ส่อง 5 ทำเลราคาแพง ที่ดินย่านรถไฟฟ้า ปี 2566
REIC เปิด 5 ทำเลราคาแพง ที่ดินย่านรถไฟฟ้า แถบชานเมือง ไตรมาส 1 ปี 2566 พบนครปฐมติดอันดับ 1 เผยสาเหตุที่ดินแพง หลังภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว-เงินเฟ้อเดือนมี.ค.พุ่งต่อเนื่อง
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 385.7 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
สำหรับภาพรวมดัชนีราคาที่ดินยังคงปรับขึ้นแต่อยู่ในอัตราที่ชะลอตัว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาที่เพิ่มสูงขึ้น อยู่ในกลุ่มการซื้อขายที่ดินในพื้นที่จังหวัดปริมณฑล ขณะที่กรุงเทพฯ โซนพื้นที่ชั้นในชะลอการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใหญ่ ส่งผลให้อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าดัชนียังคงต่ำกว่าอัตราเฉลี่ย 5 ปีก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 (ปี 2558 – 2562) ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยต่อปี 14.8% และอัตราเฉลี่ยต่อไตรมาส 4.1%
ด้านปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่าเพิ่มขึ้นอย่างชะลอตัว คือภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคม 2566 ยังคงเพิ่มขึ้น 2.83% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้หลายภาคธุรกิจลงทุนในแบบชะลอตัวเพื่อรอการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่ดินในตลาดชะลอตัวลงไปด้วย ดังนั้น ราคาที่ดินจึงมีการปรับเพิ่มขึ้นไม่มากดังเช่นช่วงหลายปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2566 โซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2565 เป็นที่สังเกตว่าจังหวัดปริมณฑลเป็นโซนที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาสูงกว่าโซนในเมือง และในพื้นที่กรุงเทฯ สาเหตุสำคัญเกิดจากการซื้อขายที่มีราคาเพิ่มขึ้นจากฐานราคาที่ต่ำ
อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนจังหวัดนครปฐม มีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึง 68.2%
อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีอัตราการเปลี่ยนราคา 52.4% เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนจังหวัดสมุทรสาคร มีอัตราการเปลี่ยนราคาร้อยละ 39.1
อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีอัตราการเปลี่ยนราคา 28.7%
อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด มีอัตราการเปลี่ยนราคา 25.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565
“จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ที่ดินที่อยู่บริเวณชานเมืองของกรุงเทพฯและจังหวัดปริมณฑล มีฐานราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าที่ดินในเขตชั้นในของเมือง ซึ่งยังสามารถนำไปใช้พัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาที่สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันได้ จึงมีความต้องการที่ดินในบริเวณชานเมืองเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินในจังหวัดปริมณฑลมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่าในพื้นที่ชั้นในและชั้นกลางของกรุงเทพฯ ที่มีฐานราคาที่สูงอยู่แล้ว จึงทำให้มีอัตราการเปลี่ยนแปลงไม่สูงดังเช่นในพื้นที่ชานเมือง และไม่ติดอันดับโซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก”
นอกจากนี้ REIC ได้จัดอันดับที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาตามแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่าน พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรก ที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 พบว่าส่วนใหญ่เป็นทำเลโครงการบ้านจัดสรร หรือเป็นส่วนต่อขยายของแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้
อันดับ 1 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) เป็นเปิดให้บริการแล้ว มีค่าดัชนีเท่ากับ 420.8 จุด มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยบริเวณที่มีการปรับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก คือ อำเภอเมืองนนทบุรี และอำเภอบางบัวทอง
อันดับ 2 ได้แก่ สายสีเขียว (คูคต-ลำลูกกา) เป็นโครงการในอนาคต มีค่าดัชนีเท่ากับ 339.8 จุด มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยบริเวณที่มีการปรับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก คือ อำเภอลำลูกกา
อันดับ 3 ได้แก่ สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-มธ.รังสิต) เปิดให้บริการแล้ว มีค่าดัชนีเท่ากับ 446.5 จุด และ 439.6 จุด ตามลำดับ มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยบริเวณที่มีการปรับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก คือ เขตดอนเมือง เขตบางเขน และอำเภอคลองหลวง
อันดับ 4 ได้แก่ MRT เป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) เป็นโครงการในอนาคต มีค่าดัชนีเท่ากับ 474.0 จุด และ 466.6 จุด ตามลำดับ โดยมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยบริเวณที่มีการปรับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก คือ เขตจตุจักร ห้วยขวาง และราชเทวี
อันดับ 5 ได้แก่ สายสีแดงเข้ม (หัวลำโพง-มหาชัย) เป็นโครงการในอนาคตมีค่าดัชนีเท่ากับ 441.1 จุด มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยบริเวณที่มีการปรับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร และบางขุนเทียน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เคหะสุขประชา ทุ่ม 70 ล้าน ผุด “เคมอลล์@ร่มเกล้า” สร้างงาน-อาชีพชุมชนร่มเกล้า
เคหะสุขประชา ทุ่มงบ 70 ล้าน สร้าง “เคมอลล์@ร่มเกล้า” ดึงร้านดังเช่าพื้นที่ สร้างงานผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชนใกล้เคียง สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คาดแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการ ต้นปี 2567
นายพิษณุพร อุทกภาชน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทได้มีการเปิด “สุขประชามาร์เก็ต ฉลองกรุง” ไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัท ได้เดินหน้าต่อเพื่อรองรับการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่ผู้เช่าบ้าน “เคหะสุขประชา ร่มเกล้า” ด้วยการเริ่มก่อสร้าง “เคมอลล์@ร่มเกล้า” ซึ่งเป็นทำเลติดชุมชนขนาดใหญ่และจัดสรรเป็นอาชีพด้านศูนย์การค้าปลีกค้าส่ง หรือมินิมอลล์ โดยมีการใช้งบลงทุนกว่า 70 ล้านบาท บนพื้นที่เช่าจากการเคหะแห่งชาติ รวมประมาณ 7 ไร่
พื้นที่โครงการเคหะสุขประชา ร่มเกล้า มีจุดแข็งจากการตั้งอยู่ในทำเลอยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยพื้นที่ของศูนย์การค้าปลีกค้าส่ง หรือ “เคมอลล์@ร่มเกล้า” อยู่ติดกับโครงการเอื้ออาทรร่มเกล้า 2 ซึ่งมีที่อยู่อาศัยกว่า 6,000 หน่วย ถัดไปจะเป็นโครงการเคหะร่มเกล้า ที่มีอีกกว่า 10,000 หน่วย ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่ของโครงการเคหะสุขประชาและชุมชนอื่น ๆ ละแวกใกล้เคียง จะมีครัวเรือนอยู่อาศัยไม่ต่ำกว่า 20,000 หน่วย หรือนับเป็นชุมชนกว่า 70,000 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการใช้บริการมินิมอลล์แห่งนี้
สำหรับโครงการ “เคมอลล์@ร่มเกล้า” จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี และคาดว่าแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2567 โดยสร้างเป็นพื้นที่ศูนย์การค้าปลีกค้าส่ง 2 ชั้น รวม 7 อาคาร พื้นที่ชั้นล่างจัดวางเป็นร้านค้าพื้นที่ใช้งาน 207 ตร.ม./อาคาร หรือรวม 1,449 ตร.ม. พื้นที่ชั้นบนจัดวางเป็นสำนักงาน โรงเรียนกวดวิชา และอื่น ๆ พื้นที่ใช้งาน 226 ตร.ม./อาคาร หรือรวม 1,582 ตร.ม. ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่อเนกประสงค์อื่น ๆ จะทำให้มีพื้นที่เป็น 555 ตร.ม./อาคาร หรือรวมทั้งหมด 3,885 ตร.ม. พร้อมมีที่จอดรถได้ 200 คัน
คอนเซ็ปต์หลักของ “เคมอลล์@ร่มเกล้า” คือการสร้างพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยทั้ง 270 หน่วยในเคหะสุขประชา ร่มเกล้า สามารถ “เดินไปทำงานได้” โดยบริษัทได้ร่วมมือให้พื้นที่เช่ากับร้านค้าที่มีชื่อเสียง ในการจำหน่ายอาหาร ผลิตภัณฑ์ จัดตั้งสำนักงาน หรืออื่น ๆ และต้องจ้างงานผู้อยู่อาศัยในโครงการ อีกทั้งหากมินิมอลล์มีการเติบโตมากขึ้น จะทำให้ปริมาณการจ้างงานมีมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีไปถึงการจ้างงานในชุมชนใกล้เคียงอย่างเอื้ออาทรร่มเกล้าหรือเคหะร่มเกล้าอีกด้วย
การสร้าง “เคมอลล์@ร่มเกล้า” ถือเป็นการสร้างอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยต่อยอดในการนำเอาเศรษฐกิจและความทันสมัยมาสู่ชุมชนของเคหะสุขประชา พร้อม ๆ กับช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีจากการมีที่อยู่อาศัยและรายได้ที่มั่นคง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 8พ.ค.ที่ระดับ 33.86 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจมาจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 8พ.ค.2566ที่ระดับ 33.86 บาทต่อดอลลาร์“ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าใกล้โซน 34 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ก่อนที่เงินดอลลาร์จะเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลง ส่งผลให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง
สัปดาห์ที่ผ่านมา เฟดได้ส่งสัญญาณพร้อมหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อสูง
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ รวมถึง การเจรจาขยายเพดานหนี้ (US Debt Ceiling) พร้อมรอลุ้นผลการประชุม BOE ส่วนในฝั่งไทย ตลาดจะรอลุ้นผลการเลือกตั้งใหญ่
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาใกล้ชิด คือ อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน โดยตลาดมองว่า โมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อ CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจยังไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจน อย่างที่ตลาดและเฟดคาดหวัง (CPI +0.4%m/m, Core CPI +0.3%m/m) ทำให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน อาจยังคงอยู่ในระดับสูงราว 5.00% และ 5.50% ตามลำดับ
ซึ่งภาพดังกล่าว อาจเพิ่มโอกาสที่เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้บ้าง แต่เรามองว่า เฟดอาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงต่อ (Higher for Longer) เนื่อจากแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มได้รับผลกระทบและชะลอลงจากภาวะการปล่อยสินเชื่อที่ตึงตัวมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ผลสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อ (Senior Loan Officer Survey) โดยเฟด
ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ผลสำรวจดังกล่าวอาจชี้ว่า การปล่อยสินเชื่อจะตึงตัวมากขึ้นชัดเจน ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดและปัญหาสภาพคล่องในระบบธนาคารของสหรัฐฯ โดยธนาคารส่วนใหญ่อาจคุมเข้มมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความต้องการสินเชื่อก็อาจปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด หลังข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดยังมีความแข็งแกร่งและออกมาดีกว่าคาด และอีกประเด็นที่น่าสนใจและอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน คือ ความเสี่ยงการเมืองสหรัฐฯ จากประเด็นเพดานหนี้ (Debt Ceiling)
ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการเจรจาต่อรองเพื่อขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ และสภาคองเกรส โดยจากสถิติตั้งแต่ปี 2000 พบว่า ในช่วงตลาดกังวลปัญหาเพดานหนี้ ผู้เล่นในตลาดมักเลือกถือ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่เงินดอลลาร์มักจะอ่อนค่าลงจากความกังวลว่า สหรัฐฯ อาจเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของเงินดอลลาร์ในฐานะ Reserve Currency
▪ ฝั่งยุโรป – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและไม่มีสัญญาณชะลอลงชัดเจน (อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน อาจอยู่ที่ระดับ 10% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะอยู่ที่ระดับ 6%) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 4.50%
นอกจากนี้ เรามองว่า BOE อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อจนกว่าจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ ซึ่ง BOE จะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด (Data Dependent) ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจขยายตัวเพียง +0.2%y/y ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประท้วงหยุดงานในช่วงเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB
▪ ฝั่งเอเชีย – ตลาดคาดว่า ยอดการส่งออกของจีนในเดือนเมษายนอาจโตราว +10%y/y ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากฐานของยอดการส่งออกในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับที่ต่ำ ตามภาวะ Lockdown ของเมืองใหญ่ๆ อย่าง เซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ดี ยอดการนำเข้าอาจหดตัว -0.3%y/y ซึ่งส่วนหนึ่งอาจสะท้อนว่าความต้องการสินค้าในประเทศอาจยังฟื้นตัวได้ไม่ดีมาก
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ล่าสุด ซึ่ง BOJ ยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย แม้ว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้า 2% ไปมาก
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวอาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายนปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 54.8 จุด อย่างไรก็ดี ปัญหาค่าครองชีพสูง อาทิ ค่าไฟฟ้า จะเป็นปัจจัยที่อาจกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจมาจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ (อาจมียอดสูงราว 190-200 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้)
ขณะที่ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจมีทิศทางไม่ชัดเจน จนกว่าจะรับรู้ผลการเลือกตั้งทั่วไปได้ ในเชิงเทคนิคัล เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน (แถว 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์) จะเป็นโซนแนวต้านสำคัญ หากเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์แข็งค่าขึ้น หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาดหรือไม่ได้ชะลอลงชัดเจน ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่าเฟดอาจคงดอกเบี้ยได้นาน อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ตลาดกังวลปัญหาเพดานหนี้ หรือในกรณีที่ BOE ย้ำจุดยืนพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) แข็งค่าขึ้น
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.25 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ล้มคู่ปรับเก่า! “อรญา-เสาวณี” ชนะ อินโดนีเซีย คว้าทองปันจักสีลัต ซีเกมส์
การแข่งขันปันจักสีลัต กีฬาซีเกมส์ 2023 ครั้งที่ 32 ที่ชรอย ชางวาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเวนชั่น แอนด์ เอ็กซิบิชั่นเซ็นเตอร์ ฮอลล์ อี กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 7 พ. ค.ในประภทปันจักลีลา ชิง 6 ทอง ซึ่งทัพนักกีฬาไทย ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ 2 ประเภท
ประเภทปันจักลีลาคู่หญิง ว่าที่ร้อยตรีหญิง “ลูกปัด” อรญา ชูสุวรรณ์ และ “อิ๋ว” เสาวณี จันทมุณี เหรียญทอง ปันจักสีลัตชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 19 (เวิลด์ ปันจักสีลัต แชมเปี้ยนชิพ 2022 ครั้งที่ 19) ที่ ประเทศมาเลเซีย ปี 2565 และเหรัยญเงินเอเชียนเกมส์ 2019 ที่ในรอบรองชนะเลิศ สามารถเอาชนะ “เจ้าภาพ” กัมพูชา 9.955 -9.685 คะแนน
ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ เจอกับ ริริน รินาซิห์-ริสก้า เฮอร์มาวาน (อินโดนีเซีย) คู่ปรับจากอินโดนีเซีย เหรียญเงินชิงแชมป์โลก ผลปรากฏว่า 2 สาวไทยเป็นฝ่ายชนะ อินโดนีเซีย 9.945-9.915 คะแนน แม้ว่าทางฝั่งอินโดนีเซีย จะมีการประท้วงแต่ไม่สำเร็จ
ประเภทปันจักลีลาทีมชาย ซอบรี เจะนิ, ซัลวา เจ๊ะฮะ, อับดุลการิม คูลี เหรียญทอง ซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม ปี 2565 ที่ในรอบรองชนะเลิศ สามารถเอาชนะเจ้าภาพ กัมพูชา 9.955-9.905 คะแนน ผ่านเข้ารอชิงชนะเลิศ เจอกับ อังกี ไฟซาล มูบารอก, อาเซบ ยูลดัน ซานิ, ราโน ซาลาเม็ท นูกาฮา จากอินโดนีเซีย คู่ปรับเก่า ผลปรากฏว่า ทีมชายไทย ไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้เป็นฝ่ายแพ้ 9.9300-9.9700 คะแนน ได้แค่เหรียญเงิน
ส่วน ประเภทปันจักลีลาเดี่ยวชาย สิบโท อิลยาส สาดาราเหรียญเงินซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม ปี 2565 ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ แพ้ เช สาริท เจ้าภาพ กัมพูชา 9.9350-9.9500 คะแนน สรุปวันแรก ประเภทปันจักลีลา ไทย ได้ 1 ทอง 1 เงิน โดยเหลือในประเภทต่อสู้ อีก 10 รุ่น ชาย 8 คน หญิง 2 คน จากทั้งหมด 16 รุ่น ในวันที่ 8-10 พ.ค.
ด้าน ผศ. จงรัก เขี้ยวแก้ว ผู้จัดการทีมปันจักสีลัตทีมชาติไทย เปิดเผยว่า สำหรับ ครั้งนี้ ประเภทปันจักลีลา ครั้งก่อนได้ 1 ทอง 1 เงิน 1 ทองแดง ครั้งนี้ เราได้ 1 ทอง 1 เงิน ทำให้รู้สึกพอใจ แม้ว่า เราจะพลาด ประเภทปันจักลีลาเดี่ยวชาย สิบโท อิลยาส สาดารา ที่แพ้ เจ้าภาพ กัมพูชา และทางกัมพูชา ก็มาได้เหรียญทองด้วย ซึ่งนักกีฬาคนนี้ไม่เคยเห็นเพิ่งแข่งรายการนี้ และมาได้เหรียญทองซีเกมส์ ทุกอย่างขึ้นกับการตัดสินของกรรมการผู้ตัดสิน เราไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ทุกขึ้นขึ้นกับการตัดสินของกรรมการ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
3 สัญญาณอันตราย อาการ “มะเร็งลำไส้”
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปกติมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของหลายประเทศทั่วโลก ด้วยวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของประชากรส่งผลให้แนวโน้มอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำมาสู่สาเหตุการตาย และปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี
สำหรับประเทศไทยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบมากในคนไทย มีอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นทุกปี ปัจจุบันพบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 4 ในเพศหญิง แต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ 12,467 คน เป็นเพศชาย 6,874 และเพศหญิง 5,593 คน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 4,700 คนต่อปี
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เริ่มจากการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ และพัฒนาจนเป็นมะเร็งโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงมักจะไม่มีอาการในระยะเริ่มแรกของโรค จะมีอาการเมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจนถึงระยะสุดท้าย ส่งผลทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
สาเหตุของมะเร็งลำไส้
- รับประทานอาหารไขมันสูง
- อาหารฟาสต์ฟูดต่างๆ
- อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม
- อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ
- เนื้อสัตว์แปรรูป
- สูบบุหรี่
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ขาดการออกกำลังกาย
- ภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน
- มีประวัติครอบครัวหรือตนเองเป็นติ่งเนื้อในลำไส้
3 สัญญาณอันตราย อาการ “มะเร็งลำไส้”
- ถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง ถ่ายไม่สุด ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด หรืออาจถ่ายเป็นเลือดสด
- ขนาดลำอุจจาระเล็กลง
- มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด
เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่สามารถตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายจากโรคสูง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงโดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระปีละครั้ง หากผิดปกติควรได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ กรณีพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติในลำไส้ใหญ่แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าวเพื่อวินิจฉัยต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประโยคภาษาอังกฤษใช้ทักทายลูกค้าทางโทรศัพท์
บางสายงานจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทักทาย และพูดคุยทางธุรกิจ หรือให้บริการอะไรสักอย่างแก่ลูกค้า เพื่อฝึกความเป็นมืออาชีพ แอดจึงนำมาให้ทุกคนลองฝึกกันค่ะ
1. Welcome to [Company name]. My name is [your name]. How can I help you?
ตัวอย่าง
Welcome to Luca Company. My name is Debbie. How can I help you?
ยินดีต้อนรับสู่บริษัทลูก้า ชื่อของฉันคือ เด็บบี้ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ
2. Hello/Good morning/Good afternoon. [Company name], [your name] speaking. How may I help you?
ตัวอย่าง
Good morning! Engnow Company, Nicha speaking. How may I help you?
อรุณสวัสดิ์ บริษัทEngnow ณิชากำลังเรียนสาย มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ
คำอธิบาย: ผู้รับสายเป็นใคร และให้ปลายสายอธิบายว่า ทำไมถึงโทรหาเรา
3. [Greeting], you’re through to [Company name]. This is [your name] speaking. How can I help you today?
ตัวอย่าง
Good morning, you’re through to Alexa Company. This is Chris speaking. How can I help you today?
อรุณสวัสดิ์ คุณต่อสายถึง บริษัทอเล็กซ่า นี่คือคริสกำลังเรียนสาย มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ วันนี้
4.. [Greeting]. You’re speaking to [your name]. How may I help you?
ตัวอย่าง
Good afternoon. You’re speaking to Lisa. How may I help you?
5. [Company name], [your name] speaking.
ตัวอย่าง
Engnow Company, Nicha speaking.
(((จะเห็นว่า สั้นแต่ได้ใจความ)))
6. Hello, this is [your name] from [company name].
ตัวอย่าง
Hello, this is Jane Spice from ABC Education Company.
บางที สามารถเพิ่มนามสกุลไปได้ หากว่า ผู้รับสายไม่รู้จักผู้โทรไปจริงๆ
และบางทีเปลี่ยนจาก Hello เป็น Hi ได้ ดูในประโยคถัดไป
7. Hi! You’re through to [Company name], how can I help you?
ตัวอย่าง
Hi! You’re through to OHO Company, how can I help you?
Tips:
How can I help you? ใช้ได้ทุกสถานการณ์
How may I help you? จะสุภาพมากขึ้นหน่อย เช่น เราพูดกับนาย หรือผู้ใหญ่
ในบางที่ก็ใช้ How may I assist you? เพราะเป็นระดับภาษาเดียวกัน
Short Conversation
Malee: Welcome to DDC Customer Service. My name is Malee. How can I help you?
