สาระน่ารู้ประจำวันที่ 28 มีนาคม 2567

เอฟเฟกต์!เมียนมาดันยอดอสังหาไทยชี้ดีมานด์ชั่วคราว‘จีน’ครองตลาดหลัก

เอฟเฟกต์!เมียนมาดันยอดอสังหาไทย“Sen X” เผยยอดขายเมียนมาพุ่งถึง 200% ในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-4 ล้านบาท ขณะที่ อนันดา ระบุยอดขายต่างชาติทะลุ 7,000 ล้านบาท อันดับ3เป็นเมียนมาสัดส่วนกว่า 10% รองจากจีน ไต้หวัน ชี้ดีมานด์ชั่วคราว‘จีน’ครองตลาดหลัก

หลังจากรัฐบาลเมียนมาประกาศการรับราชการทหารภาคบังคับสำหรับชายหนุ่มและหญิงสาวทุกคน ท่ามกลางความวุ่นวายในประเทศยังคงดำเนินต่อไป กลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวเมียนมาหันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด! โดย “Sen X” เผยยอดขายเมียนมาพุ่งถึง 200% ในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-4 ล้านบาท ขณะที่ อนันดา ระบุยอดขายต่างชาติทะลุ 7,000 ล้านบาท อันดับ3เป็นเมียนมาสัดส่วนกว่า 10% รองจากจีน ไต้หวัน

สุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ Sen X กล่าวว่า จากปัญหาสงครามและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เร่งให้โลกเปลี่ยนผ่านสู่ Deglobalization ทำให้เกิดการลงทุนในต่างประเทศ หรือ ซื้อที่อยู่อาศัยในต่างประเทศมากขึ้น เพื่ออยู่อาศัยระยะยาวในช่วงหนีอากาศหนาว ส่งผลให้เห็นการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของดีเวลลอปเปอร์ หันไปให้ความสำคัญกับลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้นเพื่อระบายสต็อกที่มีอยู่ ท่ามกลางกลุ่มลูกค้าคนไทยที่ยังมีปัญหากำลังซื้ออ่อนแอ 

“ช่วงก่อนหน้าโควิด-19 และช่วงโควิด กลุ่มผู้ซื้อหลักจะเป็นคนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง ที่ติดอยู่ใน 3 อันดับแรก ที่สนใจเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในประเทศไทย แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นว่าดีมานด์คนเมียนมาเข้ามาติดอันดับ TOP3 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถานการณ์สงคราม ความไม่แน่นอนในประเทศทำให้ส่งบุตรหลานมาเรียนในประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ มากขึ้น”

ดังนั้น พ่อแม่ชาวเมียนมาจึงนิยมซื้อคอนโดให้ลูกหลานอยู่อาศัยระหว่างที่เรียนหนังสือ ส่งผลให้คอนโดระดับราคา 2-4 ล้านบาท กลายเป็นที่นิยมของคนเมียนมาที่เข้ามาเรียน ส่วนใหญ่นิยมเรียนมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบค (ABAC) ทำให้ทำเลรามคำแหง และ บางนา กลายเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษและขยายไปยังโซนพระราม 9 เพราะเป็นทำเลที่สามารถเดินทางไปรามคำแหงสะดวก ขณะที่กลุ่มผู้มารักษาตัวในกรุงเทพฯ นิยมโซนสุขุมวิท ซึ่งมีระดับราคาสูง

“สังเกตได้จากโครงการที่ทาง Sen X ขายให้กับลูกค้าต่างชาติ จะเห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นของผู้ซื้อชาวเมียนมาจากปี 2565 เทียบกับ 2566 เพิ่มขึ้นถึง 200% แต่ในเชิงมูลค่ายังไม่สูงมากเนื่องจากซื้อในระดับราคา 2-4 ล้านบาท ราว 55,000-100,000 ดอลลาร์”

ในไตรมาสแรกปี 2567 ชาวเมียนมาซื้ออสังหาฯ ผ่าน Sen X ประมาณ 100 ล้านบาท โดยปี 2567 คาดการณ์ว่า จะมีนักลงทุนเมียนมาเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้น 30%  

ทั้งนี้ บริษัทเริ่มทำการตลาดเมียนมาตั้งแต่ปี 2566ที่ผ่านมา เพราะเห็นถึง “โอกาส” ทั้งในกลุ่มคนที่ส่งลูกหลานเข้ามาเรียนและกลุ่มคนที่เข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ จากเดิมที่ต้องอยู่โรงแรม หรือเช่าเซอร์วิสอาพาร์ตเมนต์ เป็นระยะทุก 3-6 เดือน ขณะที่การซื้อคอนโดดีกว่าเช่าโรงแรมหรือเซอร์วิสอาพาร์ตเมนต์ เพราะโรงแรมที่เคยอยู่อาจจะเต็ม ที่สำคัญคนเมียนมาชอบทำอาหาร การซื้อคอนโดจึงตอบโจทย์

ประกอบกับปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนเงินในประเทศเมียนมามีความผันผวนอย่างมาก ล่าสุดสกุลเงินจ๊าตอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่า 10 ปี ทำให้คนเมียนมาต้องการลงทุนในประเทศที่มีความเชื่อมั่น “หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย” ด้วยการซื้ออสังหาฯ ทั้งในรูปแบบคอนโดและวิลล่าตามกำลังซื้อ 

สอดคล้องกับ “ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันดีมานด์จากต่างชาติมาแรง ไต้หวันหนีจีนมาไทย หรือแม้แต่ “จีน” ก็ยังมีแรงซื้อต่อเนื่อง ขณะที่ดีมานด์ที่มาแรงมาก คือ “เมียนมา” โดยเฉพาะหลังจากที่มีการประกาศบังคับเกณฑ์ทหารของรัฐบาลทหารเมียนมา 

