สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2560

บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเครื่องมือ “เข้าถึง” ช่วยให้มีบ้านง่ายขึ้น แก้กฎหมายให้ บตท. รองรับยุทธศาสตร์ 20 ปี 

บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวง การคลัง สนองนโยบายรัฐ ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพิ่มเครื่องมือระดมทุน จากตลาดทุน ช่วยคนรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตัวเองได้เพิ่มมากขึ้นและ ง่ายขึ้น ในอนาคต แทนที่จะต้อง “กู้เงินธนาคาร” แต่เพียงแหล่งเดียว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ผ่านการแก้ไขกฎหมาย เพิ่มช่อง “รับซื้อสินเชื่อบ้านผ่านผู้ประกอบธุรกิจรับจำนอง เช่าซื้อ-เช่าลิสซิ่ง” รองรับยุทธศาสตร์ 20 ปี ให้ประชาชนมีบ้านที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้คนไทยมีบ้านเป็นของตัวเอง ชีวิตความเป็นอยู่น่าจะดีชึ้น

ทุกคนอยากมีบ้านที่อยู่อาศัย ในแต่ละปีมีความต้องการระดมทุนในการ ซื้อบ้านเกินกว่า 3 แสนล้าน หากทำสำเร็จ ก็จะสามารถกระตุ้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ถึง 3-4 เท่าตัว

แต่ปัจจุบัน การซื้อบ้าน ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก แต่ยังมีโอกาสสำหรับประชาชน ในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น โดยที่ บตท. จะนำเงินในตลาดทุน ซึ่งมีเพิ่มขึ้นมาก นำมาใช้ในธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัย

การแก้ไขพระราชกำหนดนี้ เป็นการเพิ่มเครื่องมือจัดหาเงินทุนที่สำคัญ ที่จะช่วยหล่อลื่นให้ธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพิ่มกำลังซื้อรองรับเมืองที่ขยายตัว และสอดคล้องกับแนวโน้มพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในการจัดหาที่อยู่อาศัย ที่เปลี่ยนแปลงไป

การที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติเห็นชอบเพิ่มเติมพระราชกำหนด บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ทำธุรกรรมได้เพิ่มขึ้น ให้สามารถซื้อกองสินเชื่อจากผู้ประกอบธุรกิจที่ให้สินเชื่อ โดยการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลิสซิ่งได้

เดิมบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยสามารถซื้อกองสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากผู้ขายสินเชื่อ 2 กลุ่ม คือสถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะนำกองสินเชื่อเหล่านี้มาหนุนหลังและ ออกหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจากตลาดทุนและส่งต่อไปสู่ตลาดเงิน โดยประโยชน์จากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย จะทำให้ บตท. สามารถขยายธุรกรรม และ มีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น

นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อ ที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยนี้ ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องตอบสนองต่อ วิถีการดำเนินชีวิตหรือ Lifestyle และการพัฒนาของเครื่องมือทางการเงิน ที่เปลี่ยนไป เพื่อเป็นทางเลือกให้มีแหล่งเงินทุน ช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและช่วยให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวต่อเนื่อง เท่ากับเป็นการพัฒนาตลาดผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้มีหลายรูปแบบเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถ “เข้าถึง” แหล่งเงินทุนได้ สามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้มากขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 20 ปี ของประเทศ ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตและ ความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นและยังช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์

สิ่งที่แก้ไขในวันนี้ เป็นการรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวโน้มหลังทำงาน 3-5 ปี ก็ซื้อคอนโดของตัวเอง ต้องการที่อยู่อาศัยที่เดินทางสะดวก ในขณะที่ตัวเมืองก็มีการขยายตัวมากขึ้น พฤติกรรมการซื้อเช่นนี้ น่าจะเกิดการหมุนเวียนในกระแสการเงินมากขึ้นเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการซื้อบ้านหลังที่สองและถือเป็นทรัพย์สิน เป็นโอกาสให้ขยายตัวมาก

อย่างไรก็ตาม บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) จะไม่ได้ให้บริการ สินเชื่อซื้อบ้านโดยตรงกับประชาชน แต่จะทำหน้าที่ระดมทุน และทำงาน “หลังบ้าน” นำสินเชื่อบ้านมาหนุนหลังตราสาร ไม่สามารถทำงาน “โดยตรง”ให้กู้ซื้อบ้านกับประชาชนได้ ต้องทำงาน “เบื้องหลัง” ผ่านผู้ประกอบธุรกิจ ให้สินเชื่อโดยการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลิสซิ่ง เพิ่มจากสถาบันการเงินกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัย มาหนุนหลัง นำเงินจากตลาดทุน มาส่งเสริมระบบอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัว และประชาชนเข้าถึง “บ้านที่อยู่อาศัย” ได้ง่ายขึ้น ขณะนี้ มีสมาคมตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยอาเซียน ที่บตท. เป็นสมาชิกอยู่รวม 7 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มองโกเลีย และไทย สมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มคือ ฮ่องกง สมาคมนี้ ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในภูมิภาคร่วมกัน

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก


ธุรกิจสร้างบ้านโล่งยังไม่โดนปรับ

นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า กรณีที่รัฐบาลจะมีคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อชะลอหรือเลื่อนการบังคับใช้บางมาตราที่มีบทลงโทษรุนแรง ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารจัดการการทำงาน ของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและสะท้อนได้ว่าภาครัฐเข้าใจความเดือดร้อนของทุกฝ่าย “เห็นด้วยที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายแรงงานต่างด้าวอย่างจริงจัง หรือมองในประเด็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ แต่ก่อนที่รัฐบาลจะปรับระดับความรุนแรงในการบังคับใช้กฎหมาย อยากให้รัฐได้พิจารณาปัญหาในการทำบันทึกความเข้าใจที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบให้รอบด้านก่อน เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริง ซึ่งภาคเอกชนก็มีความพยายามที่จะทำให้ถูกกฎหมายอยู่แล้ว”

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรับจ้างก่อสร้างได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งมีรับสัญญาจ้างต่อ (ซับคอนแทร็ก) และต้องพึ่งแรงงานต่างด้าว กลุ่มนี้มีศักยภาพจำกัดทั้งเวลาและเงินทุน อีกทั้งแรงงานในกลุ่มก่อสร้างมีการเคลื่อนย้ายถ่ายเทตลอดเวลา กล่าวคือ เมื่อผู้รับจ้างต่อบางรายที่มีข้อจำกัดแล้วได้รับผลกระทบ ก็ไม่สามารถที่จะรับงานได้ ก็กระทบทั้งต่อบริษัทรับสร้างบ้านและผู้บริโภค

นายพิชิตกล่าวด้วยว่า ในภาคอสังหาริมทรัพย์รวมถึงธุรกิจก่อสร้างกำลังประสบปัญหาใหญ่เข้าขั้นวิกฤติ มีภาวะขาดแคลนแรงงานในทุกกลุ่ม ทั้งระดับหัวหน้าคุมงาน แรงงานระดับช่างฝีมือ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แม้กระทั้งแรงงานที่ไร้ฝีมือ และหากการก่อสร้างในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อไหร่ ความต้องการพึ่งพาแรงงานจะสูงมาก อาจถึงขึ้นต้องแย่งตัวแรงงานต่างด้าวในแต่ละไซต์งาน

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


สูบมั่ว มีสิทธิ์โดนปรับ กับ พ.ร.บ.ยาสูบฉบับใหม่

จากสถิติที่น่าตกใจพบว่า คนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่สูงถึงปีละกว่า 50,000 คน และทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณไปกับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียที่เกิดจากการสูบบุหรี่สูงถึง 74,884 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการคลอดพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีหลักใหญ่ใจความที่จะช่วยป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรร้ายของการติดบุหรี่อันเนื่องมาจากกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ที่หลากหลายขึ้น และเป็นการคุ้มครองสิทธิของเยาวชนและสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่

พ.ร.บ.ยาสูบฉบับใหม่ หยุดวงจรร้ายของการติดบุหรี่
กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่จะช่วยป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรร้ายของการติดบุหรี่อันเนื่องมาจากกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ที่หลากหลายขึ้น และเป็นการคุ้มครองสิทธิของเยาวชนและสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และที่สำคัญอีกประการคือ ประเทศไทยเข้าร่วมรัฐภาคีตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO-FCTC) จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์เท่าทันกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทบุหรี่ และแนวปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาดังกล่าว

พ.ร.บ.ยาสูบฉบับใหม่

มาตรการสำคัญ 9 ข้อ รู้ไว้…ไม่โดนปรับ
ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมการบริโภคยาสูบอยู่เดิม 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ซึ่งบังคับใช้มานานกว่า 25 ปี สำหรับ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีมาตรการสำคัญที่ประชาชนต้องรับทราบเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ดังนี้
1. กำหนดห้ามขายหรือให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
2. ห้ามให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ
3. ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบใน 4 กลุ่มสถานที่ ได้แก่ วัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สถานพยาบาลและร้านขายยา สถานศึกษาทุกระดับ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก ซึ่งหากเจ้าของพื้นที่หรือผู้ดูแลไม่แจ้งความเพื่อดำเนินคดีก็จะมีความผิดปรับ 3,000 บาท
4. กำหนดห้ามโฆษณาสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ยาสูบในทุกรูปแบบ อาทิ พริตตี้ส่งเสริมการขายในงานคอนเสิร์ต
5. ห้ามผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบทำกิจกรรม CSR อุปถัมภ์สนับสนุนบุคคล หรือองค์กร ที่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบ
6. ห้ามตั้งวางโชว์ผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือซองบุหรี่ ณ จุดขายปลีกที่ทำให้ผู้บริโภคหรือประชาชนมองเห็น
7. ห้ามแบ่งซองขายบุหรี่เป็นรายมวน
8. เพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่เป็นปรับไม่เกิน 5,000 บาท (จากปรับไม่เกิน 2,000 บาท)
9. กำหนดหน้าที่ให้เจ้าของสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ มีหน้าที่ต้องประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน ดูแลให้ไม่มีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ หากฝ่าฝืนไม่ดำเนินการ เจ้าของสถานที่มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท (จากเดิมไม่มีโทษปรับ)

การควบคุมมีผลลดนักสูบลงได้
จากการรณรงค์ การใช้นโยบายขึ้นภาษี และพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ อย่างต่อเนื่องช่วยลดผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่ และหน้าเก่าลงได้จริง สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของคนไทยย้อนหลัง 23 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเมื่อปี 2534 คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวน 38.5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีคนสูบบุหรี่ 12.3 ล้านคน ขณะที่ผลสำรวจปี 2558 คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มเป็น 56.1ล้านคน แต่มีคนสูบบุหรี่ 10.9 ล้านคน นั่นคือ จำนวนคนไทยที่สูบบุหรี่ลดลง สวนทางกับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 17.6 ล้านคน ในระหว่างปี 2534-2558 ขณะที่จำนวนคนที่สูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่กลับลดลงเหลือ 10.9 ล้านคน นอกจากนี้ ปริมาณการสูบบุหรี่/ประชากร/ปี ในปี 2534 เท่ากับ 50.44 ซอง แต่ในปี 2558 ปริมาณการสูบบุหรี่ลดลงมาอยู่ที่ 39 ซอง/ประชากร/ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความพยายามควบคุมยาสูบที่ผ่านมา ส่งผลให้ทั้งจำนวนผู้สูบบุหรี่และจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อหัวประชากรต่อปีลดลง

ความพยายามควบคุมยาสูบ

ต่างประเทศกับกฎหมายคุ้มครองคนไม่สูบบุหรี่
สมาชิกขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เริ่มกำหนดให้วันที่ 31 พฤษภาคม เป็นวันงดสูบบุหรี่โลกขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2531 โดยได้มีการตั้งเป้าหมายว่าจะลดจำนวนการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ลงจำนวน 3.5 ล้านคน/ปี ซึ่งในหลายประเทศมีการเคลื่อนไหวโดยการประกาศห้ามการสูบบุหรี่ อาทิ อังกฤษลงมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในรถที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีโดยสารอยู่ด้วย ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับ 50 ปอนด์ หรือประมาณ 2,200 บาท รัฐแคลิฟอร์เนีย และอีกหลายรัฐในสรัฐอเมริกา หน่วยงานที่ดูแลที่พักอาศัยของรัฐกำหนดให้อาคารที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่มีกฎห้ามสูบบุหรี่ภายในห้องพักโดยเฉพาะรวมทั้งในหอพักและอพาร์ตเมนต์
สำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีร้านอาหารบางร้านสามารถนั่งสูบบุหรี่ในร้านได้ แม้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นจะพยายามออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในตัวอาคารทั้งหมด แต่ก็ยังอยู่ในระหว่างวางแผนเท่านั้น โดยคาดว่าจะประกาศใช้ให้ได้ภายในปี 2020 หรือก่อน Tokyo Olympic แต่ก็มีกระแสต่อต้านไม่น้อยจากสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นผู้สูบบุหรี่และจากอุตสาหกรรมยาสูบ

สรุปแล้วกฎหมายฉบับนี้มุ่งคุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ และต้องการลดนักสูบหน้าใหม่ลง ซึ่งกฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนนั้นก็คงอยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่จะต้องเข้มงวดกวดขัน รวมถึงการให้ความร่วมมือและการมีจิตสาธารณะของนักสูบชาวไทยนั่นเอง

ที่มา ddproperty.com


เทคนิคง่ายๆ รีโนเวท ให้ตรงใจผู้ซื้อ

เมื่อความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้คน เติบโตผันผวนกับจำนวนที่ดินและที่ว่างที่เหลืออยู่ ทำให้ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินที่ทวีคุณค่าและมูลค่าอย่างต่อเนื่อง
การ รีโนเวท อาคารเก่าจึงเป็นวิธีที่น่าสนใจ ที่จะช่วยให้อสังหาริมทรัพย์มีมูลค่ามากขึ้น เพราะแม้จะเป็นอาคารมือสองแต่ก็สามารถเพิ่มมูลค่าและทำให้น่าอยู่ได้ไม่แพ้มือหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะทำการรีโนเวทนั้น ควรจะต้องวางแผนให้ดีก่อนว่าจะมีแนวทางการ รีโนเวท อย่างไร คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ และทำอย่างไรถึงจะเป็นที่สนใจของผู้ซื้อ

รับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด พิจารณาทิศทางของแสงในแต่ละช่วงวันร่วมกับการจัีดวางผังที่เหมาะสม การกรุกระจกบานใหญ่หรือกระจกแนวตั้ง นอกจากจะช่วยให้ห้องดูโปร่งสว่างแล้ว ยังทำให้ห้องกว้างและลดความอึดอัดได้ทั้งชั้นเลยทีเดียว

เปลี่ยนมุมมองของเพดาน อาคารที่มีความสูงไม่มากทำให้เกิดความรู้สึกอับ ครั้นจะให้ทุบโครงสร้างใหม่ก็กลัวบานปลาย วิธีง่ายๆก็คือพยายามใช้สีที่อ่อนทาทับบนเพดาน ที่สำคัญคือสีของเพดานควรอ่อนสว่างกว่าสีผนัง และไม่ควรตกแต่งเพดานด้วยโคมไฟห้อยเพราะจะทำให้เพดานดูเตี้ย หากอยากให้ดูหรูควรใช้วิธีการซ่อนไฟดีกว่า

คิดในมุมมองของเจ้าของและนักลงทุน ตามตำราเขาว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แน่นอนว่าเช่นเดียวกันกับการลงทุนในครั้งนี้ ก่อนอื่นเราต้องแน่ใจก่อนว่า อาคารที่เรามีนั้นมีความเหมาะสมที่จะใช้ในลักษณะใด สิ่งแวดล้อมโดยรอบเอื้อต่อความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัยแค่ไหน ช่วงเวลาใดที่มีผู้คนพลุกพล่านจอแจ อย่างเช่น ในบริเวณนั้นมีความหนาแน่นในช่วงเวลากลางวัน คนทำงานคับคั่ง มีร้านค้าและร้านอาหารรายรอบ และการเดินทางมีความคล่องตัวสะดวกสบาย การพัฒนาอาคารเพื่อเป็นออฟฟิสหรืออาคารพาณิชย์ ก็น่าจะเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าการเป็นแค่ที่อยู่อาศัย หรือหากย่านนั้นมีความสงบ เป็นส่วนตัว และไม่วุ่นวาย พบเห็นผู้คนมากในช่วงเช้าและหัวค่ำ ก็แน่นอนว่าการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทั้งนี้ต้องพิจารณาร่วมกับข้อจำกัดของอาคารของเราด้วย ซึ่งเหตุผลเหล่านี้อาจทำให้เรามีตัวเลือกในการพัฒนาอาคารเก่าที่น่าสนใจมากกว่าเดิม

ตรวจเช็คโครงสร้างและงานระบบ เมื่อภาพอนาคตของอาคารที่ต้องการปรับเปลี่ยนชัดขึ้นแล้ว ต่อมาก็ต้องมาพิจารณาว่ามีอะไรที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกันบ้าง การวางโครงสร้างและงานระบบใหม่จะต้องมาภายหลังการวางพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งนี้โครงสร้างและงานระบบที่ดี จะต้องรองรับทั้งการใช้งานทั่วไปและการใช้งานเฉพาะจุด เพื่อให้มีความยืดหยุ่นหากต้องการมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ส่วนเรื่องของการจะโชว์งานระบบหรือจะปิดไว้เพื่อความเรียบร้อย ก็แล้วแต่สไตล์การตกแต่งและความชอบเฉพาะตัว

ขยายพื้นที่ด้านในโดยไม่ต้องปรับโครงสร้าง หากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างนั้นยุ่งยากและไม่คุ้มทุนเอาเสียเลย การตกแต่งเองก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยปรับขนาดภายในของอาคารได้เช่นกัน วิธีการที่ง่ายและยุ่งยากน้อยที่สุด คือการปรับพื้นและผนัง

ผนังโทนอ่อน หลักการเช่นเดียวกับเพดาน สีอ่อนจะช่วยดูดซับแสงและสร้างความสบายตาได้มาก การใช้สีอ่อนอาจเลือกใช้ในห้องที่ต้องการความโปร่งมากกว่าปกติ อย่างเช่น ส่วนโถงของบ้าน เป็นต้น  นอกจากนั้นควรตกแต่งในโทนสี 60-30-10 นั่นคือ สีสว่าง 60% สีกลาง 30% และสีเข้ม 10% เพราะจะช่วยสร้างภาวะความสบายและเปลี่ยนมุมมองภายในตัวอาคารได้เป็นอย่างดี

ปูพื้นที่เล่นระดับทางสายตา การปูพื้นมีส่วนสำคัญอย่างมากกับบรรยากาศภายในอาคาร ถ้าหากต้องการขยายให้ภายในรู้สึกกว้างขึ้น ควรเลือกใช้กระเบื้องแผ่นใหญ่สีโทนอ่อน ที่ทำให้พื้นดูเป็นเนื้อเดียวกัน หรือเลือกปูพื้นในแนวตรงหรือแนวขวาง ก็สามารถเล่นระดับกับสายตาได้ อีกทั้งยังสามารถกำหนดรสนิยมและความหรูหราได้ด้วยวัสดุ หากเป็นไม้จะให้ความรู้สึกสงบอบอุ่นเหมาะกับห้องที่ต้องการพักผ่อน คอนกรีตเหมาะกับการใช้งานที่ทนทานหลากหลายและไม่ต้องทำความสะอาดมากนัก หรือหินอ่อนที่ให้ความหรูหราและสว่างไสว เป็นต้น ซึ่งวัสดุเหล่านี้มีวัสดุทดแทนที่ราคาถูกกว่าและให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับวัสดุแท้ อย่างเช่น ลามิเนตไม้ ลามิเนตหินอ่อน เป็นต้น

ที่ว่างและพื้นที่สีเขียว ใครว่าการมีที่โล่งแบบ outdoorจะทำให้สูญเสียพื้นที่ใช้สอยไปอย่างเปล่าประโยชน์ กลัีบกันการมีพื้นที่ว่างเล็กๆ สอดแทรกตามส่วนต่างๆของอาคารสามารถเพิ่มการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างทวีคูณ การเว้นช่องว่าง (Void) สามารถลดความแคบของเพดาน ทำให้อาคารโปร่งโล่ง อากาศถ่ายเท รับแสงได้อย่างทั่วถึงทุกชั้น อีกทั้งยังสามารถปรับการใช้งานพื้นที่ให้เป็น outdoor ภายในบ้าน โดยอาจปรับฟังก์ชั่นให้มีพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน ปลูกต้นไม้ขนาดย่อมบนพื้นดิน เพิ่มความชื้นให้อากาศเย็นมากขึ้นทั้งนี้การมีพื้นที่โล่งภายในบ้านนั้น นอกจากจะสามารถสร้างตัวเลือกการใช้งานได้อย่างหลากหลายมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มมูลค่าให้กับอาคารได้มากขึ้นอีกด้วย

หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง หากต้องการความประทับใจตั้งแต่แรกพบแล้วละก็ การมีหน้าบ้านที่โดดเด่นสวยงาม จึงเป็นเรื่องสำคัยอย่างมาก เพราะความประทับใจแรกนั้นมีผลต่อการตัดสินใจและมุมมองหลังจากนั้นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอาคารที่เป็นตึกแถว การตกแต่งด้านหน้าหรือ Facadeนั้น มีอิทธิพลมากกว่าเป็นส่วนตกแต่งของอาคาร เพราะยังสามารถซ่อนความเป็นส่วนตัว เป็นส่วนรับแสงจากธรรมชาติ ใช้ประโยชน์ในแนวตั้งได้หลากหลาย ซึ่งวัสดุที่นิยมนำมาปรับใช้ตกแต่ง Facade ในปัจจุบันก็มีมากมาย ทั้งเหล็ก อิฐบล็อค ไม้ระแนง คอนกรีต หรือไฟเบอร์ซีเมนต์ ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากความเหมาะสมในการใช้งาน การดูแลรักษาในระยะยาว และความคุ้มค่าในการลงทุน
ที่มา terrabkk.com


7 สำนวนภาษาอังกฤษน่ารู้ที่มีคำว่า “Devil”

1. Devil of a time

Devil of a time เป็นสำนวนที่มีความหมายไปในทางลบว่า ‘Difficult time’ หรือแปลว่าช่วงเวลาที่ยากลำบาก  เดาความหมายไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ยกตัวอย่างเช่น

This semester is going to be my devil of a time.
เทอมนี้จะต้องเป็นเทอมที่ยากสำหรับฉันแน่ๆ เลย เป็นต้นค่ะ

2. Speak of the devil

Speak of the devil เป็นอีกสำนวนหนึ่งที่มีความคล้ายกับวัฒนธรรมไทย ใช้เวลาที่เรากำลังพูดถึงบุคคลที่ 3 ในบทสนทนาแล้วคนที่เรากำลังพูดถึงนั้นเดินเข้ามาพอดี ยกตัวอย่างเช่น

I heard that Mary had broke up with her boyfriend. Speak of the devil! She just walked into the room.

ฉันเพิ่งได้ยินมาว่าแมรี่เลิกกับแฟนแล้ว ตายยากจริงๆ! หล่อนเพิ่งเดินเข้าห้องมา ใช่แล้วค่ะ คำนี้มีความหมายคล้ายๆ สำนวนภาษาไทยที่ใช้ในเชิงอุทานวา ‘ตายยากจริงๆ’ นั้นเอง

3. Go to the devil

สำนวนนี้มีความหมายไปทางในแง่ลบพอสมควร โดยมีทั้งหมด 3 ความหมายด้วยกันคือการสิ้นหวัง, การกลายเป็นคนไม่ดีและการไล่คนอื่นที่เรารู้สึกรำคานให้ไปให้พ้น ลองดูตัวอย่างของทั้ง 3 ความหมายนี้กันค่ะ

When my mother was gone, I felt like I was going to the devil.
เมื่อแม่ของฉันจากฉันไป ฉันรู้สึกสิ้นหวังสุดๆ

After being in jail, John is going to the devil.
หลังจากที่ได้ไปอยู่ในคุก จอห์นก็กลายเป็นคนไม่ดี

He was trying to talk to me, but I told him to go to the devil.
เขาได้พยายามเข้ามาพูดกับฉัน แต่ฉันบอกเขาไปว่าให้ไปให้พ้น

4. What in the devil?

What in the devil? แปลว่าอะไรอยู่ในปีศาจ แหะๆ ล่อเล่นค่ะ สำนวนนี้ไม่ใช่คำด่านะคะ แต่มีความหมายเหมือนประโยคว่า ‘What has happened’ หรือ ‘เกิดอะไรขึ้น?’ ความหมายไปในเชิงอุทาน ส่วนการใช้ก็ใช้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น

Oh my god! My room is so messy! What in the devil?
ให้ตายเถอะ! ห้องฉันรกชะมัด! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

5. Better the devil you know

Better the devil you know สำนวนนี้ย่อมาจากประโยคที่ว่า ‘better the devil you know than the devil you don’t’ มีความหมายในเชิงสอนว่าให้เลือกคนไม่ดีที่เรารู้จักดีกว่าคนที่เราไม่รู้จัก เพราะว่าคนไม่ดีนั้นหากเราได้รู้จักเขาแล้ว เราก็จะรู้วิธีรับมือเขาได้ แต่หากเป็นคนที่เราไม่รู้จักแล้ว เราอาจจะรับมือยาก ยกตัวอย่างเช่น

I know my boss isn’t good and I sometimes think about quitting my job, but you know, better the devil you know.
ฉันรู้ว่าหัวหน้าของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่และบางครั้งฉันก็อยากจะออกจากงาน แต่เอาน่ะ อย่างน้อยฉันก็รู้จักเขาดี

6. Devil-may-care

Devil-may-care เป็นสำนวนที่ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือ adj มีความหมายว่า ‘Reckless’ หรือ ‘careless’ ซึ่งหมายถึงอุปนิสัยของคนที่ไม่ค่อยแคร์กับสิ่งรอบตัว ไม่ระมัดระวัง สะเพร่า ยกตัวอย่างเช่น

I’m so sick and tired of him. Every time I see him with devil-may-care attitude, I want to kick his ass.
ฉันเบื่อเขาเหลือเกิน ทุกๆ ครั้งที่ฉันเห็นเขาทำตัวแข็งกร้าว ฉันนี้อยากจะจัดการซะให้เข็ด

7. Devil looks after his own

สำนวนสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด Devil looks after his own สำนวนนี้มีความหมายคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง’ แต่ไม่ได้หมายแค่ว่าสิ่งไม่ดีเท่านั้นนะคะ สำนวนนี้ยังสามารถใช้กับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นอันสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมที่เคยทำไว้ในิดีตได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น

You don’t have to care about her cheating on you. The devil looks after his own.
คุณไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องที่เธอนอกใจคุณหรอก เดี๋ยวกรรมก็ตามสนองหล่อนเองแหละ 

สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ devil ก็จบลงเท่านี้ค่ะ ไว้คราวหน้าเราถ้ามี slang หรือ idiom อื่นๆ ที่น่าสนใจจะเอามาฝากอีกนะคะ รอติดตามที่เว็บ DailyEnglish ได้เลย

ที่มา dailyenglish.in.th


 ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 6/07/2560

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,700.00 19,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,276.00 19,344.16 20,300.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,148.40 17,409.74 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 574.00 8,701.84 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 447.00 6,776.52 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,322.00 20,041.52 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  6/07/2560


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55
แก๊สโซฮอล E-20 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04
แก๊สโซฮอล E-85 19.24 19.24 19.24 19.24
แก๊สโซฮอล 91 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28
เบนซิน 95 32.66 33.11 33.11 33.16 32.66 32.66 32.66
ดีเซลหมุนเร็ว 24.49 24.49 24.49 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 27.49 28.17 28.17 28.17 28.17
มีผลตั้งแต่ 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า