บ้านหรู 20 ล้านอัพ ทะลัก 2 พันหน่วย รับเศรษฐีใหม่โควิด
บ้านจัดสรรราคามากกว่า 20 ล้าน ฮอตติดลมบน ผู้พัฒนา – เศรษฐีใหม่ แห่ตอบรับ ขณะคอลลิเออร์ส คาดปีนี้ เปิดใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 2 พันหน่วย เจาะแสนสิริ ยึดโซนตะวันตก-ตะวันออก ส่วน PF ลุยเปิดขาย ‘เลค เลเจ้นด์ บางนา’ เริ่ม 95 ล้าน ,LH ปักหมุดพระราม9 ผุดแพงสุด ด้านรามอินทรา พัฒนาการ ยังเดือด
แม้ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังคงมีความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและเคลื่อนไหวเชิงรุกมากขึ้น จากการตัดสินใจที่ละเอียดถี่ถ้วนของผู้ซื้อ แต่สำหรับนาทีทอง ‘ตลาดแนวราบ’ ภาพการเติบโตจากความต้องการที่แท้จริง และเมืองขยายยังเป็นตัวเร่งให้ตลาดนี้มีความโดดเด่นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึก พบเซกเม้นท์ที่ร้อนแรงสุด ทั้งซัพพลายเปิดขายใหม่ และอัตราการขาย กลับเป็น โครงการจัดสรร ราคามากกว่า 20 ล้านบาท ในกทม. ขณะที่ความแตกต่างใหม่ๆของโครงการ เช่น ระบบอัตโนมัติในบ้านเพิ่มความสะดวกสบาย ,มีลิฟท์โดยสารส่วนตัว ,ทำเล และราคาเหมาะสม กลับตอบสนองผู้ซื้อตลาดบนได้อย่างดี
บ้าน 20 ล้านทะลักตลาดบน 2 พันยูนิต
สอดคล้อง นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เผย ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า ณ ไตรมาสแรก ปีนี้ มีโครงการบ้านจัดสรร ราคาขายมากกว่า 20 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการขายมากกว่า 2,593 ยูนิต 58 โครงการ อัตราการขาย 62% เกือบทั้งหมดเป็นโครงการบ้านเดี่ยว และเริ่มมีทาวน์โฮมขนาดใหญ่ ใจกลางเมือง เช่น สุขุมวิท ,อารีย์, พระราม 3 หรือ สาธุประดิษฐ์ เกิดขึ้นเช่นกัน
เจาะบ้านจัดสรรราคาขายสูงกว่า 60 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการขายที่สูงสุด 72 % และอีกกลุ่มที่น่าสนใจ คือบ้าน ช่วงราคา 20-40 ล้านบาทต่อยูนิต ที่มีอัตราการขายอยู่ที่ 69% สะท้อน ภาพกำลังซื้อจำนวนมาก ที่ต้องการบ้านระดับราคานี้ ทั้งในเมืองและนอกเมืองกทม. ทำให้การไล่ช้อปที่ดินของผู้พัฒนาฯ เป็นไปอย่างคึกคัก เพื่อตอบรับลูกค้าศักยภาพสูง นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในช่วงสถานการณ์โควิด19 ซึ่งไม่ต้องกังวล เรื่องของการขอสินเชื่อจากธนาคารมากเท่ากับที่อยู่อาศัยราคาต่ำๆ
” ผู้พัฒนาหลายรายเริ่มมองหาที่ดินบริเวณที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า โดยเฉพาะแนวถนนสุขุมวิท รัชดาภิเษก พระราม- 9 ลาดพร้าว รามอินทรา ศรีนคริทร์ พัฒนาการ กรุงเทพกรีฑา ถนนราชพฤกษ์ รวมทั้งทำเล ใกล้ CBD เช่น ถนนพระราม 3 นราธิวาส เย็นอากาศ และสาธุประดิษฐ์ คาดปีนี้ มีเปิดใหม่ไม่ต่ำกว่า 2,000 ยูนิต”
แสนสิริแตกพอร์ตหรู ยึดโซนตะวันตก-ออก กทม.
สำหรับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เบอร์ใหญ่ในตลาดบ้านลักชัวรีนั้น โดยปีที่ผ่านมา สร้างยอดขาย 1.1หมื่นล้านบาท พบปี 2565 นอกจากจะนำแบรนด์ระดับตำนาน“นาราสิริ”กลับมาเปิดใหม่ และเพิ่งสร้างปรากฎการณ์ปิดการขาย “บูก้าน โยธินพัฒนา” ซึ่งมีระดับราคาขาย 35.9 – 80 ล้านบาท ใน 4 เดือน ล่าสุด มีการเปิดแบรนด์ใหม่ ‘เดมี’ นำร่องโครงการ เดมี สาธุ 49 ทาวน์โฮมลักชัวรีแนวใหม่ เจาะลูกค้ากลุ่ม Young Successor (นักธุรกิจคนรุ่นใหม่) เซ็กเมนท์ราคา 15 – 28 ล้านบาท เพื่อกินรวบตลาด หลังมองเห็นช่องว่างระหว่างแบรนด์ เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ขณะ ณ ไตรมาสแรก แสนสิริ ทำยอดขายได้แล้วราว 2 พันล้านบาท
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บมจ.แสนสิริ เผยว่า ตลาดลักชัวรีของไทย ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากความแข็งแกร่งของลูกค้าระดับบนกำลังซื้อสูง ที่ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ จากข้อมูล พบว่าในตลาด มีหน่วยขายได้ไปแล้วทั้งสิ้นถึง 14,766 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายถึง 72% ในปีที่ผ่านมา ดีมานด์มากสุด ระดับราคา 10 – 20 ล้านบาท รองลงมา คือ 21 – 30 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท ขณะ ปัจจัยที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ มองว่ายังเป็นเรื่องทำเล ,สังคมคุณภาพ และฟังก์ชั่นเป็นหลัก โดยทำเลในเมือง ที่เดินทางเข้า CBD(สาทร สีลม สุขุมวิท) ได้สะดวก ซึ่ง ‘บ้านลักชัวรี’ จะเข้าทดแทน ชิงดีมานด์คอนโดฯหรู กลางเมือง
โดย บริษัท มีแผนเปิดโครงการแนวราบระดับลักชัวรีมูลค่าราว 7-8 พันล้านบาท ครอบคลุมแบรนด์ นาราสิริ ,บูก้าน ,เศรษฐสิริ และบุราสิริ กระจายหลากหลายทำเล เพื่อผลักดันยอดขายรวม 2.4หมื่นล้านบาท
‘คาดปีนี้ตลาดลักชัวรีจะโตอย่างต่ำ 10-15% โดยทำเลยังเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากบริษัทมองหาที่ดินใหม่ๆ เร็วๆนี้ จะเพิ่มพอร์ตในพื้นที่กรุงเทพกรีฑา อีก 3 โครงการ จากแลนด์แบงก์ที่มีเกือบ 300 ไร่ โซนตะวันออก และย่านบางนา รวมถึง ฝั่งตะวันตกของกทม. โยธินพัฒนา ,พระราม 3 และ สาธุประดิษฐ์ เป็นต้น ‘
เพอร์เฟค – LH เปิดไฮไลท์แห่งปี
ขณะผู้พัฒนาในตลาดบนอีกราย อย่าง บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เพิ่งเปิดโครงการไฮไลท์แห่งปี ‘เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ’ มูลค่าโครงการ 6,275 ล้านบาท ริมทะเลสาบ 100 ไร่ ในราคาเริ่ม 95 ล้านบาท คาดจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างสีสันให้ตลาดนี้อย่างน่าจับตามอง รูปแบบ คฤหาสน์สุดหรูริมทะเลสาบ 5 ห้องนอน 8 ที่จอดรถ เล่นระดับบนที่ดินกว่าครึ่งไร่ พร้อมสระว่ายน้ำริมทะเลสาบ และลิฟท์ส่วนตัว
ด้านบมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่เผยว่าปีนี้จะเปิดโครงการใหม่มากขึ้น 50% เจาะในไตรมาส 2 เปิดขายโครงการราคาแพงที่สุดแห่งปี ‘วีเว่ พระราม 9 (VIVE พระราม 9) ‘ มูลค่าโครงการ กว่า 2 พันล้านบาท ในราคาเริ่ม 28 ล้านบาท บนพื้นที่ 25 ไร่ จำนวน 75 แปลง พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 324 ตารางเมตร บนขนาดที่ดินตั้งแต่ 68 ตารางวา ขึ้นไป
โดยมีจุดเด่นด้านศักยภาพทำเล ใกลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีกรีฑา ,รถไฟฟ้าแอร์พอตลิ้ง สถานีหัวหมาก และ เซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม9 ตัดเข้าสู่ CBD
ทำเลรามอินทราคึก
ขณะทำเลทองคำ อย่าง ย่านเลียบด่วน รามอินทรา หรือ ถนนประดิษมนูญธรรม ก่อนหน้า บมจ.โนเบิล เพิ่งฉีกตลาดหรู ผ่านโครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ Noble Curate (โนเบิล คิวเรท) มูลค่า 1,221 ล้านบาท บนที่ดิน 9.3 ไร่ ใกล้ คริสตัล พาร์ค เอกมัย-รามอินทรา โดยการพัฒนา จะเป็นการขายที่ดินเปล่ารวม 15 แปลง ขนาดตั้งแต่ 161-247 ตารางวา ราคาเริ่ม 80 ล้านบาท ถึง 120 ล้านบาท สำหรับการสั่งสร้างบ้านขนาด 1,000 ตารางเมตรขึ้นไปแล้ว
ในโซนของรามอินทรา – เกษตรนวมินทร์ ยังมีโครงการเด่น The Royal Residence (เดอะรอยัล เรสซิเด๊นซ์) ถ.ประเสริฐมนูกิจ27 ซึ่งเป็นโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี บนที่ดิน 76 ไร่ ราคาเริ่มประมาณ 70 ล้านบาท ในรูปแบบ บ้านเดี่ยวออกแบบได้เอง คฤหาสน์หรูสไตล์ Oriental Victorian Series ภายใต้การพัฒนาต่อ ของกลุ่ม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้
ทั้งนี้ พบ บริษัท เดอะ วัน เอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด อยู่ระหว่างเปิดขาย บ้านหรูซูเปอร์ลักชัวรี ราคาเริ่ม 38 ล้านบาท บนถนนศรีนครินทร์ จำนวน 18 ยูนิต ดีไซน์คล้ายรีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาว “โครงการ BIBURY SRINAKARIN” ภายในวิลล่า ประกอบด้วยพื้นที่สีเขียวและสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมห้องนั้งเล่นติดสระว่ายน้ำได้โดยตรง
ทำเลใกล้ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ,ห้างพาราไดซ์ พาร์ค และซีคอนสแควร์
เป็นต้น
เช่นเดียวกับ บริษัท สัมมากร เปิดขายวิลล่าสุดหรูโครงการใหม่ บนถนนพัฒนาการ 20 ” 𝗣𝗔𝗥𝗞 𝗛𝗘𝗥𝗜𝗧𝗔𝗚𝗘 | 𝗣𝗛𝗔𝗧𝗧𝗛𝗔𝗡𝗔𝗞𝗔𝗡 𝟮𝟬 ” รูปแบบบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาดที่ดิน 61 – 133 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอยสูงสุด 778 ตร.ม. จำนวน 35 ยูนิต แบ่งออกเป็น คลัสเตอร์ เน้นสังคมส่วนตัว มีระบบสายไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการและสวนสาธารณะรายล้อม ในราคาเริ่ม 49 ล้านบาทอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ชีวิตสมดุล “เดมี สาธุ 49” Rare Item ลักเซอรี่ทาวน์โฮม
โครงการใหม่ล่าสุดจากค่ายแสนสิริ ชื่อแบรนด์ “DEMI Sathu 49”
อาจกล่าวได้ว่าเป็นนวัตกรรมการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบในปี 2565 โดย “เดมี สาธุ 49” เป็นโครงการนำร่อง ราคาขายต่ำสุดถึงสูงสุดในโครงการอยู่ระหว่าง 18.9-35 ล้านบาท
โมเดลหมู่บ้านแบรนด์ “DEMI” แสนสิริบอกว่า จะใช้กลยุทธ์ “รุก-รบ-จบเร็ว” ที่ดิน 10-15 ไร่ จำนวนยูนิตไม่เกิน 100 หลัง เพื่อให้ปิดการขายในปีเดียว ราคาตั้งไว้ตั้งแต่ 8-35 ล้านบาท
นั่นหมายความว่าแฟนพันธุ์แท้ค่ายแสนสิริเห็นเร็วไม่พอ อาจต้องซื้อเร็วด้วยจึงจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ
รายละเอียด “เดมี สาธุ 49” จำกัดจำนวนเพียง 72 ยูนิต ใจกลางกรุง ใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD โซนสุขุมวิท-สาทร-สีลม
สร้างขึ้นมาผ่านเอกลักษณ์งานดีไซน์และฟังก์ชั่น exclusive community ภายใต้แนวคิด “ชีวิตสมดุล” ระหว่าง “ชีวิตเมือง” และ “ความสงบผ่อนคลาย”
มาพร้อมกับฟังก์ชั่นจัดเต็ม ตอบโจทย์ประสบการณ์การอยู่อาศัยคนเมืองกับ duplex master bedroom, double volume living และ panoramic rooftop ดื่มด่ำวิวเมือง พร้อมลิฟต์ส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรูเริ่ด
ทั้งนี้ เดมี สาธุ 49 ทาวน์โฮมแนวคิดใหม่เพราะแสนสิริตระหนักว่าบ้านไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือพื้นที่แห่งความสุขและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณค่า
พัฒนาโดยผสมผสานความสมดุลระหว่าง “space of home” และ “the convenience and modern lifestyle” ตอบทุกความต้องการของครอบครัวรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตทุกด้านได้อย่างสมดุล หลงใหลชีวิตเมือง สะท้อนรสนิยมโดดเด่นไม่เหมือนใคร
มีให้เลือกแบบบ้าน “DEMI 6” หน้ากว้าง 6 เมตร 3 ชั้นครึ่ง 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 212-215 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 23 ตารางวา
กับ “DEMI 8” ขยายหน้ากว้าง 8 เมตร 3 ชั้นครึ่ง พร้อม panoramic rooftop ที่จอดรถสูงสุด 3 คัน พื้นที่ใช้สอย 300 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 31 ตารางวา
บรรยากาศการพักอาศัยมีการนำ ventilation design ที่คำนึงถึงการถ่ายเทอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในบ้าน เพื่อทำให้คุณภาพอากาศภายในบ้านดีขึ้นตามวิธีธรรมชาติ
ฟังก์ชั่นที่โดดด่น เริ่มต้นจาก “ดูเพล็กซ์ มาสเตอร์ เบดรูม” เพดานสูง 5.65 เมตร พร้อมส่วนอเนกประสงค์ชั้นลอยภายในบริเวณห้องนอน ในแบบบ้าน DEMI 6 ซึ่งเหมือนยกรูปแบบดูเพล็กซ์คอนโดมิเนียมมาไว้ในทาวน์โฮม
ยังมีฟังก์ชั่น “ดับเบิล วอลุ่ม ลิฟวิ่ง” เพดานสูงกว่า 5 เมตร พร้อมกระจกบานสูง บริเวณส่วนรับแขก ในแบบบ้าน DEMI 8 ที่มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัวใหญ่
ที่สุดของความเอ็กซ์คลูซีฟกับ “เพนต์เฮาส์ มาสเตอร์ เบดรูม” ห้องนอนใหญ่เต็มพื้นที่ ในแบบบ้าน DEMI 8 พร้อมวอล์กอินโคลเซต และห้องน้ำที่รองรับอ่างล้างหน้า His & Her, Bathtub และระบบห้องน้ำอัตโนมัติ
เอกสิทธิ์สำหรับ DEMI 8 ไฮไลต์อยู่ที่พื้นที่ชั้นบนสุดภายในบ้านมีฟังก์ชั่นในการชมวิวเมืองในยามค่ำคืน สามารถปรับเปลี่ยนการใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้ รวมทั้งลิฟตส่วนตัว
พื้นที่ส่วนกลางพิถีพิถันกับการนำสายไฟลงดิน เพิ่มทัศนียภาพทั้งโครงการพร้อมพื้นที่สีเขียวที่ไม่ได้มีแค่ในส่วนกลาง แต่ยังเตรียมไว้ให้ในบ้านทุกหลัง ภายใต้ความปลอดภัยมาตรฐานแสนสิริ LIV-24
แน่นอนว่าแสนสิริจัดให้กับ EV charger ติดตั้งในบ้านทุกหลัง รองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ตลาดหุ้น เตือนประชาชนระมัดระวังถูกหลอกลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ห่วงใยประชาชนอาจถูกมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยแอบอ้างชื่อ ภาพ หรือโลโก้ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน หรืออ้างว่าเป็นพนักงาน บลจ. บล. หรือสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาต ขอเตือนให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อโฆษณาชักชวนให้ลงทุน โดยตรวจสอบรายชื่อบุคคลผู้ประกอบธุรกิจหรือหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต ได้ที่แอปพลิเคชัน SEC Check First
ในปัจจุบันมีมิจฉาชีพจำนวนมากอ้างตัวเป็นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตมาหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุน และสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง รวมถึงแอบอ้างชื่อ ภาพ หรือตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน เช่นสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการโฆษณาชวนเชื่อและชักชวนให้ประชาชนลงทุนในหลักทรัพย์และสินทรัพย์ต่าง ๆ ผ่านหลากหลายช่องทาง อาทิ โทรศัพท์ ข้อความสั้น โซเชียลมีเดีย และช่องทางออนไลน์
ก.ล.ต. และ FETCO จึงขอแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการถูกหลอกลวงให้ลงทุน และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ รูปแบบการชักชวนลงทุนที่เข้าข่ายหลอกลวงอาจมีลักษณะ ดังนี้
• เสนออัตราผลตอบแทนการลงทุนที่จูงใจและสูงเกินจริง ที่มาของผลตอบแทนไม่ชัดเจน
• ให้ผลตอบแทนจากการชักชวนคนอื่นมาลงทุน
• รับประกันผลตอบแทนการลงทุน อ้างว่าไม่มีความเสี่ยง
• แอบอ้างชื่อ ภาพ โลโก้หน่วยงาน บริษัท หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือในการโฆษณาชวนเชื่อ
• ชักชวนให้ลงทุนในหลักทรัพย์และสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่มีแหล่งข้อมูลอ้างอิงให้ตรวจสอบได้
• ให้ฝากหรือโอนเงินลงทุนเข้าบัญชีส่วนตัวของบุคคลธรรมดา ไม่มีการรายงานหรือแจ้งยืนยันการลงทุน
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อและชักชวนให้ประชาชนลงทุนในลักษณะหลอกลวงเพิ่มขึ้นมาก ก.ล.ต. จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการชักชวนลงทุนจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวงทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ทั้งนี้ ผู้แนะนำการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่ติดต่อกับผู้ลงทุนจะต้องมีเลขทะเบียนการเป็นผู้ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. ให้ตรวจสอบได้ และมีหน้าที่อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ชัดเจน แสดงให้เห็นถึงลักษณะของผลิตภัณฑ์ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และที่มาของแหล่งข้อมูลที่ใช้ประกอบคำแนะนำดังกล่าวที่เชื่อถือได้ โดยผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้แนะนำการลงทุนและผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทางของ ก.ล.ต. และเพื่อป้องกันประชาชนจากการถูกหลอกลวง ก.ล.ต. และ FETCO จะหารือแนวทางการคุ้มครองผู้ลงทุนในการทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มเติมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สุดยอดของจริง! “ดาโลต์” ชี้ชัด แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีแข้งรายนี้พังหนักกว่านี้แน่
ดิโอโก้ ดาโลต์ กองหลังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือสิ่งที่ดีที่สุดท่ามกลางผลงานอันย่ำแย่ของทีมในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ตามรายงานจาก แมนเชสเตอร์อิฟนิงนิวส์
ทีม ปีศาจแดง ต้องเจอกับปัญหาตลอดทั้งฤดูกาลทั้งเรื่องผลงานอันย่ำแย่ การลงทุนที่สูญเปล่า และปัญหาต่าง ๆ ภายในทีม จนทำให้ตอนนี้พวกเขาแทบจะหมดลุ้นในการคว้าอันดับ 4 เพื่อไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปีหน้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดาโลต์ ยังเชื่อว่า การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักเตะภายในทีม โดยเขาได้อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า
“ผมแน่ใจว่า ผมไม่ได้พูดเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เขา (โรนัลโด้) คือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในซีซั่นนี้ การได้ร่วมงานกับคนที่มีวัฒนธรรมเรื่องการทำงาน มีความเป็นมืออาชีพ มีทัศนคติที่ยอดเยี่ยม การได้อยู่ใกล้ชิดกับเขานั้นมันช่วยตัวผมและอาชีพของผมได้มากเลยทีเดียว”
“ผมไม่รู้จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้เกี่ยวกับการทำงานของเขา เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ตัวเลขและสถิติแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งเรามีความสุขมาก ๆ ที่มีเขาอยู่ในทีม” แข้งทีมชาติโปรตุเกส กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 ป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง” แค่เปลี่ยนวิถีชีวิต
ในปี 2019 กรมควบคุมโรคได้ระบุว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก นอกจากนี้ข้อมูลของประชาชนในปี 2562 ยังพบว่าประชากรทุกๆ 4 คนจะพบเป็นโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน ส่วนข้อมูลของประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงและยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยอีกด้วย เราจึงมีวิธี ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้มาให้อ่านกัน
โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นโรคที่เกิดเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่มคือ ภาวะที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมอง และภาวะที่มีเลือดออกในสมอง ซึ่งโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกวัย และปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองคือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย นอกจากนี้การใช้ยาบางชนิดยังทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดได้ด้วย เช่น ทำให้เกิดการอุดตัน หลอดเลือดอักเสบ
สิ่งที่คุณควรทำเพื่อ ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดสมองหรือการควบคุมสภาวะสุขภาพที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งวิธีการเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
10 ป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง” แค่เปลี่ยนวิถีชีวิต
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมีส่วนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้ โดยเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ต่ำ และอาหารที่คอเลสเตอรอลต่ำ นอกจากนี้การเลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ยังช่วยป้องกันคอเลสเตอรอลสูงได้ด้วย ที่สำคัญการลดปริมาณโซเดียมในอาหารลงยังช่วยลดความดันโลหิต เพราะทั้งคอเลสเตอรอลและโซเดียมต่างเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
เมื่อร่างกายมีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรืออ้วนขึ้นนั้นช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งการคำนวณค่า BMI เป็นวิธีที่ช่วยให้คุณทราบว่าน้ำหนักตัวเองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่
การออกกำลังกายเป็นรูปแบบกิจกรรมที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เป็นเวลาที่มีความเหมาะสม โดยเลือกการออกกำลังกายที่ชอบ จะช่วยออกกำลังกายได้นานขึ้นและสนุกไปกับมัน
- เลิกบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นตัวการในการเร่งการก่อตัวให้เลือดนั้นมีความข้นขึ้น และยังเพิ่มคราบจุลินทรีย์ที่มักจะสะสมในหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ยากขึ้น นอกจากนี้นิโคตินที่มีอยู่ในบุหรี่ยังช่วยเพิ่มความดันโลหิตและคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง ไม่เพียงแต่การสูบบุหรี่เท่านั้นที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง การได้รับควันบุหรี่มือสองก็ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วย
- จำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากนั้นจะเพิ่มความดันโลหิตและความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้นจึงควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยผู้ชายสามารถดื่มได้วันละ 2 แก้ว ส่วนผู้หญิงดื่มได้ไม่เกิน 1 แก้ว
การควบคุมสภาวะสุขภาพเพื่อ ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีโรคหัวใจ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งหากไม่ดูแลควบคุมตัวเองดีๆ ก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ซึ่งวิธีต่างๆ เหล่านี้เป็นวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
- ตรวจปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นประจำ
การตรวจคอเลสเตอรอลเป็นประจำอย่างน้อยทุก 5 ปี ช่วยให้สามารถจัดการปัญหาได้ทันท่วงที เมื่อมีปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดมากเกินไป
- ควบคุมความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงนั้นมักจะไม่มีอาการหรือสัญญาณเตือน ดังนั้นควรวัดความดันโลหิตทุกๆ วัน อย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่จะต้องมีการตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบว่ากิจกรรมหรืออาหารแบบใดที่เป็นตัวการทำให้น้ำตาลในเลือดสูง หรือหากน้ำตาลในเลือดสูงควรออกกำลังกายหรือเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การกระทำเหล่านี้จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้
- รักษาโรคหัวใจ
หากคุณมีภาวะเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดปกติ ควรรีบรักษาโรคเหล่านี้ให้หายก่อนที่จะเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- รับประทานยาตามที่หมอสั่ง
การรับประทานยาตามที่หมอสั่งเป็นประจำ ไม่หยุดหรือเพิ่มยาเอง เพื่อรักษาโรคหัวใจ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความตาย
At peace
ตาย (เป็นการกล่าวว่าใครตายแล้วอย่างสุภาพและอ่อนโยนขึ้น)
Be as dead as a doornail
ตายอย่างสนิท, ตายอย่างไม่ต้องสงสัย ( doornail หมายถึงตะปูที่ใช้ตรึงประตูหรือถ้าเป็นของก็คือเสียชนิดที่ซ่อมไม่ได้)
Be on your deathbed
กำลังจะตาย
Death (n.)
การตาย
Depart this life
ตายจากไปแล้ว
Die (v.)
ตาย
Dropping like flies
ล้มตายจำนวนมาก (ตรงนี้แสดงถึงการตายในจำนวนเยอะมาก จนเหมือนฝูงแมลง)
Extinction (n.)
การสูญพันธุ์
Gone to glory
ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว, จากไปแล้ว, ตาย (คำว่า glory แสดงถึงความงดงาม หรือแนวสวรรค์)
Food for worms/worm food
ตายและถูกฝังไปแล้ว (แปลตามตรงคือตายจนกลายเป็นอาหารของหนอนไปแล้ว)
Let nature take its course
ปล่อย/ยอมให้ (บางคน) ได้ตายอย่างธรรมชาติ
(ถ้าจะยื้อก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไปตลอดหรือไม่งั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า)
Mortality (n.)
อัตราการตาย
Six feet under
ตายและถูกฝังไปแล้ว (ลึกลงไป 6 ฟุต เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าอยู่ในดินแล้ว เท่ากับถูกฝัง)
Stone-dead
ตาย (แข็งจนกลายเป็นหินแล้ว)
To be on one’s last legs
เข้าใกล้ความตายมากแล้ว (เหมือนกับเหลือขาข้างเดียว ไม่มั่นคงมากพอ)
To have one foot in the grave
ไม้ใกล้ฝัง สภาวะที่ใกล้ตาย (มีอายุมากหรือป่วยหนักมาก จวนจะไม่ไหวเหมือนกับมีเท้าหนึ่งข้างก้าวเข้าไปในสุสานแล้ว)
To kick the bucket
ตาย
(สมัยก่อนจะมีการแขวนสัตว์ไว้แล้วให้ยืนบนถัง พอถึงเวลาก็เตะถังออก ถือเป็นคำไม่สุภาพ ห้ามใช้เพื่อพูดกับผู้อื่น)
Wiped out
กวาดล้าง, สูญพันธุ์ (จริงๆคำนี้เราน่าจะคุ้นกับที่แปลว่า เช็ดถู อันนี้ก็เหมือนกัย เช็ดถูออกไปจนหมด ไม่เหลืออะไรเลย)
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ปลดล็อคเพิ่มผลผลิตเห็ดหลินจือนอกฤดูกาล ด้วยเกษตรอัจฉริยะ
เนคเทค สวทช. ผนึกกำลัง DTAC และมูลนิธิชัยพัฒนา ปลดล็อคเพิ่มผลผลิตเห็ดหลินจือนอกฤดูกาล ด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ
เห็ดหลินจือ เป็นผลผลิตที่มีมูลค่าสูงทางเศรษฐกิจ สำหรับดอกเห็ดอบแห้งมีราคาประมาณ 2,500 บาทต่อกิโลกรัม และหากเป็นสปอร์จะมีมูลค่ามีสูงถึง 20,000 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากมีสารสำคัญที่มีสรรพคุณทางยา มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจืออยู่ค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและสร้างสารสำคัญเห็ดหลินจือ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพ ปริมาณ และมูลค่าของผลผลิต
ดังนั้น การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและปริมาณสารสำคัญของเห็ดหลินจือ จึงเป็นที่มาของการดำเนินงาน “โครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ กรณีศึกษาเห็ดหลินจือ” โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิชัยพัฒนา บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (ดีแทค) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการบูรณาการองค์ความรู้ การใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ พร้อมกับโครงข่ายสื่อสาร 5G ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือนอกฤดูกาล (ช่วงฤดูหนาว) ในการเพิ่มผลผลิตให้สามารถเพาะปลูกเห็ดหลินจือได้ตลอดทั้งปี รวมถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญที่ได้จากโครงการฯ เพื่อเป็นฐานข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ ขยายผลไปสู่เกษตรกรที่สนใจในระยะยาว
ล่าสุด ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. พร้อมทีมนักวิจัย ได้มีโอกาสประชุมหารือ ร่วมกับนายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (ดีแทค) และ ดร.อนุตรา วรรณวิโรจน์ ผู้อำนวยการประสานงานโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง มูลนิธิชัยพัฒนา อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน “โครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ กรณีศึกษาเห็ดหลินจือ” ร่วมด้วยคุณสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส เข้าร่วมเยี่ยมชมการดำเนินโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก นายดนุชา สินธวานนท์ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้การต้อนรับ ณ ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2565
ดร.อนุตรา วรรณวิโรจน์ กล่าวว่า โครงการฯ ถือกำเนิดขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวโรกาสที่ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปี 2550 รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน เพื่อใช้ในการสนับสนุนการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิชัยพัฒนา-สาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบสิ่งของ สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักรกล บุคลากร พันธุ์พืช และปัจจัยการผลิตอื่นๆ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์ประธานของมูลนิธิ ได้พระราชทานพระราชานุมัติให้ สำนักงาน “มูลนิธิชัยพัฒนา” ดำเนินงานโครงการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิชัยพัฒนา-สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การดูแลของโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงของมูลนิธิชัยพัฒนา ณ ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้โครงการดังกล่าวเป็น “ศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตร” เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชนที่สนใจ และนำกลับไปพัฒนาต่อยอดในพื้นที่ของตัวเอง ขยายผลสู่เกษตรกรรอบข้าง ตลอดจนสถาบันการศึกษา เปรียบเสมือนกับ “ห้องแล็บทางการเกษตร” ของพื้นที่ภาคเหนือ
หนึ่งในพันธุ์พืชที่ได้รับความสนใจและควรค่าต่อการศึกษาวิจัย คือ “เห็ดหลินจือ” ซึ่งมีคุณสมบัติทางยา อย่างไรก็ตาม เห็ดหลินจือเป็นเห็ดที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ และแสง ล้วนส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลผลิตเห็ดหลินจือ มูลนิธิชัยพัฒนา จึงได้พูดคุยกับดีแทค และ เนคเทค สวทช. ถึงการนำเทคโนโลยีการสื่อสารมาช่วยในการผลิตพืช และนำมาสู่ความร่วมมือ “โครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ กรณีศึกษาเห็ดหลินจือ” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยในระยะที่ 2 โดยมีธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. (NBT) เข้ามาร่วมคณะทำงานด้วย
ดร.ชัย กล่าวถึงการดำเนินโครงการในระยะที่ 1 (พ.ย. 62 – ต.ค. 64) ทั้ง 3 หน่วยงานร่วมกันดำเนินงานทดสอบในโรงเรือนควบคุมเพาะเห็ดหลินจือ โดยเนคเทค สวทช. ได้ติดตั้งอุปกรณ์เซนเซอร์ และระบบควบคุมอัตโนมัติเพื่อการเกษตร (HandySense) ประกอบด้วย เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น และความเข้มแสง โดยทำการรับส่งข้อมูลไปยัง IoT Cloud Platform ผ่านเครือข่าย 5G เพื่อใช้ในการติดตาม ควบคุมสั่งการเปิดปิดระบบต่าง ๆ ภายในโรงเรือน ได้แก่ ระบบพ่นหมอกเพิ่มความชื้น ระบบสเปรย์น้ำบนหลังคาเพื่อลดอุณภูมิ และระบบฮีตเตอร์เพิ่มอุณหภูมิในช่วงกลางคืน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งทำหน้าที่ดูแลโรงเรือนเพาะเห็ดหลินจือ ได้ใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยได้รับการสนับสนุนโครงข่ายสื่อสาร 5G และการพัฒนาแอปพลิเคชันจากบริษัท ดีแทค
นายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคมีความยินดีอย่างยิ่งในการสนับสนุนความร่วมมือดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ซึ่งดีแทคได้มีส่วนร่วมออกแบบ และวางแผนติดตั้งระบบเซ็นเซอร์และอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม รวมถึงการติดตั้งและดูแลเสาสัญญาณเพื่อขยายพื้นที่การสัญญาณเครือข่าย 5G บนคลื่นความถี่ 700 MHz
นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนโครงสร้างระบบฐานข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อเก็บข้อมูลปัจจัยเพาะปลูก ตลอดจนจัดทำแอปพลิเคชันแสดงผลภาพถ่ายหน้าจอมือถือ เพื่อให้สะดวกต่อการดูแลบริหารจัดการ และด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G จะทำให้การรับส่งข้อมูลรวดเร็ว สามารถรองรับงานที่หลากหลาย โดยคาดหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดรับรู้ถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 5G เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม เต็มประสิทธิภาพต่อไป
นอกเหนือจากการควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเห็ดหลินจือนั้น “ข้อมูล” อีกปัจจัยหนึ่งที่โครงการฯ ให้ความสำคัญ โดย การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ทุกเดือนมาจัดทำ Data Analytic ซึ่งโครงการฯ สามารถวิเคราะห์หาค่าพารามิเตอร์ในการจำลองสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ดหลินจือในฤดูหนาวได้สำเร็จ ทั้งด้านอุณหภูมิ ความชื้น และช่วงความเข้มแสง แต่ยังไม่สามารถเติบโตเป็นผลผลิตที่มีมูลค่าจึงนำมาสู่การขยายความร่วมมือดำเนินโครงการในระยะที่ 2 โดยการเก็บข้อมูลต่อเนื่องให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนการศึกษาปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดหลินจือ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
เนคเทค สวทช. จึงได้ผนึกกำลังความเชี่ยวชาญจากหน่วยงานภายในสวทช. คือ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand หรือ NBT) เข้าร่วมทำการศึกษาวิจัย นำความรู้ พร้อมอุปกรณ์เครื่องมือ ทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ โดยจะทำการทดสอบปัจจัยควบคุมต่างๆ ในตู้ควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหรือ Growth Chamber ซึ่งสามารถจำลองสภาพแวดล้อมที่ต้องการได้ และโรงเรือนขนาดเล็กขนาด 100 ก้อนและขนาดกลาง 500 ก้อน เพื่อทวนสอบปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมและนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรือนเพาะเห็ดหลินจือขนาดใหญ่ต่อไป
การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานโครงการในระยะที่ 2 ได้แก่
(1) ปรับใช้บอร์ดควบคุม HandySense รุ่นใหม่ พร้อมกับ NEXPIE IoT Platform ซึ่งทำให้มีระบบแจ้งเตือนการทำงานของเซนเซอร์ที่ล้มเหลวได้ ทำให้การเก็บข้อมูลเข้าฐานข้อมูลไม่ขาดหายเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
(2) ติดตั้งเซนเซอร์วัดค่าคาร์บอนไดออกไซด์
(3) ติดตั้งเครื่องมือวัดความถี่ของแสง (Photosynthetically Available Radiation: PAR Meter)
ที่จะเป็นข้อมูลสำคัญ ในการสร้างสารสำคัญของเห็ดหลินจือทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น
(4) ปรับปรุงระบบฮีตเตอร์ โดยใช้แผ่นอะลูมิเนียม ช่วยกระจายความร้อนให้สม่ำเสมอภายในโรงเรือน
(5) ติดตั้งกล้อง Time Lapse เก็บภาพ/ ข้อมูลการเจริญเติบโตของเห็ดทุกระยะ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ หรือคาดการณ์การเจริญเติบโต
(6) การใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ เข้ามาช่วยสนับสนุน เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
“โครงการความร่วมมือทางด้านวิจัยที่เกิดขึ้นในระยะที่ 2 นี้ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญของการเตรียมพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะแห่งอนาคต ภายใต้ความท้าทายในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลถือเป็นหัวใจ AI เป็นสมองช่วยคิดวิเคราะห์ โครงข่ายสื่อสารเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการส่งผ่านข้อมูล ทีมผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายเสมือนเป็นร่างกายที่ขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินจริง
ดังนั้น การได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างมูลนิธิชัยพัฒนา ดีแทค และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ จะทำให้เกิดระบบนิเวศของการใช้เทคโนโลยีที่ก่อประโยชน์ต่อภาคเกษตรกรรม เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชนที่สนใจ ได้นำกลับไปพัฒนาต่อยอดในพื้นที่ของตัวเอง หรือเป็นต้นแบบสำหรับผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน สอดรับกับวิสัยทัศน์ของเนคเทคที่ต้องการเป็นฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงของประเทศ” ดร. ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 ผักยอดนิยมของคนไทย กับข้อควรระวังในการกิน
ขึ้นชื่อว่าเป็น “ผัก” แล้ว หลายคนอาจคิดว่า กินผักเยอะๆ ยิ่งดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินผักเยอะๆ ไม่น่าเป็นอันตรายอะไร แต่อันที่จริง ยังมีผักบางกลุ่มที่เป็นที่นิยมในไทย พบได้ในอาหารไทยบ่อยๆ ที่เราอาจจะกินบ่อยๆ ไม่ดี หรือไม่เหมาะกับสุขภาพของทุกคนอย่างที่เราคิดกัน
5 ผักยอดนิยมของคนไทย กับข้อควรระวังในการกิน
- แตงกวา
แตงกวาช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด บำรุงผิว และยังเป็นผักที่ดีต่อสุขภาพของคนที่กำลังลดน้ำหนัก แต่แตงกวาอาจเป็นผักที่พบสารปนเปื้อนยาฆ่าแมลง การรับประทานแตงกวาทั้งเปลือกโดยไม่ล้างให้สะอาด จึงอาจทำให้ร่างกายได้รับสารพิษจากยาฆ่าแมลง และเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ดังนั้นก่อนรับประทานแตงกวาจึงควรปอกเปลือก และล้างให้สะอาด โดยการแช่ในน้ำผสมเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยการเปิดน้ำไหลผ่าน เพื่อช่วยลดสารเคมีที่อาจตกค้างอยู่ให้ออกไป
- กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูง ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปรับปรุงการทำงานของลำไส้ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ต่อผักในวงศ์ผักกาดและกะหล่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่ำปลีเนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้ อาเจียน ผื่นขึ้น ใบหน้าและลิ้นบวมได้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและผู้ที่มีการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่ำปลีด้วยเช่นกัน เพราะกะหล่ำปลีอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง เนื่องจากกะหล่ำปลี โดยเฉพาะกะหล่ำปลีดิบ อาจมีสารยับยั้งที่ไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์
นอกจากนี้ เนื่องจากกะหล่ำปลีมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานในปริมาณมาก โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไประหว่างผ่าตัด ที่อาจนำไปสู่อาการชักหมดสติ ดังนั้นจึงควรหยุดรับประทานกะหล่ำปลีอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
- คะน้า
คะน้ามีโพแทสเซียมที่อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ มีวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง และส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร สุขภาพตา กระดูก ผม และผิว
แต่หากรับประทานผักคะน้ามากเกินไปอาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย และผู้ที่เป็นโรคไต อาจต้องจำกัดการรับประทานคะน้า เนื่องจากคะน้ามีโพแทสเซียมสูง และหากรับประทานโพแทสเซียมมากเกินไปอาจส่งผลให้ไตทำงานหนัก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ รวมถึงผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น คูมาดิน (Coumadin) วาร์ฟาริน (Warfarin) อาจต้องจำกัดการรับประทานผักคะน้า เนื่องจากคะน้ามีวิตามินเคที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของยาได้
- ขึ้นฉ่าย
ขึ้นฉ่าย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ที่อาจช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง มีสารอะพิจีนีน (Apigenin) ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ชนิดหนึ่งที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ อาจช่วยลดไขมันในเลือด และยังอาจช่วยส่งเสริมการสร้างเซลล์ประสาทจากสารประกอบน้ำมันอย่าง 3 เอ็น-บิวทิลฟทาไลด์
แต่ในบางคน การรับประทานขึ้นฉ่ายมากเกินไปอาจทำให้มีอาการท้องอืดหรือแก๊สในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากในขึ้นฉ่ายมีสารแมนนิทอล (Mannitol) ในปริมาณมาก ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมสารอาหารของลำไส้และทำให้เกิดความผิดปกติในทางเดินอาหาร นอกจากนี้ขึ้นฉ่ายอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคน ซึ่งทำให้เกิดอาการลมพิษ บวม หายใจลำบาก เนื่องจากขึ้นฉ่ายมีสารก่อภูมิแพ้ เช่น โพรฟิลิน (Profilin) ฟลาโปรตีน (Flavoprotein) รวมถึงขึ้นฉ่ายยังอาจมีเชื้อราสเคอโรติเนีย สเคอทิออรัม (Sclerotinia Sclerotiorum) ที่อาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังในผู้ที่มีผิวบอบบางได้อีกด้วย
- ผักกาด
ผักกาด อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการอักเสบ และอาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังดีต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เพราะอุดมไปด้วยโฟเลต ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและพัฒนาการของทารกในครรภ์ และอาจช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทในทารกแรกเกิดได้
แต่เวลารับประทานผักกาดก็ต้องระวังสารปนเปื้อนหรือสารพิษที่อาจตกค้างอยู่ในผักกาด เช่น ยาฆ่าแมลง ด้วย เพราะหากรับประทานผักที่มีสารปนเปื้อนเป็นเวลานาน อาจทำให้สารปนเปื้อนหรือสารพิษเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ทำให้มีอาการมึนงง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจไม่สะดวก ชัก หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นก่อนรับประทานผักกาดจึงควรล้างผักกาดให้สะอาด โดยการแยกใบผักกาดออกเป็นใบๆ แล้วล้างให้สะอาดด้วยการให้น้ำไหลผ่าน เพื่อชำระคราบดิน สิ่งสกปรก แบคทีเรีย เชื้อก่อโรค เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 3/05/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,350.00 | 30,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,966.00 | 29,804.56 | 30,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,769.40 | 26,824.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,572.80 | 23,843.65 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 885.00 | 13,416.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 688.00 | 10,430.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,037.00 | 30,880.92 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 3/05/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.65 | 39.65 | 41.25 | 40.15 | 41.15 | 39.65 | 39.65 | 39.65 | 40.15 | 39.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.38 | 39.38 | 40.98 | 39.88 | 40.88 | 39.38 | 39.38 | 39.38 | 39.88 | 39.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 38.54 | 38.54 | 40.14 | 39.04 | 40.04 | – | 38.54 | 38.54 | 39.04 | 38.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.84 | 32.84 | – | – | – | – | – | – | – | 32.84 |
เบนซิน 95 | 47.06 | – | – | – | 49.01 | – | 47.56 | 47.56 | – | 47.06 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | – | 31.94 | – | 31.94 | 31.94 | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 37.96 | 37.96 | 40.39 | 39.36 | 40.39 | – | – | – | – | 37.96 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |