อัพเดท 10 เทรนด์อสังหาฯโลก ปี 2566 จุดเปลี่ยนทรานฟอร์มธุรกิจ
Baramizi Lab อัพเดท 10 เทรนด์อสังหาฯโลก ที่คนในวงการควรรู้ ถ้าไม่อยากตกขบวนในปี 2566 รู้หรือไม่ คนรุ่นใหม่นิยมเช่าบ้าน-คอนโดฯ มากขึ้น แทนที่อยากจะเป็นเจ้าของถือกรรมสิทธิ์
5 มีนาคม 2566 – แนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมโลก ดูเหมือนทิศทางจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ปี 2566 ครอบคลุมทั้งด้านความท้าทายและโอกาสเกิดขึ้นใหม่ โดยมาจากทั้งแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค เทรนด์โลก และปัจจัยภายในเฉพาะด้านของอุตสาหกรรมนั้นๆ ขณะกระแสตื่นตัวของทั่วโลกที่หันมาเน้นเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน ก็ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างมาก
เช่นเดียวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง Baramizi Lab ศูนย์วิจัยเทรนด์ และ คอนเซปต์แห่งอนาคต ได้ประเมินถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น และเป็นตัวกำหนด การทรานฟอร์มธุรกิจ ในวงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ไว้ถึง 10 ข้อ ดังนี้
1. BIODIVERSE WELL-LIVING
สังคมเมืองและการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ระยะเวลาในที่พักอาศัยนานขึ้น และผู้คนโหยหาพื้นที่เยียวยาจิตใจ ส่งผลต่อการต่อยอดในอุตสาหกรรมสุขภาพร่วมด้วย
2. THE SERENEXURIOU
ผู้คนโหยหาความเงียบสงบในชีวิตที่มีแต่ความเร่งรีบ ต้องการความนิ่ง สงบ สร้างสมดุลอย่างมีระดับ น่าจะมีผลต่อการออกแบบที่พักอาศัย
3. ALL-IN-HOME ประสบการณ์ของบ้านที่รองรับทุกมิติของการใช้ชีวิต
4. ACTIVE-AGING EXTENDED
ปี 2050 1ใน5 ของประชากรโลกจะกลายเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ65 ปีขึ้นไป ทีอยู่อาศัยนับเป็นสิ่งแรกที่กลุ่มเป้าหมายเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุต้องคิดถึงเป็นอย่างแรก
5. R/O PHENOMENA
ปรากฎการณ์ยอมรับที่จะเช่าแทนที่จะเป็นเจ้าของบ้านจากคนรุ่นใหม่ โดยพบว่า แนวโน้มของการเช่าคอนโดของกลุ่มวัยทำงาน (Millennials) เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะ ที่การค้นหาเพื่อซื้อคอนโดลดลงจาก 43% เหลือเพียง 31% เท่านั้น
6 . REAL ESTATE AS A SERVICE สร้าง Life-Long Customer ด้วยการทรานด์ฟอร์มธุรกิจโมเดล
แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคมีความเฉพาะตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น สัญญาเช่าที่สั้นลงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
7 .AI ASSISTANCE
เพราะเราทุกคนต้องการผู้ช่วยมาทำเรื่องที่ต้องใช้เวลามากๆให้หายไปจากชีวิต ลดเวลายุ่งยาก เพิ่มเวลาความสุข
8. NET ZERO AGENDA
เป็นผู้นำเพื่อผลประโยชน์ของโลกและธุรกิจ
9 .HUMANITY RESILIENCE
ประสบการณ์นวัตกรรมการปรับตัวอยู่ร่วม เพื่อมวลมนุษยชาติ เมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้นย่อมสร้างความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นเราจึงต้องปรับตัว โดยที่อยู่อาศัยจำเป็นที่จะต้องสามารถทนทานต่อทั้งสภาพภูมิอากาศที่สุดขั้วได้ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว ไหไหม้ ฯลฯ
10. NEW FRONTIER วิจัยและพัฒนาเพื่อแสวงหาอาณานิคมใหม่
การเกิดขึ้นของโครงการอวกาศแต่ละครั้งล้วนสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ การนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้บนพื้นโลกนั้นถือเป็นหนึ่งวิธีที่ทำให้สิ่งของบนโลกถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยพบมูลค่าตลาดธุรกิจอวกาศ มีมูลค่ากว่า 4.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 และคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 50% ในปี 2040
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ – ตกแต่ง ฟื้น! TCM ทำรายได้ทะลุ 9 พันล้าน พลิกมีกำไร
TCMC ประกาศผลประกอบการปี 2565 ทำรายได้กว่า 9,066 ล้านบาท พลิกกลับมามี กำไร 174.52 ล้านบาท หลังธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ – ตกแต่งพื้น – เบาะรถยนต์ ฟื้น โรงแรม ศูนย์ประชุม สนามบิน รีโนเวทรับท่องเที่ยว จ่อขยายตลาดใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการฟื้นตัวหลังวิกฤต
3 มีนาคม 2566 – นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TCMC) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปี 2565 มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 9,066.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 7,744 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.07 และมี EBITDA จำนวน 490.78 ล้านบาท สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 64.10
โดยมีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิ 174.52 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 120.11 ล้านบาท โดยคิดเป็นกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 106.16 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากตลาดที่เริ่มฟื้นกลับมาหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว ที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น จากการกลับมาของนักท่องเที่ยว การฟื้นตัวของกลุ่มโรงแรม โรงภาพยนตร์ ศูนย์ประชุม การเติบโตของธุรกิจ MICE และการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มไลน์สินค้า รวมถึงขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าใหม่และความพยายามลดต้นทุน ปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนของทุกกลุ่มธุรกิจ
” จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวและการกลับมาอย่างคึกคักของนักท่องเที่ยวต่างชาติทำให้ปี 2565 ภาพรวมการการดำเนินงานมีการปรับตัวดีขึ้น รายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในประเทศอังกฤษ ถึงแม้จะมีความกังวลกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เป็นผลพวงตามมาหลังจากโควิดคลี่คลาย ความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน และจากภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต ภาคการขนส่งสินค้า อัตราเงินเฟ้อ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ยังสามารถคงไว้ซึ่งผลประกอบการที่เป็นบวก และผลจากความพยายามทำลีนในองค์กรตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว ประกอบกับตลาดที่เริ่มฟื้นกลับมา ทำให้ผลประกอบการพลิกกลับมามีกำไร “
กลุ่มธุรกิจหลักยังคงทำกำไรท่ามกลางปัจจัยท้าทาย
จากผลการดำเนินงานในปี 2565 กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) ได้รับอานิสงส์จากการคลี่คลายของ วิกฤตการณ์ขนส่งระหว่างประเทศในช่วงไตรมาส 1/2565 ซึ่งทำให้รายได้ในช่วงไตรมาสแรกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จากความต้องการของตลาดที่พุ่งสูงขึ้นหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการการขายและบริหารลดลง นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายกิจการ Arlo & Jacob ในช่วงไตรมาสแรก
ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายในเรื่องต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบในช่วงไตรมาส 4 แต่กลุ่มธุรกิจยังคงสามารถทำรายได้ทั้งปีสูงขึ้นร้อยละ 9.29 จากพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าเฟอร์นิเจอร์ในประเทศอังกฤษ ได้เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติในปี 2565
อย่างไรก็ตามมีปัจจัยที่ท้าทายการตัดสินใจใช้จ่ายของลูกค้าจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความหลากหลายของตัวเลือกในการใช้เงิน เช่น การหยุดพักร้อนเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดสถานการณ์โควิด แต่อย่างไรก็ดีทางกลุ่มธุรกิจก็ยังมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่งผลให้สามารถทำกำไรขั้นต้นสูงกว่าปีก่อนหน้า แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังไม่ดีนัก เนื่องจากตู้คอนเทนเนอร์ยังคงมีราคาสูงและวิกฤตการณ์ค่าครองชีพในประเทศอังกฤษ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายการขนส่ง และค่าแรงสูงขึ้น
ด้านกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) มียอดขายสูงขึ้นกว่าปีก่อน ร้อยละ 46.65 ทั้งจากกลุ่มลูกค้า เก่าและลูกค้าใหม่ ผลจากการฟื้นตัวของตลาด Hospitality ในปี 2565 ที่ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาหลังจากเปิดประเทศและเดินทางท่องเที่ยวกันได้เป็นปกติ ถึงแม้กลุ่มธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากค่าขนส่ง ค่าแรง และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากสภาพตลาด แต่บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกัน
อีกทั้ง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน มีการลงทุนในเครื่องจักรที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้น้ำ ลดการใช้วัตถุดิบ รวมถึงการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงาน มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตอบโจทย์วิถีชีวิตแห่งอนาคตและใช้เทคโนโลยีใหม่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านการดำเนินงาน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2565 ที่เป็นปัจจัยบวกกับกลุ่มธุรกิจ ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจวัสดุปูพื้นมีผลกำไรสุทธิ 27.42 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) สามารถทำยอดขายในปี 2565 สูงขึ้นกว่าปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 12.48 และสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ร้อยละ 20.36 ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย เป็นผลจาก ต้นทุนในด้านราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งที่สูงขึ้น รวมถึงสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนสูง แม้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยและต่างประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนชิพประมวลผล และวัตถุดิบซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย
อย่างไรก็ดีทางกลุ่มบริษัทมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร โดยการทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง มีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้รัดกุมมากขึ้น ทำให้ในสิ้นปีกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์มีผลกำไรสุทธิ 73.98 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.99 ของยอดขาย
ทั้งนี้ สภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มบริษัทโดยรวมยังอยู่ในสภาพที่ดี โดยในปี 2565 กลุ่มบริษัทมีรายได้อื่นจำนวน 71.74 ล้านบาท เป็นรายได้จากดอกเบี้ยรับ ค่าเช่า ค่าขายสินทรัพย์ เศษซาก รวมถึง รายได้จากการขายธุรกิจ Arlo & Jacob และรายได้จากการบริหารจัดการด้านภาษี และมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมตามสัญญาอนุพันธ์จำนวน 30.53 ล้านบาท เนื่องจากการจองสัญญาอนุพันธ์ล่วงหน้าของกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ลดลงจากวันสิ้นปี 2564 จำนวน 212.89 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.50 มีหนี้สินรวมลดลงจากวันสิ้นปี 2564 จำนวน 182.98 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.13 และมีส่วนของผู้ถือหุ้น ลดลงจากปี 2564 จำนวน 29.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.11 สำหรับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 2.13:1 ลดลงจากวันสิ้นปี 2564 ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเท่ากับ 2.17:1
” ผลการดำเนินงานในปี 2565 แสดงให้เห็นว่าบริษัทได้มุ่งมั่นและพยายามอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตสร้างผลกำไร ท่ามกลางปัจจัยท้าทายทั้งภายในและภายนอก โดยปี 2566 ยังถือเป็นปีแห่งความท้าทายในหลากหลายด้าน อย่างไรก็ตาม ทีซีเอ็มซียังตั้งเป้ารักษาส่วนแบ่งการตลาดและขับเคลื่อนบริษัทสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยแม้จะมีปัจจัยท้าทายใหม่ ๆ บริษัทได้เตรียมพร้อมรับมือด้วยการจัดทีมงานที่แข็งแกร่ง และปรับทัพธุรกิจสู่ความยั่งยืน ทั้งยังไม่ทิ้งโอกาสการเติบโต โดยยังคงมีการศึกษาตลาดและแสวงหาโอกาสเพื่อการต่อยอดไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ และยังให้ความสำคัญกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาสู่ความยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) เพื่อนำไปสู่การเติบโตสู่การเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกแห่งอนาคต “
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7มี.ค.ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาท ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways โดยแรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ ควรจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยหลังดัชนี SET ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7มีนาคม 2566 ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินฝั่งเอเชียปรับตัวขึ้นได้ดี โดยเฉพาะค่าเงินฝั่งเอเชีย หลังรายงานดัชนี PMI ของจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ นั้นออกมาดีกว่าคาด
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวัง ตลาดการเงินอาจผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานในฝั่งสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะการแถลงต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด Powell
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน โดยสิ่งที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ความต้องการแรงงานโดยรวม (Demand for Labor) ซึ่งจะสะท้อนผ่านยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) และยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls: NFP)
เรามองว่า หากยอดตำแหน่งงานเปิดรับและ NFP รวมแล้วออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด (10.5 + 0.2 = 10.7 ล้านตำแหน่ง) ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า ภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว
ถ้าหาก อัตราการเติบโตของรายได้ (Average Hourly Earnings) ปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาด (สูงกว่า +4.7%y/y หรือ สูงกว่า +0.3%m/m)
ยิ่งจะทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น หรือเพิ่มโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.75% ในช่วงไตรมาสที่ 3 ได้ (จาก CME FedWatch Tool
ล่าสุด ตลาดให้โอกาสเพียง 38%) ในกรณีดังกล่าว เราประเมินว่า มีโอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาจปรับตัวลงได้ และ
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
โดยไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ถ้อยแถลงของประธานเฟด Powell ต่อสภาคองเกรส ซึ่งเราคาดว่า ประธานเฟดจะยังคงย้ำจุดยืนว่า ภารกิจจัดการอัตราเงินเฟ้อของเฟดยังไม่เสร็จสิ้น และ
เฟดจำเป็นจะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและอาจคงไว้ที่ระดับสูงตลอดทั้งปีนี้ จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าสามารถคุมปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงได้สำเร็จ
นอกจากนี้ ประธานเฟดอาจไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือคงมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession ในปีนี้ได้
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB ในปีนี้ ซี่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) จากระดับล่าสุดที่ 2.50% จนแตะระดับสูงกว่า 3.75% ได
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของผู้ว่าฯ Kuroda โดยเราประเมินว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.10% พร้อมกับคงเป้าบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่นที่ระดับ 0.00%+/-0.50% (ยังคงทำคิวอีต่อ)
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า BOJ อาจเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ในปีนี้ หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและจะมีการเปลี่ยนผู้ว่าฯ BOJ ในช่วงไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ดี สำหรับธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA)
ตลาดมองว่า RBA จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 3.60% จนกว่า RBA จะมั่นใจว่าสามารถคุมปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้สำเร็จ (อัตราเงินเฟ้อและภาพเศรษฐกิจชะลอลงต่อเนื่อง อย่างชัดเจน)
ส่วนธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.75% ต่อ หลัง BNM อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ โดยที่ไม่กดดันการเติบโตเศรษฐกิจจนเกินไป
▪ ฝั่งไทย – ตลาดมองว่า ภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยจะช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52 จุด ได้
ทั้งนี้ เราประเมินว่า แม้การบริโภคในประเทศยังคงฟื้นตัวได้ดีตามภาพเศรษฐกิจโดยรวมและมีส่วนช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ฐานราคาสินค้าของเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนที่อยู่ในระดับสูง
กอปรกับการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าพลังงานและเนื้อสัตว์ในเดือนกุมภาพันธ์จะส่งผลให้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนกุมภาพันธ์ชะลอลงสู่ระดับ 3.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะยังคงสูงกว่าระดับ 2%
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways โดยแรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ แต่การอ่อนค่าอาจไม่รุนแรงมาก ทั้งนี้ ควรจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยหลังดัชนี SET ได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ
ทำให้ นักลงทุนต่างชาติ อาจเริ่มชะลอการขายหุ้นไทย นอกจากนี้ ราคาทองคำก็เริ่มแกว่งตัวใกล้โซนแนวต้านสำคัญ ซึ่งถ้าราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ตลาดจะยังไม่คลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ออกดีกว่าคาด ทำให้ เงินดอลลาร์มีโอกาสผันผวนแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจถูกชะลอลงได้
กรณีที่ประธาน ECB ส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นได้เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.25-35.25 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.53-34.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันทำการก่อนหน้าที่ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ มีไม่มากเนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินสหรัฐฯ จากประธานเฟดในคืนนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.40-34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินเอเชีย ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของไทย การส่งออกของจีน ผลการประชุม RBA และสุนทรพจน์ของประธานเฟดต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ถ่ายทอดทักษะลูกหนัง! “มาโน” ผนึก “แข้งช้างศึก” ฝึกเยาวชนกิจกรรม “Daikin Kids Football Fest 2023
บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จัดกิจกรรม “Daikin Kids Football Fest 2023” สร้างทักษะลูกหนังและเสริมประสบการณ์แก่เยาวชนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล
บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ ไดกิ้น ในฐานะผู้สนับสนุนหลักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการ ร่วมมือ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จัดโครงการ “Daikin Kids Football Fest 2” ณ สนาม PTT Stadium จังหวัดระยอง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยมีคุณศุภชัย รุทระกาญจน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัดเป็นผู้กล่าวเปิดงาน ถึงความเชื่อมั่นที่จะยกระดับวงการกีฬาฟุตบอลไทย นอกจากนั้นยังได้รับเกียรติจาก หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย “มาโน่ พอลกิ้ง” พร้อมด้วยโค้ชโม้ พิภพ อ่อนโม้ และนักฟุตบอลระดับประเทศ ธีรเทพ วิโนทัย, กฤษดา กาแมน, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ และ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว ร่วมส่งเสริมทักษะฟุตบอลแก่เยาวชนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล ได้มาเรียนรู้เทคนิควิธีการทั้งในสนามและนอกสนามอย่างถูกต้องเพื่อก้าวสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพระดับประเทศ
กิจกรรมตลอดทั้งวันจะเป็นการฝึกพื้นฐานการแม่นยำในการยิงประตู, ทักษะการเลี้ยงบอล, การยิงฟรีคิก, ทักษะการเดาะบอล, และการลงทีมแข่งขัน จะเป็นการเวิร์คช็อปถ่ายรูปอย่างนักฟุตบอลมืออาชีพ, การฝึกเป็นผู้ประกาศข่าวด้านฟุตบอล, การเรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถ่ายทอดฝึกสอนโดยผู้ฝึกสอนจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ทั้งนี้สำหรับไฮไลท์ของกิจกรรมน้องๆ เยาวชนจะได้พบกับหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย “มาโน่ โพลกิ้ง” พร้อมด้วยโค้ชโม้ พิภพ อ่อนโม้ และนักฟุตบอลระดับประเทศ ธีรเทพ วิโนทัย, กฤษดา กาแมน, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ และ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว ที่จะมาถ่ายทอดแรงบันดาลใจในกีฬาฟุตบอล ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่บริษัทไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เห็นความสำคัญเพื่อที่จะสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจในกีฬาฟุตบอล ให้เยาวชนทุกคนมุ่งมั่นพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพและติดทีมชาติไทยในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ปัจจัยเสี่ยง “มะเร็งปอด” อาการของโรคมะเร็งปอด ที่พบบ่อย และวิธีป้องกัน
กรมการแพทย์เผยสัญญาณอันตราย มะเร็งปอด หากพบไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะเป็นเลือด หายใจลำบาก เหนื่อยหอบมีเสียงหวีด เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนไป เจ็บหน้าอกหรือหัวไหล่ ปอดติดเชื้อง่าย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ลดเสี่ยงมะเร็งปอด
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญ ทางสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาโรคมะเร็งปอดที่คนทั่วโลกป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 2 ในเพศชาย และอันดับ 5 ในเพศหญิง สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก รายงานว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลก 2 ล้านคนต่อปี และเสียชีวิต 1.7 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติในปี 2557 มีผู้ป่วยมะเร็งปอดเพศชายรายใหม่จำนวน 9,779 คน หรือคิดเป็น 27.4 คนต่อประชากรแสนคนและเพศหญิงจำนวน 5,509 คน หรือคิดเป็น 14.2 คนต่อประชากรแสนคน และในปี 2559 มีคนไทยเสียชีวิต 13,414 คนต่อปี
ปัจจัยเสี่ยงโรคมะเร็งปอด
นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคมะเร็งปอด คือ
- การสูบหรือรับควันบุหรี่
- พันธุกรรม
- สัมผัสสารก่อมะเร็งอื่นๆ ที่พบว่าเป็นสาเหตุได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอดเช่น ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน รังสีควันธูป ควันจากท่อเสีย และมลภาวะทางอากาศ
อาการของโรคมะเร็งปอด ที่พบบ่อย ได้แก่
- ไอเรื้อรัง
- ไอมีเสมหะเป็นเลือด
- หายใจลำบาก
- เหนื่อยหอบ
- มีเสียงหวีด
- เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนไป
- เจ็บหน้าอกหรือหัวไหล่
- ปอดติดเชื้อง่าย
- เหนื่อยง่าย
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
มะเร็งปอด ไม่มีตรวจคัดกรอง
ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพในระดับประชากร แต่มีคำแนะนำให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งปอดเข้ารับการคัดกรองเป็นประจำทุกปี หรือหากมีอาการผิดปกติเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์การรักษาโรคมะเร็งนี้ คือการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัดการฉายรังสี และการรักษาโดยให้ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในระยะใดของโรคดังนั้นการตรวจคัดกรองในรายที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดสูงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถค้นหาผู้ป่วยมะเร็งปอดในระยะเริ่มแรกได้และให้การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้นแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
การป้องกันโรคมะเร็งปอด
การป้องกัน ด้วยวิธีง่ายๆเพียงแค่เริ่มต้น “เลิกสูบบุหรี่” เพื่อตัวคุณเอง ครอบครัวและสังคมรอบข้าง และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 เคล็ดลับ พัฒนาภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่บ้าน
สำหรับการเรียนภาษา แน่นอนว่าจะให้มานั่งเรียนภาษากันเฉพาะที่โรงเรียนหรือที่มหาวิทยาลัยนั้นไม่เพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นการเรียนภาษาที่ดีจึงต้องอาศัยการค้นคว้าและการพยายามเรียนรู้ที่ตั้งต้นได้จากตัวของเราเองด้วยเช่นกัน วันนี้ DailyEnglish มี 5 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ดีขึ้นมาฝากค่ะ
1. ใช้สูตร 3H เมื่อต้องพยายามทำความเข้าใจบริบท
จดโน้ตโดยใช้ใช้สูตร 3H ซึ่งประกอบไปด้วย Here, Hidden และ Head เมื่ออ่านตัวบทใด ๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นบนความออนไลน์ หนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่น
Here คือ “ความหมายตามตัวบท” หมายถึงสิ่งที่เราอ่านเจอซึ่งไม่ต้องใช้การตีความใด ๆ
Hidden คือ “ส่วนที่ต้องการการตีความและการหาความหมาย” มันคือสิ่งที่เราจะไม่สามารถเข้าใจตรง ๆ ได้แต่ต้องอาศัยการตีความจากการอ่าน ยกตัวอย่างเช่น การอ่านประโยคที่ว่า “Go away! I don’t like you,” Johny said. คุณจะตีความได้ว่าจอห์นนีกำลังโมโห ซึ่งจอห์นนีไม่ได้พูดตรง ๆ แน่นอนว่ากำลังโมโห แต่คำว่า Go away หรือประโยคที่มีความหมายทางลบอย่าง I don’t like you. ก็สามารถตีความได้ว่าจอห์นนี่อาจจะกำลังเดือดสุด ๆ
Head คือ “การอ่านไปให้ใกลกว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่ในตัวบท” และพยายามประยุกต์มันและคิดว่ามันจะสามารถนำไปใช้ได้ในโลกจริง ๆ ของเราได้ไหม
2. ทำหมายเหตุประกอบเพื่อช่วยให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
การทำเครื่องหมายหรือทำหมายเหตุประกอบตัวบทที่อ่านอยู่นั้นสำคัญมาก ๆ ในการเข้าใจความหมายของสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ ไม่ว่าจะใช้กระดาษโน้ตกาว ใช้ปากกาเน้นข้อความ หรือใช้ไม้บรรทัดขีดเส้นใต้ เพื่อช่วยแยกส่วนตัวบท และทำให้คุณสามารถจดจ่อกับส่วนใดส่วนหนึ่งได้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคำใหม่ ๆ หรือการพยายามระบุรูปประโยคที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่เพื่อที่จะต้องการเพิ่มพูคำศัพท์ใหม่ ก็ให้ใช้ปากกาเน้นข้อความเน้นแต่ศัพท์ที่เราไม่รู้ นั่นจะช่วยให้จดจ่อกับจุดประสงค์ของการอ่านและทำให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
3. เลือกภาพต่างๆ เอาจากชีวิตประจำวัน
รูปภาพเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศของคุณ เลือกภาพใดภาพหนึ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณขึ้นมาแล้วเขียนบรรยายภาพนั้นเพื่อเป็นการขยายขอบเขตคำศัพท์ของคุณเอง
คุณจะเขียนเรื่องราวหรือคำบรรยายใต้ภาพ เกี่ยวกับภาพที่คุณเลือกมาก็ได้ หรือจะเลือกรูปภาพที่มีความเกี่ยวเนื่องกันมาวางเรียงกันแล้วเขียนเรื่องสั้นจากภาพเหล่านั้นเลยก็ยังได้เหมือนกัน
ท้าทายตัวเองด้วยการเขียนประโยคสั้น ๆ เพื่อรวบรัดการบรรยายที่คุณเขียนยาว ๆ เอาไว้แล้ว ด้วยวิธีแบบนี้จะช่วยฝึกให้คุณตอบคำถามหรือพูดถึงอะไรได้กระชับรวบรัด และใช้คำคัพท์ที่มีความหมายกว้าง ตรงจุด และทรงพลังกว่าการบรรยายยาว ๆ ได้ดีขึ้นด้วย
ใช้รูปที่เจอในชีวิตประจำวันหรือรูปอะไรที่สำคัญ ๆ สำหรับคุณก็ได้ เวลาเขียน ให้มุ่งไปที่การใช้คำศัพท์ให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงการเขียนบรรยายด้วยภาษาธรรมดา ๆ ให้เลือกคำศัพท์ที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันมาสร้างการบรรยายภาพในเชิงพรรณนา หรือการบรรยายแบบตามจินตนาการแบบการแต่งนิยายก็ได้ แต่จำไว้ว่าอย่าใช้คำธรรมดา ๆ เด็ดขาด มิเช่นนั้นคลังคำของเราก็จะย่ำอยู่กับที่อยู่นั่นเอง
4. พัฒนาการสร้างประโยคด้วยการเขียนของตัวเอง
เลือกประโยคที่ชอบและประโยคที่เขียนไว้ แล้วก็ลองเอามาเปรียบเทียบเพื่อแก้ไขพัฒนาประโยคของคุณอีกรอบ ด้วยการถามตัวเองว่า
- ทำไมถึงชอบประโยคนี้?
- สำหรับประโยคที่เลือกมา ต้องการจะเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมอะไรลงไป?
- จะเขียนประโยคของคุณให้กระจ่างกว่านี้ได้ยังไง?
- จะเพิ่มอะไรลงไปที่ทำให้ประโยคนี้มีความลุ่มลึกกว่าเดิม?
ให้หาประโยคที่ชอบจากหนังสือเรียน หนังสืออ่านเล่น หรือบทความใด ๆ ก็ได้ แล้วก็มาดูว่าคุณจะเอามาพัฒนาประโยคที่คุณเขียนเอาไว้ได้ยังไง คุณอยากจะเพิ่มหรือเปลี่ยนคำไหน หรือว่าเปลี่ยนโครงสร้างของประโยคที่คุณเขียนเอาไว้ไหม ลองเลือกคำที่จะสามารถแสดงถึงความคิดและความรู้สึกของคุณออกมาได้ชัดเจนที่สุดดู
ถ้าฝึกวิธีนี้กับเพื่อน ๆ ได้ก็ลองดูประโยคของกันและกันแล้วก็ลองพยายามหาว่าจะแก้ไขประโยคของเราและของเพื่อนให้ดีขึ้น กระจ่างขึ้นได้ยังไงก็ได้ ด้วยวิธีแบบนี้คุณจะพบว่าการเขียนของคุณจะพัฒนาไปได้รวดเร็วและเห็นได้ชัดทีเดียว
5. มุ่งไปที่การสร้างคำศัพท์ให้มากที่สุด
ไม่แน่ใจกับคำศัพท์ที่อ่านเจอใช่ไหม ? อาจเป็นคำศัพท์ใหม่ที่แปลกตา หรือศัพท์ที่ไม่เคยรู้ความหมาย หรือแม้กระทั่งศัพท์ที่รู้ความหมายแต่มันอาจจะมีความหมายอื่นอีก…ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบพจนานุกรม ลองทำแบบนี้ดูก่อนดีกว่า
- อ่านต่อไปเพื่อหาบริบทที่บ่งชี้คำแปลของศัพท์ตัวนั้น
- อ่านทวนไปข้างหน้าเผื่อว่าตัวบ่งชี้จะอยู่ก่อนคำศัพท์
- ลองนึกถึงศัพท์คล้าย ๆ กันที่เคยใช้หรือว่าเคยเจอมาก่อน
- สุดท้ายค่อยเปิดพจนานุกรมให้แน่ใจว่าความหมายที่เราเข้าใจจากการปฏิบัติสามข้อข้างบนนั้นถูกต้องหรือไม่
ห้าข้อง่าย ๆ นี้ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการฝึกฝนให้เป็นนิสัยเท่านั้น หากอ่านหนังสือหรือเรียนภาษาด้วยความพยายามพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ทุกวัน รับรองว่าต้องก้าวหน้าได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว ลองเอาเทคนิคนี้ไปปรับใช้กันดูนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
เลือกผิดชีวิตเปลี่ยน! เลือกปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย
การเลือกใช้ปลั๊กพ่วงสำคัญกว่าที่คิดนะครับ รู้หรือไม่ว่าปลั๊กพ่วงแทบจะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทุกบ้านต้องมี และคนส่วนใหญ่มักคิดว่าใช้แบบไหนก็ได้ เลือกที่ราคาถูกไว้ก่อน ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ หากคุณคิดแบบนี้ผิดมหันต์เลย เพราะถูกและดีไม่มีในโลกนะครับ ปลั๊กพ่วงตัวเดียวนี่แหละอาจจะเป็นภัยเงียบที่ทำให้เกิดไฟไหม้บ้านได้ทั้งหลังเลยนะครับ
บทความนี้ผมจะมาแนะนำวิธีเลือกซื้อปลั๊กพ่วงยังไงให้ได้มาตรฐาน และปลอดภัยกันครับ แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักปลั๊กพ่วงแต่ละชนิดกันก่อนดีกว่า
ปลั๊กพ่วงมีแบบไหนบ้าง?
แบบที่ 1 ปลั๊กสามตา หรือปลั๊กพ่วง 2 ขา ชื่อนี้ถูกเรียกกันมานานแสนนาน ที่เรียกว่าปลั๊กสามตาก็เพราะเกิดจากปลั๊กพ่วงในสมัยก่อนจะมีรูปลั๊กให้มา 3 รูเสียบ ชาวบ้านก็เลยเรียกติดปากกันว่าปลั๊กสามตาครับ ใช้งานได้ทั่วไป เช่น เสียบปลั๊กพัดลม ชาร์จโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต
แบบที่ 2 ปลั๊กโรลสายไฟ ตัวปลั๊กจะเป็นโรลไว้ใช้สำหรับม้วนเก็บและดึงสายปลั๊กไฟออกมาใช้งานได้ในตัวเดียว มักใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องพร้อมกันในพื้นที่กว้าง เช่น เสียบปลั๊กพัดลมหลายตัวในงานเลี้ยงบริเวณบ้าน
แบบที่ 3 ปลั๊กบล็อคยางสนาม วัสดุเป็นยางเพื่อลดแรงกระแทก พกพาง่าย ใช้งานได้นาน รูปทรงเรียบง่ายครับ ส่วนใหญ่ใช้กับงานช่าง เช่น งานเลื่อยไม้ งานอ๊อกเหล็ก
แบบที่ 4 ปลั๊กกรองไฟ เป็นปลั๊กที่มีราคาสูง มีเต้าเสียบรองรับปลั๊กได้เยอะถึง 8 เต้าเสียบ มีฟังก์ชันช่วยกรองสัญญาณภาพและเสียง ทำให้ไม่มีคลื่นรบกวน แถมยังกันไฟกระชากได้เป็นอย่างดีอีกด้วยครับ มักใช้ในโฮมออฟฟิศ หรือมินิฮอลล์ที่จัดงานรื่นเริง เช่น เสียบปลั๊กจอ LED เครื่องเล่นเพลง เครื่องเสียง
แบบที่ 5 ปลั๊กกันไฟกระชาก เป็นปลั๊กที่มีฟีเจอร์กันไฟกระชากจากฟ้าผ่า หม้อแปลงระเบิด โดยจะใส่วงจรกันไฟกระชากมาด้วย ใครที่คิดจะใช้ปลั๊กไฟตัวนี้ควรติดตั้งสายดินเพื่อความปลอดภัยด้วยนะครับ มักใช้ในบ้านกับงานทั่วไป เช่น เสียบปลั๊กทีวี ตู้เย็น
ผมขอสรุปง่าย ๆ เกี่ยวกับประเภทของปลั๊กพ่วงพร้อมเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างและวิธีการเลือกใช้งานไว้ให้ดังนี้นะครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับได้รู้จักประเภทและคุณสมบัติการใช้งานของปลั๊กพ่วงกันไปแล้ว ทีนี้ เรามาดูกันว่าวิธีการเลือกซื้อปลั๊กพ่วงดี ๆ ซักอันต้องทำยังไง? ไม่ยากเลยครับ…ปลั๊กพ่วงที่ดีมีคุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานต้องเป็นปลั๊กที่มีสัญลักษณ์ มอก.ชัดเจนเท่านั้นครับ
7 วิธีเลือกซื้อปลั๊กพ่วง เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยได้มาตรฐาน
1.สัญลักษณ์ มอก. มีสัญลักษณ์มาตรฐาน มอก.ปลั๊กไฟ (มอก.2432-2555) อยู่บนบรรจุภัณฑ์ และบนผลิตภัณฑ์
2.เต้ารับ ต้องเป็น 3 ขั้ว มีม่านนิรภัยปิดรูเต้ารับทุกเต้าเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอม และมีขั้วสายดิน
3.เต้าเสียบ ต้องเป็นแบบ 3 ขากลม ทั้ง 3 ขา หมุนออกไม่ได้ และมีฉนวนกันกระแสไฟฟ้าบริเวณโคนขาปลั๊กไฟ เพื่อป้องกันหากนิ้วไปแตะโดนโคนขาปลั๊กไฟ และที่สำคัญต้องมีสัญลักษณ์ระบุเลขที่ มอก. 166-2549 ด้วยครับ
4.ตัวปลั๊กพ่วงหรือรางปลั๊ก ต้องทำจากวัสดุที่ไม่ลามไฟ เช่น พลาสติก AVC, พลาสติก ABS หรือโพลีคาร์บอเนต ที่ผ่านมาตรฐาน UL94
5. ตัวตัดไฟ ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกิน หากเต้ารับไฟฟ้ามีตั้งแต่ 3 ช่องขึ้นไป ต้องมีอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกิน หรือ Circuit Breaker ครับ เพราะเมื่อกระแสไฟเกินเบรกเกอร์จะช่วยตัดกระแสไฟให้อัตโนมัติครับ
6. มาตรฐานของสายไฟ ต้องเป็นสายไฟฟ้าแบบกลมประเภท 3 ขั้วเท่านั้น แรงดันไฟฟ้าของสายไฟต้องไม่ต่ำกว่าเต้ารับและเต้าเสียบ และมีเลข มอก. 11-2553 ที่สำคัญสายไฟต้องไม่ชำรุด ขาด หรือแตกด้วยนะครับ
6. สวิตช์ไฟฟ้าบนรางปลั๊กไฟ เป็นอุปกรณ์เสริมบนตัวรางปลั๊กไฟที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เช่นเดียวกับช่อง USB ครับ แต่ถ้ามีก็ต้องได้รับมาตรฐาน มอก. 824-2551 หรือ IEC61058 ครับ ลองสังเกตดูนะครับ
วิธีเลือกซื้อปลั๊กพ่วงอาจจะมีหลายจุดที่ต้องสังเกตนะครับ แต่เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน เลือกเยอะ ๆ ไว้อุ่นใจและปลอดภัยกว่าแน่นอนครับ
สุดท้าย ผมมีข้อควรระวังในการใช้งานปลั๊กพ่วงมาฝากกันด้วยครับ
ห้ามเอาปลั๊กพ่วงที่ชำรุดมาใช้งานอย่างเด็ดขาด เช่น ฉนวนหุ้มสายไฟแตก สายไฟมีรอยซ่อมแซมหรือพันด้วยเทป เต้ารับและเต้าเสียบมีรอยไหม้ เพราะเสี่ยงเกิดไฟฟ้าลัดวงจร อาจถึงขั้นไฟไหม้ได้เลยนะครับ
- ห้ามนำรางปลั๊กพ่วงไปติดตั้งแบบถาวร เพราะรางปลั๊กไฟถูกออกแบบมาให้ใช้งานชั่วคราว ถ้าเราเอาไปติดตั้งแบบนั้นจะชำรุดได้ง่ายและเสื่อมสภาพครับ
- ไม่ใช้ปลั๊กพ่วงกับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าตลอดเวลา เช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำเย็น เป็นต้น
- ไม่ใช้รางปลั๊กพ่วงต่อพ่วงกันหลายชั้น เพราะอาจทำให้สายไฟเกิดความ ร้อนสูง และเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ครับ
- ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนเสียบปลั๊กพ่วง
- ถอดปลั๊กหลังใช้งาน ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
ข้อควรระวังในการใช้งานปลั๊กพ่วง
อย่าลืมนะครับว่าอันตรายจากการใช้ปลั๊กพ่วงเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ และไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าคุณไม่ระมัดระวังในการใช้งานก็เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะครับ การใช้งานเกินขนาดแบบว่าเสียบปลั๊กทุกช่อง หรือเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตอนไม่อยู่บ้านหลายวัน ก็อาจทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดไฟไหม้ในที่สุดนะครับ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน คุณต้องเลือกใช้และรู้วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างถูกวิธีนะครับ แค่หันมาเลือกใช้ปลั๊กที่มีมาตรฐาน มอก. เท่านี้ชีวิตก็ปลอดภัยครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/03/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,150.00 | 30,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,953.00 | 29,607.48 | 30,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,757.70 | 26,646.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,562.40 | 23,685.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 879.00 | 13,325.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 684.00 | 10,369.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,024.00 | 30,683.84 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/03/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 37.44 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.08 | 36.08 | 37.14 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 | 36.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.04 | 34.04 | 34.84 | 34.04 | 34.04 | – | 34.04 | 34.04 | 34.04 | 34.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.49 | 34.49 | – | – | – | – | – | – | – | 34.49 |
เบนซิน 95 | 44.16 | – | – | – | 44.21 | – | 44.66 | 44.31 | – | 44.16 |
ดีเซล B7 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล B20 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | – | 33.94 | – | 33.94 | – | – | 33.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.06 | 43.16 | 45.34 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 43.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |