ครม.ปรับลดค่ากรรมสิทธิ์ที่ดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง 1.3 พันล้านบาท
ครม.อนุมัติปรับลดวงเงินค่ากรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ จาก 1.5 หมื่นล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท
28 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้อนุมัติทบทวนมติครม.วันที่ 25 ก.ค. 60 เกี่ยวกับการอนุมัติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ
สำหรับการทบทวนมติ ครม.ฯ ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินรายการดำเนินงานตามโครงการฯ แต่ยังคงอยู่ภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่ ครม. ได้อนุมัติไว้ที่ 101,112 ล้านบาท
โดยรายการที่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การปรับลดวงเงินรายการค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 1,323 ล้านบาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากเดิม 15,913 ล้านบาท เป็น 14,590 ล้านบาท เพื่อนำไปปรับเพิ่มเป็นรายการค่าก่อสร้างทดแทนหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างที่เพิ่มจาก 1,335 ล้านบาท เป็น 2,658 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,323 ล้านบาท
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า การปรับเพิ่มค่าสิ่งปลูกสร้างทดแทนฯ ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงการก่อสร้างของสัญญาที่1 (จากทั้งโครงการมีทั้งหมด 6 สัญญา) ที่เดิมขอบเขตงานได้ให้ผู้รับจ้างงานโยธาต้องดำเนินการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างทดแทนของหน่วยงานของกองทัพบก(ทบ.) และหน่วยงานอื่นๆ วงเงิน 1,069 ล้านบาท (ส่วนของ ทบ. 1,028 ล้านบาท และหน่วยงานอื่นๆ 41 ล้านบาท)
โดยพื้นที่ของทบ. ได้รับผลกระทบจากโครงการ ประกอบด้วย กรมสรรพาวุธทหารบก, กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน, กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ และกองพันทหารม้าที่ 4 กองพลที่1 รักษาพระองค์
โดย ทบ. แจ้งว่า งบประมาณที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการดำเนินการย้ายที่ตั้งของหน่วยเนื่องจากอาคารบริเวณที่ตั้งเดิมของโรงเรียนสรรพวุธทหารบกมีการใช้ อาคาร/สิ่งปลูกสร้างและระบบสาธารณูปโภคร่วมกับหน่วยงานที่อยู่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งเมื่อต้องย้ายหน่วยไปอยู่พื้นที่ใหม่(ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง นครราชสีมา) จะต้องย้ายกำลังพลและครอบครัวไปอยู่พื้นที่แห่งใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ทบ.จึงยืนยันข้อเสนอรายการก่อสร้างอาหารและสิ่งปลูกสร้างฯ วงเงินรวม 2,350.05 ล้านบาท แยกเป็นรายการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างฯ ที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. เดิม 1,027.62 ล้านบาท และรายการก่อสร้างฯ (เพิ่มเติม) 1,322.43 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังเปลี่ยนแปลงรายการดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว กรอบวงเงินเพื่อดำเนินการตามโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 101,112 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 14,590 ล้านบาท
- ค่าสำรวจอสังหาฯ 32 ล้านบาท(คงเดิม)
- ค่าก่อสร้างงานโยธา 77,385 ล้านบาท(คงเดิม)
- ค่าสิ่งปลูกสร้างทดแทนฯ 2,658 ล้านบาท
- ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและคุมงานก่อสร้าง 2,865 ล้านบาท(คงเดิม)
- ค่า Provisional Sum 3,582 ล้านบาท(คงเดิม)
สำหรับรายละเอียดการก่อสร้างงานโยธาของโครงการฯ ประกอบด้วย 6 สัญญา
สัญญาที่1- 4 เป็นงานออกแบบและก่อสร้างอุโมงค์ทางวิ่งและสถานีใต้ดิน แยกเป็น
- สัญญาที่ 1 ช่วงเตาปูน-หอสมุดแห่งชาติ
- สัญญาที่ 2 ช่วงหอสมุดแห่งชาติ-ผ่านฟ้า
- สัญญาที่ 3 ช่วงผ่านฟ้า-สะพานพุทธ
- สัญญาที่ 4 ช่วงสะพานพุทธ-ดาวคะนอง
ส่วนสัญญาที่ 5 เป็นงานก่อสร้างโครงสร้างทางวิ่งและสถานียกระดับ ดาวคะนอง-ครุใน และสัญญาที่6 งานออกแบบและก่อสร้างระบบราง ตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
” สิงห์ เอสเตท” ฟื้นแรง ทำ New High รายได้ปี 2565
สิงห์ เอสเตท เตรียมจ่ายปันผล หลังรายได้โตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 12,530 ล้านบาท พร้อมกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท ลุยต่อแผนธุรกิจเปิดโครงการบ้านใหม่อีก หมื่นล้าน หลัง บ้านศิรนินทร์ ยอดขายเกินเป้า ขณะโรงแรมฟื้นตัวเร็ว
28 กุมภาพันธ์ 2566 – บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศรายได้ปี 2565 กว่า 12,530 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์และมีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท พร้อมจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้น 0.02 บาทต่อหุ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จจากการปั้นธุรกิจที่พักอาศัยหลังปรับโครงสร้างใหญ่ได้เพียง 1 ปี ในปี 2566
พร้อมตั้งเป้าเดินหน้าโครงการบ้านแนวราบใหม่กว่า 10,000 ล้านบาท เสริมทัพด้วยกำไรจากธุรกิจโรงแรมรับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภาคการท่องเที่ยว ในปี 2565 บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดและกระตุ้นการสร้างรายได้จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ
สิงห์ เอสเตท ทำ new high รายได้
ส่งผลให้รายได้สามารถสร้าง new high ในปีที่ผ่านมา สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยประเภทบ้านแนวราบมีผลงานโดดเด่นสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายหลังใช้เวลาเพียง 1 ปีในการปั้นโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและเปิดตัวในปีที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้าให้การยอมรับในคุณภาพและเชื่อมั่นในมาตราฐานของสิงห์ เอสเตท ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำในการพัฒนาบ้าน luxury อย่างแท้จริง
โดยโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ (SIRANINN Residences Pattanakarn) มีมูลค่าโครงการกว่า 2,900 ล้านบาท เปิดตัวอย่างสวยงามในปลายปี 2565 ด้วยยอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 830 ล้านบาท หรือสูงถึง 28% หลังเปิดโครงการได้เพียง 2 เดือน นับเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างแบรนด์บ้านคุณภาพในตลาดเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากนั้นรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นสู่ 8,693 ล้านบาท หรือเติบโตเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมาจากการใช้กลยุทธ์ที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากหลากหลายภูมิภาค การบริหารพอร์ต
อย่างมีประสิทธิภาพทั้งเชิงการกำหนดราคา การทำการตลาดเชิงรุกและการเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่โดยเฉพาะตลาดที่มีกำลังซื้อ ควบคู่กับการปรับปรุงทรัพย์สินทรัพย์ให้ตอบโจทย์กระแสการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ใหม่ๆ ส่งผลสำเร็จต่อการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักต่อคืน (ADR) ในปี 2565 ของโรงแรมในหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสหราชอาณาจักร ให้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 1,014 ล้านบาทปรับตัวดีขึ้น 5% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าขึ้นได้แม้จะอยู่ระหว่างสถานการณ์ที่ท้าทาย พร้อมกับการเปิดพื้นที่ค้าปลีกบางส่วนในโครงการ S-OASIS ที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ของปี 2566 และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานได้มีความก้าวหน้าตามแผนโดยรับรู้รายได้เป็นปีแรกจากการขายและการโอนที่ดินของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง (S-Angthong) รวมมูลค่า 198 ล้านบาท
คุมต้นทุนดี ดันมีกำไร 490 ล้าน
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “สำหรับผลประกอบการที่ดีในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการผลักดันรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจของเรา ควบคู่การบริหารต้นทุนอย่างเข้มข้น ผลส่งให้เรามีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาทในปี 2565 โดยบันทึกกำไรสามไตรมาสติดต่อกัน จึงถือได้ว่าปี 2565 นี้ เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวความสำเร็จของ สิงห์ เอสเตท จากความทุ่มเทในการปรับตัวเพื่อเอาชนะความท้าทายต่อสภาวะตลาดและสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นในการทำงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบายการสร้างความหลากหลายที่สมดุลสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Diversity) เพื่อสร้างจุดแข็งทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างธุรกิจ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกหลายโครงการตามแผนธุรกิจภายในปี 2565 ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะผลักดันรายได้ของสิงห์ เอสเตท ให้เติบโตต่อเนื่องในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1มี.ค. ที่ระดับ 35.25 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาท แข็งค่าขึ้นจากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นบางส่วน และแรงขายเงินดอลลาร์ของฝั่งผู้ส่งออก รวมถึงการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ-มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.40 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1มีนาคม 2566 ที่ระดับ 35.25 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.34 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้ทน ส่วนหนึ่งอาจมาจากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นบางส่วน หลังเงินบาทได้อ่อนค่าแรงในช่วงวันก่อนหน้าจนแตะระดับ 35.35 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ แรงขายเงินดอลลาร์ของฝั่งผู้ส่งออก รวมถึงการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทและหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง
ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ ทำให้ เรามองว่า เงินบาทจะยังคงไม่กลับตัวมาเป็นฝั่งแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจนและยังคงแกว่งตัว Sideways Up โดยเฉพาะหลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุกรอบแนวต้านที่เราประเมินไว้ ทำให้โซนแนวต้านถัดไปจะถูกขยับขึ้นมาเป็นแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ อนึ่ง เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงิน
โดยเฉพาะในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI สหรัฐฯ เพราะหากดัชนี ISM PMI สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อได้ ตามภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส แต่หากออกมาลดลง แย่กว่าคาด
ผู้เล่นในตลาดอาจปรับลดมุมมองเชิงบวกต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงได้บ้าง ซึ่งอาจเห็นการย่อตัวของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อของราคาทองคำได้ โดยในกรณีดังกล่าว ค่าเงินบาทก็มีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่อาจยังไม่หลุดแนวรับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์
ในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.40 บาท/ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนในช่วงวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะปรับตัวลดลง โดย ดัชนี S&P500 ย่อตัวลง -0.30% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ทำให้บรรดาหุ้นขนาดใหญ่ของดัชนี S&P500 ยังคงแกว่งตัว sideways หรือย่อตัวลงเล็กน้อย อาทิ Nvidia -1.2%, Apple -0.3%, Amazon +0.5%
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 กลับมาย่อตัวลง -0.32% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ในฝั่งฝรั่งเศสและสเปนต่างเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 6.2% และ 6.1% ตามลำดับ เพิ่มโอกาสที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูงมากในช่วงนี้ ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า ECB อาจเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Deposit Facility Rate จนแตะระดับราว 3.80% (ระดับล่าสุด 2.50%) ได้ในช่วงสิ้นปี
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวน sideways โดยมีบางช่วงที่ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.97% อีกครั้ง ทว่าภาพรวมตลาดการเงินที่ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง รวมถึงแรงซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัวได้มีส่วนทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.94% สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่คงมองว่า จังหวะบอนด์ยีลด์ ปรับตัวสูงขึ้น จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้ (Buy on Dip)
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ฝรั่งเศสและสเปนออกมาสูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมารีบาวด์ขึ้นและกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105 จุด อีกครั้ง ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับของราคาทองคำ ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยกลับเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
ผู้เล่นบางส่วนยังได้เข้ามาซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (Inflation-Hedge) หลังภาพอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจหลักยังอยู่ในระดับสูง ทำให้แม้ว่า เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นมาบ้าง แต่โดยรวม ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ก็สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับ มาสู่ระดับ 1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
อนึ่งการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว อาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนที่ทยอยสะสมในโซนแนวรับ เริ่มขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจมีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา/ชะลอการอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งในภาคการผลิตและภาคการบริการมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ระดับ 50.2 จุด และ 53.5 จุด ตามลำดับ
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดมองว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าสู่ระดับ 48 จุด
แต่ยังคงสะท้อนสภาวะหดตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อยู่ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแรงกดดันเงินเฟ้อผ่านดัชนีด้านราคาในรายงานดัชนี PMI รวมถึงภาวะการจ้างงานในภาคการผลิตจากดัชนีด้านการจ้างงานในรายงานดัชนี PMI
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.05-35.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทฟื้นตัวกลับมาบางส่วน (หลังจากที่อ่อนค่าแตะ 35.39 ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อวานนี้) ตามภาพรวมของสกุลเงินเอเชียและเงินหยวนซึ่งมีแรงหนุนจากข้อมูล PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.พ. หลังทางการมีการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.20-35.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยตลาดรอติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย ข้อมูล PMI เดือนก.พ. ของอังกฤษ และยูโรโซน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือนก.พ.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“สุภกมล” คว้าที่ 2 ศิลปะบังคับม้า ศึกกรังด์ปรีซ์ ที่สหรัฐ ลุยเก็บแต้มลุ้นตั๋วโอลิมปิก
“แพม” สุภกมล วรรธนะดิษฐ์ นักกีฬาขี่ม้าหญิงดาวรุ่งของไทย และคนเดียวของเอเชีย พาธงชาติไทยโบกสะบัดในสนามแข่งระดับโลกครั้งแรกของไทย ด้วยการคว้าอันดับ 2 ประเภทศิลปะบังคับม้า ระดับ “กรังด์ปรีซ์” ในการแข่งขันรายการระดับนานาชาติ ที่สหรัฐอเมริกา
สุภกมล สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการควบม้าคู่ใจ “ดรีมโบท บีซีเอ็น” (Dreamboat Bcn) ทำลายสถิติตนเองที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ เรียกคะแนนจากกรรมการ 65.435 เปอร์เซ็นต์ ในรุ่นกรังด์ปรีซ์ ซีดีไอทรีสตาร์ ในวันแรก และได้สิทธ์ควอลิฟายเข้าแข่งขันในรุ่นกรังด์ปรีซ์ฟรีสไตล์ ในวันที่สอง ซึ่งเจ้าตัวทำได้ดีต่อเนื่องสร้างเซอร์ไพรส์คว้าอันดับ 2 ด้วยคะแนน71.580 เปอร์เซ็นต์ และได้คะแนน “ขวัญใจผู้ชม” สูงถึง 76.854 เปอร์เซนต์
ทั้งนี้ “แพม” สุภกมล วรรธนะดิษฐ์ นักขี่ม้าสาวเพียงคนเดียวจากเอเซียที่ได้ขึ้นโพเดียมในรุ่นซีดีไอทรีสตาร์ กรังปรีด์ ฟรีสไตล์ (CDI 3* GrandPrix Freestyle) ในรายการ Friday Night Stars ที่สนามอาดิควน โกลโบลเดรจสาจ เฟสติเวล (Adequan Global Dressage Festival) ที่เมืองเวลลิงตั้น ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในมหกรรมการแข่งขันประเภทศิลปะบังคับม้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก มีการแข่งขันระดับนานาชาติที่จัดโดยสมาคมขี่ม้านานาชาติตลอด 7 สัปดาห์ติดต่อกันในระหว่างเดือนมกราคม ถึงมีนาคม ของทุกปี
“ส่วนเป้าหมายเรื่องโอลิมปิก แน่นอนว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักกีฬาทุกคน รวมถึงหนูด้วย จึงตั้งใจที่จะทำคะแนนแต่ละสนามออกมาให้ดีที่สุด เพื่อควอลิฟายโอลิมปิก 2024 ที่ปารีสด้วย หนูขอขอบคุณทุกกำลังใจและแรงเขียร์จากพี่น้องคนไทย หนูจะพยายามให้ดีที่สุด และหวังว่าจะนำธงขาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาในการแข่งขันต่อๆไปค่ะ” น้องแพมกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
7 เรื่องน่ารู้-เข้าใจผิดเกี่ยวกับ “มะเร็งปอด”
โรคมะเร็งปอด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบได้มากเป็นอันดับต้นๆ ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่ถึงแม้จะเป็นโรคที่พบได้บ่อย และเราได้ยินชื่อกันมานาน แต่เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็ยังคงเข้าใจโรคนี้ผิดอยู่ในหลายเรื่อง Hello คุณหมอ มี 7 ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอด พร้อมข้อเท็จจริงมาฝาก คุณจะได้เข้าใจโรคมะเร็งปอดกระจ่างขึ้น
7 ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอด ที่ควรรู้ให้กระจ่าง
ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอด ข้อที่ 1: สูบบุหรี่มาตั้งหลายปี เลิกตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว
ข้อเท็จจริง
ไม่ว่าคุณจะสูบบุหรี่มานานแค่ไหน แต่เมื่อคุณเลิกบุหรี่ ร่างกายของคุณก็จะได้รับผลดีจากการเลิกบุหรี่แทบจะทันที เมื่อคุณเลิกสูบบุหรี่ เลือดจะไหลเวียนได้ดีขึ้น ปอดทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดของคุณก็จะค่อยๆ ลดลงด้วย โดยผู้เชี่ยวชาญเผยว่า หากคุณเลิกบุหรี่ติดต่อกันได้เกิน 10 ปี ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดจะลดลงไปถึง 50% เมื่อเทียบกับคนที่ยังสูบบุหรี่อยู่
ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอดข้อที่ 2: เป็นมะเร็งปอดแล้ว เลิกบุหรี่ไปก็ไร้ประโยชน์
ข้อเท็จจริง
อย่างที่เราบอกไปแล้วว่า ถ้าคุณเลิกบุหรี่ได้ คุณก็จะได้รับผลดีของการเลิกบุหรี่แทบจะทันที และถึงแม้คุณจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดแล้ว การเลิกบุหรี่ก็ยังคงส่งผลดีต่อร่างกายของคุณเช่นกัน เพราะการเลิกบุหรี่ นอกจากจะดีต่อระบบการไหลเวียนเลือดและการทำงานของปอดแล้ว ยังอาจช่วยให้การรักษามะเร็งปอดของคุณได้ผลดีขึ้น และช่วยลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย
และหากจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ร่างกายของคนที่เลิกบุหรี่แล้วก็ยังฟื้นตัวได้ดีกว่าคนที่ยังสูบบุหรี่อยู่ อีกทั้งคนที่เลิกบุหรี่แล้วยังเกิดปัญหาเสียงแหบหลังรักษามะเร็งกล่องเสียงด้วยการฉายรังสีน้อยกว่า นอกจากนี้ การเลิกบุหรี่ยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดซ้ำได้ด้วย
ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอดข้อที่ 3: สาเหตุของโรคมะเร็งปอดมีแค่การสูบบุหรี่เพียงอย่างเดียว
ข้อเท็จจริง
จริงอยู่ที่การสูบบุหรี่ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของโรคมะเร็งปอด แต่โรคนี้ก็ไม่ได้เกิดเพราะสูบบุหรี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอีกมากที่ทำให้คุณเป็นโรคมะเร็งปอดได้
โดยสาเหตุโรคมะเร็งปอดอันดับสองรองจากการสูบบุหรี่ก็คือ การรับสารที่เรียกว่า “เรดอน” (Radon) ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสใดๆ ซึ่งสารนี้ปะปนอยู่ในดินและหินทั่วพื้นโลก อีกทั้งเมื่อเรานำดินและหินที่มีสารเรดอนมาสร้างอาคารบ้านเรือน ก็ยิ่งทำให้เราเสี่ยงรับสารนี้เข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น จนอาจเป็นอันตรายต่อปอด หรือร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งปอดได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปอดอื่นๆ ที่พบได้ เช่น การรับควันบุหรี่มือสอง การรับสารบางชนิด (เช่น แร่ใยหิน สารหนู ไอเสีย) คนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งปอด การฉายรังสีบริเวณเต้านมหรือผนังทรวงอก การกินอาหาร
ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอดข้อที่ 4: ออกกำลังกายไป ก็ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงมะเร็งปอดลดลง
ข้อเท็จจริง
หลาย คนน่าจะรู้อยู่แล้วว่า การออกกำลังกายดีต่อสุขภาพโดยรวมของเรามากแค่ไหน และหนึ่งในข้อดีของการออกกำลังกายก็คือ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ด้วย โดยผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น จึงทำให้คุณเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดน้อยกว่าคนไม่ออกกำลังกาย และนอกจากจะช่วยให้ปอดแข็งแรงแล้ว การออกกำลังกายยังช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ และช่วยป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ได้ด้วย
ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอดข้อที่ 5: ถ้ากินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ต่อให้สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งปอด
ข้อเท็จจริง
ในปัจจุบัน ยังไม่มีงานศึกษาวิจัยใดที่ชี้ชัดว่า การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดได้ ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยบางชิ้นยังระบุว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างงานศึกษาวิจัยที่ให้กลุ่มตัวอย่างกินอาหารเสริมเบต้าแคโรทีน พบว่า กลุ่มตัวอย่างดังกล่าวมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น
ฉะนั้น ก่อนตัดสินใจกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ คุณจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ โดยเฉพาะหากคุณมีโรคประจำตัว หรือมีปัญหาสุขภาพ
ความเชื่อเกี่ยวกับมะเร็งปอดข้อที่ 6: ไม่มีวิธีไหนจะช่วยบรรเทาผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งปอดได้
ข้อเท็จจริง
มียาหลายชนิดที่สามารถช่วยบรรเทาผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งปอดได้ เช่น ยาบรรเทาปวด ยารักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ยาทาผื่นคัน ยาแก้ท้องเสีย ยากระตุ้นความอยากอาหาร แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คุณไม่ควรหายาเหล่านี้มากินเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์และให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายยาให้จะดีที่สุด และนอกจากการใช้ยาแล้ว แพทย์อาจแนะนำวิธีบรรเทาอาการโดยไม่ใช้ยาที่เหมาะสมให้คุณได้ด้วย เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร
ความเชื่อ เกี่ยวกับมะเร็งปอดข้อที่ 7: ถ้าเป็นมะเร็งปอด ยังไงก็เสียชีวิตแน่นอน
ข้อเท็จจริง
โรคมะเร็งปอดจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทยและคนทั่วโลก หลายคนจึงคิดว่า หากเป็นมะเร็งปอดแล้ว ยังไงก็ไม่รอดแน่ๆ แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยมะเร็งปอดก็สามารถรอดชีวิตจากโรคนี้ได้ หากปฏิบัติตัวและได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น การผ่าตัด การทำเคมีบำบัด การฉายรังสี ยิ่งตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น และได้รับการรักษาโดยเร็ว อัตราการรอดชีวิตจากโรคนี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เป๊ะแกรมม่าและการเขียนกับการอ่านด้วย Grammar Translation Method
Grammar-Translation Method เป็นวิธีการเรียนรู้(หรือสอน)ภาษาที่ช่วยพัฒนาแกรมม่า การเขียน และการอ่านไปได้พร้อมๆ กัน ในบทความนี้ ผมจะอธิบายให้คุณผู้อ่านเข้าใจกันว่า Grammar-Translation Method นั้นเขาทำกันอย่างไร และเราจะใช้วิธีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาแกรมม่า การเขียน และการอ่านของเราได้อย่างไร
ทักษะ 3 อย่าง ได้แก่ ทักษะด้านแกรมม่า (Grammar Skill) ทักษะการเขียน (Writing Skill) และทักษะการอ่าน (Reading Skill) เป็นทักษะที่พัฒนาไปพร้อมๆ กันได้โดยตรง โดยในบรรดาทักษะทั้ง 3 อย่างนี้ ทักษะที่เป็นรากฐานสำคัญก็คือทักษะด้านแกรมม่า เพราะแกรมม่าคือการทำความเข้าใจโครงสร้างในภาษาหนึ่งๆ ว่าคำต่างๆ ที่เราเห็นนั้นมาร้อยเรียงกันจนเกิดเป็นกลุ่มคำหรือประโยคขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างแล้ว เราก็สามารถอ่านทำความเข้าใจกลุ่มคำหรือประโยคที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ทั้งยังเขียนกลุ่มคำหรือประโยคขึ้นมาเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ (แต่ก็ต้องฝึกฝนในระดับหนึ่งด้วย)
วิธีหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนาทักษะทั้ง 3 มีชื่อว่า Grammar-Translation Method ความหมายของมันก็ตรงตามชื่อเลยครับ คือ วิธีที่อาศัยแกรมม่ากับการแปล ผู้เรียนภาษาจะได้เรียนหลักแกรมม่าแล้วนำหลักดังกล่าวมาประยุกต์ใช้โดยแปลข้อความจากภาษาที่เรียนไปเป็นภาษาของตัวเอง หรือจากภาษาของตัวเองไปเป็นภาษาที่เรียน โดยผู้เรียนจะได้เห็น pattern เดิมซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดความคุ้นเคยกับหลักแกรมม่านั้นๆ
สมมติว่าบทที่ 2 ในหนังสือเรียนกล่าวถึงเรื่อง possessive pronouns (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ) ได้แก่ mine, yours, his, hers, its, ours และ theirs ผู้เรียนก็จะได้ทำความเข้าใจก่อนว่าคำเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสรรพนาม คือ ใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงไปแล้ว คำเหล่านี้ต่างจาก possessive adjectives (คุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ) ได้แก่ my, your, his, her, its, our และ their ซึ่งใช้ขยายคำนาม จากนั้นก็จะมีโจทย์สั่งให้ผู้เรียนแปลประโยคสั้นๆ ที่มี possessive pronoun อยู่ด้วย ทั้งจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาของตัวเอง และในทางกลับกัน
ตัวอย่างโจทย์ที่ให้แปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย เช่น
- This isn’t my car. It’s yours.
- You talk about your family first. I’ll then talk about mine.
ตัวอย่างโจทย์ที่ให้แปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ เช่น
- บ้านของฉันอยู่ใกล้บีทีเอส บ้านของคุณล่ะ
- ผมหาหนังสือของผมไม่เจอ ขอยืมหนังสือของคุณหน่อยได้มั้ย
นอกจากนี้ หนังสือเรียนบางเล่มยังอาจให้ผู้เรียนแปลข้อความที่ยาวขึ้นถึงระดับย่อหน้าอีกด้วย เพื่อให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับ possessive pronouns มากขึ้น
เมื่อผู้เรียนอ่านประโยคที่ต้องแปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย ผู้เรียนจะได้ทำความเข้าใจ possessive pronouns ในบริบท รวมถึงได้พัฒนาทักษะการอ่านทำความเข้าใจประโยคในลักษณะนี้ด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อผู้เรียนแปลประโยคจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะได้ทำความเข้าใจ possessive pronouns ในบริบท อีกทั้งได้พัฒนาทักษะการเขียนให้ถูกต้องตามหลักการใช้ possessive pronouns ด้วย
นี่คือวิธีที่เรียกว่า Grammar-Translation Method
ในสมัยโบราณ วิธีนี้เป็นหนึ่งในวิธีหลักที่ใช้ในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ โดยมีต้นกำเนิดมาจากการเรียนการสอนภาษาละตินในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 และใช้กันเรื่อยมา ทว่าถูกนักวิชาการสมัยใหม่ปฏิเสธ หลักๆ ก็เพราะวิธีนี้ไม่ช่วยให้ “พูดคล่อง”
แต่นั่นก็เป็นเพราะนักวิชาการกลุ่มนั้นตัดสิน “คุณค่า” ของ Grammar-Translation Method โดยใช้เกณฑ์ความสามารถในการพูดคล่องเป็นหลัก หากผู้เรียนต้องการเน้นพัฒนาทักษะด้านแกรมม่า การเขียน และการอ่าน วิธีนี้ก็ยังคงใช้ได้ผลดีอยู่เสมอ และเมื่อยิ่งใช้วิธีนี้บ่อยๆ ทักษะทั้ง 3 อย่างของผู้อ่านทุกคนก็จะแน่นขึ้น นอกจากนี้ วิธีนี้ยังทำให้เราเป็นคนช่างสังเกต และต่อยอดไปถึงทักษะการระบุข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ (error identification) ได้อีกด้วย
พอจะเข้าใจ Grammar-Translation Method กันแล้วใช่มั้ยครับ คราวนี้มาลองใช้วิธีนี้กันดูบ้าง ผมจะสมมติว่าผู้อ่านกำลังเรียนเรื่อง Conditionals แบบที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ กล่าวคือ ถ้าเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น ก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเสมอ กรณีนี้ If-clause จะอยู่ในรูป Present Simple ส่วน clause ที่อยู่หลัง If-clause ก็จะอยู่ในรูป Present Simple ด้วย เช่น
If you eat too much, you become a bear.
ถ้ากินมากเกินไป คุณก็จะกลายเป็นหมี
If he turns to the east at dawn, he sees the sun rising over the horizon.
ถ้าเขาหันไปทางทิศตะวันออกในยามรุ่งอรุณ เขาก็จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า
If Anne boils the water, it gets hot.
ถ้าแอนต้มน้ำ น้ำก็จะร้อน
คราวนี้ผมจะให้โจทย์แปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย กับแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ อย่างละ 2 ประโยค
อังกฤษไปเป็นไทย
- If she wears her coat, her body gets warm.
- If they eat cyanide, they die.
ไทยไปเป็นอังกฤษ
- ถ้าเขาไม่ดื่มน้ำ เขาจะตาย
- ถ้าพวกเด็กทารกหิว พวกเขาจะร้องไห้
หลังจากลองแปลกันแล้ว ก็มาเช็คคำตอบกันครับ โจทย์ที่ให้แปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย ข้อแรก แปลได้ว่า ถ้าเธอสวมเสื้อโค้ต ร่างกายของเธอก็จะอบอุ่น ส่วนข้อสอง แปลได้ว่า ถ้าพวกเขากินไซยาไนด์ พวกเขาก็จะตาย
ส่วนโจทย์ที่ให้แปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ข้อแรก ตอบว่า If he doesn’t drink water, he dies. กับข้อสอง ตอบว่า If the babies are hungry, they cry.
ในระหว่างที่เช็คคำตอบ ก็ให้สังเกตด้วยว่า If-clause กับ clause ที่ตามมานั้นอยู่ในรูปของ Present Simple ทั้งคู่ แล้วจำรูปแบบนี้ให้ขึ้นใจ พอถึงเวลาต้องเอาไปประยุกต์ใช้ในการอ่านและการเขียนจะได้เข้าใจประโยคคล้ายๆ กันนี้ได้อย่างรวดเร็ว
นี่เป็นตัวอย่างบางส่วนของ Grammar-Translation Method นะครับ ผมเชื่อว่าถ้าผู้อ่านเอาวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้บ่อยๆ ทักษะแกรมม่า การเขียน และการอ่าน (และอาจรวมถึงทักษะการหาข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์) ของผู้อ่านจะต้องแน่นขึ้นอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
Tesla ประกาศหยุดปล่อยระบบ Full Self Driving หลังพบระบบมีปัญหาเรียกคืนรถกว่าแสนคัน
เชื่อว่าหลายคนที่อยากซื้อรถยนต์ Tesla คงจะชื่นชอบระบบขับเองหรือ Full Self Driving (FSD) จนทำให้ตอนนี้มีการเรียกคืนรถมาเพื่ออัปเดต Patch ที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายระหว่างขับขี่
ล่าสุดเว็บไซต์ของ Tesla ได้ออกมาบอกว่าจะหยุดการปล่อยระบบ FSD เพิ่มเติม โดยฟีเจอร์นี้ถ้าต้องการคุณจะต้องจ่ายเงินเพิ่มราวๆ 5 แสนบาท โดยระบบจะเป็นการขับรถยนต์อัตโนมัติระดับที่ 2 ตัวรถควบคุมได้ทั้งการเลี้ยว, คันเร่ง และเบรก แต่ผู้ขับขี่ห้อพร้อมควบคุมรถตลอดเวลา
ทั้งนี้สำหรับคนที่ใช้ระบบนั้นอยู่แล้วจะสามารถใช้งานต่อได้แม้ว่าจะอัปเดต Firmware และไม่มีการถอนฟีเจอร์นี้ออกจากรถนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เทสลาเรียกคืน ‘ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง’ หลังพบข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยเทสลาเรียกคืน ‘ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง’ หลังพบข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัย
หน่วยงานด้านความปลอดภัยในการจราจรของสหรัฐฯ กดดันให้บริษัทรถยนต์ เทสลา (Tesla) ต้องเรียกคืนรถยนต์เกือบ 363,000 คัน จากปัญหาที่ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบเต็มรูปแบบ หรือ Full Self-Driving ที่อาจทำงานผิดพลาดเมื่อถึงทางแยก และไม่จำกัดความเร็วตามที่กำหนดในบางครั้ง
การเรียกคืนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนครั้งใหญ่ของสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ หรือ NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration) ต่อระบบ Full Self-Driving ของเทสลา ซึ่งถือเป็นการตรวจสอบครั้งใหญ่ที่สุดต่อบริษัทรถยนต์เทสลา
NHTSA ระบุว่า ระบบ Full Self-Driving ที่มีใช้ในรถยนต์เทสลาราว 400,000 คัน มีปัญหาด้านความปลอดภัยเมื่อวิ่งผ่านทางแยกขณะอยู่ในช่องทางที่บังคับเลี้ยว หรือวิ่งผ่านทางแยกขณะที่ไฟจราจรเป็นสีเหลือง และอาจไม่หยุดสนิทขณะเจอป้ายหยุด
นอกจากนี้ ในบางกรณีระบบดังกล่าวยังตอบสนองอย่างไม่เหมาะสมในการจำกัดความเร็วอของรถยนต์ด้วย
การตรวจสอบครั้งนี้ยังตั้งคำถามถึงคำกล่าวอ้างของ อิลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา ที่ว่า เขาสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่ารถเทสลาที่มีระบบ “Full Self-Driving” มีความปลอดภัยกว่ามนุษย์ และผู้ขับขี่แทบไม่ต้องแตะระบบควบคุมรถยนต์เองเลยด้วยซ้ำ
เอกสารการตรวจสอบของ NHTSA ระบุว่า เทสลาจะแก้ปัญหานี้ด้วยการอัพเดทซอฟต์แวร์ออนไลน์ของรถยนต์เทสลาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และบอกด้วยว่า เทสลายินดีเรียกคืนรถยนต์แม้จะไม่เห็นด้วยกับรายงานการตรวจสอบของทางการสหรัฐฯ ก็ตาม
เมื่อวันพฤหัสบดี มัสก์โพสต์ทางทวิตเตอร์ว่า การเรียก “การอัพเดทซอฟแวร์ออนไลน์” ว่าเป็นการ “เรียกคืนรถยนต์” นั้นเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างยิ่ง
โดยการเรียกคืนรถยนต์เทสลาครั้งนี้ครอบคลุมถึง รถยนต์เทสลาโมเดล S และโมเดล X รุ่นระหว่างปี 2016 – 2023 รวมทั้งโมเดล 3 ระหว่างปี 2017 – 2023 และโมเดล Y ระหว่างปี 2020 – 2023 ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบเต็มรูปแบบ หรือ Full Self-Driving
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
SCG HOME Experience เพิ่มโซนเติมพอร์ตสินค้า ‘Shinkolite & Smart Zone’ เติมเต็มฟังก์ชันบ้าน ด้วยเทคโนโลยีการอยู่อาศัย
เอสซีจี โฮม เอ็กซพีเรียนซ์ ปรับโซนใหม่รับปีกระต่าย ผุด Smart Zone ดึงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อบ้านเพิ่มความหลากหลายในศูนย์การค้า พร้อมสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ด้วยพอร์ตสินค้าแบรนด์ Shinkolite แผ่นอะคริลิคคุณภาพ เติมเต็มฟังก์ชันใหม่ที่เป็นมากกว่ากันสาด ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัย ทุกไลฟ์สไตล์ แบบมาครบจบที่เดียว
ศานิตย์ ภู่บุบผา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและช่วยเติมเต็มการอยู่อาศัยในชีวิตประจำวันให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงมีแนวคิดในการเพิ่มพอร์ตสินค้าในกลุ่มดังกล่าวเข้ามาใน SCG HOME Experience ด้วยการปรับโซนใหม่ ‘Smart Zone’ เพื่อต้อนรับปีใหม่ 2566 โดยเติมสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยีจากเครือ SCG และสินค้าแบรนด์พันธมิตรเข้ามารองรับความต้องการลูกค้า เพื่อรวบรวมความเป็นที่สุดของสินค้าให้ครบครันในที่เดียว
สำหรับ ‘Smart Zone’ ได้รวบรวมสินค้าและโซลูชันกลุ่ม Smart Living หรือระบบบ้านอัจฉริยะ นำอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ เชื่อมเข้าด้วยกันและสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างอัตโนมัติ ติดตั้งภายในบ้านเพื่อให้ผู้อยู่อาศัย สะดวกสบาย รู้สึกปลอดภัย หรือช่วยประหยัดพลังงานได้ทุกพื้นที่ของที่อยู่อาศัยตอบโจทย์เจ้าของบ้านยุคใหม่ โดยให้บริหารตั้งแต่ออกแบบ วางระบบ และติดตั้งให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจร อาทิ ระบบความปลอดภัยในบ้าน ด้วยการออกแบบและติดตั้งระบบ Security ประตู หน้าต่างและจุดที่มีความเสี่ยงภายในบ้าน โดยระบบสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยในพื้นที่อยู่อาศัยพร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังเจ้าของบ้านผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือเมื่อเกิดความผิดปกติหรือเกิดการบุกรุก, ระบบไฟส่องสว่าง ที่สามารถเปิด-ปิด หรือการตั้งเวลาตามความต้องการผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ แก้ปัญหาการลืมปิดไฟเมื่อออกจากบ้าน หรือเพิ่มแสงสว่างบริเวณบ้านตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เพื่อให้ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์การเป็นระบบบ้านอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น มีความปลอดภัยในระดับสูง ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดพลังงานและเกิดการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
Shinkolite เติมเต็มฟังก์ชันที่เป็นมากกว่า ‘กันสาด’
นวัตกรรมแผ่นอะคริลิคโปร่งแสง Shinkolite (ชินโคไลท์) คุณสมบัติเด่นด้านการป้องกันความร้อน ผสานความคงทนและมีเอกลัษณ์ที่สวยงาม พร้อมกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานที่เกิดจากการร่วมทุนของบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท มิตซูบิชิ เคมิคอลส์ คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น โดยแผ่นอะคริลิคโปร่งแสง ถูกนำมาติดตั้งในหลากหลายรูปแบบ โดยมีการติดตั้งในรูปแบบที่ได้รับความนิยม อาทิ กันสาดสำหรับทางเดิน แผ่นหลังคาโรงจอดรถ เป็นต้น โดยมีรุ่นหลักๆ ที่ได้รับความนิยมทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
- Heat cut สามารถป้องกันความร้อนในทุกพื้นที่โปร่งแสง ตัดรังสีอินฟราเรด ทำให้ที่อยู่อาศัย ดูโปร่ง ทันสมัย สบายตาและน่าอยู่อาศัย
- Superior ให้ความร่มเงากับบ้าน ช่วยกรองแสง และไม่ทำให้บ้านมืด
- Shade แผ่นอะคริลิคสีทึบ ที่มีคุณสมบัติเด่นในการกันความร้อนได้ดี ลดอุณหภูมิใต้หลังคาลงได้กว่า 10 องศา เหมาะกับที่อยู่อาศัยที่ต้องการการป้องกันความร้อน แสงผ่านเล็กน้อยไม่ทำให้บ้านมืด
สำหรับแผ่นอะคริลิคของ Shinkolite ยังสามารถเติมเต็มฟังก์ชันการอยู่อาศัยที่นอกเหนือจากการทำกันสาด โดยสามารถนำมาทำเป็น ‘พาร์ทิชันกั้นห้อง’แทนกระจก ด้วยน้ำหนักที่เบากว่ากระจกถึงครี่งหนึ่ง ลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้าง ไม่ทำให้พื้นที่ทรุด และเป็นวัสดุทนแทนที่มีความคงทน
นอกจากนี้สามารถปรับฟังก์ชันเป็น ‘ราวกันตก’ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บ้าน โดยแผ่นอะคริคลิคสามารถป้องกันรอยขีดข่วน ทนแรงกระแทกได้ดีทำให้ปลอดภัย มีน้ำหนักเบา และสามารถเพิ่มความพิเศษหากเจ้าของบ้านต้องการความสวยงามที่โดดเด่น สามารถเลือกใช้โครงอลูมิเนียม ระแนงอลูมิเนียม เพื่อทำให้ที่อยู่อาศัยสวยงามทันสมัยแบบไม่ซ้ำใครได้
สำหรับช่วงปรับโซนใหม่ของศูนย์ SCG HOME Experience ต้อนรับปี 2566 ได้จัดโปรโมชันพิเศษ เปิดสำรวจหน้าเริ่มต้น 485 บาท(จากปกติ 1,000 บาท) รับคืน 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 4,900 บาท/ตร.ม. (ขั้นต่ำ 15 ตร.ม.) และ Smart Solution เปิดสำรวจหน้างานและออกแบบ 999 บาท (จากปกติ 2,000 บาท) รับส่วนลดสูงสุด 10,000 บาทตามเงื่อนไขการติดตั้ง สามารถเข้าเยี่ยมชมตัวอย่างเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ได้ที่ SCG HOME Experience เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา
โทร. 02-101-9922
Line Official : @scghomeexperience
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/03/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,250.00 | 30,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,959.00 | 29,698.44 | 30,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,763.10 | 26,728.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,567.20 | 23,758.75 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 882.00 | 13,371.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 686.00 | 10,399.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,030.00 | 30,774.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/03/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 36.94 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.08 | 36.08 | 36.64 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.04 | 34.04 | 34.34 | 34.04 | 34.04 | – | 34.04 | 34.04 | 34.04 | 34.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.49 | 34.49 | – | – | – | – | – | – | – | 34.49 |
เบนซิน 95 | 44.16 | – | – | – | 44.21 | – | 44.66 | 44.31 | – | 44.16 |
ดีเซล B7 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล B20 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | – | 33.94 | – | 33.94 | – | – | 33.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.06 | 43.16 | 44.94 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 43.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |