความผันผวนในอนาคต ทั้งด้านแรงงาน ต้นทุน และมาตรฐานใหม่ของอาคาร
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ตลาดรับสร้างบ้านฟื้น สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เผยยอดไตรมาส2 โตแรง รับดีมานด์ผู้มีเงินออม ชี้โอกาสทองครึ่งปีหลัง ลุยอีเวนต์ใหญ่ สร้างเชื่อมั่นตลาด
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผยตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 2 ปี 2568 พลิกฟื้นชัดเจน หลังผู้บริโภคที่มีเงินออมเริ่มตัดสินใจลงทุนสร้างบ้านมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดครบวงจร เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ประจำปีในเดือนกันยายน หวังส่งแรงกระตุ้นต่อเนื่องสู่ไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาด
นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยว่า ภาพรวมยอดขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกในไตรมาส 2 เติบโตดีขึ้นจากไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความพร้อมทางการเงิน และมีเงินออมเพื่อใช้ในการปลูกสร้างที่อยู่อาศัย
“ในตลาดยังมีผู้บริโภคที่มีดีมานด์อยู่จำนวนมาก และเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในแบรนด์รับสร้างบ้านที่มีมาตรฐาน ทั้งด้านการก่อสร้าง การออกแบบ และการบริหารโครงการที่โปร่งใส” นายอนันต์กร กล่าว
หนึ่งในแรงหนุนสำคัญที่ผลักดันยอดขายในไตรมาสนี้ คือกระแสตอบรับจากงาน “รับสร้างบ้าน FOCUS 2025” ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะแบบบ้านในช่วงราคาตั้งแต่ 2.5–10 ล้านบาท ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งจากครอบครัวรุ่นใหม่ และกลุ่มวัยเกษียณที่มองหาบ้านหลังใหม่เพื่อการใช้ชีวิตในระยะยาว
ความสำเร็จของตลาดในไตรมาสนี้ยังสะท้อนถึงพัฒนาการด้านการสื่อสารของสมาชิกสมาคมฯ ที่หันมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม ไปจนถึง TikTok ในการสร้างการรับรู้แบรนด์ และสื่อสารมาตรฐานการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ สร้างบ้าน ไปจนถึงบริการหลังการขาย
แนวทางดังกล่าวช่วยลดความกังวลของผู้บริโภคที่กำลังวางแผนสร้างบ้านในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน พร้อมสร้างความมั่นใจในกระบวนการทำงานและคุณภาพวัสดุก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสากล
แม้ต้นปีตลาดจะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ยอดขายไตรมาสแรกหดตัว แต่ในไตรมาส 2 ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมองว่านี่คือ “โอกาสทอง” ที่ควรรีบตัดสินใจก่อนต้นทุนวัสดุและค่าแรงจะปรับขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนพลังงาน
“ลูกค้าหลายรายที่ชะลอการตัดสินใจตั้งแต่ต้นปี เริ่มกลับมาเดินหน้าโครงการอีกครั้ง เพราะมองว่าในช่วงนี้ยังสามารถควบคุมต้นทุนได้ ก่อนจะมีการปรับราคาบ้านในอนาคต” นายอนันต์กร กล่าว
นอกจากแรงจูงใจด้านราคาแล้ว ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานการก่อสร้าง และความโปร่งใสของผู้รับเหมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ
เพื่อรักษาโมเมนตัมของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง สมาคมฯ เตรียมเดินหน้าอีเวนต์ใหญ่ประจำปีในเดือนกันยายน พร้อมด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ครอบคลุมทุกกลุ่มราคา และการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัวขยาย หรือกลุ่มลูกค้าวัยเกษียณที่ต้องการบ้านเพื่อการใช้ชีวิตระยะยาว
“ในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดรับสร้างบ้าน เราจึงวางกลยุทธ์เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ และการยกระดับบริการของสมาชิก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค” นายอนันต์กรกล่าว
แม้ตลาดยังเผชิญปัจจัยลบหลายประการ ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง แต่ HBA มองว่าความต้องการสร้างบ้านโดยใช้เงินออมยังมีอยู่ในระดับที่แข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงมากกว่าการลงทุน
ในภาพรวม HBA ประเมินว่าแนวโน้มของตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังยังคงเป็นบวก หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้เร็ว ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และเน้นสร้างความแตกต่างด้านบริการและคุณภาพให้ชัดเจน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23มิ.ย.2568 ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.71-32.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังตลาดรับรู้ผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ ผ่าน “Operation Midnight Hammer” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ทางการอิหร่านอาจตอบโต้สหรัฐฯ
ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเกิน +2% ส่วนเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งยังพอได้รับอานิสงส์บ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมาก
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง และการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม กนง. และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนมิถุนายน
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดจับตาใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรส ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาล Trump 2.0 ที่ต้องการให้ประธานเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย
และนอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และลุกลาม บานปลาย มากขึ้น หลังสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน (Operation Midnight Hammer ที่มีการใช้อากาศยานกว่า 125 ลำ ในการโจมตีครั้งนี้)
โดยต้องจับตาการตอบโต้ของฝั่งอิหร่าน ที่ล่าสุด มีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจเลือกปิดช่องแคบฮอร์มุซ เป็นการตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ที่อาจพุ่งสูงขึ้นราว 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับราคาปัจจุบัน ได้
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน พร้อมกับรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) ของเยอรมนี ในเดือนมิถุนายน เช่นกัน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินทิศทางการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB และ BOE :ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 89% ที่ ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ ส่วน BOE มีโอกาส 96% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้ง ราว 50bps ในปีนี้
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ทั้ง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนมิถุนายน รวมถึง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 52% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้ง นโยบายการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความวุ่นวายของการเมืองไทย ให้แน่ชัดก่อน ทว่า กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับเครื่องมือหรือนโยบายที่มีความจำเพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ หนี้ครัวเรือน และภาวะการเงินของไทยที่ยังคงตึงตัวอยู่ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมุมมองเดิมว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 1.25% ได้ ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น กดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up ท่ามกลางปัจจัยกดดันเงินบาท ทั้ง ปัญหาการเมืองภายในของไทย ที่อาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในช่วงที่สินทรัพย์ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) เสี่ยงเผชิญแรงขายจากภาวะปิดรับความเสี่ยงในระยะสั้น
จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งต้องจับตาการตอบโต้ของทางการอิหร่าน หลังสหรัฐฯ ได้โจมตีทางอากาศใส่โครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซได้จริง (มิใช่เพียงการขู่ เหมือนในอดีต) ก็อาจส่งผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ แม้ว่าเงินบาทจะพอได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำก็ตาม แต่เรามองว่า อิหร่านอาจเลือกที่จะไม่ตอบโต้ทางการทหารที่รุนแรง ซึ่งจะเสี่ยงต่อการให้สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้แบบเต็มรูปแบบ และไม่คุ้มค่าในเชิง Risk-Reward ทำให้เราประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจไม่ได้ลุกลาม บานปลายเป็นวงกว้าง ในเชิงการเผชิญหน้าทางการทหาร แต่ยังมีผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลกพอสมควร ทำให้ราคาทองคำอาจได้รับอานิสงส์ น้อยกว่า ราคาน้ำมันดิบ (โดยเฉพาะในกรณีที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ) อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรง ลุมลาม บานปลาย แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.20 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-33.00 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.90-32.92 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.07 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดของวันทำการก่อนหน้า 32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องไปทดสอบระดับ 32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด มากขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังปธน. ทรัมป์ ประกาศว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการโจมตีอย่างครั้งใหญ่ต่อโรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของอิหร่าน ขณะที่ตลาดยังคงอยู่ในบรรยากาศ Risk off และรอจับตาอย่างใกล้ชิดว่าอิหร่านจะตอบโต้อย่างไร รวมถึงประเด็นระหว่างไทยและกัมพูชา
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.75-33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่น อียู อังกฤษ และสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 สัปดาห์สอง ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568 ปิดฉากลงเรียบร้อย
โดยจากทั้งหมด 18 ชาติ ในการแข่งขันครั้งนี้ต่างมุ่งเป้าทำผลงานให้ดีที่สุด ล่าสุด สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้ประกาศอันดับโลกใหม่หลังจบสัปดาห์สอง
ปรากฏว่า เบอร์ 1 ของโลกยังคงเป็น อิตาลี ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเก็บแต้มไปได้มากถึง 456.91 คะแนน ขณะที่อันดับ 2 บราซิล มี 417.92 คะแนน และ อันดับ 3 โปแลนด์ 369.04 คะแนน
ขณะที่ “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” หล่นไปอยู่ที่ 19 ด้วยการมี 173.10 คะแนน ถือเป็นชาติที่อันดับโลกหล่นมากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยหล่นไปถึง 5 อันดับ ส่วนทีมที่ก้าวกระโดดมากที่สุดคือ ฝรั่งเศส ที่พุ่งจากอันดับ 21 มาอยู่ที่ 15 ของโลก
อันดับ 1 : อิตาลี 456.91 คะแนน
อันดับ 2 : บราซิล 417.92 คะแนน
อันดับ 3 : โปแลนด์ 369.04 คะแนน
อันดับ 4 : ตุรกี 368.54 คะแนน
อันดับ 5 : ญี่ปุ่น 347.08 คะแนน
อันดับ 6 : จีน 346.75 คะแนน
อันดับ 7 : สหรัฐอเมริกา 338.10 คะแนน
อันดับ 8 : เนเธอร์แลนด์ 262.59 คะแนน
อันดับ 9 : โดมินิกัน 254.02 คะแนน
อันดับ 10 : แคนาดา 245.38 คะแนน
อันดับ 11 : เซอร์เบีย 234.19 คะแนน
อันดับ 12 : เยอรมนี 234.08 คะแนน
อันดับ 13 : สาธารณรัฐเช็ก 208.84 คะแนน
อันดับ 14 : เบลเยียม 190.65 คะแนน
อันดับ 15 : ฝรั่งเศส 182.65 คะแนน
อันดับ 19 : ไทย 173.10 คะแนน
อันดับ 20 : บัลแกเรีย 169.78 คะแนน
อันดับ 34 : เกาหลีใต้ 107.88 คะแนน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
พุงป่อง มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ไม่สบายตัว อาจไม่ใช่เพราะอิ่มจากอาหารที่ทาน เกิดขึ้นได้จาก “ภูมิแพ้แฝง”ด้วย
อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ไม่สบายตัวหลังรับประทานอาหาร เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย และมักถูกมองข้ามว่าเป็นเพียงเรื่องปกติของการกินมากเกินไป หรืออาหารไม่ย่อย
แต่สำหรับบางราย อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายถึงภาวะที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนกว่า นั่นคือ “ภูมิแพ้อาหารแฝง“(Food Intolerance) หรือภูมิแพ้แฝง ที่แตกต่างจากภูมิแพ้อาหารเฉียบพลันอย่างที่หลายคนเข้าใจ
คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ “ภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy)” เป็นอย่างดี เพราะจะแสดงอาการรวดเร็ว รุนแรง อาจเกิดขึ้นเพียงระบบเดียวหรือหลายระบบก็ได้และค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่น ผื่นขึ้น ปากบวม อาเจียน ท้องเสีย หรือเกิดภาวะช็อก หายใจติดขัด แน่นหน้าอก หอบ ซึ่งอาการรุนแรงอย่างหลังจำเป็นต้องรีบพบแพทย์ทันที
เนื่องจากเมื่อร่างกายรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไปเพียงเล็กน้อย จะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ให้ทำงานเกินกว่าปกติ โดยร่างกายจะเข้าใจผิดว่าสิ่งที่รับประทานเข้าไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงเกิดปฏิกิริยาแบบเฉียบพลันทันที โดยอาการมักเกิดภายใน 2-30 นาทีและไม่เกิน 2 ชั่วโมง
ขณะที่ภูมิแพ้อาหารแฝง พญ.รุ้งทิวา พุฒิพิทยาธร อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย อธิบายไว้ว่า ภูมิแพ้อาหารแฝง คือภาวะที่ไม่สามารถย่อยอาหารหรือเมตาบอไลท์องค์ประกอบของอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรคที่มาจากปฏิกริยาที่เกิดจากอาหาร
ส่งผลต่อกระเพาะอาหาร ลำไส้และร่างกาย พบได้ประมาณ 15 – 20 % ของประชากรและพบมากขึ้นในกลุ่มโรคลำไส้แปรปรวน โดย 50 – 80 % ในกลุ่มนี้อาการจะเป็นมากขึ้นสัมพันธ์กับอาหารที่ทานไม่ได้
อาการ จะพบอาการทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ท้องอืด มีลมแก๊สในทางเดินอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย และระบบอื่นๆทางร่างกายโดยสัมพันธ์กับปริมาณอาหารในกลุ่มที่ไม่สามารถย่อยได้ที่ทานเข้าไป ถ้ายังทานมากอาการจะยิ่งรุนแรง
1.ภาวะย่อยนมวัวไม่ได้ (Lactose Intolerance) คนไข้จะมีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หลังทานผลิตภัณฑ์ที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบ
2.ภาวะย่อยฟรักโทสไม่ได้ โดยน้ำตาลฟรักโทสพบในผลไม้รสหวาน คนไข้จะมีอาการทางเดินอาหารหลังทานผลไม้
3.ภาวะย่อยแอลกอฮอล์ไม่ได้ (Alcohol Dehydrogenase Deficiency) คนไข้จะมีอาการหน้าแดง ตัวแดง ร้อนตามตัวหลังดื่มสุรา
4.ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD Deficiency) จะมีเม็ดเลือดแดงแตก จากการทานอาหารประเภทถั่วปากอ้า ไวน์แดง บลูเบอร์รี่ ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกอ่อน
5.Intolerance of Short Chain Fermentable Carbohydrate คือไม่สามารถย่อยอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีการดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และมักอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติสูง (Fermentable Oligosaccharides Disaccharides Monosaccharide and Polyols; FODMAPS) คนไข้จะมีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หลังทานอาหารในกลุ่มนี้
6.ไมเกรน (Migraine) สามารถถูกกระตุ้นได้หลังทานอาหารกลุ่ม High Biogenic Amine เช่น แอลกอฮอล์, ช็อกโกแล็ต, ชีส, ผงชูรส, แอสปาแตม, คาเฟอีน, ถั่ว และอาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรท์
7.กลุ่มอาการ Mast Cell ถูกกระตุ้นโดยอาการจะเกิดขึ้นหลังทานอาหารประเภท เผ็ด อาหารแปรรูป อาหารที่ผ่านการถนอมอาหาร แอลกอฮอล์ โดยคนไข้จะมีอาการหน้าแดง ตัวแดง คัน ผื่นขึ้น ท้องเสีย ปวดท้อง
นอกเหนือจากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้องหลังรับประทานอาหารแล้ว ภูมิแพ้อาหารแฝงยังสามารถแสดงออกผ่านอาการอื่นๆได้อีกด้วย เช่น
อาหารทุกชนิดสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้อาหารแฝงได้ ตัวอย่างอาหารที่มักจะถูกพบว่าเป็นสาเหตุของภูมิแพ้อาหารแฝง ได้แก่
การวินิจฉัยภูมิแพ้อาหารแฝงทำได้ยากกว่าภูมิแพ้อาหาร เนื่องจากอาการมักไม่รุนแรงและไม่แสดงผลทันทีหลังกินอาหาร แต่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยระบุตัวการได้
1. บันทึกพฤติกรรมการกินและอาการ จดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละวันและอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด จะช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอาหารและอาการ
2.การงดอาหารและทดลองกลับมารับประทาน เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี โดยการงดอาหารต้องสงสัยทีละชนิดเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ จากนั้นค่อยๆ ทดลองกลับมารับประทานทีละน้อย เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย
3.การตรวจเลือดหาภูมิต้านทาน IgG หากภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสารอาหารที่ทดสอบชนิดใด ก็สามารถบอกได้ว่าผู้เข้ารับการตรวจมีภาวะแพ้อาหารแฝงชนิดนั้นๆ สามารถรู้ได้ถึง 222 ชนิดในการตรวจครั้งเดียว ต้องรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการประมาณ 7 วัน
พญ.กานต์พิชชา พตั่งฮวดพาเจริญ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 3 ให้ข้อมูลเรื่อง ท้องอืด ผื่นขึ้นบ่อย หรือเพราะ “แพ้อาหารแฝง” ไม่รู้ตัวไว้ว่า แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้อย่างน้อยประมาณ 6 เดือน เช่น หากแพ้ข้าวเจ้า ก็อาจหันไปทานลูกเดือยทดแทน รวมกับการบำรุงร่างกายด้วยการอาหารที่ช่วยทำให้ระบบลำไส้แข็งแรง อย่างกลูตามีน แมกนีเซียม และโปรไบโอติก นั่นเอง
หลังจากเว้นระยะการงดทานสิ่งที่แพ้ไปแล้ว 6 เดือน ก็สามารถกลับมาทานอาหารที่แพ้ได้อีกครั้ง แต่ต้องไม่ลืมว่า แม้กลับมาทานได้ก็มีโอกาสแพ้ได้อีก และสิ่งที่ไม่เคยแพ้ก็มีโอกาสแพ้ได้ในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการแพ้อาหารแฝงขึ้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
สำหรับคนที่เริ่ม เรียนภาษาอังกฤษ นอกจากเรื่อง Grammar ที่ทำให้งงได้แล้ว หนึ่งในเรื่องที่ทำให้งงมากกว่าคือคำศัพท์ โดยเฉพาะคำที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน หากคำที่เหมือนกันมีเพียงสองคำ (เช่น do กับ make) การแยกความแตกต่างก็ถือว่าทำได้ไม่ยาก แต่ถ้ามี 3 คำล่ะ! จะทำยังไงดี วันนี้เราจะพาทุกคนโดยเฉพาะใครที่เพิ่ง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไปหาคำตอบกับความแตกต่างของ see, watch และ look คำกริยาที่อยู่ในกลุ่มคำศัพท์พื้นฐาน แต่มีความแตกต่างกันจนทำให้หลายคนใช้ผิด
เพื่อให้เข้าใจง่ายสำหรับคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วกำลังสับสนเรื่องนี้ เราขอแนะนำให้พิจารณาสามคำนี้จากระดับความตั้งใจในการมอง ซึ่งถ้าดูจากเรื่องนี้ เราจะสรุปได้ว่า
อาจจะโดยไม่ตั้งใจ หรือมีความตั้งใจในระดับที่น้อยมาก เป็นการมองเห็นที่เกิดจากธรรมชาติของสายตา ไม่ได้เกิดจากการเพ่งดู เช่น
– I see a bird outside the window.
(ฉันเห็นนกตัวหนึ่งอยู่นอกหน้าต่าง)
– Did you see that man over there?
(เธอเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นมั้ย)
ส่วนใหญ่ใช้กับการมองโดยเจาะจงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการมุ่งความสนใจหรือเบนสายตาไปที่สิ่งนั้น คำที่มักจะพบคู่กันคือ look at … หรือ look for … เช่น
– Look at the sky. It’s so beautiful today!
(ท้องฟ้าวันนี้สวยมาก เธอลองมองดูสิ!)
– She looked at me and smiled.
(เธอมองมาที่ผม แล้วก็ยิ้ม)
– Don’t look at your phone while walking.
(อย่าดูแต่โทรศัพท์ขณะกำลังเดินอยู่)
มักใช้กับการเฝ้าดูบางสิ่งที่เคลื่อนไหว จึงเป็นการมองที่ต้องใช้ความตั้งใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับสองคำก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น
– I love to watch movies on weekends.
(วันหยุดฉันชอบดูหนัง)
– We watched the football match last night.
(เมื่อคืนพวกเราดูฟุตบอล)
ทุกคนน่าจะเข้าใจแล้วว่า see, watch และ look ต่างกันยังไง แต่การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผลดี นอกจากรู้ความหมายของคำแล้ว จะต้องนำไปใช้จริงได้ด้วย เราพบสามคำนี้ได้ในหลายสถานการณ์ ซึ่งต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น:
A: How do I get to the Museum?
(พิพิธภัณฑ์ไปทางไหนครับ)
B: Go straight ahead and take the second right. You’ll see the sign for it.
(ตรงไปเรื่อย ๆ เลี้ยวขวาตรงแยกที่สอง ก็จะเห็นป้ายครับ)
A: I’m looking for a dishwasher.
(ผมกำลังมองหาเครื่องล้างจานอยู่ครับ)
B: Are you looking for freestanding or built-in one?
(คุณกำลังมองหารุ่นที่ไม่ต้องติดตั้ง หรือติดตั้งแบบบิ้วท์อินครับ)
A: What are you doing right now?
(ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่)
B: I’m watching a movie on Netflix. Let me call you back later.
(ผมกำลังดูหนังใน Netflix อยู่ ไว้ผมโทรกลับนะครับ)
– See:
I saw your post on Instagram.
(ผมเห็นโพสต์ของคุณบนอินสตาแกรมแล้ว)
– Look:
Look at what my friend shared.
(ดูสิว่าเพื่อนผมแชร์อะไรมา)
– Watch:
I watched a funny video just now.
(ผมเพิ่งดูวิดีโอตลก ๆ อันหนึ่งจบไป)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
LWS เปิดแนวคิดใช้ IoT เปลี่ยนพื้นที่ก่อสร้างเป็น “ไซต์งานอัจฉริยะ” ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเร่งความเร็วในยุคที่ต้นทุนพุ่งสูง
ท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต่างมองหา “ตัวช่วยใหม่” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโครงการ หนึ่งในทางออกสำคัญที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นคือการนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) มาปรับใช้ในภาคก่อสร้าง
แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) บริษัทในเครือของ L.P.N. Development ได้เสนอแนวทางการปรับโฉม “ไซต์ก่อสร้างดั้งเดิม” ให้กลายเป็น “พื้นที่อัจฉริยะ” ผ่านการเชื่อมโยงอุปกรณ์และระบบดิจิทัลที่สามารถติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมทุกองค์ประกอบภายในโครงการได้แบบเรียลไทม์
“IoT ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีแฟนซี แต่คือเครื่องมือที่จับต้องได้จริง และช่วยลดต้นทุนได้สูงถึง 29% เมื่อใช้ในโครงการก่อสร้าง”
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท LWS
LWS ได้ระบุ 4 แนวทางการประยุกต์ใช้ IoT ที่เห็นผลจริงในงานก่อสร้าง ได้แก่:
ติดตามอุปกรณ์แบบเรียลไทม์
ระบบ IoT ช่วยติดตามตำแหน่งและสถานะของเครื่องมือ ชิ้นส่วน และยานพาหนะได้อย่างแม่นยำ ลดการสูญหาย และวางแผนซ่อมบำรุงล่วงหน้า (Predictive Maintenance)
ควบคุมระยะไกล
แม้ไม่อยู่หน้างาน ก็สามารถสั่งการหรือควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ช่วยลดจำนวนคนงานและเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารไซต์งาน
ยกระดับความปลอดภัย
เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะที่ตรวจจับสัญญาณชีพ, ระบบติดตามตำแหน่งคนงาน, และเซ็นเซอร์เตือนภัยต่าง ๆ ซึ่งสามารถแจ้งเตือนความเสี่ยงและหยุดงานโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่ปลอดภัย
ตรวจสอบคุณภาพงานอัตโนมัติ
เซ็นเซอร์บ่มคอนกรีตฝังในโครงสร้างช่วยวัดอุณหภูมิ ความแข็งแรง และความชื้นแบบเรียลไทม์ ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และใช้วางแผนงานต่อได้อย่างแม่นยำ
ลงทุน IoT ไม่แพงอย่างที่คิด
แม้หลายฝ่ายยังลังเลเพราะกังวลเรื่องต้นทุน แต่ข้อมูลจากบริษัท MetamindZ ระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์เริ่มต้นเพียง 1.02 ล้านบาท และซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มอีกประมาณ 1.7 ล้านบาท รวมถึงค่าบำรุงรักษารายปีเฉลี่ย 340,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ “จ่ายครั้งเดียวแต่คุ้มค่าในระยะยาว”
“เมื่อเทียบกับผลประหยัดต้นทุนถึง 29% ถือว่าการลงทุนด้าน IoT คือโอกาส ไม่ใช่ภาระ”
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ
LWS ยังเสนอแนวทางในการนำ IoT มาใช้ในโครงการก่อสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่
เริ่มจาก “โครงการนำร่อง” ที่วัดผลได้จริง
เลือกเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับขนาดและลักษณะงาน
บริหารจัดการข้อมูลอย่างมีระบบ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ
พัฒนาบุคลากรให้เข้าใจเทคโนโลยีและใช้เป็น
“การนำ IoT มาใช้ไม่ได้แค่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังเร่งความเร็วในการทำงาน ลดต้นทุนทางการเงิน และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สุดท้ายแล้ว IoT คือรากฐานสำคัญที่จะพาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน”
ในวันที่ธุรกิจก่อสร้างเผชิญแรงกดดันจากราคาที่ดิน ค่าแรง และต้นทุนวัสดุ เทคโนโลยีอย่าง IoT อาจไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” ที่ผู้ประกอบการไทยควรมองให้ไกล และเริ่มต้นให้เร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
หอมใหญ่ เป็นผักที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน ด้วยกลิ่นเฉพาะตัวและคุณประโยชน์ที่หลากหลาย แต่จะกินแบบไหนถึงจะดี? มาหาคำตอบในบทความนี้กัน
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหอมใหญ่มีสารอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากมาย เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ฟลาโวนอยด์ เควอร์เซทิน (Quercetin) และกำมะถันธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
การใส่หอมใหญ่ลงในอาหารประจำวันเป็นวิธีที่ช่วยเสริมสุขภาพแบบง่ายๆ ลองดูไอเดียเมนูเหล่านี้ได้เลย
หั่นหอมเป็นเส้นบางๆ แช่น้ำเย็นเพื่อลดกลิ่นฉุน แล้วคลุกกับน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว และเกลือเล็กน้อย
ใส่หอมใหญ่ลงไปตุ๋นในน้ำซุปไก่หรือซุปผัก จะให้รสหวานตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องเติมผงชูรส
เมนูง่ายๆ ที่หอมกรุ่น ทำโดยใช้หอมใหญ่ผัดกับไข่ ข้าว และซอสเล็กน้อย ได้ทั้งกลิ่นและความหวานตามธรรมชาติ
หั่นหอมเป็นวงๆ วางบนถาด อบพร้อมชีสและผักอื่นๆ เป็นเมนูว่างที่ทั้งอร่อยและดูดี
การเลือกกินหอมใหญ่ให้ได้ประโยชน์สูงสุดขึ้นอยู่กับวิธีการเตรียมและสภาพร่างกายของแต่ละคน หากคุณย่อยหอมดิบได้ดี การกินสดจะช่วยรักษาสารต้านอนุมูลอิสระได้มากที่สุด แต่การปรุงสุกอย่างเหมาะสมก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการย่อยอาหารเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,400.00 | 52,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,387.00 | 51,346.92 | 53,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,048.30 | 46,212.23 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,709.60 | 41,077.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,524.15 | 23,106.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,185.45 | 17,971.42 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,509.84 | 53,209.17 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.25 | 33.25 | 33.75 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.88 | 32.88 | 33.38 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.04 | 31.04 | 31.54 | 31.04 | 31.04 | – | 31.04 | 31.04 | 31.04 | 31.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.39 | 29.39 | – | – | – | – | – | – | – | 29.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.84 | 49.54 | 49.84 | 49.54 | – | – | – | – | – | 41.84 |
เบนซิน 95 | 41.54 | – | – | – | 49.51 | – | 42.04 | 41.69 | – | 41.54 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
ไร้สัญญาณฟื้น! ยอดโอนต่างชาติสะดุด ไตรมาส1/2568 ‘จีน’วูบ7.2% ฉุดมูลค่าร่วง 19.2% ผู้ประกอบการ อสังหาฯปรับตัวหาฐานลูกค้าใหม่ ปล่อยเช่า ทดแทน
ภาวะเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกชะลอตัวต่อเนื่อง รวมทั้ง “จีน” มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ขุมทรัพย์ใหญ่ของสินค้าและบริการของไทย โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย สร้างแรงสั่นสะเทือนกดดันยอดขาย สะท้อนผ่านยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิจากต่างชาติเผชิญตัวเลขติดลบ ซึ่ง “ชาวจีน” ที่รั้งตำแหน่งผู้ซื้ออันดับหนึ่ง แม้ยังครองแชมป์แต่ยอดซื้อดิ่ง! ขณะที่ “เมียนมา” ขยับขึ้นอันดับ 2 สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนต่างชาติในไทย สัญญาณล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากต่างชาติไตรมาสแรก ปี 2568 “ลดลง” ทั้งในเชิงจำนวนและมูลค่า
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้จีนยังเป็นชาติที่โอนห้องชุดมากที่สุด แต่ยอดซื้อกลับลดลงถึง 19.2% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่กดดันและความระมัดระวังของนักลงทุนจีน ผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีห้องชุดที่ชาวต่างชาติซื้อและโอนกรรมสิทธิ์รวม 3,919 หน่วย มูลค่ารวม 16,392 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 29.3% ของตลาดรวม ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอาจดูเล็กน้อยในเชิงปริมาณ แต่ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มชะลอตัวที่ต้องจับตา!
จีนยังคงเป็นชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 1,481 หน่วย มูลค่า 6,117 ล้านบาท แต่เทียบกับปีก่อนลดลงถึง 19.2% ในเชิงมูลค่า และหดตัว 7.2% ในเชิงจำนวน เป็นสัญญาณชัดถึงภาวะความไม่มั่นใจของ “นักลงทุนจีน” ท่ามกลางเศรษฐกิจภายในประเทศยังอ่อนแรง ในทางกลับกัน “เมียนมา” กลับกลายเป็นผู้เล่นใหม่ที่น่าจับตา ด้วยยอดการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 12% ในจำนวนหน่วย กลายเป็นอันดับ 2 แซงหน้ารัสเซียที่เคยครองอันดับนี้อย่างมั่นคง
“แม้สถานการณ์ภายในประเทศไม่แน่นอน แต่นักลงทุนเมียนมากลับมองไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทั้งจากภัยสงครามและเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในบ้านตัวเอง”
แม้ในเชิงมูลค่า “เมียนมา” ลดลง 28.1% เหลือ 1,587 ล้านบาท แต่การเพิ่มขึ้นเชิงจำนวน สะท้อนพฤติกรรม “กระจายความเสี่ยง” ของนักลงทุนจากประเทศที่มีความไม่แน่นอนภายในสูง
ขณะที่ “รัสเซีย” ยังคงรักษาตลาดได้ แม้จำนวนหน่วยลดลง 2.4% แต่มีมูลค่าโอนเพิ่มขึ้น 6.9% มาจากการซื้อห้องชุดมูลค่าสูงในเมืองเศรษฐกิจหลัก เช่น กรุงเทพฯ และพัทยา ขณะที่ยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน และสหราชอาณาจักร ดีมานด์ขยับขึ้นบางส่วน เช่นเดียวกับ ไต้หวันและสิงคโปร์ที่น่าสนใจ ด้วยการเติบโตของมูลค่าการโอนสูงถึง 33.9% และ 52.5% ตามลำดับ สะท้อนความเชื่อมั่นในระยะยาวต่อศักยภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
สุนทร กล่าวว่า แม้ยังมีนักลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่ขยายตัว แต่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังเปราะบางและมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังโตต่ำ กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอ ดีเวลลอปเปอร์ไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์มองหาตลาดใหม่ เสริมแพลตฟอร์มรองรับความหลากหลายของดีมานด์ต่างชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน ฮ่องกง เมียนมา รัสเซีย นอกเหนือจากพึ่งพากำลังซื้อจาก “จีน” ไม่เพียงพออีกต่อไป
“การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดต่างชาติในอสังหาริมทรัพย์ไทยปีนี้ เป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์พัฒนาโครงการและกลยุทธ์ทำการตลาด เพื่อรับมือกับดีมานด์ที่ผันผวนและพฤติกรรมผู้ซื้อที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
จากก่อนหน้านี้เคยมีการขายคอนโดมิเนียมให้ลูกค้าจีนก่อนโควิด-19 ในปี 2562 ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยราว 40 ล้านคน เป็น “จีน” ถึง 11 ล้านคน ช่วงเวลานั้นขายคอนโดมิเนียมให้คนจีนประมาณ 10,000 ยูนิต แต่ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนเหลือ 5 ล้านคน คาดว่า จะขายได้ประมาณ 6,000 ยูนิต
“เฉพาะชาวจีนแผ่นดินใหญ่ซื้อคอนโดมิเนียมในไทยสูงสุดในปี 2561 จำนวน 7,916 ยูนิต และตลาดคอนโดมิเนียมเคยลดลงต่ำสุดในปี 2564 เหลือเพียงแค่ 4,867 ยูนิต ส่วนปี 2567 เหลือ 5,670 ยูนิต”
ปีณิตา ศิลปสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) เครือออริจิ้น กล่าวว่า จากข้อมูลของพรีโมเซอร์วิสฯ พบว่า เทรนด์เช่าคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะประเภทที่มีบริการเหมือนโรงแรม หรือ Service Residences กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่โรงแรมปรับราคาสูงขึ้นตามอัตราการเข้าพัก
นักท่องเที่ยวมองหาความคุ้มค่าและการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น เลือกเช่าคอนโดมิเนียมราคา 15,000-70,000 บาทต่อเดือน ตามขนาดและโลเกชัน โดยมีแนวโน้มเปลี่ยนจากสัญญาเช่าระยะยาว (6 เดือน-1 ปี) มาเป็นสัญญาระยะสั้น 1-2 เดือน
“ราคาเช่าคอนโดมิเนียมบางแห่งเริ่มต้นเพียง 20,000 บาทต่อเดือน หากเปรียบเทียบกับโรงแรมที่พัก 1 เดือนอาจต้องจ่ายมากกว่า 30,000 บาท นักท่องเที่ยวจึงเริ่มหันมามองคอนโดมิเนียมมากขึ้น”
คอนโดมิเนียม กลายเป็นทางเลือกที่ได้ทั้งความสะดวกสบายและราคาคุ้มค่าปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติถือครองสัดส่วนลูกค้าราว 30% ของพอร์ตคอนโดมิเนียมให้เช่าของบริษัท ขณะที่ 50% เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (Expat) ซึ่งนิยมเช่าห้องใหญ่ระดับราคา 60,000-70,000 บาทต่อเดือน อีก 20% เป็นกลุ่มคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถขอสินเชื่อซื้อบ้านได้
ด้านพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมให้เช่า 10 โครงการ รวม 1,000 ยูนิต อัตราการเช่า 80-85% และมีแผนเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ ภายในสิ้นปี 2568 ในกรุงเทพฯ ชลบุรี และระยอง รวมอีก 500 ยูนิตรองรับดีมานด์ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง เทรนด์นี้ไม่เพียงกระทบโรงแรมโดยตรง แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการ “ความยืดหยุ่น คุ้มค่า เป็นส่วนตัว” มากกว่าความหรูหราจากบริการเต็มรูปแบบของโรงแรมในอดีต
สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมดีมานด์จาก “จีน” หายไป! เป็นผลมาจากความเชื่อมั่น จากกระแสข่าวความไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นหน้าที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาอีกครั้ง คาดว่าจะต้องใช้เวลา 3-4 ปีกว่าทีเดียวกว่าความเชื่อมั่นจะกลับมาเต็มที่ พร้อมกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
“ความท้าทายจากปัจจัยลบรอบด้าน แรงกดดันทางเศรษฐกิจ สภาพคล่อง ความไม่แน่นอนในตลาดโลก ผลจากภาษีทรัมป์ทำให้ไทยได้รับผลกระทบ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งทุกฝ่ายต้องปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ผ่านวิกฤติไปได้ พร้อมเตรียมรับกับโอกาสในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ระหว่างนี้ดีเวลลอปเปอร์ต้องถือเงินสด ลดค่าใช้จ่าย เลือกเปิดโครงการทำเลที่ดี”
แนวโน้มดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายรุกเข้ามาทำตลาด “บ้านหรู” ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น เนื่องเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมซื้อ! ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อย ส่งผลให้ซัพพลายบ้านหรูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา ทำให้ตลาดแข่งขันรุนแรง
ในมุมมองของ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้อง “ประคองตัว” ให้รอดผ่านสถานการณ์ “The Great Perfect Storm” จากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นการรักษาสภาพคล่อง รัดเข็มขัด เตรียมพร้อมรอจังหวะฟื้นตัวเมื่อเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณดีขึ้น
“ระหว่างนี้ต้องประคับประคองตัวรับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ก่อนจบลงที่ฮาร์ดแลนด์ดิ้ง (Hard Landing) เราอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เอาตัวรอดในระยะยาวเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในปีนี้”
อย่างไรก็ตาม กรณีลูกค้าจีนชะลอการซื้อ ทางอนันดาปรับแผนด้วยการหันไปขยายฐานลูกค้าไต้หวัน ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อเข้ามาทดแทน โดยก่อนหน้านี้ได้จับมือกับพันธมิตรกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ อาทิ โธรน พร็อพเพอร์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท, ชูเซ็ง อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ในไต้หวัน และธนาคารกรุงเทพ สาขาไต้หวัน จัดโรดโชว์เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าไต้หวันเข้ามา
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เผชิญความเปราะบางอย่างหนักจากภาวะทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกชะลอ การท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวลงถึง 32.7% และเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงแรงกดดันจากนโยบายการเงินในประเทศที่ยังไม่เอื้อต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะการเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ในหลายพื้นที่ปรับลดลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดกลับไม่หยุดนิ่ง เร่งวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเน้นการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพและขยายไปยังเมืองรองและพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่ยังมีศักยภาพ
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 27,440 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลางอย่าง Aspire อิสรภาพ-สเตชั่น และโครงการไฮไลต์ LIFE พระราม 4-อโศก ซึ่งมีมูลค่าโอนสูงถึง 6,500 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา บางแสน เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติและผู้มีกำลังซื้อสูงในหัวเมืองใหญ่
รวมถึงใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะการใช้ดีไซน์แบบ Empathy Design ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และพื้นที่ใช้สอยของผู้อยู่อาศัยจริง ทั้งยังมีจุดแข็งด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะตลาดจะยังอ่อนแรง
ค่ายแสนสิริ เตรียมเปิดตามเป้าหมายในปีนี้คือ 29 โครงการ มูลค่ารวมราว 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ คาดว่าการเปิดตัวดังกล่าวจะช่วยผลักดันรายได้ให้เข้าเป้าหมายในปีนี้ที่ 53,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เน้นพัฒนาในทำเลศักยภาพสูง ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาและภูเก็ต พร้อมปรับพอร์ตสินค้าให้สัดส่วนโครงการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็น 57% จากเดิมที่อยู่ราว 35% เพื่อตอบรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อจริง
ศุภาลัย ไม่น้อยหน้า ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปีนี้เตรียมเปิดตัวถึง 42 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 36,000 ล้านบาท พร้อมใช้กลยุทธ์ “Private Tour” เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะแบบไม่เปิดทั่วไป โดยยังเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมราคาตั้งแต่ 3-7 ล้านบาท
อีกทั้งยีงมีกลยุทธ์สำคัญอยู่ที่การกระจายทำเลไปยังต่างจังหวัดมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น สุพรรณบุรี ลพบุรี สมุย และหัวหิน เพื่อเข้าถึงตลาดจริงในระดับภูมิภาคที่ยังมีความต้องการซื้ออยู่อาศัย ทั้งยังเดินหน้าลงทุนในต่างประเทศผ่าน Supalai Australia Holdings เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำจากตลาดอสังหาฯ ต่างประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ ยังปรับแผนคอนโดมิเนียมให้กลับมาเป็นหนึ่งในเรือธงหลัก โดยคาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปีก่อนกว่า 13%
ขณะที่ บริทาเนีย ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแนวราบ ยังโฟกัสที่การเติบโตในโซนกรุงเทพฯ ได้ประกาศเปิดตัว 16 โครงการแนวราบใหม่ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท เจาะทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เช่น ราชพฤกษ์ บางบัวทอง และพุทธมณฑล โดยมองว่าโซนตะวันตกยังมีศักยภาพเติบโตจากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิด 5-6 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง โดยเน้นจับกลุ่มระดับกลางในพื้นที่ปริมณฑล พร้อมขยายการเข้าถึงด้วยราคาที่จับต้องได้และทำเลที่แข็งแกร่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อรักษาการเติบโตท่ามกลางการแข่งขันสูง
สำหรับ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มระดับบนในทำเลหัวเมืองใหญ่และพื้นที่ EEC อีกทั้ง ชูจุดแข็งด้านการออกแบบและการวางตำแหน่งสินค้าในกลุ่ม upper market เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในระยะยาว
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้ปักธงตลาดลักชัวรี โดยเตรียมเปิดโครงการ “Perfect Masterpiece พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา” บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับสูงใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นตลาดพรีเมียมที่ยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง
ในภาพรวมแล้วผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างเร่งปรับแผนรับมือวิกฤตผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเร่งระบายสต็อกโครงการพร้อมอยู่ การปรับโครงสร้างสินค้าด้วยบ้านแนวราบและลักชัวรี ทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น เมืองท่องเที่ยวและ EEC และการควบคุมต้นทุนด้วยการลดการเปิดโครงการใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง
ทางด้านค่ายเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีแผนการดำเนินงานปี 2568 พัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 1 โครงการมูลค่า 3,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เลื่อนตัมาจากปี 2567 ประมาณ 3โครงการ ส่วนใหญ่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 และ3 และยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ระดับราคา 1-3 ล้านบาทเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่กลุ่มเสนาฯครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต โดยเฉพาะแบรนด์คอนโดฯ Cozi ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวในปีนี้มากถึ 6 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขาย ไว้ที่15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้านไว้ด้วย
แม้สถานการณ์ตลาดในปี 2568 จะยังเต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่กลับยังไม่ปรับลดแผนการลงทุนหรือเปิดตัวโครงการใหม่ลง ทั้งยังคงยึดเป้าหมายรายได้และยอดขายไว้ในระดับเดิม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระยะยาวต่อแนวโน้มของตลาดที่จะสามารถประคับประคองตัวให้ผ่านพ้นปี 2568 ได้อย่างมีเสถียรภาพ และพร้อมปูทางสู่การฟื้นตัวในปี 2569 โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจกลับเข้าสู่จังหวะขาขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.77 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หรือ เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลาง ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย
อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk จากแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะขึ้นกับพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
โดยในกรณีที่ สถานการณ์ดังกล่าวทวีความรุนแรงและเสี่ยงลุกลาม บานปลายมากขึ้น (เช่น สหรัฐฯ ตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมในการโจมตีอิหร่าน จนนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นจากฝั่งอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance)
ก็อาจทำให้ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้โดยรวมเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง (หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลง)
ในกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว มีทิศทางที่จะทยอยคลี่คลายลงได้ และอาจเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาเจรจายุติการสู้รบ ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงบ้าง ซึ่งต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ประกอบไปด้วย โดยหากเงินดอลลาร์ทรงตัว หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำปรับตัวลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
ทั้งนี้ แม้ว่า เงินบาทจะเผชิญความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจติดโซนแนวต้าน 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทก็อาจขยับขึ้นมาแถว 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวออกจากโซนแนวรับ-แนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ (ล่าสุด เงินบาทก็ยังไม่สามารถผ่านโซนดังกล่าวได้)
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.69-32.83 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินจะเบาบางลง
เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด Juneteenth ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า เงินบาทก็พอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้
ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังมีโอกาสทยอยขึ้นดอกเบี้ย (อัตราเงินเฟ้อ CPI ญี่ปุ่น เดือนพฤษภาคม ที่ออกมาในเช้าวันนี้ ก็ยังอยู่ในระดับสูงถึง 3.5%) สวนทางกับแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านด้วยเช่นกัน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์แถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน
แม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Juneteenth ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงราว -0.3% ของสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ล่าสุด
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.83% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.3%
ทางด้านตลาดค่าเงิน แม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นล่าสุด อย่าง Core-Core CPI ก็ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดจะเบาบางลงช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังล่าสุด BOE มีมติ 6-3 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25% ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า BOE ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจจากเฟดสาขา Philadelphia
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.70-32.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ
แม้เงินบาทจะฟื้นตัวกลับมาบางส่วนในช่วงแรก แต่ลดช่วงบวกและทยอยอ่อนค่ากลับมาอีกครั้งตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงประคองจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และสัญญาณจากเฟดที่มีท่าทีระมัดระวังต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากผลของภาษีการค้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ของญี่ปุ่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนมิ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จากเหรียญประวัติศาสตร์โอลิมปิก สู่การก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก — เส้นทางที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นของ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ จุดกระแสความภาคภูมิใจของแฟนแบดมินตันไทยอีกครั้ง
เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการแบดมินตันไทยอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่วัย 24 ปี ที่เพิ่งจารึกชื่อเป็นคนไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลจากกีฬาแบดมินตันในโอลิมปิกเกมส์กลางปีที่แล้ว จุดกระแสแบดมินตันในไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้งและล่าสุด “วิว” ได้สร้างบันทึกหน้าสำคัญอีกครั้งให้วงการกีฬาไทย เมื่อเจ้าตัว ก้าวขึ้นครองมือ 1 ของโลก ในประเภทชายเดี่ยวอย่างสมศักดิ์ศรี จากผลงานอันร้อนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ผลงานในรายการล่าสุด คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อกุลวุฒิคว้าแชมป์ สิงคโปร์ โอเพ่น ได้แบบไม่เสียแม้แต่เกมเดียว ตั้งแต่รอบแรกถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยในรายการนี้ยังมีข่าวดีซ้อนอีกชั้นสำหรับแฟนกีฬาไทย เมื่อ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน ผงาดคว้าแชมป์ที่ 5 ร่วมกันอีกด้วย
ในรอบชิงชนะเลิศประเภทชายเดี่ยว “วิว” แสดงให้เห็นถึงฟอร์มอันดุดัน พัฒนารูปแบบการเล่นจากเดิมที่เน้นรับเหนียวแน่น มาเป็นเกมรุกที่เฉียบคมมากขึ้น พร้อมด้วยลูกเล่นและเทคนิคที่แพรวพราว ส่งผลให้ผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง
นับตั้งแต่ต้นปี 2025 “วิว” คว้าแชมป์ไปแล้ว 4 รายการ ได้แก่
แม้จะมีช่วงหลุดฟอร์มบ้าง เช่น การตกรอบ 16 คนสุดท้ายใน ออล อิงแลนด์ 2025 และรอบ 8 คนใน สวิส โอเพ่น แต่หลังจากกลับมาแข่งในเอเชีย กุลวุฒิก็คืนฟอร์มทันที คว้าแชมป์ชิงแชมป์เอเชียได้สำเร็จ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดมินตันชายไทยคนแรกที่ได้แชมป์รายการนี้
จากนั้นเจ้าตัวเดินหน้ากวาดแชมป์อีก 2 รายการใหญ่ที่ไทยแลนด์ โอเพ่น และสิงคโปร์ โอเพ่น โดยในรอบชิงฯ ที่สิงคโปร์ยังสามารถ ย้ำแค้น ลู่ กวางซู มือ 15 ของโลกจากจีน ซึ่งเคยแพ้ให้วิวในรอบชิงฯ ชิงแชมป์เอเชียมาแล้ว
เท่ากับว่า 3 รายการล่าสุดที่กุลวุฒิลงแข่ง เจ้าตัว ชนะรวด 15 นัด คว้าแชมป์ทั้ง 3 รายการติด และในรอบตัดเชือกของสิงคโปร์ โอเพ่น ยังเอาชนะ หลิน ชุนยี่ มือ 19 โลกจากไต้หวัน 2-0 เกม ซึ่งชัยชนะดังกล่าวช่วยการันตีคะแนนสะสมให้ “วิว” แซง ฉี ยู่ฉี มือ 1 โลกชาวจีน ซึ่งตกรอบ 16 คนสุดท้ายในรายการนี้
“วิว” ซึ่งก่อนแข่งตามหลังอยู่กว่า 7,000 คะแนน พอคว้าแชมป์ก็รับแต้มเพิ่มถึง 11,000 ขณะที่หนุ่มจีนไม่สามารถป้องกันแชมป์เก่าได้ คะแนนจึงถูกหักออกตามระบบ ส่งผลให้กุลวุฒิขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568
และนี่คือการ เดินตามรอย “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ที่เคยขึ้นเป็นมือ 1 โลกฝ่ายหญิงเดี่ยวเมื่อ 21 เม.ย. 2016 จากผลงานคว้าแชมป์ระดับซูเปอร์ซีรีส์ 3 รายการติดกัน ได้แก่ อินเดีย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ โอเพ่น ในช่วงเวลาเพียง 3 สัปดาห์ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดหญิงไทยคนแรกที่ขึ้นมือ 1 โลก
ขณะเดียวกัน “วิว” ยังกลายเป็นนักแบดมินตันไทยคนที่ 6 ที่เคยขึ้นมือ 1 โลกต่อจาก
ต่อมาในการแข่งขัน อินโดนีเซีย โอเพ่น เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 วิวมีภารกิจสำคัญคือการรักษาฟอร์มและตำแหน่งมือ 1 โลกให้ได้อย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งเจ้าตัวทำได้สำเร็จด้วยการทะลุถึงรอบรองฯ แม้จะแพ้ โจว เทียนเฉิน จากไต้หวัน แต่ผลงานเท่ากับปีที่แล้ว จึงยังรักษาคะแนนไว้ได้ครบ
ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า การขึ้นเป็นมือ 1 โลกของ “วิว” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของความทุ่มเทและพัฒนาตนเองตลอดเส้นทางอาชีพ — และด้วยวัยเพียง 24 ปี เจ้าตัวยังมีเวลาอีกมากในการเดินหน้าสร้างความสุขให้แฟนกีฬาไทย และเขียนหน้าประวัติศาสตร์ให้วงการแบดมินตันไทยอีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“ไหลตาย” เป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย (พบในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่) สาเหตุมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจตั้งแต่กำเนิด ที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนเสียชีวิต ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อวางแผนป้องกันโรค
เมื่อหลายปีก่อนเราได้ทราบข่าวจากเพื่อนต่างสถาบันว่า เพื่อนของเพื่อนที่อยู่ในหอพักเดียวกันเสียชีวิตก่อนวันสอบเพียงคืนเดียว สาเหตุมาจากการ “ไหลตาย” เพราะนอนหลับหลังอ่านหนังสืออย่างหนักติดต่อกันหลายวัน และไม่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันสอบ และทราบว่าชีพจรไม่เต้นไปเสียเฉยๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้ยินคำว่า “ไหลตาย” และลงมือหาข้อมูลเดี๋ยวนั้นว่าไหลตายคืออะไร ใครที่เคยได้ยินแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร Sanook Health นำข้อมูลมาฝากกัน เพราะเหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวคุณในวันหนึ่งเหมือนเราก็ได้
อาการไหลตาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างกะทันหัน ทำให้เสียชีวิตในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากการที่มีลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจกะทันหัน จนทำให้เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน หรือเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจที่มีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นการสืบทอดมาจากพันธุกรรมในครอบครัวนั่นเอง
คนส่วนใหญ่มักพบผู้ป่วยในร่างที่เสียชีวิตแล้ว เพราะมักเกิดอาการในขณะที่กำลังนอนหลับพักผ่อน เสมือนนอนหลับแล้วจากไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ มักเป็นการเสียชีวิตอย่างฉับพลันในช่วงเวลากลางคืน
อาการไหลตาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนอายุ 30-50 ปี นอกจากนี้ยังอาจเกิดกับคนที่เคยมีประวัติเกิดภาวะหัวใจเต้นระริกไม่มีการบีบตัว ทำให้ไม่มีการไหลเวียนเลือด ไม่มีการลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือภาวะกระแสไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ รวมทั้งอาการหายใจเป็นเฮือกๆ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้นหลังหัวใจหยุดเต้น คนกลุ่มนี้แม้มีชีวิตรอดจากการช่วยปั๊มหัวใจมาได้ครั้งหนึ่ง ก็ยังมีความเสี่ยงจะเกิดซ้ำอีก
นอกจากนี้ หากพบว่าเคยมีคนในครอบครัว หรือเครือญาติมีประวัติเสียชีวิตจากอาการไหลตาย รวมไปถึงเคยสังเกตตัวเองว่ามีอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ก็ถือว่ามีตวามเสี่ยงที่จะเกิดอาการไหลตายได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในโลกปัจจุบันนั้นภาษาที่ 2 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากๆในปัจจุบัน อีกทั้งภาษายังเป็นสื่อกลางหรือเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการส่งสารไปถึงผู้อื่น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ ก็ด้วยภาษานี้แหละครับ และภาษาก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ดีที่สุดในการทำให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งภาษายังเปรียบเสมือนวัฒนธรรมอีกสิ่งหนึ่งของมนุษย์ในแต่ละชาติอีกด้วย ยิ่งเพื่อนๆสามารถสื่อสารได้มากภาษาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสในการทำงานกับองกรณ์ต่างชาติได้มากขึ้นมีโอกาสต่างๆที่มากขึ้นอาทิเช่น การติดต่อกับต่างประเทศ การมีคอนเนคชั่นกับชาวต่างชาติ สามารถเลือกอาชีพได้เยอะกว่า
วันนี้แอดมินจากเพจ Engduo Thailand จะมาบอก 5 ภาษาที่ควรเรียนรู้ไว้เป็นภาษาที่ 2 เพื่อโอกาสการก้าวหน้าในสายการทำงานในอนาคต
เรามาเริ่มต้นกันที่ภาษาแรกกันเลย ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นภาษาสากลของโลกที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันทางสถาบันสอนภาษา Engduo Thailand อยากให้เพื่อนๆฝึกฝนและเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้สามารถสื่อสารได้คล่อง ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่เพื่อนๆเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ตาม แต่เราเชื่อว่ายังมีเพื่อนๆบางคนที่ยังมีความกังวลในการที่จะพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกันอยู่ บางคนอาจจะสามารถสื่อสารได้แต่ยังมีความอายที่จะพูด ซึ่งพื้นที่การเรียนการสอนของไทยนั้นจะเน้นไปที่การท่องจำคำศัพท์ และ Grammar เป็นหลักแต่ไม่มุ่งเน้นไปที่การพูดทำให้คนไทยขาดความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ
การที่เพื่อนๆจะเพิ่มโอกาสในการงาน และ เพิ่มรายได้ที่ดีขึ้นนั้น ภาษาอังกฤษยังเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เพื่อนๆควรมีติดตัวไว้ เนื่องด้วยในปัจจุบันอาชีพต่างๆมีการใช้ภาษาอังกฤษที่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น วิศวกร, IT, Blogger, นักการตลาด หรือ Marketing ฉommunication และ อื่นๆอีกมากมาย ต่างก็มีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเพื่อนๆสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดียังสามารถมีโอกาสในการทำอาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นหลักอีกด้วยเช่น แอร์โฮสเตท หรือ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน, พนักงานโรงแรม, ล่าม, ครูภาษา, มัคคุเทสก์ หรือ ไกด์ เมื่อเพื่อนๆเห็นประโยชน์มากมายของภาษาอังกฤษนี้แล้วอย่ามัวรอช้า ควรเรียนให้รู้ให้จริง และกล้าที่จะนำมาใช้เพื่ออนาคตที่ดีนะครับ
อย่างที่เราทุกๆ คนทราบกันดีอยู่เเล้วว่า ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาที่ควรเรียน เเละมีความต้องการมากๆ โดยเฉพาะในการลงทุนทำธุรกิจ ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาที่คนใช้มากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะประชากรชาวจีนมีมากถึง 1,400 ล้านคน เเละประชากรจีนยังกระจายไปอยู่ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ใช่เเค่ประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้ภาษาจีน ใต้หวัน, ฮ่องกง, สิงคโปร์ เเละอีกหลายๆ ประเทศก็ใช้ภาษาจีนในการสื่อสารชีวิตประจำวันของคนในประเทศของเขาด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ภาษาจีนยังมีประโยชน์ในการสร้างโอกาสในการทำงานมากขึ้นอีกด้วย ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่ผู้ประกอบการต้องการ เเละพร้อมจ่ายค่าภาษาเพิ่มให้กับลูกจ้าง ผู้สมัครบางคนต้องไปทำการสอบวัดระดับภาษาเพื่อมายื่นรับเงินเดือนเพิ่มเติมในส่วนของภาษาที่สอบได้ การทำธุรกิจก็เช่นกัน ภาษาจีนยังเป็นอีกภาษาที่ใช้ในการติดต่อค้าขาย การที่เราสามารถพูดภาษาจีนเองได้เลยก็ช่วยให้การทำงานนั้นสะดวกง่าย เเละรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย
อีกหนึ่งภาษาที่แอดมินอยากให้เพื่อนๆเรียนรู้ไว้นั่นก็คือภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง เพื่อนๆอาจสังเกตุได้ว่าในปัจจุบันนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมาระดมทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุตสาหกรรม,ไฟฟ้า,เครื่องกล,ยานยนต์ หรือ อาหารที่มีกระจาย และ แพร่หลายอยู่ทั่วประเทศไทย ดังนั้นเมื่อพุดถึงโอกาสในการทำงานแล้วการที่เพื่อนๆสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ถือเป็นโอกาสในการเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ๆต่างๆของญี่ปุ่นอีกด้วย
ยิ่งถ้าเพื่อนๆที่จบสายวิศกรรมมานั้นการที่เพื่อนๆสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ถือเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่เพื่อนๆจะมีโอกาสหรือได้รับการคัดเลือกมาทำงานมากกว่าผู้สมัครที่จบมาในสายงานเดียวกันแต่ไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ เมื่อเพื่อนๆเห็นประโยชน์ต่างๆของภาษาญี่ปุ่นแล้วเพื่อนๆเตรียมปักหมุดไว้เลยว่าภาษาญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งภาษาที่เพื่อนๆควรเรียนรู้ไว้
ภาษาเกาหลี เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เเม้ว่าภาษาเกาหลีจะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเเพร่หลายเหมือนภาษาอื่นๆ เเต่ปัจจุบัน วัฒนธรรม ดารา นักร้อง ละครซีรีย์ ที่มาจากประเทศเกาหลีใต้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจะเห็นภาษาเกาหลีในเเวดวง ธุรกิจ การค้า รวมถึงงานบันเทิงอย่าง คอนเสิร์ต หนัง ละคร เป็นต้น
ภาษาเกาหลีจะมีความคล้ายกับ ภาษาญี่ปุ่น ตัวอักษรเเละเสียงจะอ่านได้ไม่ยากมาก ภาษาเกาหลีถือว่าง่ายกว่าภาษาอื่นๆ เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ชื่นชอบการดูซีรีย์เกาหลีด้วยเเล้ว การเรียนภาษาเกาหลีจะไปได้เร็ว ไปได้ไกลมากๆ เลย หากว่าใครพูดเกาหลีได้ ก็จะเปิดกว้างในด้านอาชีพการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ล่าม นักเเปล ครูสอนภาษาเกาหลี เป็นต้น
ภาษาฝรั่งเศส เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ทางเพจ Engduo Thailand อยากให้เรียนรู้ไว้เพราะ ภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาราชการที่ใช้กันมากกว่า 20 ประเทศ หรือรวมๆแล้วใช้กันประมาณ 5 ทวีป และเชื่อว่าในอนาคตภาษาฝรั่งเศษมีเเนวโน้มที่คนจะใช้กันไปเรื่อยๆ อย่างองค์กรใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ หรือ องค์การยูเนสโก้ ก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการทำงานด้วย
นอกจากนี้ภาษาฝรั้งเศสยังเป็นภาษาพื้นฐานในการที่เพื่อนๆ สามารถนำไปต่อยอดเรียนภาษาอื่นๆ ได้ อย่างเช่น ภาษาสเปน ภาษาอิตาลี เป็นต้น ถ้าเพื่อนๆ สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ มันก็จะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เพราะหลายๆ บริษัทชั้นนำของโลกใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารและการทำงาน นอกจากนี้ภาษาฝรั้งเศษยังเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรม เเละ ผลงานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ศิลปะ ภาพยนตร์ การออกแบบสถาปัตยกรรมต่าง ๆ การที่เราสามารถอ่านภาษาฝรั้งเศษออกก็จะทำให้เราเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ได้มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ปกติการเดินทางของแต่ละคนก็มีเรื่องราวอยู่แล้วว่าเคยไปไหน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ บางคนใช้ Google Maps ในการบอกทางอยู่ และถ้าคิดถึงเวลาเก่าๆ ก็มักจะหยิบมาดูแต่รู้หรือไม้ มีฟีเจอร์หนึ่งย้อนรำลึกถึงเวลาเก่าๆ ในการเดินทางได้ วันนี้ Sanook Hitech จะมาบอกคุณว่า Google Maps สามารถย้อนดูการเดินทางที่ผ่านมาอย่างไร
หลังจากที่รู้ว่าเข้าไปดูประวัติการเดินทางอย่างไรแล้ว รอบนี้เรามาดูว่าสามารถแยกการดูแบบไหนได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เปิดใช้งาน “ประวัติตำแหน่ง” (Location History) ในบัญชี Google ของคุณไว้ล่วงหน้าเท่านั้น หากคุณปิดไว้ Google Maps จะไม่สามารถบันทึกข้อมูลการเดินทางของคุณได้นะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ส้มโอมีประโยชน์เด่นทั้งรสชาติอร่อยหวานอมเปรี้ยวและคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ
ส้มโอ (Pomelo, Citrus maxima) เป็นผลไม้ในตระกูลส้มขนาดใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกลมโต เปลือกหนา เนื้อภายในมีหลากหลายสี เช่น สีขาว เหลือง ชมพู หรือแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว กรอบฉ่ำน้ำ เป็นที่นิยมทั้งรับประทานสดและแปรรูปเป็นขนมหรือของหวาน
ส้มโอมีประโยชน์ครบทุกด้าน ทั้งเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดไขมันในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ ดูแลระบบขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนัก ถือเป็นผลไม้ไทยที่ดีต่อสุขภาพและควรมีติดบ้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,000.00 | 52,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,361.00 | 50,952.76 | 52,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,024.90 | 45,857.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,688.80 | 40,762.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,512.45 | 22,928.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,176.35 | 17,833.47 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,482.90 | 52,800.76 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.25 | 33.25 | 33.75 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.88 | 32.88 | 33.38 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.04 | 31.04 | 31.54 | 31.04 | 31.04 | – | 31.04 | 31.04 | 31.04 | 31.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.39 | 29.39 | – | – | – | – | – | – | – | 29.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.84 | 49.54 | 49.84 | 49.54 | – | – | – | – | – | 41.84 |
เบนซิน 95 | 41.54 | – | – | – | 49.51 | – | 42.04 | 41.69 | – | 41.54 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
ซัพพลายบ้านหรูระดับราคา 10 ล้านขึ้นไปในกรุงเทพฯ ยังโตแรงโดยเฉพาะโซนตะวันออกและตะวันตก ครองส่วนแบ่งอุปทานใหม่กว่า 50%สวนทาง‘ดีมานด์’ส่งสัญญาณชะลอซื้อ
แฟรงค์ ข่าน พาร์ทเนอร์ หัวหน้าฝ่ายที่อยู่อาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดบ้านหรู ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวและมาตรการสินเชื่อยังคงเข้มงวด โดยมีกลุ่มผู้ซื้อมั่งคั่งสูง ทั้งกลุ่ม High Net Worth และ Ultra Affluent เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาดที่สำคัญ
ขณะเดียวกันผู้พัฒนาโครงการเลือกกระจายอุปทานใหม่อย่างชัดเจนในพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก และฝั่งตะวันตก ที่รวมกันแล้วมีสัดส่วนอุปทานใหม่มากกว่าครึ่งของตลาด
ทั้งนี้ จำนวนบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 12,349 ยูนิต ในปี 2562 พุ่งทะยานขึ้นถึง 37,775 ยูนิตในปัจจุบัน สะท้อนความต้องการบ้านหรูที่มีเสถียรภาพสูง โดยเฉพาะช่วงระดับราคา 10-20 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่ดีเวลลอปเปอร์ปรับกลยุทธ์หันมาเจาะตลาดนี้มากขึ้น เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อดี ส่วนบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี ระดับราคาเกิน 70 ล้านบาท ยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องเน้น “ทำเล” และ “ความแตกต่าง” อย่างชัดเจน
ในแง่ทำเล พบว่าโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกเป็นศูนย์กลางอุปทานใหญ่สุด ด้วยสัดส่วนสูง 26% ของตลาดบ้านหรูทั้งหมด ตามด้วยฝั่งตะวันตก โดยมีสัดส่วนรวมกันเกิน 40% ซึ่งโซนฝั่งตะวันตก และ ชานเมืองฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ยังคงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขณะที่โซนกลางเมืองมีอุปทานต่ำสัดส่วนเพียง 3% เนื่องจากข้อจำกัดที่ดินและต้นทุนที่สูงมาก!
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดบ้านหรูระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปขยายตัวต่อเนื่อง และมีอัตราการขายสูงถึง 65.6% ของอุปทานใหม่ โดยเฉพาะบ้านในช่วงราคา 10-40 ล้านบาท ที่ครองยอดขายรวมกว่า 75% ของตลาด แต่ ปริมาณหน่วยขายบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ถึง เม.ย.2568 ชะลอตัวลง! อยู่ที่ 1,000-1,500 ยูนิต สะท้อนความระมัดระวังในการตัดสินใจของผู้ซื้อในภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ โซนตะวันออกยังคงเป็นทำเลฮอต! ที่มีความต้องการสะสมสูงสุด 28% ของตลาด ขณะที่ฝั่งตะวันตกมีอุปสงค์สะสมราว 37% รวมกันครองตลาดใหญ่สุด โซนกลางเมืองได้รับความนิยมต่ำเพียง 4% เนื่องจากราคาที่ดินสูงและพื้นที่จำกัด ขณะที่โซนเหนือ และชานเมืองฝั่งเหนือของกรุงเทพฯ เป็นตลาดรองที่ยังไม่มีแรงดึงดูดมากนัก
จากการวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทานตามระดับราคา พบว่า กลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาท คือตลาดหลัก! มียอดขายสูงสุด 38% ของตลาดทั้งหมด ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ที่ต้องการบ้านคุณภาพบนทำเลเข้าถึงได้ง่าย ส่วนบ้านราคาสูงกว่า 70 ล้านบาท แม้มีอุปทานจำกัดแต่กลับมีอัตราการขายสูงถึง 84% แสดงถึงความมั่นคงของตลาดอัลตร้าลักชัวรีที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาทั้งความเป็นส่วนตัวและสถานะทางสังคม
หากประเมินแนวโน้มตลาดบ้านหรูค่อนข้าง ”ทรงตัว” หรือขยายตัวอย่างระมัดระวัง ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ยังคงมีกำลังซื้อและความต้องการอยู่อาศัย หรือ ลงทุนในทรัพย์สินที่จับต้องได้ ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ยังคงเดินหน้ารุกตลาดบ้านหรูในทำเลศักยภาพหลัก เช่น ราชพฤกษ์ กรุงเทพกรีฑา พระราม 9-บางนา สมุทรปราการ และฝั่งธนบุรี เพื่อรักษาอัตราการขายและลดความเสี่ยงจากสต็อกคงค้าง ถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่ต้องจับตาคือภาวะ “ดอกเบี้ย” ที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย แม้ว่าจะมีแนวโน้มปรับลดในครึ่งปีหลัง 2568 และภาระหนี้ครัวเรือนสูงใกล้ 90% ของ GDP อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ การสะสมอุปทานบ้านแนวราบราคาสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ตลาดบางกลุ่มเริ่ม “ชะลอตัว”
“ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ผู้ซื้อยังมีศักยภาพแต่กลับใช้เวลาในการพิจารณาและเลือกซื้อมากขึ้นสะท้อนการชะลอการตัดสินใจของผู้ซื้อบางกลุ่ม”
ตลาดบ้านหรูในกรุงเทพฯ ยังมีกลุ่มลูกค้าแข็งแรงโดยเฉพาะผู้ซื้อที่พร้อมทางการเงินและมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตในระยะยาว กลุ่มราคา 10-30 ล้านบาทยังคงเป็นตลาดหลัก ขณะที่ตลาดอัลตร้าลักชัวรี มีดีมานด์มั่นคงในกลุ่มลูกค้าเฉพาะเฉพาะเจาะจง (Niche Market) ด้วยดีไซน์และจุดขายที่แตกต่างตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม! จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพตลาดในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ออริจิ้น โฮเทล สวนกระแสธุรกิจท่องเที่ยวหดตัว อัตราเข้าพักโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง สูง 70% ทำราคาต่อคืนสูงกว่าตลาดหลังขยายฐานเจาะลูกค้าใหม่
นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยชะลอตัว ทั้งเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย ซึ่งข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค. 2568 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยจำนวน 12.9 ล้านคน หดตัว 1% (YoY) แต่บริษัทฯ มองว่าภาพรวมภาคการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของลูกค้าในโรงแรมเครือออริจิ้นค่อนข้างสูงเฉลี่ย 70% (BKK 76%) เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมการลงทุน และการท่องเที่ยวยังเป็นเซ็กเตอร์สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 และในอนาคตอย่างมาก
โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่มีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ แต่กลุ่มออริจิ้น โฮเทล สามารถสร้างผลงานโดดเด่นสวนกระแสโรงแรมคู่แข่งในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากอัตราการเข้าพักของโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบังที่ยังอยู่ในระดับสูง
ที่ผ่านมา เครือฯ ออริจิ้น โฮเทล ได้ขยายการลงทุนธุรกิจโรงแรมในทำเลทองภาคตะวันออก ร่วมกับพันธมิตร International Hotel Chains เช่น กลุ่มโรงแรม Inter Continental Hotels Group (IHG) ซึ่งเป็นบริษัทโรงแรมและรีสอร์ทข้ามชาติขนาดใหญ่ของอังกฤษ เข้ามาบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ Holiday inn and suites สร้างความแข็งแกร่งมีลูกค้าทั้งจากชาวต่างชาติและชาวไทย ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มลูกค้าคอร์ปอเรทของบริษัทข้ามชาติที่มีสวัสดิการให้กับพนักงานและผู้บริหารระดับกลาง-สูง ที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมได้เข้ามาพักอาศัยต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดบริการทางการเมื่อช่วงต้นปี 2563
นายปรีชา ยะรังวงษ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง กล่าวเสริมว่า โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ศรีราชา แหลมฉบัง เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ เป็นอาคารสูง 28 ชั้น รวม 347 ห้องพัก ปัจจุบันมี Occupancy Rate ต่อวันเฉลี่ย 70% อัตรา Room Rate ต่อคืนสูงกว่าตลาดในย่านเดียวกันทั้ง Occupancy Rate และ Room Rate (ขึ้นอยู่กับประเภทห้อง)
โดยปัจจัยหลักที่สามารถดึงดูดลูกค้าต่างชาติให้เลือกใช้บริการและเข้าพักที่โรงแรม มาจากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ซึ่งเป็นกลุ่ม IHG (InterContinental Hotels Group) ภายในโรงแรมยังมีห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ห้องอาหาร The Hub Bar & Deli และ Level 8 Kitchen & Bar โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพใจกลางย่านอีอีซี เขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง และย่านธุรกิจที่สำคัญของ อ.ศรีราชาที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน มีการพัฒนาโครงสร้างสาธารณะพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เดินทางจากกรุงเทพฯ เพียงชั่วโมงกว่าๆ
“แม้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว แต่ยังคงมีกลุ่มลูกค้าที่มาจากหลากหลายประเทศ อาทิ กลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี ทั้งเป็นลูกค้าคอร์ปอเรทที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมเข้าพักช่วงวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนวันหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจมาตีกอล์ฟในวันหยุด และลูกค้าประชาชนทั่วไปที่มากันเป็นครอบครัวเพื่อพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19มิ.ย.2568 ที่ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็เริ่มมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่ามากขึ้น อาจกดดันให้เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง
ทว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่า เร็ว แรง ไปมากนัก ตราบใดที่ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ไม่ได้พัฒนาไปสู่ วิกฤตการเมือง จนอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนต่างชาติอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงนั้น อาจยังคงหนุนการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ ทำให้ในระยะสั้น เงินบาทอาจยังมีโซนแนวต้านแถว 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ ส่วนแนวรับของเงินบาทนั้น อาจขยับขึ้นมาแถวโซน 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.56-32.70 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด ทว่า คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หรือ Dot Plot ใหม่
สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้ง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาด แต่ เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ต่อ ปี ในปี 2026 และ 2027 ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาดการณ์ของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ ประธานเฟดยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบเดินหน้าลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินข้อมูลให้รอบด้าน
โดยเฉพาะผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังพอสามารถรีบาวด์สูงขึ้นได้ จากที่ปรับตัวลดลงหลังรับรู้ผลการประชุมเฟด ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะคลายกังวลสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล อีกทั้ง เฟดก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.03%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.36% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงของ Novo Nordisk -1.1% หลังศาลสหรัฐฯ ยืนคำตัดสินของ FDA สหรัฐฯ ในการถอดยายอดนิยมของบริษัท ทั้ง Ozempic และ Wegovy ออกจากบัญชียาขาดแคลน
ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.39% หลังเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย อีกทั้ง Dot Plot ใหม่ ก็สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่น้อยลงกว่าที่ตลาดคาดในปี 2026 และ ปี 2027
ทั้งนี้ แม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากนัก หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด แต่เรามองว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ปัจจุบัน อาจยังไม่น่าสนใจมากนัก ทำให้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ก็ยังพอหนุนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.5-99.0 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) จะเผชิญแรงกดดันให้ย่อตัวหลัง ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หนุนการรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,390-3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ต่างจากการตัดสินใจของเฟดล่าสุด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ ก่อนที่จะจบรอบการลดดอกเบี้ย
และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ที่จะรายงานในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยรายงานอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว อาจส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องไปอยู่ใกล้ๆ แนว 32.80 โดยปรับตัวอยู่ที่ 32.76-32.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับทิศทางของสกุลเงินเอเชียและสกุลเงินหลักอื่นๆ สวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นรับสัญญาณจากประธานเฟดที่สะท้อนว่า เฟดอยู่ระหว่างรอประเมินผลกระทบจากภาษี และยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อและ dot plot ใหม่ของเฟด ยังบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มลดจำนวนรอบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในปีหน้า (แม้ผลการประขุมรอบนี้ เฟดจะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% และ dot plot สะท้อนโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ตามเดิมก็ตาม) นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากประเด็นทางการเมืองในประเทศด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมเฟด ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ผลการประชุม BOE และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สอง กลุ่ม 5 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568
โดยในวันนี้ (19 มิ.ย. 68) จะเป็นการลงสนามนัดที่สองของสัปดาห์นี้ของ “ทัพนักตบสาวทีมชาติไทย” ทีมอันดับ 14 ของโลก พบกับ ทีมชาติอิตาลี ทีมอันดับ 1 ของโลก
เผยสถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุดระหว่าง ไทย VS อิตาลี ปรากฏว่า สาวไทยเป็นฝ่ายปราชัยทั้ง 5 นัด
คัดโอลิมปิก วันที่ 19 กันยายน 2023
ไทย แพ้ อิตาลี 1-3 เซต (19-25, 25-21, 22-25, 18-25)
เนชันส์ ลีก วันที่ 30 พฤษภาคม 2023
ไทย แพ้ อิตาลี 2-3 เซต (26-24, 17-25, 29-27, 28-30, 11-15)
เนชันส์ ลีก วันที่ 3 กรกฎาคม 2022
ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (20-25, 14-25, 14-25)
เนชันส์ ลีก วันที่ 20 มิถุนายน 2021
ไทย แพ้ อิตาลี 1-3 เซต (35-33, 21-25, 25-27, 20-25)
เนชันส์ ลีก วันที่ 22 พฤษภาคม 2019
ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (13-25, 17-25, 24-26)
สำหรับวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พบกับ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติอิตาลี ศึกเนชันส์ ลีก 2025 วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ตามเวลาประเทศไทย 16:00 น. สามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง VBTV (มีค่าบริการแบบรายเดือน)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไทยเผชิญวิกฤตมะเร็งปอดพุ่ง! พบผู้ป่วยใหม่วันละ 48 ราย เสียชีวิตวันละ 40 ราย ชี้มลพิษอากาศ-ฝุ่น PM2.5 ตัวการร้าย
จากข้อมูลล่าสุดของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า มะเร็งปอด กำลังเป็นภัยเงียบคร่าชีวิตคนไทยสูงถึง วันละ 40 ราย และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย วันละ 48 ราย สะท้อนความรุนแรงของโรคที่มาพร้อมกับวิกฤตมลพิษอากาศ โดยเฉพาะ ฝุ่น PM2.5 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ยกให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มหนึ่ง เช่นเดียวกับบุหรี่
ในงาน “มะเร็งรู้ทัน ป้องกันเป็น รักษาได้” จัดโดยชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ ให้ข้อมูลกล่าวว่า องค์กรอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 77 ภายใน 25 ปีข้างหน้า
สำหรับ สถิติมะเร็งในประเทศไทย ในปี 2022 ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่าแต่ละปีมีคนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งรายใหม่ ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 คน เฉลี่ยวันละ 227 ราย มะเร็งเต้านมยังคงมีสถิติเป็นอันดับหนึ่ง มะเร็งปอดตามมาเป็นอันดับ 2 แต่มีสถิติที่น่าตกใจ พบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยวันละ 48 คน และมะเร็งปอดคร่าชีวิตคนไทยวันละ 40 ราย
รศ.นพ.นรินทร์ กล่าวต่อว่า หนึ่งในวิธีการป้องกันมะเร็งที่สำคัญมาก คือ อากาศ มะเร็งไม่ชอบออกซิเจน มะเร็งชอบสิ่งที่เป็นกรด ออกซิเจนน้อยๆ หากเราสามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มา จะช่วยส่งเลือดหมุนเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ร่างกายจะแข็งแรง อายุยืน แต่ด้วยอากาศที่สกปรกของไทยที่ติดอันดับโลกไปแล้ว ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ทั้งสิ้น
“สิ่งที่น่ากลัวมากในปัจจุบัน คือ อากาศเป็นพิษเต็มไปด้วย PM 2.5 เมื่อสูดดมเข้าสามารถเข้าไปลึกถึงหลอดลมจนกระทั่งเข้าไปในกระแสเลือดได้ ทำให้เกิดผลต่างๆ ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจนั้น ทำให้ถุงลมโป่งพอง มีพังผืด มีแผลในปอด ปอดอักเสบ ติดเชื้อง่าย ส่งผลให้เป็นมะเร็งปอดได้ เพราะ PM 2.5 สามารถกระตุ้นให้เซลล์กลายพันธุ์อยู่แล้วแต่ยังไม่เป็นมะเร็งกลายพันธุ์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้”
เราต้องหายใจตลอดเพื่อป้องกัน สาเหตุของโรคมะเร็งปอด ควรหลีกเลี่ยงมลพิษ เสริมสร้างสุขภาพปอดด้วยการออกกำลังกายในที่อากาศบริษัท รับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บล็อกโคลี ชาเขียว แครอท ฟักทอง
อาหารต้านการอักเสบ เช่น ขิง ขมิ้นชัน เป็นต้น ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะคนที่มีประวัติ สูบบุหรี่จัด มีแผลในปอด หรือเคยฉายแสงที่ปอด การตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 80%
ขอบคุณขอบคุณข้อมูล bangkokbiznews.com
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ สิ่งที่จะทำให้เราฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างคล่องแคล่วคือการรู้คำศัพท์ หนึ่งในคู่คำศัพท์ที่ต้องรู้ตั้งแต่เรียนคอร์สแรกคือ do กับ make ฟังดูเหมือนเป็นคำง่าย ๆ เพราะถ้าแปลเป็นไทย สองคำนี้หมายถึง “ทำ” เหมือนกัน แต่เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่านี่คือคู่คำศัพท์ที่ทำให้หลายคนสับสน ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ เท่านั้น คนที่เรียนมานานบางคนก็ยังสับสน เพราะฉะนั้นเราไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน เพื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง
แม้ว่าทั้ง do และ make ในภาษาไทยจะหมายถึง “ทำ” ซึ่งคงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ สับสน แต่ความจริงแล้วสองคำนี้มีการใช้ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป “do” จะหมายถึงการกระทำ (ตัวการกระทำนั้น) ส่วน “make” มักหมายถึงการกระทำที่มีผลลัพธ์ออกมา ตัวอย่างเช่นหากเรา make breakfast (ทำอาหารเช้า) ผลก็คืออาหารเช้าที่ออกมา หรือหากเรา make a suggestion (ให้คำแนะนำ) ผลก็คือคำแนะนำที่เราสร้างขึ้น และต่อไปนี้คือหลักการโดยสรุปของการใช้ do และ make ที่จะช่วยลดความสับสนให้คนที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ได้
– Do homework (ทำการบ้าน) แม้ว่าจะมีการบ้านเป็นผลลัพธ์ที่ออกมา แต่นี่คือหน้าที่ซึ่งนักเรียนต้องทำ
– Do the dishes (ล้างจาน) งานบ้านอื่น ๆ ก็ใช้ do เช่น do the laundry (ซักผ้า)
– Do business (ทำธุรกิจ)
– Do your best (ทำให้ดีที่สุด) การกระทำที่พูดถึงโดยทั่วไปในลักษณะนี้ก็ใช้ do เช่น do the right thing (ทำในสิ่งที่ถูกต้อง)
– Do research (ทำวิจัย) แม้ว่าจะมีผลลัพธ์คืองานวิจัยออกมา แต่เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ จึงใช้ do
– Do a favor (ให้ความช่วยเหลือ)
– Make a cake (ทำเค้ก) ทำอาหารประเภทอื่น ๆ ก็ใช้ make เหมือนกัน เช่น make dinner (ทำอาหารเย็น)
– Make a decision (ทำการตัดสินใจ)
– Make money (หาเงิน)
– Make noise (ทำให้เกิดเสียง)
– Make a plan (วางแผน)
– Make a mistake (ทำความผิด)
– Make a phone call (โทรศัพท์)
แม้ว่าตอน เรียนภาษาอังกฤษ ในคลาสหลายคนอาจเข้าใจแล้วว่า do กับ make ใช้ต่างกันอย่างไร เพราะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจหลักการเบื้องต้นแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาใช้ในสถานการณ์จริง หลายคนก็ลังเลว่าจะเลือกคำไหนดี ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้ใช้สองคำนี้ได้คล่องขึ้น
บางครั้งการจำเป็นกฎทั่วไปอาจทำให้สับสนง่าย แนะนำให้จำเป็นกลุ่มคำ (collocations) ที่ใช้บ่อยไปเลย เพราะการจำเป็นกลุ่มคำคือสิ่งที่เจ้าของภาษาใช้จริงในชีวิตประจำวัน หากจำได้ก็จะช่วยให้นำไปใช้ได้เร็วขึ้นเมื่อพูดหรือเขียน เช่น do a job (ทำงาน), make an appointment (นัดหมาย), make an effort (พยายาม), make the bed (เก็บที่นอน) แม้ดูเป็นงานบ้าน แต่นี่คือหนึ่งในข้อยกเว้นที่ใช้ make
ก่อนจะเลือกใช้ do หรือ make ให้ถามตัวเองว่าผลลัพธ์ของการกระทำนั้นคืออะไร ถ้าแค่ทำบางสิ่งโดยไม่มีผลผลิตที่ออกมาชัดเจน ให้ใช้ Do แต่ถ้าการกระทำทำให้เกิดบางสิ่งขึ้นมาอย่างชัดเจน ให้ใช้ Make
แม้ว่าการ เรียนภาษาอังกฤษ และการจำวลีต่าง ๆ อาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือการได้ฝึกใช้ในสถานการณ์จริง เช่นตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้
A: Did you do your homework?
(เธอทำการบ้านเสร็จหรือยัง)
B: Yes, and I also made a plan for my weekend trip!
(เสร็จแล้ว ฉันวางแผนทริปวันหยุดแล้วด้วย!)
การฝึกใช้จริง ไม่ได้มีเพียงแค่การพูดเท่านั้น การฟัง podcast, อ่านบทความภาษาอังกฤษ หรือดูซีรีส์ที่ใช้วลีเหล่านี้บ่อย ๆ จะช่วยให้เราซึมซับการใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการ เรียนภาษาอังกฤษ ในคลาสเพียงอย่างเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ซินโครตรอน อว.โชว์ 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” จากขยะอุตสาหกรรม และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ในงาน Thailand Research Expo 2025
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” จัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ
ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง
จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ
จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที”
โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น
พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น”
อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า
สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย
เทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้
“สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี
และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน
ฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
น้ำผึ้งขึ้นชื่อว่าเป็นของหวานจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยคุณค่า แต่ไม่ใช่น้ำผึ้งทุกแบบจะให้ประโยชน์เท่ากัน หากเลือกไม่ดีอาจได้แค่น้ำตาลผสมน้ำผึ้งปลอม บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีเลือกน้ำผึ้งให้ดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง
น้ำผึ้งคือของเหลวที่ได้จากการที่ผึ้งดูดน้ำหวานจากดอกไม้ แล้วนำกลับไปเก็บในรวงผึ้ง ผ่านการย่อยบางส่วนและระเหยน้ำออกจนมีความเข้มข้นสูง น้ำผึ้งแท้จะมีลักษณะเหนียว ข้น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ผึ้งไปเก็บน้ำหวานมา เป็นแหล่งของน้ำตาลธรรมชาติ เช่น ฟรุกโตสและกลูโคส และยังมีเอนไซม์ วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
น้ำผึ้งมีสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น
น้ำผึ้งคือแหล่งประโยชน์จากธรรมชาติที่มีมากกว่าความหวาน แต่จะได้คุณค่าจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเลือกบริโภค เลือกน้ำผึ้งดิบที่มาจากแหล่งเชื่อถือได้ หลีกเลี่ยงของปลอมหรือผ่านการปรุงแต่ง แล้วคุณจะได้ของดีที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,300.00 | 52,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,381.00 | 51,255.96 | 53,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,042.90 | 46,130.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,704.80 | 41,004.77 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,521.45 | 23,065.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,183.35 | 17,939.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,503.63 | 53,115.03 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.09 | 29.09 | – | – | – | – | – | – | – | 29.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.54 | 49.24 | 49.84 | 49.24 | – | – | – | – | – | 41.54 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.21 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน กำลังซื้อในตลาดทุกภาคส่วนชะลอตัว แต่ในทางกลับกันได้มีธุรกิจที่มองเห็นช่องทางและโอกาส สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นคือ “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” ที่นอกจากช่วยลดต้นทุนของดีเวลอปเปอร์ในหลากหลายธุรกิจแล้วยังเป็นตัวช่วยที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับผู้ใช้อาคารอีกด้วย
บริษัท LIV-24 จำกัด โดยบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดภายใต้บริษัทลูกในเครือแสนสิริ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี2562 ด้วยเป้าหมายในการนำ Smart Tech มาใช้เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง AI CCTV Analytics, Visitor Management System (VMS) และ Internet of Things (IoT) ซึ่งจุดเด่นคือ Detect ข้อมูลได้แบบ Real Time เพื่อรายงานผลไปยังศูนย์ Command Centre ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
โดยเริ่มจากให้บริการเทคโนโลยีความปลอดภัยในโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งของแสนสิริ และโครงการที่พลัสฯ ดูแล และขยายสู่ลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ต่อเนื่อง อาทิ โตโยต้าขอนแก่น, Asset Five, Pre Built, โรงเรียนสาธิตพัฒนา, สัมมากร, ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น ประสบการณ์การดูแลโครงการต่าง ๆ กว่า 180 โครงการ มูลค่าทรัพย์สินกว่า 300,000 ล้านบาท และด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่ผสานความเชี่ยวชาญของทีมงานและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่ผ่านมา LIV-24 สามารถเข้าระงับเหตุได้รวดเร็วเฉลี่ยใน 5 นาที และมีเคสอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สินเป็น 0 เคส
นางสาวนิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด (LIV-24) ให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากประสบความสำเร็จจากการให้บริการตลาดที่อยู่อาศัย ล่าสุดประกาศความสำเร็จขยายธุรกิจสู่ภาคอุตสาหกรรม
ดยเปิดตัว Smart Industrial Tech Solutions ที่ช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้ถึง 20% สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมแข่งขันในระดับนานาชาติ นำร่องอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต โดยร่วมหารือสภาหอการค้าไทย พัฒนา Future Food Industry เมกะเทรนด์ในปัจจุบัน และมีโอกาสเติบโตสูง คาดว่ามูลค่าธุรกิจในปี 2570 จะทะลุ 5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ยังขยายฐานธุรกิจเจาะกลุ่มเป้าหมายดูแลสินทรัพย์ NPA ของสถาบันการเงินที่อาจเสี่ยงถูกครอบครองปรปักษ์ รวมถึงธุรกิจในอนาคตอีกจำนวนมาก จากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ภายใต้ทีมงานเพียง 50 คน โดยตั้งเป้าการเติบโตในแต่ละปี ทะยานแบบคูณสอง เมื่อเทียบแต่ละปีที่ผ่านมา โดยปี2568 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 280 ล้านบาท ปี 2569 รายได้ 500 ล้านบาท ปี 2570 รายได้ 1,000 ล้านบาท ปี2571 รายได้ 2,000 ล้านบาท และนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2571
“ในวิกฤตเศรษฐกิจ ได้มองเห็นโอกาสที่จะเข้าไปเจาะภาคอุตสาหกรรม โรงงานที่มีในตลาดมากกว่า 5,000 แห่ง วัสดุอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมากถึง 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะไปในทุกกลุ่มที่มีแหล่งอุตสาหกรรม”
สำหรับกลยุทธ์ LIV-24 ในปี 2568 มุ่งขยายบริการไปยังภาคอุตสาหกรรม หลังจากที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสภาอุตสาหกรรมไทยในปีที่ผ่านมา LIV-24 ตั้งเป้าขยายการเติบโตต่อไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต พร้อมนำ Industrial Tech มาใช้ เพื่อตอบโจทย์แต่ละภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะทั้งใหญ่ กลาง เล็ก เช่น ระบบป้องกันอัคคีภัย กล้องอัจฉริยะ ระบบบริหารจัดการเครื่องจักร ระบบขนส่ง และการจัดการพลังงานและนํ้าเสีย ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาที่เสียไปจากความเสียหาย เพิ่มความปลอดภัย
ลดต้นทุนพลังงาน และยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชุมชน พร้อมลดต้นทุนรวมได้ถึง 20% เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต พร้อมผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาช่วยผลักดันภาคอุตสาหกรรม
“LIV-24 เติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อเนื่องทุกปี โดยปีที่ผ่านมา ทำรายได้รวม 116.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 78% จากปี 2566 ที่มีรายได้ 65.4 ล้านบาท และปี 2568 นี้ ตั้งเป้ารายได้ 280 ล้านบาทโตขึ้นอีก 140%”
นอกจากนี้ LIV-24 ได้เข้าร่วมหารือสภาหอการค้าไทย ร่วมกับทีมอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต ภายใต้การนำของ ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ถึงการนำ Smart Tech มาใช้ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร วางเป้าหมายร่วมกันผลักดันอุตสาหกรรม “อาหารแห่งอนาคต (Future Food)” ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ในปัจจุบัน และมีความเติบโตสูง คาดว่ามูลค่าในปี 2570 จะทะลุ 500,000 ล้านบาท เพื่อให้อุตสาหกรรมอาหารไทย สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ ไว้วางใจ LIV -24 ได้แก่ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์, อุตสาหกรรมการบิน, อุตสาหกรรมเสื้อผ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BG และทำการติดตั้งระบบ AI CCTV Analytics ให้กับโรงงานของ BG ทั้งในพื้นที่สำนักงานและคลังเก็บสินค้า เพื่อยกระดับความปลอดภัยในพื้นที่
นอกจากนี้ยังมี Bangkok Aviation Fuel Services (BAFS) ดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับการให้บริการนํ้ามันเชื้อเพลิงอากาศยานอย่างครบวงจรในประเทศไทย LIV-24 เข้าไปติดตั้งระบบ “LIV-24 NEXUS” ซึ่งเป็น Smart CCTV System ให้กับโรงงานของ BAFS ธุรกิจเติมนํ้ามันอากาศยาน (Energy Logistic Provider) เป็นการวางโครงสร้างการทำงานของ CCTV แบบแยกส่วน (Distributed Smart Architecture) ยกระดับจากแนวคิดเดิมที่กล้องเสียเพียงจุดเดียวอาจกระทบระบบรักษาความปลอดภัยทั้งเครือข่าย ช่วยลดต้นทุนความเสียหายจากการซ่อมแซมได้ถึง 70% และลดระยะเวลาในการซ่อมแซมได้สูงสุดถึง 75% เมื่อเทียบกับระบบเดิม เป็นต้น
นี่คือเทคโนโลยีสุดล้ำที่มีบาทบาทสำคัญต่อธุรกิจ ชีวิตและทรัพย์สินทั้งปัจจุบันและโลกแห่งอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บริษัท ทู ดีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการต่อยอดธุรกิจ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทมองเห็นช่องทางในการทำตลาดที่อยู่อาศัยในระดับลักชัวรี่ ที่มีแนวโน้มการเติบโตเมื่อเทียบกับตลาดระดับกลางและล่าง
ทั้งในแง่ของดีมานด์และซัพพลาย ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคระดับบนที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด รวมถึงกลุ่มนักลงทุน ที่มองเห็นโอกาสของการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต
โดยจากสถานการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและล่าง
รวมถึงรายได้ของคนไทยที่โตไม่ทันกับราคาบ้านที่ปรับขึ้น 5-10% ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดขึ้น ที่ปัจจุบันมีอัตราสูงถึง 70% และยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อบ้านของคนไทย
ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการผ่านการนำเสนอ Detail Khao Tao, Hua Hin พลูวิลล่า ระดับลักชัวรี่ หรือ บ้านพักตากอากาศ 2 ชั้น พร้อมอยู่อาศัย ทำเลที่ตั้งเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวนจำกัด 11 ยูนิต เนื้อที่รวม 5.5 ไร่ โดยมีการออกแบบสไตล์โมเดิร์นให้ดูโปร่งและโล่ง เพื่อสร้างการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ความเป็นครอบครัวและส่วนตัว ซึ่งเหมาะกับการพักผ่อนตากอากาศ
สำหรับโครงการดังกล่าวจะมุ่งเน้นการเจาะเป้าหมายกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยเป็นที่พักตากอากาศ หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัย และต้องการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมถึงกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุนในการปล่อยเช่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้
เพราะแม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง จากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทว่า ความกังวลดังกล่าวก็ยังพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินบาทเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.60 บาทต่อดอลลาร์ อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปิดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ที่เริ่มเปิดสถานะดังกล่าวกันมาบ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ หากบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม กดดันให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทย
โดยเฉพาะหุ้น นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นแรงอีกครั้งของราคาน้ำมันดิบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ก็อาจเพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ผ่านโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบได้
อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยเรากังวลว่า แม้เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด แต่หากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
หรือ Dot Plot ใหม่ ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ก็อาจหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หาก Dot Plot ใหม่ สะท้อนว่า เฟดอาจมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้
โดยเฉพาะในปีหน้า รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะยาว (Long-run Policy Rate) ก็อาจกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อ พร้อมกับการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ได้
และที่สำคัญ เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด เนื่องจากสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2022 (เพื่อให้ข้อมูลมากพอ จนมีนัยเชิงสถิติ) ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีการแกว่งตัวในระดับ +/- 1SD ได้ราว +/-0.30% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.48-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
ที่แม้จะเผชิญแรงกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ที่ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม หดตัว -0.9%m/m และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนพฤษภาคม ก็หดตัว -0.2%m/m
ทว่าเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า สหรัฐฯ อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล จนส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงและลุกลามบานปลายได้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% พร้อมส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ก็ถูกชะลอด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วม
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่า สหรัฐฯ อาจเข้าไปมีส่วนร่วมในการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล จนทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นได้
นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาด ก็มีส่วนกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.84%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.85% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอีกครั้ง ท่ามกลางความเสี่ยงว่าสหรัฐฯ อาจเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.3% ตามอานิสงส์การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศในตลาดการเงินที่พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.39% ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดที่จะถึงนี้ โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หาก Dot Plot ใหม่ของเฟด
สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงในปีนี้ (และอาจรวมถึงในปีหน้า) จากที่เคยประเมินไว้ และน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้หนุนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็พอได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากแนวโน้มการไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทั้งนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาดได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่พร้อมจะทวีความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,400-3,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันที่ 19 มิถุนายน โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจและคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ใหม่ของเฟด
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่ล่าสุด
ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีกราว 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีนี้ นอกจากนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 5.50% หรือไม่
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่าง การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าไปที่ระดับประมาณ 32.60-32.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้งในช่วงเช้าวันนี้ (9.37 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับภาพรวมของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนต่อเนื่องท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่ลากยาวต่อเนื่องระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ประกอบกับตลาดอยู่ระหว่างรอติดตามสัญญาณดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และ dot plot ใหม่จากการประชุมเฟดในคืนนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ข้อมูลการส่งออกเดือนพ.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สัญญาณดอกเบี้ยและ dot plot ของเฟด ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ของอังกฤษและยูโรโซน และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สอง กลุ่ม 5 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” เตรียมจะลงสนามเกมแรก ในสัปดาห์สอง พบกับ ญี่ปุ่น ทีมอันดับ 5 ของโลก ที่ฟอร์มสดชนะรวด 4 นัด ไม่เสียเซตให้กับคู่แข่งเลย
ก่อนเกม เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ได้ตัดสินใจประกาศรายชื่อ 14 ผู้เล่นชุดที่จะลงทำการแข่งขันในวันนี้ออกมาเป็นที่เรียบร้อย
เซตเตอร์
พรพรรณ เกิดปราชญ์, ณัฏฐณิชา ใจแสน
หัวเสา
อัจฉราพร คงยศ, ชัชชุอร โมกศรี, ดลพร สินโพธิ์, วริศรา ศรีทาเลิศ, ศศิภาพร จันทวิสูตร
บอลเร็ว
ทัดดาว นึกแจ้ง, หัตถยา บำรุงสุข, วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์
บีหลัง
พิมพิชยา ก๊กรัมย์, ธนัชชา สุขสด
ตัวรับอิสระ
ปิยะนุช แป้นน้อย, กัลยรัตน์ คำวงษ์
สำหรับ ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย จะลงเล่นเกมแรก ในสัปดาห์สอง พบกับ ญี่ปุ่น ในวันพุธที่ 18 มิถุนายน 2568 เวลา 16.00 น. แฟนๆ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง VBTV
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิด 5 สัญญาณ “ดื้ออินซูลิน” ปล่อยไว้เสี่ยงโรคเบาหวาน ไขมัน ความดัน มีอะไรบ้าง “หมอเจด” ไขคำตอบอาการ และ สาเหตุ
วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2568 “หมอเจด” หรือ นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด ว่า ถ้าพูดถึงอินซูมลิน หลายคนเข้าใจว่า “ดื้ออินซูลิน” คือ เรื่องของคนเป็นเบาหวานเท่านั้นแต่ความจริงคือ จุดเริ่มต้นของโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมันพุ่ง และโรคหลอดเลือดหัวใจอีกสารพัด
ใครมีอาการต่อไปนี้ซัก 2 – 3 ข้อขึ้นไปก็เป็นไปได้สูงมากว่า “ร่างกายเริ่มดื้อต่ออินซูลิน” แล้วมาดูกันเลยว่า 5 สัญญาณที่น่าสังเกตมีอะไรบ้าง
1. น้ำหนักขึ้นง่าย ไขมันลงพุง
ใครเคยเป็นบ้าง? ไม่ได้กินเยอะขึ้น แต่ทำไมกางเกงมันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตรง “พุง” ที่เริ่มแน่น แข็ง และล้นออกมาชัด
สาเหตุหลักเลยคือ “อินซูลิน” ที่สูงอยู่ตลอดเวลาพออินซูลินเยอะ มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายสะสมพลังงานในรูป “ไขมัน” และจุดที่ไขมันพอกได้ง่ายที่สุดก็คือ “รอบอวัยวะภายในช่องท้อง” กลายเป็นพุงนั่นเอง
ซึ่งคนที่มี “Visceral fat” หรือ ไขมันในช่องท้องมาก มักมีภาวะดื้ออินซูลินแบบเรื้อรังและยังเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และไขมันพอกตับ อีกด้วย
2. หิวบ่อย อยากของหวาน กินข้าวแล้วอยากของหวานอีก
ภาวะอินซูลินดื้อทำให้กลูโคสไม่สามารถเข้าเซลล์ได้เต็มที่ถึงเราจะกินอาหารเข้าไปแล้ว แต่พลังงานมันเข้าไม่ถึงเซลล์ ทำให้ร่างกายเลยสั่งให้ “หิวอีก”
ผลคือ
นี่คือวงจรอุบาทว์ของ “หิว-กิน-อินซูลินพุ่ง-หิวใหม่” วนไม่จบและยิ่งกินหวานเท่าไหร่ ร่างกายยิ่งดื้ออินซูลินมากขึ้นเท่านั้น ใครมีอาการแบบนี้บ่อย ๆ ควรลองลดของหวาน แป้งขัดขาว แล้วเช็กพฤติกรรมด้วย
3. เหนื่อยง่าย เพลียเรื้อรัง แม้นอนพอ
คนที่มีภาวะดื้ออินซูลิน มักจะรู้สึก “ไม่มีแรง” หรือ “เหนื่อยง่าย” แม้ว่าจะนอนครบ 7 – 8 ชั่วโมง หรือไม่ได้ทำงานหนักก็ตาม
เพราะอะไร? เพราะแม้ร่างกายจะมีพลังงาน จากอาหารแต่น้ำตาลเข้าเซลล์ไม่สะดวก เซลล์ไม่ได้รับพลังงาน เราจึงรู้สึก “อ่อนล้าเรื้อรัง”
บางคนบอกว่ารู้สึกสมองเบลอ มึน ๆ คิดงานไม่ออก แถมอารมณ์ก็แกว่งง่าย ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับน้ำตาลในเลือดที่ไม่เสถียร จากอินซูลินที่ไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
4. ผิวคล้ำตรงคอ รักแร้ ข้อพับ ขัดยังไงก็ไม่หาย
อันนี้เป็นอาการเฉพาะที่หลายคนไม่รู้ว่าเกี่ยวกับ “อินซูลิน” ที่เรารู้จักว่าคอคาร์บอนนั่นแหละชื่อทางการแพทย์คือ Acanthosis Nigricans
ลักษณะคือ
กลไกคือ อินซูลินในเลือดสูงเรื้อรัง ไปกระตุ้นการแบ่งเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณนั้นหนาขึ้น คล้ำขึ้น พบได้บ่อยในคนที่มี BMI สูง, อ้วนลงพุง หรือเด็กที่กินหวานจัด
5. ตรวจสุขภาพแล้วเจอ ไขมันพอกตับ ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง
ใครเคยตรวจสุขภาพแล้วหมอบอกว่า “ค่าตับขึ้น” หรือ “มีไขมันพอกตับ” หลายคนตกใจ แต่ไม่รู้ว่า “อินซูลิน” ก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
กลไกคือ
แถมคนที่อินซูลินดื้อยังมีแนวโน้มไขมัน Triglyceride สูง, HDL ต่ำ และความดันขึ้นด้วย เพราะอินซูลินมีผลต่อระบบหลอดเลือดและไขมันในร่างกาย
ถ้ามีทั้งไขมันพอกตับ + ไขมันในเลือดสูง + ความดันสูง ต้องสงสัยภาวะดื้ออินซูลินไว้เลย
แล้วเราจะทำยังไง? ถ้ารู้ว่าตัวเองอาจกำลังอินซูลินดื้อ
เริ่มจากเปลี่ยนพฤติกรรมง่าย ๆ ก่อน ดังนี้
ถ้าจะให้ดี แนะนำให้ตรวจ Fasting insulin + HOMA-IR ควบคู่กับ FBS, HbA1c ด้วยเพื่อดูแนวโน้มภาวะดื้ออินซูลินแบบแม่นยำ
สรุปอีกทีแบบเข้าใจง่ายๆ
ภาวะดื้ออินซูลินอาจไม่ได้ทำให้เรารู้ตัวทันที แต่มันส่งผลต่อระบบเผาผลาญ, น้ำหนัก, อารมณ์, ผิวหนัง และสุขภาพตับหัวใจของเราแบบเงียบ ๆ รู้เร็ว = ปรับก่อน = ป้องกันเบาหวานและโรคเรื้อรังได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หลายคนอาจจะเคยได้ยินภาษาอังกฤษที่แตกออกเป็นสไตล์ British vs American แล้วอาจมีข้อสงสัยว่า มันต่างกันแค่ไหนนะ แต่ที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือคำศัพท์! มีทั้งที่สะกดคล้ายกันและไม่เหมือนกัน แถมอ่านไม่เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้นเรามาลองเปรียบเทียบคำศัพท์ British และ American ว่า คุณเห็นคำไหนกันมาบ้างและคำไหนที่ต้องรู้!
จริง ๆ แล้วภาษาอังกฤษทั้งสองแบบมีความแตกต่างทางสำเนียงและหลักไวยากรณ์ แต่อย่างที่เราได้เห็นกันว่า สิ่งที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดคือคำศัพท์นั่นเอง บางคำก็สะกดคล้ายกัน แต่บางคำก็สะกดไม่เหมือนกันเลย แต่มีความหมายเหมือนกันทั้งคู่ บางทีเราอาจสังเกตได้จากตัวสะกดลงท้ายอย่าง colour (British) vs color (American) = สี หรือ analyse (British) vs. analyze (American) = วิเคราะห์ บางครั้งก็สะกดเหมือนกันแต่อ่านไม่เหมือนกัน เช่น water = น้ำ British จะออกเสียง โว้-เถอะ แต่ American จะพูดว่า ว้อ- เด่อร ฟังมาจนถึงตรงนี้แล้วอาจดูยากใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าได้ฝึกพูดบ่อย ๆ ก็จะคุ้นเคยไปเอง เรามาดูกันดีกว่าว่าคำศัพท์ระหว่าง British และ American จะเป็นอย่างไร พร้อมประโยคที่นำไปใช้ได้ มาดูกันเลย
American | British | ความหมาย |
Mad | Angry | โกรธ, โมโห |
He must be mad / angry that she spent all that money on a fur coat.เขาต้องโกรธแน่ ๆ ที่หล่อนใช้เงินทั้งหมดไปกับเสื้อโค้ตเฟอร์แค่ตัวเดียว | ||
Anyplace | Anywhere | ที่ไหนก็ได้, ที่ไหนก็ตาม |
I can’t find my keys anyplace / anywhere.ฉันหากุญแจของฉันที่ไหนก็ไม่เจอเลย | ||
Cookie | Biscuit | ขนมอบกรอบ |
My mom baked cookies / biscuits for me.แม่ของฉันอบขนมอบกรอบให้ฉันด้วยล่ะ | ||
Bill | Bank Note | เงิน, ธนบัตร |
They withdrew £20,000 in small bills / banknotes.พวกเขาแลกเงินจำนวน 20,000 ปอนด์เป็นแบงค์ย่อย | ||
French Fries | Chips | มันฝรั่งทอด |
Millions of hamburgers and French fries / chips are eaten every year.มีการกินแฮมเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายส์หลายล้านชิ้นทุก ๆ ปี | ||
Movie | Film | ภาพยนตร์ |
Comedy and animation are my favorite types of movie / film.แนวตลกและแอนิเมชั่นเป็นหนังโปรดของฉันเลยล่ะ | ||
Vacation | Holiday | วันหยุด |
Her neighbors are going to Scotland for their vacation / holidays.เพื่อนบ้านของเธอกำลังเดินทางไปสกอตแลนด์ในวันหยุดของพวกเขา | ||
Elevator | Lift | ลิฟต์โดยสาร |
We need to take the elevator / lift to the eleventh floor.เราต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบเอ็ด | ||
Baggage | Luggage | กระเป๋าเดินทาง |
I think I should buy a new baggage / luggage for the next trip.ฉันคิดว่า ฉันควรซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่สำหรับทริปหน้าละล่ะ | ||
Underwear | Pants | กางเกงชั้นใน |
Are you in front of the door? I’m in my underwear / pants.เธออยู่หน้าประตูแล้วหรอ ฉันยังใส่กางเกงชั้นในอยู่เลย | ||
Store | Shop | ร้านขายของ |
Here is the large store / shop where you can buy many different types of goods.นี่คือร้านค้าขนาดใหญ่ที่คุณสามารถซื้อสินค้าได้หลากหลายประเภท | ||
Candy | Sweets | ขนมหวาน |
You will gain weight if you eat to many candy / sweets.เธอจะน้ำหนักขึ้นนะ หากเธอกินขนมหวานมากเกินไป | ||
Closet | Wardrobe | ตู้เสื้อผ้า |
Her closet / wardrobe is full of stylish clothes and bags for any occasion.ตู้เสื้อผ้าของเธอเต็มไปด้วยเสื้อผ้าและกระเป๋าที่ดูดีมีสไตล์เหมาะกับทุกโอกาส | ||
Schedule | Time-table | ตารางเวลา, กำหนดการ |
As we are too busy, we need to draw up a new schedule / time-table.เนื่องจากพวกเรายุ่งกันมากเกินไป เราจำเป็นต้องจัดทำกำหนดการ/ตารางเวลาใหม่ | ||
Faucet | Tab | ก๊อกน้ำ |
Don’t forget to turn the faucet / tab off when you’re finished washing hands.อย่าลืมปิดก๊อกน้ำ เมื่อคุณล้างมือเสร็จแล้ว | ||
Semester | Term | ภาคการศึกษา |
This semester / term is over now. When will get our grades?เทอมนี้ก็จบแล้ว เมื่อไหร่เกรดพวกเราจะออก |
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราใช้ โดยส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยกับ American English กันเสียมากกว่าในประเทศไทย เนื่องจากมีการเผยแพร่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง และทางสหรัฐอเมริกาต้องการที่จะขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจในทางการทหารและเทคโนโลยี พร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิอังกฤษ ดังนั้น American English จึงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างและผู้คนก็เลือกใช้ภาษาอังกฤษสไตล์นี้ ณ เวลานั้น ทางที่ดีในบริบทต่าง ๆ เราควรเลือกใช้ American English หรือ British อย่างเดียวไปเลย เพื่อไม่ให้ต่างชาติสับสน โดยเฉพาะงานเขียนหรือการนำเสนองานที่ต้องใช้ความเป็นทางการ จึงควรเลือกใช้แบบเดียวเท่านั้น แต่หากคุณเป็นผู้เริ่มใช้ภาษาอังกฤษและไม่มีคลังคำศัพท์มากนักและพูดคุยแบบไม่ทางการ สามารถใช้ได้ทั้งสองแบบได้เลย แต่ทาง British จะค่อนข้างพูดและออกเสียงยากกว่าสักหน่อย เพราะพวกเขาต้องการอนุรักษ์ภาษาของตัวเองไว้สืบต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“ซีเมนส์” ผนึกกำลัง “อินวิเดีย” ประกาศขยายความร่วมมือนำ AI สำหรับภาคอุตสาหกรรม “Industrial AI” และเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับยุคหน้ามาใช้เพิ่มศักยภาพกระบวนการผลิต ปูทางปลดล็อกโรงงานการผลิตแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI
เจนเซ่น หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ อินวิเดีย กล่าวว่า ผู้ผลิตยุคใหม่กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับคุณภาพการผลิต
อีกทั้งยังต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วให้ทันต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความร่วมมือนี้จะนำ NVIDIA AI และ Accelerated Computing มาสู่องค์กรชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสสำหรับคลื่นเทคโนโลยีใหม่ของ AI ในภาคอุตสาหกรรม”
ด้าน โรแลนด์ บุช ซีอีโอ ซีเมนส์ กล่าวว่า AI กำลังพลิกโฉมภาคการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานในระดับฐานราก ช่วงสามปีที่ผ่านมาทั้งสองบริษัททำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อผสานโมเดล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูงเข้ากับชุดข้อมูลและความรู้เฉพาะทางในภาคอุตสาหกรรม
โดย ซีเมนส์ และ อินวิเดีย ได้เสริมศักยภาพให้แก่บริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม ให้สามารถปลดล็อกศักยภาพของ AI ในระดับที่ขยายผลได้ในโลกจริง
สำหรับการผสานเทคโนโลยีของ ซีเมนส์ และ อินวิเดีย จะเสริมศักยภาพให้บริษัทในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้อย่างครอบคลุม
ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการปฏิบัติงาน ช่วยให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความร่วมมือระหว่างทีมงาน
หากมองย้อนไปถึงความร่วมมือเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลหรือดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในภาคอุตสาหกรรมในปี 2565 ซีเมนส์ และ อินวิเดีย ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรม หรือ Industrial Metaverse โดยเชื่อมต่อเทคโนโลยีจากพอร์ตโฟลิโอของ Siemens Xcelerator เข้ากับแพลตฟอร์ม NVIDIA Omniverse™
การผสานความเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์และระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรมของซีเมนส์เข้ากับเทคโนโลยี AI และการประมวลผลแบบเร่งความเร็วที่ล้ำสมัยของอินวิเดีย จะช่วยเสริมศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและผลผลิต
ขณะเดียวกัน ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และความร่วมมือนี้ได้ขยายขอบเขตไปสู่การทำงานร่วมกันในด้าน Generative AI, Industrial AI และ Robotics
เมื่อต้นปีนี้ซีเมนส์ได้สานต่อความร่วมมือโดยนำเทคโนโลยีของ อินวิเดีย เข้ามารวมไว้ในแพลตฟอร์ม Siemens Xcelerator โดยเปิดตัว Teamcenter Digital Reality Viewer ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการแสดงผลในระบบการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Lifecycle Management – PLM)
โดยนำความสามารถในการเรนเดอร์แบบ Ray-Tracing เทคนิคที่ใช้ในคอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อสร้างภาพที่สมจริงแบบเรียลไทม์มารวมไว้ใน Teamcenter ซึ่งบริษัทต่างๆ จะสามารถจำลองภาพและโต้ตอบผ่านโมเดลการจำลอง Digital Twins ของผลิตภัณฑ์ที่มีความสมจริงทั้งในด้านภาพและฟิสิกส์อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้การสามารถตัดสินใจรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
ความสามารถนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย HD Hyundai หนึ่งในบริษัทต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจำลองภาพเรือรุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนและแอมโมเนีย
โดยจำลองการจัดการชิ้นส่วนหลายล้านชิ้นได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดระยะเวลาในการออกแบบที่ใช้เวลาหลายวันให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมงด้วย Generative AI
ซีเมนส์ และ อินวิเดีย กำลังร่วมกันพลิกโฉมการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์อุตสาหกรรมรุ่นใหม่จากซีเมนส์ ซึ่งผ่านการรับรองสำหรับใช้งานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของอินวิเดียเพื่อสนับสนุนการประมวลผลทางอุตสาหกรรมด้วย AI ประสิทธิภาพสูง ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อน ฝุ่น และแรงสั่นสะเทือน
อีกทั้งยังสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง คอมพิวเตอร์เหล่านี้สามารถตอบสนองภารกิจอัตโนมัติที่ซับซ้อนในภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไปจนถึงการตรวจสอบคุณภาพและการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ พร้อมเพิ่มความเร็วในการประมวลผล AI ได้สูงสุดถึง 25 เท่า
ขณะที่ ระบบ AI Agents ขั้นสูงจะทำงานได้อย่างไร้รอยต่อในพอร์ตโฟลิโอ Siemens Industrial Copilot โดยสามารถดำเนินกระบวนการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมจากมนุษย์ Siemens’ Industrial Copilot for Operations นำ Generative AI มาใช้ในพื้นที่การผลิต และจะได้รับการปรับแต่งให้สามารถทำงานบนระบบภายในองค์กร (on-premises)
โดยใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก NVIDIA RTX PRO™ 6000 Blackwell Server Edition ทั้งนี้ Siemens Operations Copilot ยังผสานการทำงานกับไมโครเซอร์วิส NVIDIA NeMo™ และ NVIDIA AI Blueprint สำหรับการค้นหาและสรุปข้อมูลจากวิดีโอ เพื่อให้การช่วยเหลือผ่าน AI แบบเรียลไทม์สำหรับการปฏิบัติงานในโรงงาน และช่วยลดเวลาการบำรุงรักษาเชิงรับ (Reactive Maintenance) ได้ถึง 30%
นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถมองเห็นระบบอุตสาหกรรมได้ครบวงจร 360 องศาและเสริมความแข็งแกร่งให้การดำเนินการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซีเมนส์ยังร่วมมือกับอินวิเดียในการพัฒนาแนวทางใหม่สำหรับความมั่นคงปลอดภัยของเทคโนโลยีปฏิบัติการ (Operational Technology) ด้วยการผสาน NVIDIA BlueField® DPU โดยใช้ประสิทธิภาพของการประมวลผลแบบเร่งความเร็วเพื่อผลักดันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
เชื่อว่าการขยายความร่วมมือระหว่างซีเมนส์และอินวิเดียครั้งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมในภาคการผลิตอุตสาหกรรม ทำให้การผลักดันการนำโซลูชัน AI ไปใช้งานในพื้นที่ผลิต รวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผัก 1 ชนิด มีโปรตีนสูงพอ ๆ กับนม คนไทยอาจไม่คุ้นชื่อ แต่ประโยชน์เกินคาด เผยจุดเด่นที่หลายคนอาจยังไม่รู้
โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ และเอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย หากร่างกายขาดโปรตีนจะส่งผลต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นการได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องจำเป็น
นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว หลายคนก็มักเลือกดื่มนมเพื่อเสริมโปรตีน แต่ความจริงแล้ว ยังมี “ผัก” อีกชนิดที่ให้โปรตีนสูงไม่แพ้นม แถมดีต่อสุขภาพหลายด้าน และยังไม่ค่อยมีคนรู้จักหรือบริโภคกันมากนัก นั่นคือ “อาร์ติโชค”
จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอาหาร กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) พบว่า ในนม 100 กรัม มีโปรตีน 3.4 กรัม ส่วนอาร์ติโชค 100 กรัม ก็ให้โปรตีนใกล้เคียงกันถึง 3.3 กรัมเลยทีเดียว
อาร์ติโชคเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีลักษณะเป็นต้นมีใบแหลม มีถิ่นกำเนิดจากยุโรปตอนใต้ และเคยถูกปลูกไว้ใช้เป็นอาหารตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ
ส่วนประเทศไทย อาร์ติโชคปลูกได้ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นและสูงจากระดับน้ำทะเลมาก เช่น ดอยสูงภาคเหนือ โดยหาซื้อได้ตามร้านอาหารสุขภาพ ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ รวมถึงโครงการหลวง
โดยส่วนที่นิยมนำมารับประทานคือส่วนดอก ประกอบด้วยฐานดอก เส้นใยนุ่ม และกลีบเลี้ยงด้านนอกที่มีโคนกลีบสีขาวนุ่ม ซึ่งสามารถกินได้
ปัจจุบัน อาร์ติโชคไม่ได้เป็นแค่พืชผักเพื่อบริโภคเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรเพื่อสุขภาพอีกด้วย
ตามรายงานจากนิตยสาร Health อาร์ติโชคขนาดกลางเพียงหนึ่งดอก สามารถให้กรดโฟเลตและวิตามินเคได้เกือบ 20% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน และยังให้วิตามินซี แมกนีเซียม แมงกานีส และโพแทสเซียมอีกประมาณ 10% ของความต้องการในแต่ละวัน
สารอาหารเหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม เช่น:
นอกจากนี้ อาร์ติโชคยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสื่อมและความเสียหายก่อนวัยอันควรอีกด้วย
มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า อาร์ติโชคอาจมีประโยชน์ในการป้องกันโรคต่าง ๆ ได้
นิตยสาร Health อ้างอิงผลการศึกษาหนึ่งซึ่งพบว่า อาร์ติโชคสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้
ขณะเดียวกัน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Phytotherapy Research ยังพบว่า อาร์ติโชคมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูสุขภาพของตับ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับ ซึ่งสามารถลดระดับเอนไซม์ตับ ลดคอเลสเตอรอลรวม คอเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ได้
นอกจากนี้ จากข้อมูลของนิตยสาร Health อาร์ติโชคยังเป็นแหล่งของพรีไบโอติกอย่างอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหาร เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และอาจส่งผลดีต่ออารมณ์อีกด้วย
เวลาซื้ออาร์ติโชค ควรเลือกดอกที่จับแล้วรู้สึกแน่น หนักมือ กลีบใบแนบชิดกันสนิท มองดูสดใหม่
เคล็ดลับเล็ก ๆ ในการเช็กความสดคือ ใช้มือลูบเบา ๆ ที่กลีบใบ หากได้ยินเสียง “แกรก ๆ” แสดงว่าอาร์ติโชคนั้นยังสดอยู่ — ข้อมูลจากนิตยสาร Health
วางดอกอาร์ติโชคที่ล้างสะอาดแล้วในแนวนอนบนเขียง จากนั้นตัดส่วนปลายดอกออกประมาณ 3–4 เซนติเมตร แล้วตัดโคนก้านทิ้ง
นำอาร์ติโชคที่ตัดแต่งเสร็จใส่ในชาม และบีบน้ำมะนาวสดลงไปเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ดำ จากนั้นจึงเลือกวิธีปรุงตามต้องการ
อาร์ติโชคสามารถนำไปต้ม ทอด ผัด นึ่ง หรืออบได้ แต่ในบรรดาวิธีทั้งหมด การต้มและการนึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ช่วยคงคุณค่าสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,200.00 | 52,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,374.00 | 51,149.84 | 53,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,036.60 | 46,034.86 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,699.20 | 40,919.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,518.30 | 23,017.43 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,180.90 | 17,902.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,496.37 | 53,004.97 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.09 | 29.09 | – | – | – | – | – | – | – | 29.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.54 | 49.24 | 49.84 | 49.24 | – | – | – | – | – | 41.54 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.21 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
‘LIV-24’ ปฏิวัตินวัตกรรมสมาร์ตเทค ชูโซลูชั่นส์ลดต้นทุนในภาคอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตได้ถึง 20% พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และขีดแข่งขันภาคอุตสาหกรรม
การเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในอสังหาริมทรัพย์สู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นเส้นทางที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ “LIV-24” ในการต่อยอดนวัตกรรม สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง โดยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ บรรจุภัณฑ์ การบิน สิ่งทอ
นิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด (LIV-24) กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรม Smart Industrial Tech Solutions มีบทบาทสำคัญในการช่วย “ลดต้นทุน” และ “เพิ่มประสิทธิภาพ” การดำเนินงานให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ทั่วประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับสากล
“เทคโนโลยีของเรา ช่วยลดต้นทุนในภาคอุตสาหกรรมได้ถึง 20% พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม”
จากจุดเริ่มต้นในปี 2562 “LIV-24” ก่อตั้งขึ้นด้วยภารกิจชัดเจนในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) IoT (Internet of Things) และระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ มาช่วยยกระดับความปลอดภัยในโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทแม่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือแสนสิริ จากนั้นจึงขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของ LIV-24 คือการใช้ AI CCTV Analytics, Visitor Management System (VMS) และ IoT เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจจับเหตุผิดปกติแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ศูนย์ Command Centre ของบริษัทสามารถตอบสนองและเข้าระงับเหตุฉุกเฉินได้ภายในเวลาเฉลี่ย 5 นาที ซึ่งช่วยลดความเสียหายและความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน
นับตั้งแต่เปิดให้บริการ LIV-24 ดูแลโครงการกว่า 180 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมีสถิติการจัดการเหตุการณ์อันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สินเป็น “ศูนย์”
“เราไม่ได้ขายแค่เทคโนโลยี แต่ขายความเชื่อมั่นในระบบรักษาความปลอดภัย ที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องความเสียหายหรือความล่าช้าในการแก้ไขเหตุฉุกเฉิน”
ในปี 2567 LIV-24 ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างชัดเจน ด้วยการแยกธุรกิจจัดตั้ง บริษัท LIV-24 จำกัด เพื่อรุกตลาดอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง พร้อมร่วมมือกับภาครัฐ เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึงพันธมิตรเอกชนหลายราย เพื่อบูรณาการเทคโนโลยี Smart Industrial Tech Solutions เข้ากับภาคอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
ยกตัวอย่าง Smart Tech สร้างมาตรฐานใหม่ภาคอุตสาหกรรม อาทิ BGC Glass (บางกอกกล๊าส) ติดตั้งระบบ AI CCTV Analytics เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยในสำนักงานและคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบตรวจสอบ Guard Tour ที่ช่วยยืนยันคุณภาพการทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย ลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน
Bangkok Aviation Fuel Services (BAFS) ใช้ระบบ “LIV-24 NEXUS” กล้อง CCTV แบบกระจายศูนย์ (Distributed Smart Architecture) ช่วยลดต้นทุนซ่อมแซมระบบ CCTV ลงถึง 70% ลดเวลาการซ่อมบำรุงสูงสุด 75% พร้อมระบบ AI ตรวจจับเหตุผิดปกติ 24 ชั่วโมง ช่วยยกระดับความปลอดภัยในธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่ต้องดำเนินงานตลอด 365 วัน
หรือ V.T. Garment ติดตั้งระบบ IoT ตรวจสอบและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำหรับระบบไฟฟ้าและสัญญาณแจ้งเตือนไฟไหม้ ช่วยลดความเสียหายและหยุดชะงักในการผลิต พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจวัดความชื้นในห้อง Server ป้องกันความเสียหายจากน้ำรั่วซึม
“LIV-24” ไม่เพียงเจาะตลาดอุตสาหกรรมทั่วไปเท่านั้น ล่าสุดได้เข้าร่วมหารือกับสภาหอการค้าไทย และทีม Food Innovation ภายใต้การนำของ ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เพื่อวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food Industry) ที่เป็นเมกะเทรนด์สำคัญ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี LIV-24 นำเสนอ Smart Solutions เช่น ระบบ AI ตรวจจับการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) แบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนในกระบวนการผลิตอาหาร
ระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Data Privacy) เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ไบโอเมตริกซ์ ป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อาหาร การยกระดับมาตรฐานเหล่านี้ช่วยเสริมความเชื่อมั่นทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการและผู้บริโภค เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านอาหารแห่งอนาคตที่แข่งขันได้ในเวทีโลก
ปี 2567 LIV-24 ทำรายได้รวม 116.5 ล้านบาท เติบโต 78% จากปี 2566 ทำได้ 65.4 ล้านบาท ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 140% แตะ 280 ล้านบาท พร้อมขยายฐานลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบบริหารจัดการเครื่องจักร ระบบขนส่ง และการจัดการพลังงานน้ำเสีย
“เรามุ่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน”
เป้าหมายระยะกลางของ LIV-24 คือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2571 ด้วยรายได้ 2,000 ล้านบาท จากฐานลูกค้ามากกว่า 500 โครงการทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดตัวบ้านแฝดคอนเซ็ปต์ GAIA เน้นพื้นที่ความสุขเสมือนบ้านเดี่ยว จำนวน 60 หลัง ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท ชูจุดเด่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง ย้ำว่า การพัฒนาสินค้าในครึ่งปีหลังนี้ต้องตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องความคุ้มค่าและฟังก์ชั่นที่มากกว่าความสวยงาม โดย “GAIA”หรือ “ไกอา” ที่จับความต้องการไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะครอบครัวที่ต้องการพื้นที่พักผ่อนและฟังก์ชั่นใช้งานที่ยืดหยุ่น รองรับการใช้ชีวิตติดบ้านมากขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19 คือคำตอบที่ผสมผสานธรรมชาติและนวัตกรรมอย่างลงตัว ซึ่งแนวคิด GAIA แบ่งออกเป็น 4 จุดขายหลัก ได้แก่
G: Grove ป่าเล็ก ๆ สร้างบรรยากาศสงบ
A: Aeris สายลมช่วยระบายอากาศ
I: Innovation นวัตกรรมวัสดุและพลังงานสะอาด
A: Arbor พื้นที่กลางแจ้งเปิดรับธรรมชาติ
ด้วยฟังก์ชั่น “Happy Space” ที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านสู่พื้นที่พักผ่อน นับเป็นการพลิกนิยามบ้านแฝดแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นบ้านเดี่ยวขนาดย่อมที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงและความสุขที่แท้จริง
บ้านแฝด GAIA เปิดตัวใน 6 โครงการหลัก 5 ทำเลศักยภาพ ราคาตั้งแต่ 3.89-4.55 ล้านบาท โดยมีจำนวนจำกัดเพียง 60 หลัง มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท สะท้อนกลยุทธ์เน้นคุณภาพและความโดดเด่นเพื่อตอบรับกำลังซื้อที่ฟื้นตัวในครึ่งปีหลังนี้
“ในช่วงที่ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการใช้จ่ายและเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น เราจึงต้องยกระดับโปรดักส์บ้านให้ตอบโจทย์อย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องฟังก์ชั่นและความคุ้มค่า เพื่อสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อ” นายสมนึกกล่าว
นอกจากนี้ การเลือกนำสไตล์บ้านเดี่ยวมาผสมกับรูปแบบบ้านแฝด ยังเป็นการขยายตลาดใหม่ที่เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่งวางใจว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตอบรับกับเทรนด์ผู้บริโภคที่ต้องการบ้านที่ใช้งานได้จริง มีพื้นที่ส่วนตัว และสอดคล้องกับวิถีชีวิตหลังโควิด-19 ที่เน้นการใช้เวลาในบ้านมากขึ้น
ในภาพรวม เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่งไม่เพียงแค่ขายบ้าน แต่ยังสร้าง “พื้นที่ความสุข” และ “ไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว” ผ่านคอนเซ็ปต์ GAIA ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าบ้านแฝดก็สามารถเป็นบ้านเดี่ยวได้อย่างแท้จริง และเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ซื้อบ้านที่มองหาคุณภาพในราคาที่จับต้องได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17มิ.ย. 2568ที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายลงได้ ซึ่งอาจกดดันให้บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า
ทั้งทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจย่อตัวลง (อ่อนค่าลง) ได้ไม่ยาก ทำให้เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจยังพอมีแนวรับแถวโซน 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ และการแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายนัก ยกเว้น ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านอีกครั้ง
(แต่หากปรับตัวขึ้นเร็ว แรงในระยะสั้น ทำ All-Time High ใหม่ต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทอาจเปลี่ยนไป โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อาจยิ่งเร่งการเข้าซื้อทองคำ และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง)
หรือในกรณีที่ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งอาจมาจากสามปัจจัยได้ อาทิ 1. เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วและแรงในระยะสั้น หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน หรือ ขึ้นดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด (เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ)
2. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด และ 3. เฟดส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ใน Dot Plot ใหม่ ((เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ) และกลับกันมีโอกาสที่ Dot Plot ใหม่จะสะท้อนแนวโน้มการไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟดได้)
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การเคลื่อนไหวในช่วงระหว่างวันก็อาจยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักในสัปดาห์นี้ (BOJ, เฟด และ BOE)
รวมถึงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เราขอแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น
โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.39-32.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีภาคการผลิตโดย NY Fed (Empire Manufacturing Index) เดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ -16 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้มาก
ทว่า เงินบาทก็ทยอยพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้างเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังว่า ทั้งสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจคลี่คลายลงได้ ตามรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของทางการอิหร่านได้ส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอลโดยเร็ว
ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า ต่างเผชิญแรงกดดัน โดยราคาทองคำ (XAUUSD) ก็พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (ทั้งนี้ เงินเยนญี่ปุ่นยังไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันนี้) หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังว่าการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจยุติลงได้ หลังทางการอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบ
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงเต็มที่ เพื่อรอลุ้นทั้งการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล และผลการประชุม FOMC ของเฟดในสัปดาห์นี้ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.94%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.36% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลงบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ก็เผชิญแรงกดดันบ้างตามการปรับตัวลงของหุ้นบริษัทยารายใหญ่ อย่าง Novo Nordisk -3.5% และ Roche -2.5%
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะเริ่มทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้ง ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด
(โดยเฉพาะในส่วนของ Dot Plot ใหม่) ก็ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในโซน 4.40%-4.50% เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หาก Dot Plot ใหม่ของเฟด
สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงในปีนี้ (และอาจรวมถึงในปีหน้า) จากที่เคยประเมินไว้ และน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์แข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
และเริ่มทยอยขายสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-98.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า
สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจทยอยคลี่คลายลงได้ หลังทางการอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอล รวมถึงแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Productions) เดือนพฤษภาคม รวมถึงข้อมูลตลาดบ้าน
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเรามองว่า BOJ อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ก่อน เพื่อรอประเมินความชัดเจนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
รวมถึงรอติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันที่ 18 มิถุนายน นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
และในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน โดย ZEW (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนมิถุนายน
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่าง แนวโน้มการเจรจายุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.45-32.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ…โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เพราะแม้จะมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าตามทิศทางของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ (ท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน) และสัญญาณ Outflows ในตลาดพันธบัตรไทย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีแรงประคองจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากตัวเลขผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กที่ออกมาอ่อนแอกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมิ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สอง กลุ่ม 5 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ในสัปดาห์ที่สอง จะอยู่ในกลุ่ม 5 ร่วมกับ ญี่ปุ่น, อิตาลี, สาธารณรัฐเช็ก และ บัลแกเรีย
วันที่ 18 มิถุนายน 2568
เวลา 16.00 น. ไทย พบ ญี่ปุ่น
ถ่ายทอดสด : VBTV
วันที่ 19 มิถุนายน 2568
เวลา 16.00 น. ไทย พบ อิตาลี
ถ่ายทอดสด : VBTV
วันที่ 21 มิถุนายน 2568
เวลา 15.30 น. ไทย พบ สาธารณรัฐเช็ก
ถ่ายทอดสด : VBTV
วันที่ 22 มิถุนายน 2568
เวลา 12.00 น. ไทย พบ บัลแกเรีย
ถ่ายทอดสด : VBTV
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ เคยมีช่วงไหนหรือไม่ที่เพื่อน ๆ สับสนในเรื่องต่อไปนี้ บอกวันเดือนปีของเหตุการณ์จะใช้ in หรือ on? เมื่อต้องการพูดถึงช่วงเวลาของเหตุการณ์ ควรใช้ for หรือ since? และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าลักษณะนี้ หากเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่สับสนเรื่องการพูดถึงเวลา ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีอีกหลายคนที่สับสนเช่นกัน เราเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงว่า คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ตัวหลักที่ต้องใช้ให้เป็นคือ in, on, และ at ซึ่งในวันนี้เราจะมาอธิบายหลักการใช้สามคำนี้แบบเข้าใจง่าย รวมถึงบุพบทอื่นเกี่ยวกับเวลา พร้อมด้วยตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง
สามคำนี้ หากนำไปใช้พูดถึงสถานที่และตำแหน่งของสิ่งของ เราเชื่อว่าคน เรียนภาษาอังกฤษ ที่สับสนคงมีไม่มาก แต่เมื่อพูดถึงเวลา คงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ จำนวนมากสับสน หากถามว่าจำเป็นต้องใช้ให้ถูกหรือเปล่า คำตอบก็คือควรใช้ให้ถูก เพราะการใช้ผิดสามารถทำให้ประโยคฟังดูแปลก หรือสื่อความหมายผิดได้
– in 2025 (ปี)
– in June (เดือน)
– in the morning / in the afternoon / in the evening (ช่วงเวลาของวัน) โดยจะยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งจะใช้ at night
– in winter (ฤดูกาล)
– in the 1990s (ทศวรรษที่ 1990)
– in the 20th century (ศตวรรษที่ 20)
หลักการจำ: หากเรากำลังพูดถึงช่วงเวลากว้าง ๆ โดยไม่เจาะจงเวลาที่แน่นอน ให้ใช้ in เช่น
My sister starts school in August.
(น้องสาวของฉันเริ่มเรียนในเดือนสิงหาคม)
– on Monday
– on 1st June
– on New Year’s Day
– on my birthday
หลักการจำ: หากรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรในสัปดาห์หรือระบุวันที่ลงไปได้แน่นอน ให้ใช้ on เช่น
Valentine’s Day is on February 14.
(วันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภา)
– at 7 a.m.
– at noon
– at night
– at midnight
– at lunchtime (ตอนมื้อเที่ยง)
หลักการจำ: หากระบุเวลาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้ at เช่น
Let’s meet at noon.
(งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะ) หากเปลี่ยนช่วงเวลาในประโยคนี้เป็น in the afternoon เราจะเห็นได้เลยว่าช่วงเวลามีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ คำบุพบทบอกเวลา หรือ Preposition of time ไม่ได้มีเพียง in, on และ at เท่านั้น แต่ยังมีตัวอื่นอีก ซึ่งบางตัวก็อาจทำให้สับสนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือบุพบทบอกเวลาที่พบได้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน
I’ll finish the report by Monday.
(ฉันจะทำรายงานให้เสร็จภายในวันจันทร์)
นี่คืออีกหนึ่งคู่ preposition of time ซึ่งหลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักจะสับสน โดย for ใช้บอกระยะเวลา ส่วน since หมายถึง “ตั้งแต่” ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลา สังเกตได้จากสองตัวอย่างต่อไปนี้
– I have lived here for 15 years.
(ผมอยู่ที่นี่ 15 ปีแล้ว)
– I have lived here since 2010.
(ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)
– I had lunch before the meeting.
(ฉันกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าประชุม)
– Let’s go out after dinner.
(หลังมื้อเย็นแล้ว ออกไปข้างนอกกันนะ)
The store is open from 8 AM to 6 PM.
(ร้านเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก กลุ่มประเทศในอาเซียนกำลังผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก โดยมีรัฐบาลเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพื่อให้ประเทศต่างๆ สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ทั้งนี้ประเทศไทยเองมีการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ยังคงตามหลังประเทศเวียดนามที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น
เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “Call to Action: Learning from the Best Practices” ซึ่งได้รวบรวมผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการกว่า 50 คน เพื่อระดมสมองในการหาทางออกในการยกระดับขีดความสามารถด้านดิจิทัลของประเทศไทย และได้เสนอแนะ 8 แนวทางที่สามารถใช้ในการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
นายคอลินน์ ดินน์ กรรมการผู้จัดการจากบริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) กล่าวในการประชุมว่า การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลนั้นต้องเริ่มจากการมีนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาล และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างก็มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่โดดเด่น ซึ่งประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาในด้านนี้ให้เทียบเท่ากับคู่แข่งในภูมิภาค
ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งสำคัญ โดยจะต้องมุ่งเน้นการสร้างทักษะดิจิทัลให้กับประชาชนผ่านการฝึกอบรมและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยในส่วนของภาครัฐนั้นจะต้องพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง และต้องมีความปลอดภัยสูงเพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการใช้งาน
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในภาครัฐและภาคเอกชนยังเป็นอีกหนึ่งข้อเสนอที่สำคัญ โดยต้องมีการพัฒนาระบบ AI ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทั้งในระดับเยาวชนและผู้สูงอายุ พร้อมทั้งมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีที่นำมาใช้จะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในส่วนของการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลนั้น ทางการประชุมเสนอให้มีการสร้างแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการแข่งขัน และเป็นของคนไทย เช่น แพลตฟอร์มด้านการเกษตร ท่องเที่ยว และสุขภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้จะต้องคำนึงถึงความง่ายในการใช้งานและการเข้าถึงที่เหมาะสมกับทุกคน
การระดมสมองในครั้งนี้ยังได้เสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนา Digital Government ซึ่งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการให้บริการที่เป็นมิตรกับประชาชน (Citizen-Centric) โดยการรวมบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้ง่ายขึ้น ผ่านระบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษานั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และสามารถแข่งขันในระดับสากลได้
ในท้ายที่สุด การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ได้สร้างแนวทางและวิสัยทัศน์ที่สำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งหากรัฐบาลสามารถนำข้อเสนอแนะต่างๆ มาปรับใช้และดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีความยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลกอย่างแน่นอน
การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องและมั่นคงในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หลายคนเคยได้ยินว่าการ กินกระเทียมสดมีประโยชน์ต่อหัวใจ และช่วยลดไขมันในเลือดได้จริง แต่วิธีกินที่ถูกต้องนั้นสำคัญมาก เพราะสารสำคัญอย่าง “อัลลิซิน” ในกระเทียมจะสลายไปง่ายหากเตรียมหรือกินไม่ถูกวิธี บทความนี้จะพาไปดูวิธีกินที่ได้ผลจริงและข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม
การกินกระเทียมสด มีสารสำคัญชื่อ “อัลลิซิน” (Allicin) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันไม่ดี) และอาจช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) ได้ โดยอัลลิซินจะถูกสร้างขึ้นเมื่อกระเทียมถูกบด ทุบ หรือเคี้ยว ทำให้เอนไซม์อัลลิเนส (alliinase) ทำงานและเปลี่ยนสาร alliin ให้กลายเป็น allicin
การกินกระเทียมสดเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันในเลือดได้หากทำอย่างถูกวิธี ควรทุบหรือบดแล้วพักก่อนกิน เพื่อให้ได้สารอัลลิซินเต็มที่ กินในปริมาณพอเหมาะ และควรปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือกินยาประจำ การใส่ใจกระบวนการเล็กๆ แบบนี้จะทำให้กระเทียมกลายเป็นยาจากธรรมชาติที่ทรงพลัง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,050.00 | 52,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,365.00 | 51,013.40 | 52,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,028.50 | 45,912.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,692.00 | 40,810.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,514.25 | 22,956.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,177.75 | 17,854.69 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,487.05 | 52,863.68 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.09 | 29.09 | – | – | – | – | – | – | – | 29.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.54 | 49.24 | 49.84 | 49.24 | – | – | – | – | – | 41.54 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.21 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
“อควารัส จอมเทียน พัทยา” เปิดตัวเพนท์เฮาส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ 3 ยูนิต วิวทะเลพาโนรามา ครบครันบริการระดับ World Class ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หรูเหนือระดับ
ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีริมทะเลพัทยา โครงการ “อควารัส จอมเทียน พัทยา” ของ แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กลายเป็นอีกหนึ่ง Rare Item ที่น่าจับตามอง ด้วยการนำเสนอที่พักอาศัยแบบ Staycation Residence ที่ผสมผสานความงามของธรรมชาติกับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่อย่างครบครัน
ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ชายหาดจอมเทียนเพียง 500 เมตร บนที่ดิน 5 ไร่กว่า โครงการนี้ประกอบด้วยอาคารสูง 44 และ 47 ชั้น รวม 606 ยูนิต ที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Impression of Blue” ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากสีสันของผืนน้ำและท้องทะเลสู่การตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
จุดเด่นสำคัญของโครงการคือเพนท์เฮาส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวนจำกัดเพียง 3 ยูนิต บนชั้นสูงสุดที่มอบวิวทะเลแบบพาโนรามา 270 องศา ทั้งฝั่งหาดนาจอมเทียนและจอมเทียน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 315.90 ตร.ม. เพดานสูงโปร่ง 3.2 เมตร พร้อมผนังกระจกเต็มบานเปิดรับแสงธรรมชาติเต็มที่ การออกแบบครบครันด้วยเฟอร์นิเจอร์ระดับโมเดิร์นลักชัวรี ฟังก์ชันใช้งานครบถ้วนเสมือนโรงแรมระดับโลก
เพนท์เฮาส์แบ่งสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัยอย่างลงตัว มี Master Bedroom พร้อมเตียงคิงไซส์ เดย์เบด และมินิบาร์ส่วนตัว รวมถึง Master Bathroom ที่แยกโซนฝักบัวและอ่างอาบน้ำ มี Walk-in Closet สำหรับจัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ห้องนอนอีก 2 ห้องทุกห้องรับวิวทะเล พร้อมห้องน้ำส่วนตัว
พื้นที่พักผ่อนและสันทนาการได้รับการจัดวางอย่างรอบคอบ ตั้งแต่โซนครัวแพนทรี โต๊ะอาหารยาวสำหรับงานสังสรรค์ Living Area สำหรับช่วงเวลาครอบครัว Wine Cellar ห้องเก็บไวน์ชั้นเลิศ รวมถึงอ่าง Jacuzzi ส่วนตัวติดผนังกระจกชมวิวทะเลแบบไร้ขอบ
โครงการยังโดดเด่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรบนพื้นที่กว่า 5,500 ตร.ม. ครอบคลุมทั้งสวน Aromatic Garden, Tea Lounge, Library Lounge และ Aqua Park ที่มีสระว่ายน้ำ 3 รูปแบบ พร้อมพื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว เช่น Kid Club, Playground, Family Lounge รวมถึงห้องฟิตเนสและสระว่ายน้ำชั้นบนแบบไร้ขอบที่สามารถชมวิวทะเลได้แบบเต็มตา
นอกจากนี้บริการ Concierge Service ยกระดับความสะดวกสบายด้วยบริการซักรีด ดูแลห้องพัก ตลอดจนบริการด้านสุขภาพ Medical & Wellness และบริการไลฟ์สไตล์ เช่น Private Chef, Bartender, Trainer และบริการจัดการส่วนตัวแบบครบวงจร
ความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมของโครงการได้รับการรับรองด้วยรางวัล Best Condo Architectural Design (Eastern Seaboard) จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2024 ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ความงดงามและฟังก์ชันใช้งานที่ลงตัว
ปัจจุบัน โครงการได้รับการอนุมัติ EIA และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้ชมในไตรมาส 4 ปี 2570 ซึ่งถือเป็นโอกาสพิเศษสำหรับนักลงทุนและผู้ที่แสวงหาที่อยู่อาศัยหรูในทำเลติดทะเลพัทยาที่ครบเครื่องทั้งความงามและบริการเหนือระดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
สภาผู้บริโภคเปิดผลสำรวจอาคารก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมายในกรุงเทพมหานคร(กทม.) หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจาก 11 ชุมชน พบอาคารที่ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎกระทรวงฉบับที่ 33 โดยมีเครือข่ายผู้บริโภค หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง
นายพรพรหม โอกุชิ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย สภาของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคตรวจสอบกรณีมีชาวบ้านมาร้องเรียน ว่า มีอาคารที่ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมายจำนวนหลายอาคาร อาคารบางส่วนในแบบโฆษณาไม่ตรงกับแบบก่อสร้างที่ยื่นขออนุญาต หรือแบบ EIA ไม่มีถนนในระยะห่าง 6 เมตร รอบอาคาร
เช่น บางพื้นที่นำเอาพื้นที่รอบอาคารเป็น ที่ชาร์จไฟ รถ EV, หรือปลูกต้นไม้ ทำบ่อน้ำ, พื้นที่ออกกำลังกาย สนามแบดมินตัน สนามเทนนิส ตั้งโต๊ะร้านกาแฟ ซึ่งล้วนแต่ผิดกฎหมาย และไม่ปลอดภัย เนื่องจากทำให้รถดับเพลิงเข้าออกพื้นที่รอบอาคารไม่ได้
หลังจากมีบทเรียนการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา จะเห็นว่า หากมีการก่อสร้างถูกตามกฎหมายก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของผู้พักอยู่อาศัย ที่จะได้รับอันตรายเมื่อเกิดอัคคีภัยหรือภัยพิบัติต่างๆ ขึ้น
“นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเลี่ยงกฎหมายของผู้ประกอบการ ที่กำหนดพื้นที่ของอาคาร 10,000 ตารางเมตร ถึง 30,000 ตารางเมตร จะต้องมีขนาดความกว้างของถนนโดยรอบอาคาร 6-10 เมตร ผู้ประกอบการจะใช้วิธีการ ซอยตึก ออกเป็น 3 หรือ 5 ตึก สร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างได้ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 ไม่ต้องถูกบังคับ เรื่อง ถนนกว้าง 6-10 เมตร ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 33 สภาผู้บริโภคจึงได้ยื่นหนังสือต่อ กทม. ให้ตรวจสอบอาคารที่ก่อสร้างผิดกฏหมายแล้ว”
ด้าน นายสินิทธิ์ บุญสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายควบคุมอาคารกรมโยธาธิการ กล่าวว่า ปัญหาของการสร้างอาคาร ตามกฏหมายควบคุมอาคาร 2522 กำหนดว่า ต้องมีผิวการจราจรกว้างไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร ที่พบผู้ประกอบการมักจะดัดแปลงส่วนนี้ เพื่อความสวยงามของอาคารเป็นประโยชน์ต่อการขาย เช่น ทำเป็นสวน สระน้ำ แต่ในข้อเท็จจริงต้องเป็นผิวจราจรล้วนๆ ปราศจากสิ่งปกคลุมจะมีแม้แต่กระถางต้นไม้ หรือ มาทำเป็นที่จอดรถก็ไม่ได้
สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทำ คือ ต้องตรงไปตรงมา ซึ่งในกฎหมายควบคุมอาคารเขียนไว้ค่อนข้างผูกพัน ทั้ง ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบวิชาชีพ สถาปนิก วิศวกร ว่า ถ้า กทม.อนุญาตแล้วต้องมีการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ สร้างผิดแบบเมื่อไหร่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบผู้ประกอบการและผู้ควบคุมงาน
ทั้งนี้ ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจรรยาบรรณสภาวิศวกร ปัญหาที่เจอบ่อย คือ แบบรับอนุญาต แบบคู่สัญญา และแบบก่อสร้าง ไม่ตรงกัน และส่วนใหญ่จะรู้ว่าแบบไม่ตรงกันก็เมื่อมีการฟ้องร้อง
“ปัญหาที่เราพบบ่อยมากคือ การออกแบบ 3 แบบไม่ตรงกัน คือแบบที่ขออนุญาตไม่ตรงกับแบบก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะพบปัญหานี้หลังจากที่ชาวบ้านร้องเรียนขึ้นมา และไปตรวจสอบเป็นคดีฟ้องร้องเราจึงพบปัญหา”
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม พยายามดูแลในเรื่องวัสดุก่อสร้างว่าต้องให้ได้มาตรฐาน กรณีตึก สตง. ถล่ม กระทรวงอุตสาหกรรมมีการส่งหนังสือไปถึง สตง. ตั้งแต่ เม.ย. ขอทราบว่า เหล็กที่ใช้กับตึกที่ถล่มนั้น เป็นเหล็กล็อตไหน ผลิตปีใด แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
“ที่ต้องพูดเรื่องนี้ เพราะถ้าได้ข้อมูลเร็วก็จะได้ส่งต่อให้กับวิศวกรที่ควบคุมโครงการก่อสร้างตึกขนาดใหญ่ ไปตรวจสอบว่าตึกที่ตนเองควบคุมอยู่นั้นใช้เหล็กล็อต และปีผลิตดังกล่าวก่อสร้างหรือไม่ หากมีก็จะได้มีการเสริมแรงเข้าไปเพื่อให้เกิดความปลอดภัย”
ส่วนในเรื่องปัญหาการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ผิดกฎหมายส่วนตัวมีข้อเสนอ 3 เรื่อง
ข้อ 1.ผู้ทำอีไอเอ ไม่ควรได้รับค่าจ้างตรงจากผู้ประกอบการ แต่ควรรับเงินจากคณะกรรมการอีไอเอแล้วให้คณะกรรมการอีไอเอไปเก็บในรูปแบบของค่าธรรมเนียม
ข้อ 2.กฎกระทรวงฉบับที่ 33 ฉบับที่มีปัญหา และกรมโยธากำลังมีการยกร่างแก้ไขใหม่ เรื่องของเขต ที่เขาจะนับรวมหมดเลยทั้งกระถางต้นไม้ คูน้ำ ที่สำคัญมีการเพิ่มประโยคคำว่า “อื่นๆ” ซึ่งถ้ายอมให้มีการกำหนดในลักษณะนี้ จะยิ่งง่ายต่อการให้มีการก่อสร้างตึกสูง ทางสภาผู้บริโภคควรจะมีการรวมประเด็นเหล่านี้และย้ำไปทางกรมโยธาธิการ ว่าประเด็นเหล่านี้ยอมไม่ได้
และข้อ 3. ต้องเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูล ถ้าเป็นอาคารสาธารณะควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเช็คตึกนั้นๆ ด้วย
นายสุรัช ติระกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานโยธา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อาคารสูงที่เข้าข่ายผิดกฎหมายที่สภาผู้บริโภคได้แจ้งข้อมูลมา หาก กทม. เข้าตรวจสอบและพบว่าไม่ผิดเยอะเช่นตั้งกระถางต้นไม้กีดขวาง ก็จะแจ้งทางวาจาให้เจ้าของอาคารปรับปรุงซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ
ขณะนี้มีอยู่ 3-4 อาคาร ที่มีการประสานไปทางวาจา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ยังไม่ยอมให้เข้าตรวจ หรือแก้ไข อ้างว่าต้องการให้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าอาคารไหนมีลักษณะผิดเยอะ ก็จะแจ้งให้ทางสำนักงานเขตดำเนินคดี
ส่วนที่ผู้บริโภคมองว่าอาคารไม่เป็นไปตามที่บริษัทได้โฆษณาขายหรือเรียกว่า “ไม่ตรงปก” นายสุรัช กล่าวว่า อย่างที่ระบุกันก่อนหน้านี้ว่าแบบของอาคาร จะมี 3 แบบ คือ แบบโฆษณา แบบรับอนุญาต และแบบก่อสร้าง ซึ่งแม้ตามกฎหมายจะให้ กทม. เข้าไปตรวจสอบได้ 3 ช่วงเวลาคือก่ อนก่อสร้าง ขณะก่อสร้าง และ ก่อสร้างแล้วเสร็จ
แต่ปัญหา คือ เมื่อเจ้าของโครงการก่อสร้างไประยะหนึ่ง ก็จะมีการแก้ไขแบบ กว่าเจ้าหน้าที่ กทม.จะไปพบ ก็เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้ถือว่ามีการกระทำผิด เพราะมีการขออนุญาตแก้ไขแบบ และมีการสร้างตามแบบที่ขอแก้ไข
ส่วน นายก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยสภาผู้บริโภค กล่าวว่า เรายื่นไปให้ทางสำนักโยธาของกรุงเทพมหานคร ถึงผู้ว่า ฯกทม. วันนี้มีร่วม 50 อาคารของทุกค่ายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความผิดไม่ใช่แค่ให้โยธาตรวจสอบแล้วมีการแก้ไขให้ถูกต้องตามแบบที่ขออนุญาตไว้ แต่มีคนผิดตั้งแต่ต้น ออกแบบพรีวิวกับแบบสุดท้ายตรงกัน แต่แบบขออนุญาตเขียนอีกแบบ นี่คือ การจงใจยื่นเอกสารเท็จต่อทางราชการ
ดังนั้น ที่ตึก สตง.ถล่ม และเราหันมาให้ความสนใจเรื่องการแก้ไขระบบมาตรฐานการก่อสร้าง โดย สส. มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นมา ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะวันนี้เรายังมีคนเข้าอาคารไม่ได้เป็น 10 อาคาร และแผ่นดินไหวโดนกระทำมาทางใต้ดิน แต่กลับไม่มีใครพูดเรื่องโครงสร้างใต้ดิน แล้วแก้ปัญหากันแบบไปฉาบไปทาบนผนังที่ร้าวกัน จริงๆ มันเป็นเรื่องอันตราย”
สำหรับปัญหาดังกล่าว นายก้องศักดิ์ มองว่า การก่อสร้างอาคารที่ผิดกฎหมายในแต่ละขั้นตอน มีตัวละครเกี่ยวข้องหลายตัว เช่น แบบก่อสร้าง สถาปนิกผู้ออกแบบและเจ้าของโครงการต้องรับรู้และพึงพอใจในแบบถึงจะออกมาเป็นแบบ
“เมื่อมันผิดเพี้ยนตั้งแต่การออกแบบ จนอาคารออกมาไม่ตรงปก จะเห็นว่า มีคนผิดตั้งแต่ต้น ออกแบบพรีวิวกับแบบสุดท้ายไม่ตรงกัน ทั้งที่แบบขออนุญาตเขียนอีกแบบ นี่คือ การจงใจยื่นเอกสารเท็จต่อทางราชการ ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะกฏหมายได้ระบุไว้ละเอียด เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน”
นายก้องศักดิ์ ย้ำว่า ที่ยกเรื่องถนน 6 เมตรขึ้นมา เพื่อต้องการให้บริการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาจริงจังเสียที ซึ่งจะมีการทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ การแก้ไขกฎหมาย อยากวิงวอนว่าให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขกฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายผังเมือง เพราะเรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
และการแก้ไขกฎหมายใดๆ ที่กรมโยธาทำอยู่ขณะนี้ เราคัดค้านไปแล้วว่า เป็นการแก้ไขไปสู่การให้ผู้ประกอบการมีความสะดวกในการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงขนาดพิเศษในเขตชุมชนได้มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.51 บาทต่อดอลลาร์)
โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่พอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) บ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว แม้ว่าจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้โดยรวมเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ
ขณะที่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังพอช่วยลดทอนแรงกดดันดังกล่าวได้บ้าง จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงไป หากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ หรือเป็นแรงซื้อลักษณะ Fear of Missing Out (FOMO)
สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด (จับตา Dot Plot ใหม่) พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนมิถุนายน ที่จะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. เช้าวันที่ 19 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า FOMC จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามเดิม
จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มเงินเฟ้อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ เราขอแนะนำว่า ควรจับตาการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า FOMC อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 2-3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งดูใกล้เคียงกับ Dot Plot เดือนมีนาคม ทำให้ หาก Dot Plot ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง
เช่น บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
อย่าง การโจมตีระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่จะยิ่งทวีความร้อนแรงของปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ
ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และดัชนีภาคการผลิตโดยเฟด สาขานิวยอร์ก (Empire Manufacturing Index)
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเรามองว่า BOE อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% ก่อนที่จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน (ผู้เล่นในตลาดให้โอกาส 82% ที่ BOE จะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนสิงหาคม)
ซึ่งมุมมองของเราและบรรดาผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ BOE อาจปรับเปลี่ยนไปได้ ตามรายงาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก ในเดือนพฤษภาคม
นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB มีโอกาสราว 96% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% จนกว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อให้ BOJ สามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อได้ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น และยอดการค้า (Exports & Imports) ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ BOJ
นอกเหนือจากผลการประชุม BOJ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI และ CBC อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% และ 2.00% ตามลำดับ ขณะที่ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.25%
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม อาจยังสามารถขยายตัวได้ดี ตามอานิสงส์ของการเร่งนำเข้าสินค้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจดำเนินไปจนเข้าใกล้ช่วงครบกำหนดการชะลอเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ ยอดการนำเข้าก็อาจยังขยายตัวได้ในอัตราที่สูงอยู่ ทำให้โดยรวมดุลการค้าของไทยอาจยังคงขาดดุลต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลราว -3.3 พันล้านดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นจะยังมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทว่า เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up โดยหากเฟดปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ ที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงจากที่เคยประเมินไว้ ก็อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หากลุมลาม บานปลายมากขึ้น อาจต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานโลกอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
นอกจากนี้ เราย้ำมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก ทำให้ต้องจับตาว่า ความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะหากความสัมพันธ์ยังคงเป็นเชิงบวก ในกรณีที่ ตลาดคลายกังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำก็เสี่ยงย่อตัวลงพอสมควร กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
แต่หากความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ซึ่งเราคาดว่าอาจจะเปลี่ยนได้ ในกรณีที่ สถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น
โดยภาพดังกล่าว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ (FOMO Buying) ทำให้ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด และเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงในช่วงนี้อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์บ้าง
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ประกาศรายชื่อนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดเข้าร่วมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2025 (Volleyball Nations League 2025) สัปดาห์ที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18–22 มิถุนายน 2568 ณ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน
โดย “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ตัดสินใจเรียกใช้ผู้เล่นในสนามนี้เพียงแค่ 16 คนเท่านั้น (สนามแรกเรียกไป 18 คน) ด้วยการตัดชื่อของ จิดาภา นาหัวหนอง และ กัตติกา แก้วพิน สองลูกยางสาวไทยที่มีชื่อลงเล่นในสนามแรกออก
หัวเสา
อัจฉราพร คงยศ
ชัชชุอร โมกศรี
วริศรา สีทาเลิศ
ศศิภาพร จันทวิสูตร
ดลพร สินโพธิ์
บีหลัง
พิมพิชยา ก๊กรัมย์
ธนัชชา สุขสด
ตัวรับอิสระ
ปิยะนุช แป้นน้อย
กัลยรัตน์ คำวงษ์
เซตเตอร์
พรพรรณ เกิดปราชญ์
ณัฏฐณิชา ใจแสน
กนกพร แสงทอง
บอลเร็ว
ทัดดาว นึกแจ้ง
หัตถยา บำรุงสุข
วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์
กัญญารัตน์ ขุนเมือง
เจ้าหน้าที่ทีม
ผู้จัดการทีม : เฝิง คุน
หัวหน้าผู้ฝึกสอน : เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน : พ.อ.อ. ธีรศักดิ์ นาคประสงค์ และ สมชาย ดอนไพรยอด
เทรนเนอร์ : จ.อ. ณัฏฐ์ ทุมดี, จ.อ. พงศธร ทองดี
นักสถิติ : อัมรินทร์ บุญคง
ผู้ฝึกสอนด้านเสริมสร้างสมรรถภาพ : เอกลักษณ์ ปิติสา
นักกายภาพ : จุรีพร สุดชา
แพทย์ประจำทีม : น.พ. นรศักดิ์ สุวจิตตานนท์
สำหรับ “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” จะเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG628 ออกจากสุวรรณภูมิ 10.35 น. ถึงสนามบินฮ่องกง เวลา 14:20 น. (เวลาท้องถิ่น)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คนรอบตัวเริ่มบ่นว่าเท้าเริ่มบวมจนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ คือ “เท้าบวม” เสียจนใส่รองเท้าไม่ได้ หรือรู้สึกบีบรัดตึง ใส่รองเท้าไม่สวยเหมือนเก่า แต่เราจะกังวลแค่เรื่องเท้าไม่สวยไม่ได้นะคะ เพราะเท้าบวมอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคร้ายสารพัดเลยล่ะ Sanook Health จะอธิบายให้ฟังค่ะ
– หลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน
– แพ้ยา หรือสารต่างๆ
– ได้รับอุบัติเหตุ หรือการติดเชื้อ
– บวมน้ำ จากน้ำหนักร่างกายที่มากเกินไป
– ผลข้างเคียงของยา
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรคที่มีอาการเริ่มต้นด้วยอาการ “เท้าบวม” เช่น
– โรคไต
– โรคหัวใจ
– โรคตับแข็ง
– มะเร็งตับ
– ดีซ่าน
– เท้าช้าง
– เส้นเลือดขอด
– เบาหวาน
– ขาดอาหารประเภทโปรตีน
หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายกันเอาไว้ให้นะคะ เพราะแค่อาการเท้าบวมที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ปวดอะไร จริงๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงโรคร้ายอีกหลายๆ โรค ที่เรากำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัวก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
GISTDA ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญ หลังได้รับการรับรองระเบียบวิธีการใหม่จาก อบก. สำหรับการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้และเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยี AI
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้และเกษตรกรรม
ด้วยการใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมร่วมกับเทคโนโลยี AI และแบบจำลอง Machine Learning ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการประเมินคาร์บอนเครดิตของประเทศให้ สะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และมีต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับการประเมินในพื้นที่ป่า 4 ประเภท และ 1 พืชเกษตร ได้แก่ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน และสวนยางพารา โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานกลางที่ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ได้ทันทีทั้งในระดับชุมชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า ในอดีตการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่กว้างใหญ่ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก ใช้เวลานาน และมีต้นทุนสูง ทำให้โครงการขนาดเล็กไม่คุ้มค่าในการพัฒนา
แต่ด้วยวิวัฒนาการและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ การนำภาพถ่ายจากดาวเทียมจากใช้ประโยชน์ร่วมกับการวิเคราะห์ด้วย AI ทำให้เราสามารถประเมินคาร์บอนทั้งระบบได้รวดเร็วขึ้น มีความแม่นยำ และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการประเมินลงอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เอง GISTDA จึงได้นำเสนอองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ถึงการทำระเบียบวิธีการประเมินใหม่ ซึ่งนอกจากจะใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมร่วมกับ AI แล้ว เรายังใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงแบบจำลองที่เป็น Machine Learning มาช่วยประเมินการกักเก็บคาร์บอน ตั้งแต่ขึ้นทะเบียนโครงการจนสามารถประเมินได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละปี
นอกจากนี้ เรายังอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Carbon Atlas” ซึ่งจะเป็นระบบ One Stop Service ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถวาดแปลงที่ดินผ่านคอมพิวเตอร์หรือมือถือเพื่อขอขึ้นทะเบียน ประเมิน และจำหน่ายคาร์บอนเครดิตได้ในที่เดียว
ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก และยังเสียค่าใช้จ่ายในการประเมินที่ถูกลงกว่าเดิมอีกด้วย โดยคาดว่าจะพร้อมให้บริการในเดือนกันยายน 2568
ทั้งนี้ การใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมร่วมกับเทคโนโลยี AI และแบบจำลอง Machine Learning เพื่อการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าไม้และเกษตรกรรมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ GISTDA ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ที่สามารถสร้างเครื่องมือและระบบมาตรฐานที่เปิดกว้างให้กับทุกภาคส่วน ตอบโจทย์ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและการเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศอย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สำหรับคนที่กำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือคนที่ต้องกลับมา เรียนภาษาอังกฤษ อีกครั้งเพื่อการทำงาน มีหลายเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อให้ทำได้ดีทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน หนึ่งในเรื่องพื้นฐานที่มองข้ามไม่ได้เลยคือคำนามพหูพจน์หรือ Plural noun เพราะมีความสัมพันธ์กับการใช้งานจริงโดยเฉพาะการสร้างประโยคซึ่ง Plural จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับรูปคำกิริยาหรือ Verb form คำนามเอกพจน์โดยทั่วไปจะเติม -s เมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น
– one boy — two boys (เด็กผู้ชาย)
– one girl — two girls (เด็กผู้หญิง)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่เรื่องที่ง่ายที่สุด เพราะในภาษาอังกฤษยังมีกฎข้อยกเว้นอีกมากมาย ซึ่งคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องรู้ และเรากำลังจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจในวันนี้
รูปแบบที่คน เรียนภาษาอังกฤษ พบบ่อยที่สุดคือการเติม -es แต่ในการเติม -es เข้าไปเพื่อทำให้เป็น plural ก็มีแยกย่อยไปหลายประเภท ดังนี้
– one dish — two dishes (จาน)
– one box — two boxes (กล่อง)
– one class — two classes (คลาสเรียน)
– one watch — two watches (นาฬิกาข้อมือ)
– one potato — two potatoes (มันฝรั่ง)
– one country — two countries (ประเทศ)
– one city — two cities (เมือง)
แต่ถ้าหน้า -y เป็นสระ (a, e, i, o, u) จะกลับไปสู่กฎพื้นฐานคือเติม -s ซึ่งจำง่าย ๆ เพราะถ้าเปลี่ยน -y เป็น -i ในกรณีนี้จะมีปัญหาเรื่องการออกเสียง เช่น
one key — two keys (กุญแจ)
one wolf — two wolves (หมาป่า)
one life — two lives (ชีวิต)
คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มาสักระยะ อาจไม่พบปัญหาการใช้ คำพหูพจน์ โดยเลือกได้ว่าคำไหนควรเติม -s หรือ -es แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนคำจากเอกพจน์ (Singular) ไปเป็นพหูพจน์ (Plural) ยังมีรูปแบบอื่นอีก เช่น
– one man — two men (ผู้ชาย) และเมื่อพูดถึงผู้หญิง จาก woman ก็จะเปลี่ยนเป็น women
– child — children (เด็ก)
– tooth — teeth (ฟัน)
– one mouse — two mice (หนู)
– one goose — two geese (ห่าน)
– sheep — sheep (แกะ)
– deer — deer (กวาง)
– fish — fish(ปลา)
– analysis — analyses (บทวิเคราะห์)
– criterion — criteria (เกณฑ์)
– phenomenon — phenomena (ปรากฏการณ์)
– cactus — cacti (กระบองเพชร)
– roof — roofs (หลังคา)
– chief — chiefs (หัวหน้า)
คำที่เป็นข้อยกเว้นแบบนี้ ต่อให้เรา เรียนภาษาอังกฤษ มานานเท่าไหร่ก็อาจพลาดได้ ซึ่งก็ไม่ต้องกังวล เพราะคำที่เป็นข้อยกเว้นมีไม่มาก และประสบการณ์จากการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันจะช่วยลดความผิดพลาดได้
– จะไม่เผลอเติม -s ในคำว่า child เพราะรู้ว่าพหูพจน์คือ children
– ไม่เติม -s ให้กับคำว่า deer เพราะรู้ว่าคำนี้จะไม่เปลี่ยนรูป
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
แก้วมังกร (dragon fruit) เป็นผลไม้ที่นิยมรัปประทาน และมีประโยชน์มากมาย โดยส่วนใหญ่นิยมกินเพื่อลดความอ้วน หรือ เพื่อบำรุงด้านสุขภาพ ซึ่งลักษณะของแก้วมังกรนั้นจะมีเนื้อค่อนข้างหวาน มีหลายสี เช่นสีม่วง และสีขาว และมีเมล็ดเล็กๆอยู่ในเนื้อ ซึ่งสามารถกินได้ทั้งเมล็ดและเนื้อของแก้วมังกร ซึ่งจะมีบางคนที่ไม่กินเมล็ดของแก้วมังกร และบางคนอาจจะสงสัยว่า เมล็ดของแก้วมังกรนั้นมีประโยชน์ หรือโทษ หรือไม่ วันนี้มาดูคำตอบกันค่ะ
แก้วมังกร (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hylocereus spp.) เป็นผลไม้เมืองร้อนชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ ตะบองเพชร (Cactaceae) มีถิ่นกำเนิดจาก อเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันแพร่หลายและเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เวียดนาม จีน และอิสราเอล
ลักษณะทั่วไปของแก้วมังกร จะมีรูปร่างรีหรือทรงไข่ ผิวสีชมพูหรือแดงสด มี “กาบเขียว” คล้ายเกล็ดมังกร เนื้อในมี 2 แบบ คือ เนื้อขาว และ เนื้อแดงหรือม่วงเข้ม และ มีเมล็ดเล็กสีดำกระจายทั่วเนื้อ คล้ายเมล็ดกีวี
คำตอบคือ เมล็ดแก้วมังกรมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ
เมล็ดแก้วมังกรแม้จะเล็กมาก แต่แฝงไว้ด้วยสารอาหารและไฟเบอร์หลากหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้
1. แหล่งของกรดไขมันดี (Omega-3 และ Omega-6) เมล็ดแก้วมังกรมีไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อหัวใจ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
2. ช่วยระบบขับถ่าย เมล็ดมีเส้นใยอาหาร (dietary fiber) ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กระตุ้นการบีบตัว และป้องกันท้องผูก
3. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เมล็ดมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟีนอลิก (phenolics) และ วิตามินอี ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและชะลอความเสื่อมของเซลล์
4. อาจช่วยต้านการอักเสบ จากการศึกษาเบื้องต้น สารบางชนิดในเมล็ดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อสุขภาพลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน
เมล็ดแก้วมังกร มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในด้านกรดไขมันดีและใยอาหาร ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ระบบขับถ่าย และการต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถทานได้อย่างปลอดภัยในปริมาณเหมาะสมไม่ควรกินมากจนเกินไป
ที่มา:
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,700.00 | 52,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,407.00 | 51,650.12 | 53,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,066.30 | 46,485.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,725.60 | 41,320.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,533.15 | 23,242.55 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,192.45 | 18,077.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,530.57 | 53,523.44 | n/a |
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.09 | 29.09 | – | – | – | – | – | – | – | 29.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.54 | 49.24 | 49.84 | 49.24 | – | – | – | – | – | 41.54 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.21 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า