“ชาวเมียนมา ส่วนหนึ่งหนีการเกณฑ์ทหาร หอบลูกหลานครอบครัวย้ายมาเมืองไทย เหมือนกับที่ไต้หวันหนีจีน โดยยอดขายจากต่างชาติอันดับที่ 3 ของอนันดาขณะนี้มาจากเมียนมา”

ในปี 2566 ยอดขายชาวต่างชาติอันดับหนึ่ง คือ ไต้หวัน มีสัดส่วน 44% อันดับสอง จีน สัดส่วน 43% และอันดับสาม เมียนมา สัดส่วนกว่า 10 % เฉพาะยอดขายต่างชาติของอนันดาในปีที่ผ่านสูงถึง 7,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35% ของพอร์ตโฟลิโอ สะท้อนให้เห็นว่า อสังหาฯ ไทยเป็น “โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้” คาดว่า ปีนี้ยอดขายจากต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งคอนโดและวิลล่าที่ซื้อผ่านสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปีผ่านนิติบุคคลไทย

“ขณะนี้ดีมานด์พม่ามาแรง ยิ่งปัจจุบันค่าเงินร่วงจนกลายกระดาษ เพราะเมื่อไรที่มีสงครามความไม่แน่นอนในประเทศ สินทรัพย์ด้อยค่าลง คนไม่อยากเสี่ยงต้องหอบเงินหอบทอง ออกมาซื้อที่อยู่อาศัยในต่างประเทศ ทำให้อสังหาฯ ไทยได้รับอานิงส์จากปัญหาดังกล่าว สังเกตได้จากยอดขายจากชาวเมียนมาเพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม “ดีมานด์เมียนมา” เป็นดีมานด์จากการหนีรัฐบาลทหารกับการเกณฑ์ทหาร นับเป็น “ดีมานด์ชั่วคราว” เช่นเดียวกับดีมานด์ไต้หวันหนีสงครามชั่วคราว แต่ดีมานด์หลักของอสังหาฯ ไทยยังเป็น “ชาวจีน” เพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ต่อให้เศรษฐกิจไม่ดีแต่ก็ยังมีเงิน 

อย่างไรก็ดี ดีมานด์เหล่านี้ได้เข้ามาช่วยพยุงตลาดอสังหาฯ ไทยในช่วงเวลาที่กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ ทำให้ตัวเลขอสังหาฯ ปี 2566 ที่ผ่านมาไม่ติดลบ! เพราะได้จากดีมานด์ต่างชาติเข้ามาช่วยประคองนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


โฆษณา“สัมมากร ไม่ใช่ สรรพากร”กวาด 4 รางวัลใหญ่ระดับเอเชีย

โฆษณา “สัมมากร ไม่ใช่ สรรพากร” กวาด 4 รางวัลใหญ่ระดับเอเชีย Spike Asia 2024 และ ADFEST 2024ตอกย้ำความสำเร็จภาพลักษณ์ใหม่ ทัชใจ ยังก์ เจน

นับตั้งแต่ สัมมากร เริ่มเดินเกมบุกตลาดอสังหาฯ โฟกัสคนรุ่นใหม่ สื่อสารแบรนดิ้งและภาพลักษณ์ใหม่ ที่ชัดเจน ผ่านกลยุทธ์การสื่อสารต่างๆ โดยเฉพาะหนังโฆษณาชุด “สัมมากร ไม่ใช่ สรรพากร”  ที่สามารถคว้า 4 รางวัลชนะเลิศและรางวัลใหญ่ในเวทีระดับเอเชียจาก Spikes Asia 2024 และ ADFEST 2024 นับว่าเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของการเทิร์น Pain Point มาเป็น Gain Point แก้ใขความเข้าใจผิด พร้อมสร้างการจดจำแบรนด์และภาพลักษณ์ในใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ผ่านการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย กระชับ 

 ณพน เจนธรรมนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เผยว่า ตั้งแต่วันแรกที่สัมมากรเกิดขึ้นในฐานะ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว่า 54 ปี  ภายใต้แนวคิดบ้านที่หลับสบาย บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาบ้านคุณภาพและฟังก์ชั่น ในโครงการให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าบ้านในแต่ละโครงการมาโดยตลอด โดยตั้งแต่ปี 2566 ได้เดินเกมบุกตลาดอสังหาฯ เน้นหนักสื่อสารถึงแบรนดิ้งและภาพลักษณ์ใหม่ของสัมมากรที่มีความแอคทีฟ และทันสมัย รวมทั้งความไฮเอนด์ของโครงการบ้านในเครือ 
 ปฏิวัติภาพจำและความเข้าใจผิดเดิมๆ ของผู้บริโภคอย่างสิ้นเชิง และอีกหนึ่งซัคเซสแฟคเตอร์ที่สำคัญคือสร้างให้แบรนด์มีความเป็นมนุษย์ ที่มีความเรียล จับต้องและเข้าถึงได้ ไปยังกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มเข้มข้นขึ้นในทุกช่องทางสื่อสาร โดยเฉพาะนิวทาร์เก็ตอย่างกลุ่มคนเจนใหม่ที่อายุน้อย ให้ทำความรู้จัก จดจำ ซึมซับดีเอ็นเอ และคาร์แรกเตอร์ ของสัมมากรตั้งแต่เนิ่นๆ 

โดยโฟกัสคอนเท้นต์และกิจกรรมที่ตรงกับความชอบเป็นคีย์หลักที่ทำให้เข้าถึง คนกลุ่มนี้ จนเกิดเป็นภาพยนตร์โฆษณาชุด “สัมมากร ไม่ใช่ สรรพากร”  และงาน Home Fill-in Exhibition by Sammakorn X Eyedropper Fill ขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย เกิดคาด ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ที่กำลังทำอยู่

ล่าสุดภาพยนตร์โฆษณาชุด “สัมมากร ไม่ใช่ สรรพากร” ที่เกิดขึ้นจาก แนวคิดการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยนำ Pain point จากเรื่องจริงที่ทีมเซลล์ขายบ้านของสัมมากรได้เจอมากับตัว และมาขอระบายกับผู้บริหารองค์กร ถึงความเข้าใจผิดเรื่องชื่อบริษัทของลูกค้าและพร้อมทำทุกวิถีทาง ให้ลูกค้าจำว่าสัมมากรขายบ้าน และไม่ใช่สรรพากรให้ได้

ด้วยความร่วมมือและสร้างสรรค์โดย ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ Phenomena โดยคว้า 2 รางวัลในหมวด Film ได้แก่ Grand Prix ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในหมวดย่อย Consumer Services / Business to Business และรางวัล Silver Spike ในหมวดย่อย Branded Content & Entertainment Film จาก Spikes Asia 2024

ส่วนเวที ADFEST 2024 ได้รับ 2 รางวัล Grande ในหมวด Film หมวดย่อย Online File : Finance & Real Estate และอีกรางวัลในหมวด Entertainment ในหมวดย่อย Fiction & Non-Fiction Film : Up to 5 minutes

”สัมมากรรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุด “สัมมากร ไม่ใช่ สรรพากร” จนคว้ารางวัลสูงสุด และรางวัลใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเชียมาครองได้ถึง 4 รางวัล ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของแคมเปญในการเทิร์น Pain Point จากประสบการณ์จริงของทีมขายบ้าน สัมมากร พลิกมาเป็น Gain Point ที่แก้ใขความเข้าใจผิด ” นายณพน กล่าว

พร้อมสร้างการจดจำแบรนด์และภาพลักษณ์ในใจ ผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ผ่านการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย กระชับ ไม่ซับซ้อน ทำให้สร้าง Organic Engagement ได้สูงขึ้น รวมทั้งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากกลุ่มลูกค้าและผู้ที่สนใจในวงกว้าง ซึ่งถือว่าหนังโฆษณา เรื่องนี้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้ทุกข้อ ต่อจากนี้อยากให้ติดตาม แคมเปญใหม่ๆ ของสัมมากรที่จะมาสร้างความสนุก และสีสันใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาต่อไป

ไพรัช เอื้อผดุงเลิศ ผู้ก่อตั้ง ชูใจ กะ กัลยาณมิตร กล่าวว่า ทั้งเวที Spikes Asia 2024 และ ADFEST 2024 ถือเป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติมาก เทียบได้กับรางวัลออสการ์ ฝั่งเอเชียของคนโฆษณา ซึ่งความสำเร็จ ในครั้งนี้ต้องชื่นชมความกล้าของสัมมากรที่ยอมรับและนำเสนอ Pain point นี้ออกมา

ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงออก ถึงความเป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีบางมุมที่ไม่สมบูรณ์แบบบ้าง ทำให้คนดูเชื่อและเข้าใจ ถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร ผ่านโฆษณาชิ้นนี้ ประกอบกับการนำเสนอแบบ Bully For Good คือการที่แบรนด์ ออกมาแซวตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำในแนวนี้เท่าไหร่ ทำให้เกิดงานที่อิมแพคและสร้างอารมณ์ขันให้กับคนที่ได้ดู ซึ่งรางวัลทั้งหมด ที่ได้รับจากทั้ง 2 เวทีใหญ่ในระดับเอเชียเป็นเครื่องการันตี ความทุ่มเทของทุกฝ่ายที่ทำให้เกิด งานชิ้นนี้ขึ้นมา

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้28 มี.ค. “ทรงตัว” ที่ระดับ 36.42 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแกว่งตัว sideways จากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่า แรงหนุนฝั่งแข็งค่าที่จำกัดจากโฟลว์ซื้อสินทรัพย์ไทยยังไม่รับกลับมาชัดเจนนัก  ​​​​​​​สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจฝั่งยุโรป

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้28 มี.ค.2567 ที่ระดับ  36.42 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า  แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ทว่า ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเช้านี้

เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด Christopher Waller ที่ย้ำจุดยืนเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เราคาดว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์อาจเป็นไปอย่างจำกัด เพราะอย่างน้อย เงินดอลลาร์อาจไม่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เหมือนในช่วงที่ผ่านมา

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มกังวลต่อการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนจากทางการญี่ปุ่นมากขึ้น โดยในวันก่อนหน้า ข่าวการประชุมของทางการญี่ปุ่นสามฝ่าย (MOF, FSA และ BOJ) ก็ได้หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่นพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วและแรง จนทดสอบโซน 151 เยนต่อดอลลาร์

ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้างสู่ระดับล่าสุดแถว 151.3-151.4 เยนต่อดอลลาร์  อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศในช่วงปลายเดือน ทำให้ในระหว่างวัน การอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากโฟลว์ซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยชัดเจน

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในช่วงคืนวันศุกร์ ทำให้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจจำกัดอยู่ไม่เกินโซน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยหนุนการแข็งค่าใหม่ๆ เข้ามา

อนึ่ง เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.30-36.50 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.35-36.44 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ หลังราคาทองคำมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

และเงินดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในคืนวันศุกร์ (ตลาดการเงินสหรัฐฯ และยุโรป ปิดทำการ เนื่องในวันหยุด Good Friday) ทำให้เงินบาทไม่ได้ผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ ถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด Christopher Waller (ในช่วง 05.00 น. เช้าวันพฤหัสฯ) ที่ยังย้ำจุดยืนเฟดไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์และยังคงกดดันทั้งราคาทองคำ รวมถึงเงินบาท 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น โดยดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +0.86% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม หลังบรรดานักวิเคราะห์ทยอยปรับเป้าดัชนี S&P500 สูงขึ้น

ตามมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.13% ท่ามกลางความหวังการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในยุโรป อย่าง ธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ที่ล่าสุดส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2

สอดคล้องกับการส่งสัญญาณทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เช่นกัน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง หลังหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง อาทิ Shell -1.3% ตามจังหวะการย่อตัวของราคาน้ำมันดิบ

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่ระดับ 4.19% โดยส่วนหนึ่งมาจากการทยอยปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความผันผวนของตลาดบอนด์ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงวันหยุด Good Friday ซึ่งจะเป็นวันที่ตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี เนื่องจากเราคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เราคงแนะนำนักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในทุกจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงกว่าระดับ 4.20% จาก Risk-Reward ที่มีความคุ้มค่าพอสมควร

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ตามทิศทางของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์พลิกกลับมารีบาวด์ขึ้น จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด Christopher Waller ที่ย้ำจุดยืนเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.2-104.5 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ยังพอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อ และทรงตัวแถวโซนแนวรับ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจฝั่งยุโรป ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาสที่ 4 รวมถึง รายงานยอดค้าปลีกและอัตราการว่างงานของเยอรมนี

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 เช่นกัน นอกจากนี้ รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็จะเป็นอีกข้อมูลที่ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจ เพื่อประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.39-36.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.17 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ

แม้เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวเป็นกรอบ แต่อาจมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าตามค่าเงินในภูมิภาค และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น หลังถ้อยแถลงของ Fed Governor Christopher Waller ที่แม้จะมองว่า ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับลดลงในปีนี้ แต่ก็ให้ความเห็นว่า เฟดควรเลื่อนจังหวะการลดดอกเบี้ยออกไปเพื่อให้สามารถมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับไปที่ระดับเป้าหมายที่ 2.00% ได้
 
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.35-36.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2566 (final) ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“ทีเค”เผย”เดอแชมโบ”คือแรงบันดาลใจขอหยุดกอล์ฟเพื่อเรียนต่อซัมเมอร์นี้

“ทีเค” รัชชานนท์ ฉันทนานุวัฒน์ นักกอล์ฟสมัครเล่นดาวรุ่งของไทย เปิดเผยว่า ไบรสัน เดอแชมโบ ยอดนักกอล์ฟจอมตีไกลชาวสหรัฐ ที่ปัจจุบันเล่นใน ลิฟกอล์ฟ คือแรงบันดาลใจสำคัญในการเล่นกอล์ฟ และเตรียมหยุดแข่งขันเพื่อมุ่งมั่นไปเรียนต่ออย่างจริงจังกับมหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด ในสหรัฐอเมริกาปีนี้

ทีเค เพิ่งอายุครบ 17 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เตรียมลงแข่งขันในรายการ ซาอุดิ โอเพ่น พรีเซนเตดบาย พับลิค อินเวสต์เมนท์ ระหว่างวันที่ 17-20 เมษายนนี้ ก่อนที่จะมุ่งมั่นในการเรียนซัมเมอร์นี้ เผยถึง เดอแชมโบ กัปตันทีม ครัชเชอร์ส กอล์ฟ คลับ ว่า “ที่สหรัฐ เราควรเลือกสาขาวิชาเอกในปีที่ 3 เพราะคุณจะค้นพบที่สนใจจริงๆ เมื่อเร็วๆนี้ผมได้คุยกับ ไบรสัน บอกว่าการศึกษาช่วยมากในการเล่นกอล์ฟ โดยเฉพาะกลศาสตร์ของนิวตัน ฟิสิกซ์อนุภาค และอาจจะรวมไปด้าน วิศวกรรม กายวิภาคศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ และที่ผมสนใจคือด้าน ฟิสิกซ์และเศรษฐศาสตร์ หรืออาจจะได้เรียนอะไรที่ง่ายกว่านี้ ในท้ายที่สุดผมก็ยังอยากเป็นนักกอล์ฟอาชีพ เพราะคือเป้าหมายหลักของผม ไม่มีเปลี่ยน ผมชอบวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ มันอธิบาย และเรียนรู้วิธีการต่างๆ ในฐานะนักกีฬาคนหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกีฬาของคุณ ซึ่งสำหรับ ไบรสัน มันแสดงให้เห็นแล้วว่ามันผลลัพธ์มันออกมาเยี่ยม”

ทีเค เจ้าของแชมป์ เอเชียน ทัวร์ ในรายการ ทรัสต์กอล์ฟ เอเชียน มิกซ์ คัพ ด้วยวัย 15 ปี เมื่อปี 2022 เผยว่า “สิ่งที่ผมต้องการในการเล่นกอล์ฟไม่ใช่ชื่อเสียง แต่เพื่อพัฒนาตัวเอง รวมถึงแนวความคิด และยังคิดกับตัวเองเสมอว่ายังเป็นมือสมัครเล่น และไม่ได้เล่นกอล์ฟเพื่อเงิน ดังนั้นมีบางครั้งที่ผมอาจจะทำผิดพลาดบ้าง แต่สิ่งที่ผมได้รับมันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และหากผมก้าวไปสู่มืออาชีพ ผมก็อยากให้ตัวเองพร้อมที่สุดทั้งในเรื่องสภาพจิตใจ และฝีมือ”

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ง่วงนอนบ่อยๆ กับ 6 โรคอันตรายที่คุณอาจกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว

หลายๆ คน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ พอตกบ่ายก็เริ่มตาปรือ สัปหงก หรือบางทีก็ต้องลุกไปชงกาแฟดื่มแก้ง่วง ถ้านานๆ ทีง่วงทีก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้าง่วงมันทุกวันเนี่ย ต้องลองเช็คสุขภาพแล้วล่ะค่ะ เพราะคุณอาจกำลังเป็นโรคบางอย่างหรือเปล่า จะมีโรคอะไรบ้าง ตาม Sanook Health มาหาคำตอบกันค่ะ

6 โรคอันตรายที่คุณอาจกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว หากคุณมีอาการง่วงนอนบ่อยๆ

  1. โรคนอนไม่หลับ
    ก็เพราะนอนไม่หลับ ก็เลยง่วง ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่าที่นอนไม่หลับ หรือนอนดึกมากๆ เนี่ย เป็นเพราะทำงานหนัก งานเยอะ หรือเครียดจนนอนไม่หลับหรือเปล่า ถึงทำให้วันต่อมาง่วงนอน เพราะนอนไม่เคยพอสักวัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรคลายเครียด ลดการทำงานในตอนกลางคืน หรือปรึกษาแพทย์ได้นะคะ
  2. โรคอ่อนเพลีย /ล้าเรื้อรัง
    เป็นขั้นกว่าของโรคนอนไม่หลับ ซึ่งก็หมายถึงการนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานนั่นเอง เมื่อร่างกายสะสมความอ่อนเพลียหนักขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป จนส่งผลให้มีอาการเพลีย ล้า ง่วงนอน ความจำไม่ค่อยดี ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และหลับไม่สนิท นอนเท่าไรก็ไม่พอ และกลุ่มวัยทำงานมีความเสี่ยงสูงที่สุด
  3. โรคเบาหวาน
    จากที่บอกไปแล้วว่าการบริโภคแป้ง และน้ำตาลสูงทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ นอกจากจะเป็นโรคล้าเรื้อรังแล้ว ยังอาจเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย เพราะเลือดมีปริมาณน้ำตาลสูง และอาการง่วงนอนเป็นสัญญาณแรกๆ ที่แสดง หรือเตือนให้ร่างกายทราบว่ากำลังอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง นำไปสู่โรคเบาหวานได้ในอนาคตอันใกล้
  4. โรคลมหลับ
    อันนี้เป็นโรคง่วงนอนแบบจริงจังแล้วนะ คือง่วงนอนมากในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนกลับตาแป๋ว นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท หรือพอได้นอนปุ๊บก็ฝันทันที ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นเด็กอาจถูกมองว่าเป็นเด็กขี้เกียจ พัฒนาการสมองช้า เรียนไม่เก่ง หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็อาจมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อการใช่ชีวิต เช่น ง่วงระหว่างขับรถ หรือใช้เครื่องจักรกลต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งผลถึงสุขภาพจิตที่อาจกลายเป็นคนหงุดหงิดงุ่นง่านง่าย จากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย
  5. โรคโลหิตจาง
    ยิ่งผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางได้ง่าย เพราะสาเหตุอาจมาจากการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ (เพราะผู้หญิงเลือกกินมากกว่า) นอกจากนี้ยังสูญเสียโลหิตจากการมีประจำเดือนอีกด้วย ส่วนสาเหตุอื่นยังมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืดบ่อย เหนื่อยง่าย และเชื่องช้า เซื่องซึม ไม่สดใส จึงทำให้รู้สึกง่วงนอนบ่อยๆ นั่นเอง
  6. เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ในร่างกาย
    การสูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ บ่อยๆ เช่น มีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร หรืออาจจะสูญเสียเลือดจากการเป็นโรคริดสีดวงทวารบ่อยๆ อาจเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย หรืออยู่ในภาวะโลหิตจางเรื้อรัง เลยแสดงอาการเหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลมง่าย อ่อนแรง และง่วงหงาวหาวนอนได้เช่นกัน

แต่ละโรคไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยว่าไหมคะ ทางที่ดี หากลองปรับนาฬิกาชีวิตให้เป็นปกติ นอนให้เร็ว ตื่นให้เช้า หรือหากนอนไม่หลับลองเลี่ยง “7 สิ่งอันตรายที่ไม่ควรทำก่อนเข้านอน” (คลิกเพื่ออ่านบทความ) หรือทำความรู้จักกับ “ฮอร์โมนเมลาโทนิน” (คลิกเพื่ออ่านบทความ)  เพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นก็ได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


9 วิธีเด็ดแก้ปัญหา แอร์กินไฟช่วงหน้าร้อน

คำถามหนึ่งที่ในยุคที่อะไรก็แพง และอากาศก็ร้อนเช่นเดียวกัน เราเปิดแอร์บ้ายเราให้ประหยัดไฟได้อย่างไร และควรต้องทำอย่างไร วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบครับ

วิธีช่วยให้แอร์ประหยัดไฟในช่วงหน้าร้อน

ล้างแอร์บ้าง

การล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้คอยล์เย็นถ่ายเทความร้อนได้ดีขึ้น ทำให้แอร์ทำงานน้อยลง ประหยัดไฟมากขึ้น

ดูหน้าต่างและประตูต้องปิดสนิด

การที่หน้าต่างหรือประตูเปิดก็จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นเราควรจะปิดประตูและหน้าต่างให้สนิด

ใช้พัดลมช่วย

การเปิดพัดลมไม่ใช่ทำให้กินไฟเครื่องแต่พัดลมจะทำให้เกิดการไล่อากาศร้อนที่เร็วช่วยให้ลดความร้อนได้

ปรับอุณหภูมิที่เหมาสม

การตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมเช่น 26 – 28 องศา ก็ทำให้ห้องเย็นได้

ติดตั้งฉนวนกันความร้อน

เป็นความคิดที่ดีหากเลือกฉนวนกันความร้อนมาช่วยเรื่องลดความร้อนได้ระดบันหนึ่

การปรับแอร์ให้อยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน

หากแอร์ทำงานเต็มที่การกดโหมดประหยัด จะทำให้แรอืลดการใช้พลังงานลดลงได้ แต่ทั้งนี้ อย่าลืมตั้งระบบเปิด / ปิด เวลาที่เราไม่อยู่ด้วยนะ

เปลี่ยนแอร์ที่ประหยัดพลังงาน

หากคุณใช้งานแอร์มานานอาจจะไม่ได้เหมากับยุคนี้เนื่องจากการใช้พลังงานมากเกินไป การเลือกแอร์รูปแบบใหม่จะทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะระบบ Inverter เป็นต้น

ดูแอปตรวจสอบค่าไฟ

การดูค่าไฟผ่านแอปส์ เป็นอีกวิธีที่ช่วยคุณประหยัดค่าไฟได้ ถ้าหากคุณเห็นว่าค่าไฟแพงเกินไป มันอาจจะไม่ได้เกิดจากแอร์เสมอไป ลองดูเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยก็ดีเหมือนกันครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Parts of Speech คืออะไร?

Parts of Speech คืออะไร

Parts of Speech คือ ชนิดหรือประเภทของคำ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่และตำแหน่งในประโยคแตกต่างกันออกไป ความเข้าใจเกี่ยวกับ Parts of Speech ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อให้เราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง

การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจประเภทของคำหรือ Parts of Speech นั้นมีประโยชน์ เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจส่วนย่อยของภาษา ตั้งแต่คำ วลี ไปจนถึงการเรียบเรียงประโยคที่ใช้ในภาษาอังกฤษ ถือเป็นสิ่งจำเป็น ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องรู้

สรุป Parts of Speech

1. Noun (n.) คำนาม

คำนาม หรือ Noun คือ คำในภาษาอังกฤษซึ่งใช้เรียกชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมไปถึง ความรู้สึก อารมณ์ แนวคิด คุณสมบัติ สามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลากหลายประเภท เช่น Proper Nouns (คำนามชี้เฉพาะ), Common Nouns (คำนามทั่วไป), Collective Nouns (สมุหนาม),Material noun (วัตถุนาม) และ Abstract Nouns (อาการนาม) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งคำนามออกเป็นแบบนับได้และนับไม่ได้ (Countable and Uncountable) โดยคำนามที่นับได้นั้นจะมีได้ทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ (เช่น a man, two men) แต่คำนามนับไม่ได้นั้นจะเป็นได้แค่คำนามเอกพจน์เท่านั้น (water, a glass of water)

ตัวอย่าง Noun (คำนาม) ภาษาอังกฤษ

  • Proper Nouns (คำนามเฉพาะ)
    – Cristiano Ronaldo, Lisa, London, Bangkok, January, Thailand
  • Common Nouns (คำนามทั่วไป)
    – boy, apple, dog, ice cream, phone, city, cat
  • Collective Nouns (สมุหนาม)
    – group (a group of student), herd (a herd of cattle), bunch (a bunch of flowers), crowd (a crowd of people)
  • Material noun (วัตถุนาม)
    – water, air, silver, gold, iron
  • Abstract Nouns (อาการนาม)
    – happiness, anger, kindness, health, friendship

ตัวอย่างการใช้ Noun (คำนาม) ในประโยค

  • My best friend lives in Australia.
    เพื่อนสนิทของฉันอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย
  • Anna has two dogs.
    คริสมีสุนัขสองตัว
  • Her mother is a teacher.
    แม่ของเธอเป็นครู

Tip: คำนามภาษาอังกฤษอาจสังเกตได้จาก Noun Suffixes หรือรากศัพท์ที่ลงท้ายคำนาม เช่น

-ance = maintenance, distance
-ence = difference, silence
-er = teacher, singer
-ion = education, satisfaction, celebration
-ment = entertainment, payment
-ness = happiness, sadness

2. Pronoun (pron.) คำสรรพนาม

คำสรรพนาม หรือ Pronoun คือ คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อให้เกิดความกระชับและหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคำนามเดิมซ้ำ ๆ เช่น I, you, he, she, it, we และ they เป็นต้น

ตัวอย่างการใช้ Pronoun (คำสรรพนาม) ในประโยค

  • We took the car to the garage because it needed fixing.
    แทนที่จะเขียนว่า We took the car to the garage because the car needed fixing.
  • Jerry went to bed because he was tired.
    แทนที่จะเขียนว่า Tom went to bed because Tom was tired.

3. Verb (v.) คำกริยา

คำกริยา หรือ Verb คือ คำที่แสดงอาการ เพื่อบ่งบอกถึงการกระทำของนามหรือสรรพนาม ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือจิตใจ คำกริยายังบอกถึงสถานะได้อีกด้วย

Verb เป็นคำในภาษาอังกฤษประเภทเดียวที่มีการผันตาม Tense เพื่อแสดงความเป็นปัจจุบันหรืออดีต เป็นต้น

เราอาจแบ่ง Verb ได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • Action verb – แสดงการกระทำต่าง ๆ เช่น run, dance, swim
  • Linking verb – ใช้เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับข้อมูลเกี่ยวกับประธานดังกล่าว เช่น Peter’s room was a mess.
  • Auxiliary/helping verb – ช่วยเสริมความหมายของ Verb หลักให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น tense, voice หรืออารมณ์ความรู้สึก เช่น
    – The film was shot in Thailand.
    – We are planning a party.
    – She may arrive early.

4. Adjective (adj.) คำคุณศัพท์

คำคุณศัพท์ หรือ Adjective คือ คำที่นำมาใช้ขยายคำนามหรือสรรพนาม เพื่อบอกลักษณะหรือคุณสมบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น beautiful, tasty, red, good, sunny เป็นต้น

ตัวอย่างการใช้ Adjective (คำคุณศัพท์) ในประโยค

  • My mum picked some pretty flowers.
  • She is the fastest member of our team.
  • Every member of the team scored a point.
  • I love Japanese food.

5. Adverb (adv.) คำกริยาวิเศษณ์

คำวิเศษณ์ หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) คือ คำที่ทำหน้าที่ขยายคำกริยา (Verb), คุณศัพท์ (Adjective) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เพื่อบอกรายละเอียดเพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าสิ่งที่พูดถึงเกิดขึ้นอย่างไร (How) เมื่อไหร่ (When) บ่อยแค่ไหน (How often) ที่ไหน (Where) และเท่าไร (How much) โดย Adverb หลายคำมักจะลงท้ายด้วย -ly

ตัวอย่างการใช้ Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) ในประโยค

  • I often have cereal for breakfast. [ขยาย Verb]
  • My sister is a very lovely person. [ขยาย Adjective]
  • Jenny plays very nicely with her younger brother. [ขยาย Adverb]

6. Preposition (prep.) คำบุพบท

คำบุพบท หรือ Preposition คือ คำที่ใช้ทำหน้าที่เชื่อมคำนาม (Noun), นามวลี (Noun Phrase), คำสรรพนาม (Pronoun) หรือคำกริยา (Verb) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ เช่น การบ่งบอกเวลา สถานที่ ตำแหน่ง ทิศทาง และอื่น ๆ เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องในประโยค เช่น in, on, at, under, in front of, between, beside, with, without เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะอยู่หน้าคำนามหรือสรรพนาม

ตัวอย่างการใช้ Preposition (คำบุพบท) ในประโยค

  • I am sitting next to my best friend.
  • We had a picnic outside yesterday.
  • I’ll be there in an hour.
  • Nick lives with two dogs and a cat.

7. Conjunction (conj.) คำสันธานหรือคำเชื่อม

คำสันธาน หรือ Conjunction คือ คำที่เชื่อมคำ ประโยค วลี หรือประโยคย่อยเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ความหมายที่สมบูรณ์และมีความสละสลวยมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น and, but, so, because, when, if, that, although, even if, neither…nor, either…or เป็นต้น

ตัวอย่างการใช้ Conjunction (คำสันธาน) ในประโยค

  • I like chocolate and vanilla ice cream.
  • I don’t know if I’m going to pass all my exams.
  • Have you got everything that you need?
  • Tara can’t eat nuts because she’s allergic to them.

8. Interjection (interj.) คำอุทาน

คำอุทาน หรือ Interjections คือ คำที่ใช้เพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกต่าง ๆ ในทางบวกหรือทางลบ เช่น ความพอใจ ความแปลกใจ ความประหลาดใจ หรือความรังเกียจ เป็นต้น โดยอาจมีการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) ร่วมด้วย ทั้งนี้ การบอกว่าคำอุทานแสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ นั้นจะต้องอาศัยบริบทร่วมด้วย

ตัวอย่างการใช้ Interjection (คำอุทาน) ในประโยค

  • คำอุทานแสดงความดีใจ เช่น bravo, hooray, yay, yippee
  • คำอุทานแสดงตกใจหรือเมื่อทำพลาด เช่น oops
  • คำอุทานแสดงความตื่นเต้นหรือประหลาดใจ เช่น oh, wow, oh my god
  • คำอุทานแสดงความเจ็บปวด เช่น ouch
  • คำอุทานสำหรับเรียกหรือทักทาย เช่น hey, hi
  • คำอุทานเพื่อบอกให้เงียบ เช่น shh, hush,
  • คำอุทานแสดงความเศร้าใจหรือผิดหวัง เช่น oh no
  • คำอุทานแสดงความรังเกียจ เช่น yuck, ugh
  • คำอุทานแสดงความโล่งใจ เช่น phew

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


เห็ด กับ 6 ประโยชน์ขั้นเทพที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

หลายประเทศทั่วโลกนำ เห็ด มาทำเป็นอาหารและยารักษาโรคกันตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จนปัจจุบันเห็ดเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงนับพันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในแต่ละปีมีการเพาะเห็ดกันเป็นจำนวนถึง 900 ปอนด์ ประเทศที่มีการเพาะเห็ดกันมากที่สุดก็คือจีน

ไม่ว่าคุณจะรับประทานเห็ดแบบไหน รับประทานสด ๆ หรือนำมาปรุงอาหาร เห็ดก็ยังคงเป็นอาหารที่มีคุณค่า และให้ประโยชน์ต่อร่างกาย และ 6 ประโยชน์ต่อไปนี้ นับว่าเป็นคุณค่าที่แทบไม่น่าเชื่อของเห็ด

เห็ดมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

  1. เห็ดมีส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยต่อต้านโรคมะเร็ง ในปี 2010 มีการเผยแพร่งานวิจัยในวารสาร Experimental Biology and Medicine ว่า ได้มีการนำเห็ด 5 ชนิดมาทดสอบ ได้แก่ เห็ดไมตาเกะ, เห็ดคริมมินิ, เห็ดกระดุมสีน้ำตาล, เห็ดนางรม และ เห็ดกระดุมสีขาว พบว่า พวกมันมีสรรพคุณในการต่อต้านการเติบโตของเซลมะเร็งเต้านม นอกจากนั้นยังพบว่า เห็ดชิตาเกะของญี่ปุ่น มี Lentinan ซึ่งเป็นน้ำตาลโมกุลประเภทหนึ่ง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสรอดชิวิตให้กับผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดในระหว่างที่เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัด แม้ว่า Lentinan จะไม่ได้ฆ่าเซลมะเร็งโดยตรง แต่มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วงชะลอการเติบโตของเนื้อร้าย รวมทั้งยังฆ่าไวรัสและจุลินทรีย์ ได้โดยตรงในการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
  2. เห็ดช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เราทราบกันแล้วว่า Lentinan สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังพบว่า Beta-glucan ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบในเซลของรา ก็ช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน Lentinan มาจากเห็ดหอม แต่ Beta-glucan พบได้ในเห็ดทั่วไปหลายชนิด
  3. เห็ดช่วยลดไขมันในเลือด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เห็ดนั้นไม่มีคลอเรสเตอร์รอล และยังมีไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอลเรสเตอร์รอลด้วย ในปี 2012 ได้มีการศึกษาและรายงานผลในวารสารนานาชาติ Medicinal Mushrooms ว่า เห็ด Oyster สีชมพูลดปริมาณไขมันในเลือด และไขมันเลว LDL ในหนูทดลองได้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูงได้ ส่วนเห็ดหอม มีส่วนประกอบที่ช่วยการทำงานของตับ ขับคอลเรสเตอร์รอลจากเส้นเลือด ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดและรักษาระดับความดันโลหิตให้เห็นปกติ รวมทั้งกระตุ้นการระบบการไหลเวียนให้ทำงานดีขึ้น
  4. ในเห็ดมีวิตามิน B และ D สูง เห็นเป็นอาหารเพียงไม่กี่ชนิดที่มีวิตามิน D ซึ่งโดยปกติแล้ว ผิวหนังของเราจะสร้างวิตามิน D เมื่อถูกแสงแดด มีรายงานว่าเห็นกระดุม และคริมมินิ จะมีปริมาณวิตามิน D สูง และเห็ดคริมมินิ ก็มีวิตามินอื่นสูงด้วย รวมทั้งวิตามิน B 12 ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่รับประทานมังสะวิรัติ เพราะวิตามินดังกล่าวมีอยู่ในเนื้อสัตว์ วิตามิน B นับว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นตัวช่วยนำอาหารเข้าไปให้พลังงานกับร่างกาย ส่วนวิตามิน D ก็ช่วยให้ร่างกายของเราดูดซึมแคลเซี่ยม ทำให้กระดูกแข็งแรง
  5. เห็ดช่วยต่อต้านการอักเสบ เห็ดนั้นช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดอาการอักเสบของร่างกาย เห็ดหลินจือ เป็นเห็ดที่คนเอเชียนำมาใช้ทำยากันมานานนับปันปีแล้ว เพราะมันช่วยลดการอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า มันมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ต่อสู้กับเชื้อโรค ลดการอักเสบ ช่วยลดอาการภูมิแพ้ ชะลอการเติบโตของเนื้อร้าย
  6. เห็ดมีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง มีการศึกษาและติดตามผลของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins พบว่า ผู้ป่วยมะเร็ง 80 คน มีความทุกข์ทรมานกับความวิตกกังวล กระวนกระวาย ความเครียด ความกลัวตาย พวกเขาได้รับยาซึ่งมีส่วนผสมของเห็ด 200 ชนิด และพบว่า ร้อยละ 80 ของพวกเขา มีความรู้สึกดีขึ้น คิดบวกมากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและผู้ให้การรักษาดีขึ้น

ดังนั้น เพื่อให้เราได้รับ ประโยชน์ที่มากมายจากเห็ด ก็อย่ารีรอที่จะรับประทานกัน เราสามารถนำเห็ดมาปรุงอาหารได้หลายชนิด ในการรับประทานเห็ดนั้น มีคำแนะนำจาก WebMD ด้วยว่า ผนังเซลของเห็ดนั้นแข็ง ทำให้ย่อยยากและการจะได้รับคุณค่าอาหารจากตัวของมันนั้นก็ยาก นอกจากนั้นส่วนประกอบทางเคมีของเห็ด ก็ยังรบกวนระบบการย่อยและการดูดซึม ในการที่จะทำลายผนังเซลของเห็นให้แตกตัวลง และทำให้องค์ประกอบทางเคมีและส่วนที่เป็นพิษสลายไป เราควรนำไปปรุงให้สุกก่อนการรับประทาน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/03/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a37,750.0037,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,445.0037,066.2038,350.00
ทองรูปพรรณ 90%2,200.5033,359.58n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,956.0029,652.96n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,100.0016,676.00n/a
ทองรูปพรรณ 40%856.0012,976.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,534.0038,415.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/03/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.1539.1539.9539.1539.1539.1539.1539.1539.1539.15
แก๊สโซฮอล์ 9137.6837.6838.4837.6837.6837.6837.6837.6837.6837.68
แก๊สโซฮอล์ E2037.0437.0437.8437.0437.0437.0437.0437.0437.04
แก๊สโซฮอล์ E8536.7936.7936.79
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม46.8449.4449.4449.4446.84
เบนซิน 9547.0448.2147.5447.1947.04
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า