แปล (ยินดีต้อนรับสู่ฝ่ายบริการลูกค้าดีดีซี ชื่อของฉัน คือ มาลี มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ)
Sabrina: May I speak to Beta Bubble, please.
แปล (ขอฉันคุยกับเบต้า บับเบิ้ลค่ะ)
Malee: I’m sorry, you must have the wrong number. There’s no person by that name here.
แปล (ขอโทษด้วยค่ะ คุณต้องมีเบอร์ผิดแน่เลย ไม่มีคนชื่อนี้เลยค่ะ)
Sabrina: Oh, can I check the number? Is that not 4454697?
แปล (โอ้ ขอตรวจสอบเบอร์ค่ะ นั้นไม่ใช่เบอร์ 4454697 เหรอคะ)
Malee: No, it’s 4454694.
แปล (ไม่ใช่ค่ะ นี่คือ 4454694 ค่ะ)
Sabrina: I’m sorry about that. I have dialed the wrong number.
แปล (ขอโทษค่ะ ฉันหมุนเบอร์ผิด)
Malee: No problem. Goodbye.
แปล (ไม่มีปัญหา ลาก่อน)
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
4 พฤษภาคม วัน Password โลก 91% รู้ว่าเสี่ยงใช้รหัสผ่านซ้ำ
พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ แนะนำด้านรหัสผ่านที่แข็งแรง เพื่อยกระดับความปลอดภัยของรหัสผ่านกับผู้ใช้ทั่วไป และองค์กร ตลอดจนช่วยปกป้องบัญชีออนไลน์และข้อมูลส่วนตัวได้อย่างดีที่สุดรับวันรหัสผ่านโลก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสแรกของเดือนพฤษภาคม โดยในปีนี้ ตรงกับวันที่ 4 พฤษภาคม
การเริ่มต้นใช้รหัสผ่านในยุค 1960 ทำให้โลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้รหัสผ่านได้กลายเป็นวิธีปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ใช้กันจนคุ้นชินโดยไม่ต้องท่องจำ ตั้งแต่ชื่อสัตว์เลี้ยงตัวแรกไปจนถึงชื่อจังหวัดเกิดของเรา วันนี้รหัสผ่านเป็นปราการหลักที่คอยปกป้องความเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนเรื่องธนาคารและการเงิน
รหัสผ่านที่หละหลวมเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามอันใหญ่หลวง และเป็นหนึ่งในจุดเปราะบางสำคัญที่นำไปสู่ปัญหาการละเมิดข้อมูล การหลอกลวงด้วยฟิชชิง และการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่
แม้จะทราบเช่นนั้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่ารหัสผ่านเป็นมาตรการที่ปลอดภัยเพียงพอ ทั้งที่จริงเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยเพราะคาดเดาได้ง่ายก็ตาม เพราะชื่อสุนัข ชื่อคู่สมรส วันเกิด หรือถ้อยคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคุณซึ่งพบเห็นได้บนโพรไฟล์โซเชียลมีเดีย ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้โจมตีสืบเสาะได้ง่ายเช่นกัน
จริงที่ว่าหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองข้อมูลตกเป็นภาระของบริษัทที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว แต่ผู้บริโภคก็ทำอะไรได้หลายอย่างเพื่อปกป้องข้อมูลการเข้าสู่ระบบของตนเองเช่นกัน ดังนั้น วันรหัสผ่านโลก จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักและเชิญชวนบุคคลทั่วไปตลอดจนองค์กรต่างๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของรหัสผ่านที่รัดกุม เพื่อดำเนินมาตรการปรับปรุงความปลอดภัยของรหัสผ่านให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่การโจมตีทางไซเบอร์และปัญหาการละเมิดข้อมูลกำลังลุกลาม การใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและไม่ซ้ำกันจึงมีความสำคัญอย่างมากเพื่อช่วยปกป้องบัญชีออนไลน์และข้อมูลส่วนบุคคลของเรา
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า ผู้ใช้ราว 91% ทราบถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเมื่อใช้รหัสผ่านซ้ำกันในหลายบัญชี แต่ก็ยังมีกว่า 66% ที่ยังคงใช้รหัสผ่านซ้ำกันอยู่ดี
สตีเวน เชอร์แมน รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ได้เสนอแนวทางง่ายๆ ในการทำให้รหัสผ่านกลายเป็นปราการหลักที่จะช่วยคุ้มครองชีวิตส่วนตัวและการทำงานของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
– กำหนดแนวทางด้านรหัสผ่านเพื่อป้องกันการสุ่มเดารหัสผ่าน (password spraying): ใช้รหัสผ่านที่มีความยาวพอประมาณ เช่น คอมพิวเตอร์จะคาดเดารหัสผ่านที่มีความยาว 8 ตัวอักษร ได้ง่ายกว่ารหัสผ่านที่มีความยาว 16 หรือ 24 ตัวอักษร และควรใช้อักขระหลายแบบผสมกัน ทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์
– หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเปราะบางที่มักคาดเดาได้ง่ายหรือโดนลอบขโมยแล้ว: หากค้น Google ด้วยคำว่า “รหัสผ่านยอดนิยม” คุณก็จะเห็นรายการรหัสผ่านที่ผู้โจมตีมักใช้ในการคาดเดารหัสผ่านของระบบต่างๆ ยิ่งหากเป็นรหัสผ่านที่ใช้เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ด่านหน้าที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือใช้เข้าสู่ระบบภายใน ยิ่งควรต้องเปลี่ยนใหม่โดยเร็วที่สุด
– หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านซ้ำ: ไม่มีใครชอบจำรหัสผ่าน แต่การใช้รหัสผ่านที่เป็นกลุ่มคำหรือที่เรียกว่าวลีรหัสผ่าน (passphrase) นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะสามารถใช้สร้างรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันทั้งยังจำได้ง่าย และควรระมัดระวังในการใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่าน เพราะหลายรายโดนโจมตีในช่วงที่ผ่านมา บางรายโดนโจมตีหลายต่อหลายครั้ง แต่กระนั้นก็ยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้ได้
– กำหนดให้เปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะ: ข้อนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อแต่ควรมองให้เป็นมาตรฐานแนวทางการปฏิบัติงานเพื่อลดความเสี่ยงแก่ธุรกิจ เพราะที่จริงใช้เวลาไม่มากและช่วยปกป้ององค์กรได้อย่างดีในกรณีที่ข้อมูลการเข้าสู่ระบบสารสนเทศถูกขโมยหรือโดนฟิชชิงโดยไม่รู้ตัว
– ใช้วิธียืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย: หากดำเนินการจนสุดฝีมือแล้วแต่ก็ยังโดนขโมยหรือคาดเดารหัสผ่านได้อยู่ดี การใช้วิธีอื่นเพื่อยืนยันตัวตนก่อนเข้าสู่ระบบหรือเข้าใช้บริการผ่านเว็บเป็นอีกทางออกหนึ่งที่น่าสนใจ ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ ระบบความปลอดภัย และระบบปฏิบัติการหลายรายรองรับการใช้แอปยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย ซึ่งสามารถติดตั้งบนโทรศัพท์ของคุณเพื่อผูกกับเว็บไซต์ที่รองรับได้ทันที
มาตรการเหล่านี้จะช่วยยกระดับความปลอดภัยของรหัสผ่านแก่ผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร ตลอดจนช่วยปกป้องบัญชีออนไลน์และข้อมูลส่วนตัวได้อย่างดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประโยชน์ของ “ลูกหม่อน-มัลเบอร์รี่” (Mulberry) เบอร์รี่จิ๋วแต่คุณประโยชน์สุดแจ๋ว
หากจะพูดถึงเบอร์รี่เมืองไทย ก็เรียกได้ว่ามีอยู่หลายชนิดให้นึกถึง แต่ถ้าให้พูดขึ้นมาสักหนึ่งชื่อก็คงจะต้องร้องอ๋อกันเป็นแน่ เพราะหนึ่งในเบอร์รี่เมืองไทยที่เรารู้จักและคุ้นหูกันเป็นอย่างดีก็คือ ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ นั่นเอง แต่นอกจากชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเบอร์รี่เมืองไทยแล้ว ก็จัดได้ว่าลูกหม่อนเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพในหลายๆ ด้านด้วย
Hello คุณหมอ จะพามารู้จักกับประโยชน์ของเบอร์รี่เมืองไทยชนิดนี้กัน
ประโยชน์ของ ลูกหม่อน เบอร์รี่เมืองไทย
ลูกหม่อนหรือ มัลเบอร์รี่ (Mulberry) เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ส่วนต่างๆ ของต้นหม่อนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งใช้เพื่ออุตสาหกรรมการทอผ้า การนำใบหม่อนมาแปรรูปเป็นชา หรือแม้แต่ลูกหม่อนเองก็ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มสมูทตี้ หรือเป็นวัตถุดิบในอาหารต่างๆ
ลูกหม่อนเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เพราะเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ให้แคลอรี่ต่ำ มีสารอาหารสำคัญอย่างคาร์โบไฮเดรตและไฟเบอร์ที่ทำให้อิ่มท้อง ทั้งยังช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี มากไปกว่านั้นลูกหม่อนก็ยังจัดว่าเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำอีกด้วย เนื่องจากองค์ประกอบกว่า 88 เปอร์เซ็นต์ของลูกหม่อนนั้นเป็นน้ำ การรับประทานลูกหม่อนจึงสามารถช่วยเพิ่มระดับน้ำในร่างกาย และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration)ได้
นอกจากนี้ลูกหม่อนยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอย่าง วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค1 ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ อย่างเช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanin ) ไซยานิดิน (Cyanidin) ไมริเซติน (Myricetin) กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) รูทิน (Rutin) ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
ประโยชน์ของลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่
- ลดความเสี่ยงของมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง ทั้งยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์และป้องกันเซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระที่ไม่ดี มากไปกว่านั้นสารต้านอนุมูลอิสระยังมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต หรือลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง
ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) อย่างแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ไซยานิดิน (Cyanidin) ไมริเซติน (Myricetin) กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) รูทิน (Rutin) การรับประทานลูกหม่อนอย่างสม่ำเสมอจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งได้
- ดีต่อการลดน้ำหนัก
ลูกหม่อนมีไฟเบอร์สูงและให้แคลอรี่ต่ำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือควบคุมอาหาร โดยไฟเบอร์จะไปทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น ทำให้ไม่หิวบ่อยๆ และไม่ทำให้แคลอรี่พุ่งสูงเพราะมีแคลอรี่ต่ำ สามารถจำกัดหรือควบคุมแคลอรี่ในแต่ละวันได้อย่างสบายใจ
- ดีต่อสุขภาพตับ
ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกายของเรา โดยเฉพาะการทำหน้าที่สำคัญในเพื่อกรองสารพิษต่างๆ ทำหน้าที่ในการสลายไขมัน รวมถึงป้องกันการแข็งตัวของเลือดด้วย ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระในลูกหม่อนถือว่าเป็นสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนช่วยในการล้างสารพิษที่ตับ และยังมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมไว้ที่ตับ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคไขมันพอกตับ
- ปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูง สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และโรคเบาหวานได้ ซึ่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคเรื้อรังเหล่านั้น การให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับลูกหม่อนซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง และการกินไฟเบอร์เป็นประจำจะมีส่วนช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือด จึงช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้
- อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก
แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วธาตุเหล็กมักจะพบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือเครื่องในสัตว์ แต่ในผลไม้ก็อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะลูกหม่อน ที่ให้ปริมาณของธาตุเหล็กสูงถึง 2.6 มิลลิกรัม (ต่อลูกหม่อนหนึ่งถ้วย) ซึ่งคิดเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณของธาตุเหล็กที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน
โดยธาตุเหล็กนี้มีประโยชน์ในการช่วยจัดเก็บและขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะออกซิเจนต่ำ รวมถึงยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมีส่วนป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ด้วย
ข้อควรระวังในการรับประทาน
ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ แม้จะให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และมีส่วนช่วยป้องกันอาการทางสุขภาพต่างๆ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังบางประการเกี่ยวกับลูกหม่อนที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะถ้าหากมีอาการแพ้ลูกหม่อน หรือแพ้ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ก็ควรระวัง และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกหม่อน เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแพ้กำเริบ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/05/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,400.00 | 32,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,099.00 | 31,820.84 | 33,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,889.10 | 28,638.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,679.20 | 25,456.67 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 945.00 | 14,326.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 735.00 | 11,142.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,175.00 | 32,973.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/05/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 36.14 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.84 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.34 | 33.34 | 33.74 | 33.34 | 33.34 | – | 33.34 | 33.34 | 33.34 | 33.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.79 | 33.79 | – | – | – | – | – | – | – | 33.79 |
เบนซิน 95 | 43.44 | – | – | – | 43.51 | – | 43.94 | 43.61 | – | 43.44 |
ดีเซล B7 | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
ดีเซล | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
ดีเซล B20 | 32.44 | 32.44 | 32.94 | – | 32.44 | – | 32.44 | – | – | 32.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.56 | 41.66 | 43.54 | 43.16 | 43.16 | – | – | – | – | 41.56 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |