3 เมกะเทรนด์มาแรง แต้มต่อ ธุรกิจอสังหาฯ ไทย
3 เมกะเทรนด์มาแรงของอสังหาฯ ไทย จุดเปลี่ยนแต้มต่อธุรกิจ 1-2 ปีข้างหน้า REDPAPER ชี้ ผู้พัฒนาฯ เร่งยกระดับสินค้าครอบคลุมความต้องการ – โฟกัส การออกแบบยืดหยุ่นเพื่อคนยุคใหม่ และมุ่งหน้าสู่โมเดล ESG เน้นวัสดุเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ
21 มีนาคม 2566 – REDPAPER เปิด 3 เมกะเทรนด์ ของ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัย อุตสาหกรรม และอาคารสำนักงาน ซึ่งจัดทำโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ร่วมกับบริษัท นัมเบอร์ส 10 รีเสิร์ช จำกัด โดยพบ 3 เมกะเทรนด์ ที่จะเป็นทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ดังนี้
- เน้นเพิ่ม “คุณค่า” ให้กับสินค้าและบริการ
จากการสำรวจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 กลุ่ม พบว่า การให้ความสำคัญและเพิ่มคุณค่ากับสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะยกระดับสินค้าและบริการนั้น ๆ มากขึ้น โดยในธุรกิจที่อยู่อาศัยมีผลสำรวจว่า ผู้บริโภคต้องการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 44% ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 33% เพราะบ้านเดี่ยวสามารถส่งมอบคุณค่าในยุคที่คนใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและสามารถปรับใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น
รวมถึงใส่ใจเรื่องการเลือกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่สะท้อนถึงตัวตนและรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ขณะที่ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่านั้น ผู้เช่าต้องการผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีบริการครอบคลุมทุกความต้องการ เพื่อสร้างประสิทธิภาพการทำงานมากที่สุด พร้อมด้วยความใส่ใจในแง่ของการเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการควบคู่กัน
ในส่วนของการออกแบบอาคารสำนักงานจะต้องมีฟังก์ชันและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีพื้นที่หลากหลายรูปแบบให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย และสร้างบรรยากาศออฟฟิศที่ทำให้พนักงานมีความสุขเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งผลการสำรวจพนักงานออฟฟิศ พบว่า 49% ต้องการให้ออฟฟิศมีพื้นที่สีเขียว, 33% ต้องการมองเห็นวิวทิวทัศน์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน และ 30% ต้องการการทำงานในออฟฟิศที่มีความยืดหยุ่น
- มุ่งตอบสนองผู้ใช้พื้นที่ด้วยแนวคิด “Human Centric”
แนวคิด Human Centric ซึ่งให้ความสำคัญกับการออกแบบและฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ยึดผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เห็นได้จากการพัฒนาบ้านที่ต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อออกแบบบ้านให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนทุกวัย และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่นเดียวกับการออกแบบอาคารสำนักงานที่มีการปรับเปลี่ยนตามรูปแบบจากเดิม โดยมีการออกแบบพื้นที่ทั้งแบบ Fixed Space ผสมผสานกับ Co-Working Space รองรับการทำงานของแต่ละธุรกิจที่มีจำนวนพนักงานแตกต่างกัน เพื่อสร้างความคล่องตัวและสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมนั้นต้องเจาะลึกถึงพฤติกรรมการใช้งานและความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม นอกจากที่ต้องพร้อมให้บริการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าสำหรับลูกค้ารายใหญ่ทั้งแบบอาคารสำเร็จรูป (Ready-Built) และสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) แล้ว ต้องมีพื้นที่รองรับลูกค้าขนาดเล็กและกลางที่อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งมองได้ว่าเป็นโอกาสในการขยายตลาดด้วยการเพิ่มบริการ Co-Warehouse หรือ Co-Space เป็นการสร้างพื้นที่ให้ลูกค้าขนาดเล็กและกลางใช้พื้นที่คลังสินค้าร่วมกัน
- ปักหมุด “ESG” ในทุกองค์ประกอบของการทำธุรกิจ
ประเด็น ESG หรือ Environment, Social, Governance (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) เป็นเรื่องที่หลายองค์กรคำนึงถึงในการดำเนินธุรกิจ เพราะปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทที่มีนโยบายหรือแนวทางที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ภัยพิบัติหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคให้น้ำหนักและจริงจังถึงเรื่อง ESG มากขึ้น
จากการสำรวจพบว่า กลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างเลือกใช้วัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย พร้อมทั้งมีการปรับสูตรการผลิตสินค้าเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่ระบุว่าดีเวลลอปเปอร์ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแม้จะมีต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นก็ตาม ด้วยเล็งเห็นว่าสามารถใช้งานได้ในระยะยาว และตอบโจทย์เรื่องรักษ์โลก เป็นไปในทิศทางเดียวกับการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าที่มีการใช้พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน และดูแลคุณภาพชีวิตผู้ใช้งาน ซึ่งบริษัทข้ามชาติให้ความสำคัญกับเรื่อง Carbon Footprint และ Net Zero Emission ด้านผู้พัฒนาอาคารสำนักงานก็พัฒนาอาคารตามมาตรฐาน LEED และ WELL Building Standard เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“กรุงเทพกรีฑา” ร้อนระอุ บ้านซูเปอร์ลักชัวรี ประชันโฉม แพงสุด 150ล้าน
กรุงเทพกรีฑา “ทำเลทอง” ผู้ปราถนาอยากมีบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี ราคาที่ดินกระโดด 6 เท่าจาก10ปีก่อนหน้า เรียกแขกผู้พัฒนาฯ ปักหมุดโครงการหรู วันนี้วันเดียว แข่งประชัน ทั้งความงามของโครงการ-ราคาขาย ที่แพงสุด 150 ล้านบาท
21 มีนาคม 2566 – ร้อนกว่าการเมืองไทย ก็คงเป็นตลาดบ้านหรูสุดแพง หรือ ที่เรียกกันว่า บ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี บนทำเลทองแห่งใหม่ ‘กรุงเทพกรีฑา’ ซึ่งมีรายงานว่า ปัจจุบัน หากจะซื้อที่ดินโซนกรุงเทพกรีฑา คงได้กำเงิน หาเพิ่มจาก 10 ปีก่อน ถึง 6 เท่าตัวด้วยกัน โดยแค่วันนี้วันเดียว ผู้พัฒนาอสังหาฯเจ้าใหญ่ ถือฤกษ์แกรนด์โอเพนนิ่งโครงการในทำเลดังกล่าว มากถึง 3 โครงการด้วยกัน
ซึ่ง “ฐานเศรษฐกิจ” สำรวจตรวจสอบแล้ว มากกว่าการแข่งขันด้วยราคาที่แพงสุดถึง 150 ล้านบาทต่อหลังแล้ว รูปโฉมทั้งภายในและภายนอกของแต่ละโครงการที่ว่านั้น ก็แข่งกันสวยสะดุดตาไม่แพ้กันอีกด้วย
“มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” บ้านหรู เน้น Well-Living
เริ่มด้วย บ้านหรูระดับ Luxury สวยคลาสสิคสไตล์อังกฤษ อย่าง “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” โดยผู้พัฒนา บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว สไตล์ Modern Classic สูง 3 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 2,100 ล้านบาท ที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปต์ The Gates to Well-living
รายละเอียดประกอบไปด้วย 3 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่
- บ้าน SMITHSON ขนาด 71-90 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 403 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก (Powder room) ห้องแม่บ้าน พร้อมลิฟท์ส่วนตัว และ 3 ช่องจอดรถ
- บ้าน MIDDLETON ขนาด 90-108 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 448 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก ห้องแม่บ้าน พร้อมมีลิฟท์ส่วนตัว และ 4 ช่องจอดรถ
- บ้าน LIVINGSTON บนเนื้อที่ 102-137ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 544 ตร.ม. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก 2 ห้องแม่บ้าน และ 5 ช่องจอดรถ ในราคา 38 -80 ล้านบาท
พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ประตูทางเข้าขนาดใหญ่ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย Double Gate Security โซนสำหรับคนรักสุขภาพที่มีสระว่ายน้ำยาวกว่า 25เมตร Jogging Trail มุมผ่อนคลายหลากหลายรูปแบบ อาทิ Pool Garden Lounge, Pocket Garden Court, Kid’s Playground, Gates Pavilion รายล้อมด้วยสวนสีเขียวขนาดใหญ่ 1,100ตร.ม. และ Semi-Outdoor Pavilion โดดเด่นด้วย Clubhouse ที่ให้เลือกใช้ถึง 2 พื้นที่ แบ่งเป็น Clubhouse A ประกอบด้วย Main Lobby Lounge นั่งผ่อนคลาย Study Room จำนวน 2ห้องMeeting Room รองรับการทำงาน ฟิตเนส Private Gym และ Private Spa
โซนคลับเฮ้าส์ ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ละเมียดละไม ใส่ใจในทุกรายละเอียด ผ่านสถาปัตยกรรม Timeless Design ที่สวยคลาสสิค เรียบหรู เปิดชมพื้นที่บริการในส่วนของ Co-Kitchen และ Co-Working Space ขนาดใหญ่ รองรับช่วงเวลาสังสรรค์และการพบปะของครอบครัวและเพื่อนฝูง
นับเป็นกลิ่นอายการอยู่อาศัยแบบเหนือระดับในสไตล์ “มหานครลอนดอน” แบบส่วนตัวด้วยบ้านเพียง 49 หลัง บนพื้นที่ 21 ไร่ ใน ราคาเริ่มต้น 38-80 ล้านบาท
“BuGaan Krungthep Kreetha” มาสเตอร์ พีซของ แสนสิริ
ขณะเดียวกัน วันนี้เอง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ไทย ยังได้เปิดโฉมโครงการ “BuGaan Krungthep Kreetha” อีก 1 โครงการ โดยยกให้เป็น มาสเตอร์ พีซการอยู่อาศัยระดับเวิลด์คลาสสไตล์ Modern Luxury
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ กล่าวว่า ปีนี้ แสนสิริ จะเปิดตัว “BuGaan” 3 โครงการใหม่ 3 ดีไซน์ที่ customize ให้แตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละโลเคชั่น บน 3 สุดยอดทำเลไพร์ม The Best Location โดยเตรียมทะยอยเปิดตัวต่อเนื่องในปีนี้ ระดับราคาตั้งแต่ 35-115 ล้านบาท
โดยโครงการแรก คือ BuGaan Krungthep Kreetha (บูก้าน กรุงเทพกรีฑา) มาพร้อมกับไฮไลท์พิเศษครั้งแรกของคลับเฮาส์ดีไซน์โดดเด่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน การจัดผังโครงการแบบคลัสเตอร์มอบความไพรเวทสูงสุดเพียง 4 ถึง 6 ยูนิต รวมถึงการคัดสรรค์ไอเท็มมาสเตอร์พีซจากทั่วทุกมุมโลกที่เราบินตรงไปคัดสรรค์ด้วยตนเอง ทั้งเฟอร์นิเจอร์ระดับเวิลด์คลาสและของตกแต่งชิ้นพิเศษที่เปรียบเสมือน Collectible Art pieces”
“กรุงเทพกรีฑา โลเคชั่นสำหรับผู้ที่ปรารถนามีบ้านระดับลักซ์ชัวรี่และ ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เดินทางเข้าสู่เมืองได้อย่างรวดเร็วบนทำเลที่ดีที่สุด”
ทั้งนี้ BuGaan Krungthep Kreetha จากแสนสิริ มีเพียง 48 ยูนิต คุณภาพที่มีความส่วนตัวสูงสุด ระดับราคา 35-60 ล้านบาท กับแนวคิดที่มากกว่าบ้าน แต่คือ พื้นที่สะท้อนรสนิยมและความหลงใหลของผู้อยู่อาศัย ผ่านดีไซน์ที่บ่งบอกไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นในแบบฉบับของตัวเอง โดยรูปแบบบ้านมี 3 ขนาด ได้แก่ CREST (655 ตร.ม.), BRILL (540ตร.ม.) และ ACME (430 ตร.ม.) ในราคา 35-60 ล้านบาท มาพร้อมกับ Highlights ที่มีเฉพาะที่ BuGaan เท่านั้น เช่น
- Private Lift ลิฟต์ส่วนตัวสำหรับบ้านทุกหลัง ,Cluster Layout การจัดผังโครงการแบบคลัสเตอร์ มอบความไพรเวทสูงสุดเพียง 4 ถึง 6 ยูนิต
- Private Luxury Residence การออกแบบจากความเข้าใจ บ้านจึงถูกออกแบบให้มีความเป็นสุดตัวสูงสุด ผสานพื้นที่เปิดรับแสงธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้าน
- One-of-A-Kind Decorations คัดสรรในทุกรายละเอียด ตั้งแต่ความพิเศษของวัสดุ เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และชิ้นงานศิลปะ เพื่อสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย รวมถึงการใช้วัสดุดีไซน์ห้องต่างๆ
ภายในบ้าน เพื่อสะท้อนตัวตนของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง ทั้งนำเข้าอย่างแบรนด์ดังจากอิตาลี Cassina รวมทั้ง Vintage Collection ที่เป็นของสะสมหายาก rare item บางไอเท็มมีชิ้นเดียวในโลก และสั่งทำเฉพาะสำหรับโครงการนี้เท่านั้น
โครงการ แซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา แพงสุด 150 ล้านบาท
อีกหนึ่งโครงการสุดว้าว โดยบริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ประกาศ Grand Opening บ้านเดี่ยวหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรีโครงการ “แซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา” ซึ่งมีความโดดเด่น อยู่ที่ CINQ Club อาคารคลับเฮ้าส์สุดอลังการ และประตูทางเข้าที่สวยงาม
โครงการ CINQ ROYAL Krungthep Kreetha (แซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา) พัฒนาบนเนื้อที่เกือบ 29 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรีที่มีความเป็นส่วนตัวสูงด้วยจำนวนบ้านแค่ 46 ยูนิตเท่านั้น มูลค่าโครงการรวม 3,500 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ บนเนื้อที่ 117.5 – 222.3 ตารางวา ขนาดพื้นที่ใช้สอย 705 – 1,015 ตารางเมตร ราคาขายปัจจุบันเริ่มต้นที่ 60 ล้านบาท สูงสุดที่ 150 ล้านบาท
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร A5 เผยว่า ปัจจุบันโครงการดังกล่าว มียอดจองกว่า 90% ถือว่าเกินความคาดหมายที่วางไว้มาก คาดมาจากการออกแบบอย่างพิถีพิถันและตั้งใจส่งมอบสิ่งที่มีความหมายต่อคุณค่าของชีวิต ที่มากกว่าคำว่า “บ้าน” โดยเราจะมุ่งมั่นพัฒนาโครงการต่อไปให้ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น และคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับแบบนี้ในทุกครั้งที่เปิดขายโครงการของ A5 โดยแฉพาะแบรนด์ “CINQ ROYAL” ถือเป็น Top แบรนด์ของ A5 โดยจะใช้แบรนด์นี้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอื่นๆ ในทำเลที่ดีที่สุด”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 22มี.ค.ที่ระดับ 34.43 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่า ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟด จับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไฮไลท์ สำคัญตลาดรอช่วงเวลาราว1.00น.ในวันพฤหัสจะรู้ผลFOMC
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 22มีนาคม2566ที่ระดับ 34.43 บาทต่อดอลลาร์”อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.32 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงก็ตาม
ปัจจัยสำคัญ คือ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังถูกกดดันจากแรงขายหุ้นไทยต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ (แรงขายเริ่มชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า)
ส่วนในวันนี้ เรามองว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟด ทว่า เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก หากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งต้องจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
โดยเรามองว่า โซนราคาทองคำ 1,930-1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเป็นแนวรับที่ผู้เล่นในตลาดรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ทั้งนี้ เงินบาทก็ยังพอมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง (แนวรับอยู่ในโซน 34.30 บาทต่อดอลลาร์)
โดยบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อาจทำให้เงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหว sideways นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติก็มีโอกาสทยอยกลับเข้ามาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย
โดยเฉพาะหุ้นได้บ้าง แต่คงไม่สามารถคาดหวังแรงซื้อที่มากได้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติอาจรอจับตาผลการประชุมเฟดไปก่อน
ทั้งนี้ ควรระมัดระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยเรามองว่า มีโอกาสที่เงินดอลลาร์อาจพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวลดลงต่อของราคาทองคำ
หากเฟดส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง จนแตะระดับไม่น้อยกว่า 5.50% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาด และเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จนกว่าจะสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อสูงได้สำเร็จ โดยในกรณีนี้ เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ได้
แต่หากผลการประชุมเฟดสะท้อนว่า เฟดเริ่มกังวลปัญหาในระบบธนาคารมากขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนๆ ทำให้เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง และ
คาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก (หรืออาจมีการปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 2024-2025 ลงเล็กน้อยได้)
เราประเมินว่า แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยตามคาด แต่ท่าทีของเฟดที่เปลี่ยนไป จะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ และราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง ทำให้ในกรณีนี้ เงินบาทอาจแข็งค่าลงทดสอบโซนแนวรับแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ได้
และในกรณีที่ เฟด “ไม่ขึ้น” ดอกเบี้ยตามคาด หรือ เซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการ “ลดดอกเบี้ยลง” เราคาดว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าใกล้โซน 34 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้โซน 1,980-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
แต่ทั้งนี้ ต้องรอจับตาว่า ตลาดจะตีความว่า การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด คือ การส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญปัญหาที่น่ากังวลหรือไม่ ถ้าตลาดมองว่า การลดดอกเบี้ย อาจสะท้อนปัญหาที่น่ากังวล เราคาดว่า ตลาดอาจกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งจะลดทอนการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง
ในช่วงนี้ เรามองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง (ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก)
ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.55 บาท/ดอลลาร์
บรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.30% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายความวิตกต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และ
ธนาคารยุโรป ส่งผลให้ หุ้นกลุ่มธนาคารต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง (Morgan Stanley +3.6%, BofA +3.0%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Alphabet +3.7%, Amazon +3.0%)
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้นที่ 5.25% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +4.5%, Chevron +3.1%) ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อของราคาน้ำมันดิบ
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ก็ปรับตัวขึ้นกว่า +1.33% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มธนาคาร (UBS +12.1%, Santander +4.6%) หลังผู้เล่นในตลาดคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารยุโรป
นอกจากนี้ การรีบาวด์ของราคาน้ำมันดิบ ยังได้ช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ (BP +3.4%, TotalEnergies +2.5%)
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3.60% ซึ่งเรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้
หากผลการประชุมเฟดวันพฤหัสฯ นี้ ชี้ว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังไม่จบ เนื่องจากเฟดต้องการที่จะคุมปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงให้สำเร็จเป็นหลัก
ทว่าการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในรอบนี้ อาจไม่ได้ไกลมากนักหรืออาจไม่สามารถปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านแถว 4.00% ได้
ซึ่งเราคงมุมมองเดิมมาโดยตลอดว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนทยอยเข้าซื้อสะสมได้
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น และผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังว่า เฟดจะกลับมา “ลด” ดอกเบี้ยลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ (แตะระดับ 4.50% ณ สิ้นปีนี้ จากข้อมูล CME FedWatch Tool)
มุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ทำให้ ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.2 จุด ทั้งนี้ เรามองว่าเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้ และมีโอกาสที่เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
หากเฟดส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างลดการถือครองทองคำ ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) เผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง จนปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,946 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกุมภาพันธ์ของอังกฤษ โดยตลาดประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ จะชะลอลงต่อเนื่อง
แต่ก็อยู่ที่ระดับสูงถึง 9.8% ทำให้ BOE อาจตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง +0.25% (ตามที่ตลาดคาดการณ์) หรือ +0.50% ตามการประชุมครั้งก่อนๆ (จากระดับปัจจุบันที่ 4.00%)
ส่วนไฮไลท์ สำคัญที่ควรต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 1.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ของเช้าวันพฤหัสฯ
โดยเรามองว่า FOMC อาจตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% เพื่อย้ำจุดยืนในการแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อ (ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงสูงกว่า 6%)
ขณะที่ปัญหาสภาพคล่องในระบบธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้สภาวะทางการเงิน (Financial Condition) ของสหรัฐฯ ตึงตัวมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ลดลง
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองเพิ่มเติม คือ ประมาณการเศรษฐกิจใหม่ของเฟด รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ โดยเราประเมินว่า เฟดอาจไม่ได้ขยับประมาณการเศรษฐกิจมากนัก
แต่มีความเป็นไปได้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่อาจมองว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับ 5.50% ในปีนี้ ซึ่งจะสูงขึ้นจากที่เคยมองไว้ที่ระดับ 5.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในฝั่งภาคการบริการ มีแนวโน้มชะลอตัวลงช้า ส่วนปัญหาด้านสภาพคล่องของระบบธนาคารสหรัฐฯ ก็ไม่ได้น่ากังวลมากนัก เพราะทางการสหรัฐฯ และเฟด ก็ได้ออกมาตรการรับมือไว้แล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.50-34.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.50 น.) อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียอ่อนค่าลงในช่วงก่อนผลการประชุมเฟดในคืนนี้ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์ว่า เฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 bps.
อย่างไรก็ดี จุดสนใจของการประชุมรอบนี้จะอยู่ที่ dot plot และมุมมองต่อสถานการณ์ปัญหาในภาคธนาคาร รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.40-34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยตลาดรอติดตามผลการประชุมเฟด รวมถึง dot plot และตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ พัฒนาการของปัญหาแบงก์ในสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ. ของอังกฤษ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สุดประทับใจ! “ชมพูฟ้า รันนิ่ง 2023″กับเส้นทางประวัติศาสตร์เกาะรัตนโกสินทร์
คณะศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่น 121 ได้จัดกิจกรรมวิ่ง “ชมพูฟ้า รันนิ่ง – Pink Blue Run 2023 Presented by WARRIX” ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา
โดยได้รับเกียรติจาก นายจิณณภัทร พิบูลวิทิตธำรง ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, นายปรัชญ์ ปักปิ่นเพชร ผู้บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน), พันเอก ปวเรศ อนันตสุรกาจ ผู้ช่วยเหรัญญิกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย, นายวิชัย วงค์ติยะมานะ กรรมการสมาคมผู้ปกครองและครูสวนกุหลาบวิทยาลัย, นายไพรัช กรบงกชมาศ ประธานชมรมครูเก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย และนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกันเป็นประธานร่วมในกิจกรรมในครั้งนี้
ในงานนี้ มีการแข่งขันแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 10 กม. และ 3 กม. มีผู้มาร่วมกิจกรรมทุกช่วงอายุเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนผู้มาร่วมกิจกรรมมากกว่า 3,000 คน ซึ่งเหล่านักวิ่งที่มาร่วมกิจกรรมล้วนแล้วแต่ประทับใจในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งความสวยงามในเส้นทางการวิ่ง ความสะดวกรวดเร็วในการบริหารจัดการ และมิตรภาพจากการพบปะกันระหว่างเพื่อนฝูง รุ่นพี่รุ่นน้อง ครูและศิษย์
รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ จากผู้สนับสนุน และบูธอาหารที่ทางคณะผู้จัดงานจัดเตรียมให้ผู้ร่วมงานทุกคน สำหรับผู้ชนะในการแข่งขัน ในประเภทระยะทาง 10 กม. ชาย ได้แก่ นายภัคภูมิ สมภพกุลเวช ด้วยเวลา 37.02 นาที ส่วนประเภท 10 กม. หญิง ได้แก่ เด็กหญิงปุณย์ปวีณ์ ภู่พันธุ์ทองคำ ด้วยเวลา 44.02 นาที
สำหรับ “ชมพูฟ้า รันนิ่ง – Pink Blue Run 2023 Presented by WARRIX” เป็นกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งจัดโดยคณะศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ซึ่งในปีนี้ คณะศิษย์เก่ารุ่น 121 รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ
รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ จากผู้สนับสนุน และบูธอาหารที่ทางคณะผู้จัดงานจัดเตรียมให้ผู้ร่วมงานทุกคน สำหรับผู้ชนะในการแข่งขัน ในประเภทระยะทาง 10 กม. ชาย ได้แก่ นายภัคภูมิ สมภพกุลเวช ด้วยเวลา 37.02 นาที ส่วนประเภท 10 กม. หญิง ได้แก่ เด็กหญิงปุณย์ปวีณ์ ภู่พันธุ์ทองคำ ด้วยเวลา 44.02 นาที
สำหรับ “ชมพูฟ้า รันนิ่ง – Pink Blue Run 2023 Presented by WARRIX” เป็นกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งจัดโดยคณะศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ซึ่งในปีนี้ คณะศิษย์เก่ารุ่น 121 รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สัญญาณเตือนโรคเบาหวาน จะมีอาการอย่างไร
โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ใครๆ ก็รู้จัก และส่วนมากจะเข้ากันเป็นที่เรียบร้อยว่าสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีรสหวาน หรือรสจัดมากเกินไป รวมไปถึงแป้งต่างๆ และมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นหากครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน
แต่สิ่งที่อีกหลายๆ คนไม่ทราบ คือ สัญญาณอันตรายที่จะเตือนภัยกับเราว่า เรากำลังจะเป็น โรคเบาหวาน แล้ว อาการเป็นอย่างไร มีวิธีสังเกตได้อย่างไร Sanook Health มีข้อมูลมาฝากค่ะ
เริ่มทำความรู้จัก โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการ ขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย อาทิ ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน การเจาะเลือดเซลล์ในตับอ่อนที่มีชื่อว่า เบต้าเซลล์ จะเป็นตัวสร้างอินซูลิน โดยที่อินซูลินจะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
ความสำคัญของ อินซูลิน ต่อร่างกาย
อย่างที่บอกไปในตอนแรกที่เริ่มทำความรู้จักกับ โรคเบาหวาน ว่า อินซูลิน นั้นเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สำคัญภายในร่างกาย สร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตากลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเป็นพลังงานที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลิน หรืออินซูลินนั้นออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะใช้การไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็ยังมีความผิดปกติในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนร่วม
โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยปกติแล้ว การเกิดโรคเบาหวาน นั้นจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนที่ถูกสร้างมาจากตับ คือ ฮอร์โมนอินซูลิน โดยที่ฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ภายในอวัยวะทั่วร่างกาย อาทิ สมอง , ตับ , ไต , หัวใจ เพื่อให้เซลล์นั้นนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานในการทำงาน แต่หากกระบวนการสร้างฮอร์โมนอินซูลินเกิดมีความผิดปกติ ตับสร้างอินซูลินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือเกิดความผิดปกติบางอย่างที่ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสไปใช้ได้ ถึงแม้ว่าตับจะสร้างฮอร์โมนได้ในระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน เมื่อความผิดปกติทั้ง 2 อย่างเกิดขึ้น ก็จะทำให้น้ำตาลคั่งในเลือดในจำนวนที่มาก ทำให้ความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นลุกลามจนกลายเป็น โรคเบาหวาน ในที่สุด
ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะรู้ว่าโรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดความผิดปกติของกระบวนการใดในร่างกาย แต่สาเหตุของการเกิดก็ยังไม่ถูกระบุแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่ามันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนที่เกิดจากทั้งพันธุกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรา (Lifestyle) ประกอบกัน
โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร
อาการหลักๆ ที่สื่อว่าคนๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่นๆ ประกอบ อาทิ
- เหนื่อย อ่อนเพลีย
- ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
- ตาแห้ง
- มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
- ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
- เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
- สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้
10 สัญญาณอันตราย ว่าเรากำลังจะเป็นโรคเบาหวาน หรือไม่
- อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้
- ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)
- ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดขา ปวดเข่า
- ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
- เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ
- อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
- แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที
ใครที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน นั้นเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มีญาตสายตรง อย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากมีทั้งพ่อและแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน รุ่นลูกก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นถึงร้อยละ 50
นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย , มีไขมันในเลือดสูง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เท่าๆ กัน
ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานนั้นมีอยู่หลายข้อ ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันที่เรานั้นอาจไม่ทันได้ให้ความสำคัญ หรือหลงลืมไป มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง
- เรื่องของพันธุกรรม อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าคนที่มีครอบครัวสายตรง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้องที่เป็นท้องเดียวกันป่วยเป็นโรคเบาหวาน เราที่เป็นรุ่นต่อมาก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้สูงกว่าคนทั่วๆ ไป
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เซลล์ต่างๆ ดื้อต่ออินซูลิน
- ไม่ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากว่าการออกกำลังกายนั้นจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ อีกทั้งยังช่วยให้เซลล์ต่างๆ ไวต่อการนำน้ำตาลไปใช้ รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย
- เรื่องของเชื้อชาติ ทั้งนี้มีข้อมูลพบว่าคนในบางเชื้อชาติเป็นเบาหวานสูงกว่าคนในชาติอื่นๆ อาทิ ในคนเอเชียและคนผิวดำมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนชาติอื่นๆ
- เรื่องของอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสที่จะเป็นเบาหวานก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นั่นอาจมาจากระบบการทำงานของเซลล์ตับอ่อนเสื่อมถอย หรือขาดการออกกำลังกาย
- การมีไขมันในเลือดสูง
- การมีความดันโลหิตสูง
โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น
อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
หากกล่าวถึงโดยภาพรวมอาการของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นจะปัสสาวะบ่อย มีน้ำหนักที่ลดลง หิวบ่อย บางครั้งก็มีอาการอ่นเพลีย อันเนื่องมาจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง คราวนี้ เราลองมาดูกันลึกลงไปอีกนิดว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีอาการใดแสดงให้เห็นเพิ่มเติมได้อีกบ้าง
ในคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดเพียง 70 – 110 มก.% โดยหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเข้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 140 มก.% ซึ่งที่มีระดับน้ำตาลไม่มากก็อาจจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานนั้นทำได้ด้วยการเจาะเลือด มีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้
- คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ลุกขึ้นมาปัสสาวะในช่วงเวลากลางดึก หรือปัสสาวะเป็นอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินกว่า 180 มก.% น้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังอาจพบได้ว่าปัสสาวะของตนเองมีมดตอม
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะหิวน้ำบ่อย อันเนื่องมาจากต้องมีการทดแทนน้ำที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ
- มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่มีอยู่ได้ จึงได้ย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
- ผู้ป่วยมักจะหิวบ่อยและกินเก่ง แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อแทน
- อาการอื่นที่อาจพบได้ อาทิ การติดเชื้อ , แผลหายช้า หรือมีอาการคันตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
- เกิดการคันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการคันอาจเกิดจากผิวที่แห้งจนเกินไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง
- การมองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัวจนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา เช่น สายตาสั้น , ต้อกระจก หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง
- เกิดอาการชาตามส่วนต่างๆ ไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อันเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงนาน ส่งผลให้เส้นประสาทเกิดการเสื่อมสภาพ เป็นแผลที่เท้าง่าย เพราะไม่มีความรู้สึก
- อาจเกิดการอาเจียน
เมื่อระดับน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูงและเป็นโรคเบาหวานได้ระยะหนึ่ง ก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับหลอดเลือดเล็ก เรียกว่า Microvacular ซึ่งหากมีโรคแทรกซ้อนนี้เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดโรคไต , เบาหวานเข้าตา นอกจากนั้น หากหลอดเลือดแดงใหญ่เกิดการแข็งตัว จะเรียกว่า Macrovascular ที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ , เป็นอัมพาต , หลอดเลือดแดงที่ขาตีบ อีกทั้งยังจะทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ ที่เรียกว่า Neuropathic ที่ทำให้ขาชา , กล้ามเนื้ออ่อนแรง และประสาทอัตโนมัติเสื่อมได้
หากมีอาการเหล่านี้ บวกกับพฤติกรรมในการทานอาหารที่ไม่ค่อยระวังเรื่องแป้ง และน้ำตาล คุณอาจสันนิษฐานได้ว่ากำลังมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้สูง เพราะฉะนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่ การตรวจที่ละเอียด และทำการรักษาต่อไปค่ะ
โรคเบาหวาน วินิจฉัยอย่างไรบ้าง
ในเบื้องต้น เมื่อเราเดินทางไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะเริ่มต้นสอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย รวมไปถึงคนในครอบครัว จากนั้นก็จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล ซึ่งวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลก็จะมีอยู่หลายวิธี ดังนี้
- วิธีที่ 1 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้
- วิธีที่ 2 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- วิธีที่ 3 : การทดสอบการตอบสนองของฮอร์ดมนอินซูลินที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด
- วิธีที่ 4 : การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี
หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
12 ศัพท์ภาษาอังกฤษ เอาไว้ลาป่วยที่ทำงาน!
เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ บางครั้งก็ต้องมีเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นของธรรมดา แล้วสำหรับมนุษย์เงินเดือนเนี่ย เวลาป่วยก็อยากจะลางานเพื่อพักผ่อนให้หายดี ก็ต้องแจ้งเจ้านายไว้หน่อย แต่พอเจ้านายถามต่อว่าป่วยเป็นอะไร ก็นึกคำศัพท์ไม่ค่อยจะออก นึกได้อย่างเดียว คือ Sick ป่วยกี่ครั้งกี่หน ก็ได้แต่ตอบว่า Sick ตลอด
พอกันที! วันนี้ เรามาเรียนรู้ศัพท์ฉบับลาป่วยกันเถอะค่ะ เผื่อคราวหน้าเจ้านายถามว่าป่วยเป็นอะไร จะได้ตอบได้ถูกค่ะ
Headache
คำนี้คงคุ้นเคยกันดี แปลว่า ปวดศีรษะหรือปวดหัว นั่นเองค่ะ
ตัวอย่างประโยค
I have a bad headache today.
วันนี้ฉันปวดหัวมากเลย
Toothache
คำนี้แปลว่า ปวดฟัน ค่ะ จะปวดหนึ่งซี่ สองซี่ หรือทั้งปาก ก็ใช้ Toothache นะคะ
ตัวอย่างประโยค
I have a toothache and I need to go to the dentist.
ฉันต้องไปพบทันตแพทย์เนื่องจากฉันปวดฟัน
Stomachache
คำนี้แปลว่า ปวดท้อง ค่ะ จะใช้สำหรับปวดหน่วงๆ ปวดจี๊ดๆ ปวดเสียดๆ หรือปวดแบบสันนิษฐานไม่ได้ ก็สามารถใช้คำนี้ได้ค่ะ แต่ยกเว้นอาการ ท้องเสีย จะมีคำศัพท์เฉพาะนะคะ
ตัวอย่างประโยค
The orange juice was giving me stomachache.
น้ำส้มคั้นนั่นทำให้ฉันรู้สึกปวดท้อง
Diarrhea
คำนี้แปลว่า ท้องเสีย หรือ ท้องร่วง ค่ะ อันนี้จะแตกต่างจากการปวดท้องทั่วๆ ไปนะคะ ถ้าเป็นการปวดท้องทั่วไปไม่มีอาการขับถ่ายผิดปกติ เราใช้ Stomachache แต่ถ้าเมื่อไรปวดท้องและมีการขับถ่ายผิดปกติร่วมด้วย ให้ใช้คำนี้ได้เลยค่ะ
ตัวอย่างประโยค
Whenever I go abroad, I suffer from jet lag and diarrhea.
เมื่อไรที่ฉันต้องเดินทางไปต่างประเทศ ฉันต้องทุกข์ทรมานกับอาการเจ็ทแล็กและท้องเสียตลอดเลย
Food poisoning
คำนี้แปลว่า อาหารเป็นพิษ ค่ะ ส่วนมากจะเกิดจากการรับประทานอาหารผิดสำแดง นอกจากจะมีอาการท้องเสียแล้ว จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยค่ะ จำง่ายๆ ว่าถ้าท้องเสียเพียงอย่างเดียวให้ใช้ Diarrhea แต่ถ้าคลื่นไส้ด้วยให้ใช้ Food poisoning ค่ะ
ตัวอย่างประโยค
Today, I’m not feeling well because of food poisoning.
วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลย คงเพราะอาหารเป็นพิษ
Fever
คำนี้แปลว่า เป็นไข้ ตัวร้อน ค่ะ ต่างจาก Sick ที่หมายถึงป่วยเฉยๆ แต่ไม่มีอาการตัวร้อน ถ้าเมื่อไรที่ป่วย ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว แล้วมีอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ให้ใช้คำ Fever ค่ะ
ตัวอย่างประโยค
The doctor told me to stay in bed until my fever goes down.
คุณหมอบอกให้ฉันนอนเฉยๆ อยู่บนเตียงจนกว่าไข้จะลดลง
Sore throat
คำนี้แปลว่า เจ็บคอ หรือมีอาการระคายเคืองในลำคอ ส่วนมากมักจะเกิดร่วมกับการเป็นไข้หวัด หรือบางทีเกิดจากการใช้เสียงมากเกินไปค่ะ
ตัวอย่างประโยค
I have a sore throat and runny nose.
ฉันมีอาการเจ็บคอและน้ำมูกไหล
Runny nose
คำนี้แปลว่า น้ำมูกไหล ค่ะ ใช้สำหรับอาการที่มีน้ำมูกในจมูก รู้สึกไม่สบายตัว แต่ไม่ใช้แทนอาการจามนะคะ เพราะคำว่า จาม มีคำศัพท์เฉพาะ คือ Sneeze ค่ะ
ตัวอย่างประโยค
I’m feeling quite sick; I have a bad cough, a high fever, and a runny nose.
ผมรู้สึกป่วยมาก มีอาการไอหนัก ไข้ขึ้นสูง แถมมีน้ำมูกไหล
Cough
คำนี้แปลว่า ไอ ค่ะ แต่การ ไอ นั้น จะมีหลายประเภท ถ้าไอแห้ง ให้ใช้ dry cough ถ้าไอมีเสมหะ ใช้ wet cough
ตัวอย่างประโยค
I have a headache and I am suffering from a cough.
ผมปวดหัวแถมยังทรมานกับอาการไออีกด้วย
Backache
สำหรับอาการนี้ พบเจอได้บ่อยสำหรับหนุ่มสาวชาวออฟฟิส เพราะเป็นหนึ่งในอาการยอดฮิตของโรคออฟฟิส ซินโดรม นั่นก็คือ Backache ที่แปลว่า ปวดหลัง ค่ะ เนื่องมาจากการนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ตลอดจนลักษณะท่านั่งที่ไม่เหมาะสม จึงทำให้เกิดอาการปวดหรืออักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณหลังได้นั่นเองค่ะ
ตัวอย่างประโยค
I have a backache right now and I need to rest.
ตอนนี้ผมมีอาการปวดหลัง และจำเป็นต้องหยุดพักครับ
Sore eye
คำนี้แปลว่า เคืองตา ค่ะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาการของคนที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือจ้องหน้าจอมือถือบ่อยๆ ก็อาจจะมีอาการระคายเคืองในดวงตาได้
ตัวอย่างประโยค
I’ve had sore eyes for 3 days and I don’t know what to do.
ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฉันรู้สึกเคืองตามสามวันแล้ว
Period pain / Period cramps
คำศัพท์แถมสำหรับคุณสาวๆ ทั้งหลาย ที่มีอาการปวดท้องประจำเดือน ซึ่งเจอกันตลอดทุกเดือนๆ แต่ไม่รู้จะบอกยังไงดี ได้แต่บอก Stomachache หรือบางทีบอกว่า เมนส์ ฝรั่งก็งงอีก ถ้ามีอาการแบบนี้ให้ใช้ Period pain หรือ Period cramps นะคะ แปลว่า ปวดท้องเนื่องมาจากประจำเดือน แต่ถ้าประจำเดือนมา (ไม่ได้ปวดท้อง) ให้ใช้ว่า I’m on my period. ก็ได้เหมือนกันค่ะ
ส่วนอาการเหวี่ยงวีน อารมณ์แปรปรวนก่อนมีประจำเดือนนั้น เรียกว่าอาการ PMS ซึ่งย่อมาจาก Premenstrual syndrome เวลาอยากจะบอกคุณผู้ชาย ว่าเราเหวี่ยงเพราะจะมีประจำเดือนนั้น ให้พูดว่า I have PMS สั้นๆ แต่เข้าใจได้ (เพราะถ้าไม่เข้าใจจะโดนเหวี่ยงนะจ๊ะ)
ตัวอย่างประโยค
I’m having period cramps!!
ตอนนี้ฉันปวดท้องเมนส์มากๆ
ทีนี้ถ้าป่วยขึ้นมาจะปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ จาม ฯลฯ จะอาการแบบไหน ก็สามารถอธิบายได้แล้วใช่ไหมคะ เวลาเขียนอีเมลหรือโทรแจ้งหัวหน้า ใครมีอาการป่วยแบบไหนอย่าลืมยกขึ้นมาบอกนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
3 เทรนด์เทคโนโลยีขนส่งโลจิสติกส์มาแรง
NOSTRA LOGISTICS เผย 3 เทรนด์เทคโนโลยีขนส่งโลจิสติกส์มาแรงในปี 2566 ย้ำใช้เทคโนโลยี เสริมแกร่งบริหารจัดการโลจิสติกส์ มุ่งสร้างระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
นางวรินทร สีสุขดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้พัฒนาโซลูชันและแพลตฟอร์มด้านการบริหารจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ และระบบบริหารจัดการขนส่งอัตโนมัติครบวงจร กล่าวว่า จากรายงานแนวโน้มด้านธุรกิจในปี 2566 พบว่า อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ทั่วโลกจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เช่นเดียวกับสถานการณ์ในประเทศไทย คาดการณ์ว่าในปี 2565-2567 ธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางถนนมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3-5 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม องค์กรธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง และนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาปรับปรุงภาพรวมการดำเนินงานของทั้งองค์กร สำหรับด้านการบริการขนส่งและโลจิสติกส์ ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันทันสมัยเข้ามาช่วยพัฒนาและปรับปรุงการทำงานของธุรกิจได้มาก
ซึ่งเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทสำคัญต่อจากนี้จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญ คือ “การเชื่อมเครือข่าย (Connect), จัดการข้อมูล (Manage) และวิเคราะห์คาดการณ์ผลลัพธ์ (Analyze & Predict) โดยจะต้องปรับปรุงระบบเทคโนโลยีการทำงานขนส่งและโลจิสติกส์ให้อยู่ภายใต้ระบบนิเวศทางเทคโนโลยีเดียวกันตลอดซัพพลายเชน (Supply Chain Technology Ecosystem) อันเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการเวลาและกิจกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง
สอดคล้องกับ 3 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ในระดับโลกในปี 2566 นี้
1.การเชื่อมเครือข่ายภายในซัพพลายเชน (Supply Chain Network Connection) – การเชื่อมโยงและทำให้ทุกระบบจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย โดยใช้เทคโนโลยี Cloud ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลระหว่างระบบและเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา สามารถติดตามสถานะและข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ โดยระบบที่ทำงานร่วมกันจะมีความสามารถในงานขนส่งมากขึ้น เช่น การจับคู่ความสามารถของน้ำหนักการบรรทุกของรถขนส่งจากผู้ให้บริการหลายรายกับสินค้าที่จะจัดส่งในแต่ละเที่ยว การประเมินระยะเวลาการจัดส่ง การเลือกเส้นทางที่เหมาะสม การประเมินโอกาสการวิ่งรถเที่ยวกลับ เป็นต้น
2. นวัตกรรมระบบบริหารจัดการงานขนส่ง (Transportation Management System Innovation หรือ TMS ) – เป็นระบบบริหารจัดการงานขนส่งที่ใช้ในธุรกิจบริการขนส่งและโลจิสติกส์มานาน หัวใจสำคัญของ TMS คือ การจัดการต้นทุนการขนส่ง ดังนั้นการพัฒนาระบบยังคงมุ่งเน้นการวิเคราะห์และบริหารทรัพยากรด้านการขนส่งสร้างเส้นทางการวิ่งรถแบบแวะหลายจุดส่ง และให้ข้อมูลตัวเลือกจากต้นทุนค่าขนส่งที่ต่ำกว่า สำหรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาปรับปรุงความสามารถของ TMS ได้แก่ 1) AI เพื่อใช้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ เช่น ความสามารถของการบรรทุก กฎระเบียบจราจร ชั่วโมงการขับรถ ฯลฯ ช่วยประเมินสถานการณ์พร้อมเสนอทางเลือก และวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้แม่นยำขึ้น เช่น การประมาณเวลาที่รถขนส่งจะมาถึงปลายทาง (ETA) 2) IoT การใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์และระบบจัดการการขนส่งและโลจิสติกส์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้การบริหารธุรกิจคล่องตัวและมีประสิทธิภาพโดยการปรับปรุงระบบให้สามารถตรวจสอบและจัดการกับสินทรัพย์และยานพาหนะได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที
3.การจัดการช่วงเวลาเข้าออกของรถบรรทุกสินค้า (Time Slot Management) ถือเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสำคัญมากขึ้นในงานขนส่ง เนื่องจากการพัฒนาระบบการทำงานที่มีข้อมูลอัปเดตช่วงเวลาเข้าออกของรถบรรทุกสินค้าจะช่วยให้สามารถจัดทรัพยากรในคลังสินค้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรถบรรทุกที่จะเข้ามาได้โดยสะดวกและรวดเร็ว เช่น ข้อมูลการประมาณเวลาที่รถจะเข้าถึงคลังสินค้า (ETA) ตำแหน่งที่จอดรถรับส่งสินค้าภายในคลังสินค้า พิกัดท่าสินค้าที่รถบรรทุกกำลังมาถึง ฯลฯ นอกจากนี้ บางธุรกิจ รถขนส่งสินค้ามีหน้าที่ส่งตรงวัตถุดิบ หรืออะไหล่เข้าสู่สายการผลิตโดยตรง ฉะนั้นเวลาในการเข้าถึงจุดส่งสินค้าจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อไม่ให้กระทบกับการผลิต อีกทั้งการใช้ระบบที่มีความสามารถในการจัดการช่วงเวลาจะสามารถลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น เหตุฉุกเฉิน การจราจรติดขัด เหตุพลาดการนัดหมาย ด้วยระบบจะจัดเวลาการจัดส่งใหม่และแก้ไขการนัดหมาย ทำให้มีข้อมูลอัปเดตอย่างทันท่วงทีและไม่เสียเวลารอคอย
นางวรินทร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และมองหาโซลูชันเทคโนโลยีที่สามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร NOSTRA LOGISTICS ในฐานะเชี่ยวชาญด้านโซลูชันและแพลตฟอร์มด้านการบริหารจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์แบบครบวงจร พร้อมเดินหน้าสนับสนุนและให้บริการระบบต่าง ๆ ที่รองรับการทำงานขนส่งให้แก่ธุรกิจทุกขนาด อย่างครบถ้วนในที่เดียว อาทิ ระบบติดตามยานพาหนะแบบติดตั้งกล่อง GPS, ระบบติดตามพนักงานขนส่งผ่านสมาร์ทโฟนด้วย ePOD Application, เทคโนโลยีตรวจสอบแจ้งเตือนความปลอดภัยด้วยระบบ All In One, กล้อง MDVR และอุปกรณ์เทเลเมติกส์, ระบบบริหารจัดการงานขนส่งอัตโนมัติ (TMS) หรือแม้แต่ระบบจัดการงานซ่อมบำรุงผ่านสมาร์ตโฟน MMS Application ฯลฯ
ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม NOSTRA LOGISTICS ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลงานขนส่งและโลจิสติกส์ และเชื่อมโยงการทำงานทุกระบบเข้าด้วยกันทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น ระบบ EMS, WMS หรือระบบ GPS Tracking จากหลากหลายผู้ให้บริการ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ คาดการณ์และนำเสนอทางเลือก ตลอดจนสรุปรายงานพร้อมแดชบอร์ดแสดงผลที่เข้าใจง่าย พร้อมใช้งาน
“NOSTRA LOGISTICS พร้อมเดินหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริหารการขนส่งและโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมุ่งศึกษาและนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับปรุงพัฒนาความสามารถของระบบให้ทันสมัย รวมทั้งการหาแนวทางปิด pain point สนับสนุนการแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโจทย์การทำงานภาคธุรกิจอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมเป้าหมายที่จะสร้างให้เกิดความยั่งยืนในภาพอุตสาหกรรมองค์รวมต่อไป” นางวรินทรกล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“แมลงทอด” อร่อยดี มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่กินได้
ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน หากใครกินแมลงทอดอาจจะโดนมองว่าแปลก ขยะแขยง หรือต่อต้านการกินแมลงไปเลยก็ได้ แต่ในปัจจุบันเราพบเห็นร้านขายแมลงทอดได้ตามข้างถนนหนทางทั่วไป แล้วไม่ใช่ราคาถูกๆ เสียด้วยสิ
แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่น่ากินเท่าไร แต่รับรองได้ว่าหากได้กินแล้วจะติดใจ แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารเพียบ เลยทำให้ใครหลายคนติดใจในรสชาติของเจ้าแมลงทอดจนถอนตัวไม่ขึ้น
5 ประโยชน์สุดล้ำของ “แมลงทอด”
1. โปรตีนสูงงงงงง แมลงดิบแค่ 100 กรัม มีโปรตีนถึง 9-65 กรัมเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับชนิดแมลงที่คุณกิน แมลงที่ให้โปรตีนมากที่สุดคือ ตั๊กแตนปาทังก้า และแมงมัน นั่นเอง โปรตีนที่ได้จากแมลงใกล้เคียงกับโปรตีนที่ได้จากไข่ไก่ 1 ฟอง หรือหมูบด เนื้อไก่ 100 กรัมเลยเชียว แต่หนอนไหมเป็นแมลงที่มีโปรตีนคุณภาพดีมากที่สุดนะ
2. ช่วยลดคอเลสเตอรอล เชื่อไหมว่าในแมลงมีสารไคติน เมื่อไคตินถูกย่อยจนส่วนหนึ่งได้ออกมาเป็นไคโทซาน ทั้งไคติน และไคโทซานสามารถจับตัวกับไขมัน แล้วทำให้ระดับคอเลสเตอรอลของเราลดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
3. ช่วยต่อต้านการติดเชื้อจากยีสต์ในระบบทางเดินอาหาร เป็นผลพวงมาจากไคติน และไคโทซานอีกเหมือนกัน
4. แมลงเป็นแหล่งอาหารชั้นดีราคาถูกสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ จึงมีแม้กระทั่งรายงานจากองค์การอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO เกี่ยวกับ “แมลงที่กินได้ เป็นความหวังแห่งอนาคตสำหรับความมั่นคงทางอาหารและอาหารสัตว์”
5. นอกจากโปรตีนสูง หากินได้ง่ายแล้ว ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุอื่นๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเกลือแร่อย่างฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และวิตามินบี
ข้อควรระวังในการกินแมลงทอด
แม้แมลงทอดจะอร่อยถูกปากชาวไทย และชาวต่างประเทศมาก แต่แมลงทอดก็มีข้อควรระวังในการกินเช่นเดียวกับอาหารอื่นๆ
1. แม้ว่าแมลงจะมีไคตินอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ แต่หากนำไปทอดกับน้ำมัน แมลงจะดูดซับน้ำมันเอาไว้มาก จนทำให้แมลงทอดเต็มไปด้วยไขมันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย ที่มาจากน้ำมันสัตว์คุณภาพต่ำ และใช้ทอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของผู้ขายนั่นเอง
2. ไคตินและไคโทซานที่ว่าดี อาจทำร้ายร่างกายเราได้หากเรากินแมลงทอดมากเกินไป เพราะเมื่อทั้ง 2 ตัวนี้เข้าไปจับไขมันในร่างกาย อาจเข้าไปรบกวนการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันอย่าง วิตามินเอ ดี และอี รวมไปถึงเกลือแร่ และในระยะยาวอาจก่อให้เกิดความบกพร่องในการดูดซึมแคลเซียมอีกด้วย
3. บุคคลที่ไม่ควรกินแมลงทอด หรือไม่ควรกินแมลงทอดมากเกินไป ได้แก่
– ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด ที่อาจแพ้ส่วนประกอบของแมลง จนเกิดอาการแพ้ และอาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้
– ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องกระดูก และหญิงมีครรภ์ เพราะอันตรายจากการทำงานของไคติน และไคโทซานต่อการดูดซึมแคลเซียม จนอาจทำลายกระดูก หรือก่อให้เกิดความผิดปกติของการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์
– ผู้ที่มีภาวะไขมันสูง หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน เพราะแมลงทอดอุดมไปด้วยพลังงานสูง ไขมันจากน้ำมันที่ทอดก็สูง หากกินในปริมาณมาก หรือกินเป็นของว่าง เป็นกับแกล้ม อาจกำหนดปริมาณที่กินได้ไม่ถูกต้อง จนเป็นเหตุให้กินมากเกินไป และเสี่ยงต่อไขมันอุดตันเส้นเลือด และโรคอ้วนได้
– ผู้ป่วยโรคไต เพราะเครื่องปรุงที่ใช้ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติของแมลงทอด อาจเป็นเครื่องปรุงจำนวนมากที่มีโซเดียมสูง
ดังนั้น Sanook! Health จึงขอแนะนำว่า แมลงทอด อร่อยดีมีประโยชน์จริง แต่ควรกินในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป ซื้อ 1 ถุง อาจแบ่งกันกินกับเพื่อน 2-3 คน และกินเพียง 1-2 ครั้ง ต่อ 2-3 สัปดาห์ แล้วอย่าลืมกินอาหารอื่นๆ ให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/03/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,550.00 | 31,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,044.00 | 30,987.04 | 32,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,839.60 | 27,888.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,635.20 | 24,789.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 920.00 | 13,947.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 715.00 | 10,839.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,118.00 | 32,108.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/03/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.85 | 34.85 | 35.94 | 34.85 | 34.85 | 34.85 | 34.85 | 34.85 | 34.85 | 34.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.58 | 34.58 | 35.64 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.54 | 32.54 | 33.34 | 32.54 | 32.54 | – | 32.54 | 32.54 | 32.54 | 32.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.99 | 32.99 | – | – | – | – | – | – | – | 32.99 |
เบนซิน 95 | 42.66 | – | – | – | 42.71 | – | 43.16 | 42.81 | – | 42.66 |
ดีเซล B7 | 33.94 | 33.94 | 34.24 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล | 33.94 | 33.94 | 34.24 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล B20 | 33.94 | 33.94 | 34.24 | – | 33.94 | – | 33.94 | – | – | 33.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.06 | 43.16 | 45.14 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 43.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |