กลุ่มพราว เข้าเทคโอเวอร์ 2 คอนโดดัง บมจ.โนเบิล 8.6 พันล้าน
กลุ่ม พราว เรียลเอสเตท ประกาศเข้าซื้อ 2 คอนโดมิเนียมดัง โครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน จาก บมจ.โนเบิล มูลค่ารวมกว่า 8.6 พันล้านบาท ระบุ เพื่อรองรับการขยายพอร์ต สร้างการเติบโตก้าวกระโดด ขณะกูรูอสังหาฯมอง เป็นวิธี Short Cut ประหยัดต้นทุนและเวลา
29 พฤษภาคม 2566 – เปิดต้นสัปดาห์ ด้วยกระแสฮือฮาในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังกลุ่ม ลิปตพัลลภ บริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เผยว่า ได้เข้าซื้อ 2 โครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ NUE District R9 & NUE Cross Khu Khot จาก บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด หรือ TNL เป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,623 ล้านบาท
ตอกย้ำทิศทางอุตสาหกรรม ที่กูรูประเมินไว้ว่า ผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์บางส่วนเริ่มเลือกใช้วิธี Short Cut ด้วยการเข้า เทคโอเวอร์ โครงการคอนโดมิเนียมอื่นๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการประหยัดเวลา และได้ราคาที่ดีเพื่อนำมาพัฒนาต่อ
บอร์ด PROUD อนุมัติเข้าศึกษาซื้อโครงการโนเบิล
โดยเช้านี้ มีรายงานว่า บอร์ด PROUD อนุมัติเข้าศึกษาซื้อ 2 โครงการ NUE District R9 และ NUE Cross Khu Khot จาก บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด หรือ TNL มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,623 ล้านบาท ดัน Backlog แตะ 10,000 ล้านบาท เตรียมเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 29 มิ.ย.นี้ ออกหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering : RO) ราคา 1.75 บาทต่อหุ้น รวมเงินทุนจากสถาบันการเงินเป็น แหล่งเงินทุนจำนวน 2,490 บาท
นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา PROUD ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อหุ้นสามัญ ของบริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแอนซ์ จำกัด และ บริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด ในสัดส่วน100% จาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด หรือ TNL
โดยทั้งสองบริษัทดำเนินงานพัฒนาใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ NUE District R9 คอนโดมิเนียม High Rise ขนาดใหญ่ บนทำเลคุณภาพย่าน CBD (Central Business District) ติดถนนพระราม 9 ใกล้กับ MRT พระราม 9 ที่ครบครันด้วยพื้นที่ส่วนกลางหลากหลายฟังก์ชันทั้ง Indoor และ Outdoor บนเนื้อที่กว่า 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 6,519 ล้านบาท
ปัจจุบันมียอดขาย (pre-sales) แล้ว 83% คาดรับรู้รายได้ภายในปี 2568 และ โครงการ NUE Cross Khu Khot คอนโดมิเนียม Low Rise บนทำเลคุณภาพ บนถนนลำลูกกา ติดสถานีรถไฟฟ้าคูคต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในโครงการ มูลค่าโครงการ 2,104 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย (pre-sales) แล้ว 100% คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 2567
หวังขยายพอร์ต สร้างการเติบโตก้าวกระโดด
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทขยายฐานเงินทุน สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว พร้อมศักยภาพในการขยายธุรกิจได้ใหญ่ขึ้น ผลักดันให้บริษัทมี Backlog เพิ่มขึ้นทันที 7,515 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,180 ล้านบาท สามารถรับรู้รายได้และเพิ่มกำไรสุทธิในปี 2567-2568 อีกทั้งเพิ่มมูลค่าของบริษัทและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น
ในส่วนของการลงทุนซื้อ โครงการ NUE District R9 และ โครงการ NUE Cross Khu Khot เป็นมูลค่ารวมประมาณ 1,735 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM ) เพื่อระดมทุนจำนวน 2,490 ล้านบาท โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ PROUD (Right Offering : RO) ในอัตราส่วน 1.80 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคา 1.75 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าไม่เกิน 624 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อเป็นเงินทุนและเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงาน
โนเบิล คาดปิดดีล ก.ค.นี้ ระบุ ขายโครงการ ตามกลยุทธ์สร้างกระแสเงินสด
ขณะ นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)“NOBLE” ระบุ “สาเหตุที่บริษัทฯ ทำรายการขายในโครงการดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินการของบริษัทฯ ที่มีความต้องการสร้างอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด (Maximize Return on Equity (ROE) & Internal Rate of Return (IRR) ) จากการลดระยะเวลาการถือครองและรับรู้กำไรที่สมเหตุสมผล ซึ่งโครงการร่วมทุนทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการขายอย่างสูง
โดยโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ซึ่งปัจจุบันได้ sold out ไปที่เรียบร้อย ส่วนโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 83% อีกทั้งมูลค่าการขายของทั้ง 2 โครงการยังถือเป็นการขายในมูลค่าที่สร้างผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของกำไรที่รับรู้ได้และกระแสเงินสดที่ได้กลับมา รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆที่จะได้รับในฐานะเป็นผู้บริหารโครงการร่วมทุน
ดังนั้นบริษัทฯ จึงมองว่าการขายทั้ง 2 โครงการในช่วงจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และสามารถนำเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อนำไปลงทุนในโครงการใหม่ๆที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทฯ อีกด้วย นอกจากนี้การขายโครงการดังกล่าวยังเป็นการปรับ Portfolio ของโครงการร่วมทุนเพื่อที่จะเพิ่มโครงการร่วมทุนใหม่ๆในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการร่วมทุนกับบริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (“TNLA”) ที่เปิดโครงการทั้งหมดแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวม 28,400 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม ซึ่งโครงการจะถูกบริหารภายใต้ บริษัทฯ เช่นเดิมทุกประการ รวมถึงชื่อโครงการ การก่อสร้างตามข้อผูกพันเดิมกับลูกค้าตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย รวมไปถึงการบริหารโครงการหลังการขายและการรับประกันผลงานการก่อสร้าง เพื่อให้ไม่มีผลกระทบใดๆ กับลูกค้า
สำหรับกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นใน PA9 และ KK รวมถึงเงินกู้ยืมผู้ถือหุ้นบางส่วนจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 ส่งผลให้บริษัทฯ จะสามารถบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 3 ปี 2566
ตลาดคอนโดฯฟื้น เทรนด์เทคโอเวอร์มาแรง
ทั้งนี้ นาย ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ให้มุมมองว่า สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าประกาศแผนเปิดตัวโครงการใหม่สำหรับปี พ.ศ. 2566 กันอย่างคึกคัก และส่วนใหญ่เริ่มทยอยเปิดพรีเซลล์อย่างเป็นทางการตั่งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งเราพบว่า บางโครงการบริเวณแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ และแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สามารถปิดการขายทั้งโครงการในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนหลังจากการเปิดขายในรอบ VIP เท่านั้น
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง กลุ่มลูกค้าให้ความสนใจเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการที่พวกเขามองว่ายังสามารถทำกำไรต่อได้ รวมถึงตั้งอยู่บนทำเลที่ดีและราคาที่น่าสนใจ และพบว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์บางส่วน ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในทำเลที่มั่นใจในกำลังซื้อหรือทำเลที่มีลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ชัดเจน เช่น สถานศึกษา หรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
แต่ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ค่อนข้างระมัดระวังในการกำหนดราคาขายเป็นอย่างมากแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้พัฒนาจะต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนราคาค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 20.0 เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นจากเดิมได้มากนัก และพบว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดพยายามมองหาจุดขายใหม่ๆ หรือบริการอื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เช่น เรื่องของการบริการทางการแพทย์ , Pet – Friendly หรือ คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เป็นต้น นอกจากนี้พบว่า ผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์บางส่วนเลือกใช้วิธี Short Cut ด้วยการเข้า take over โครงการคอนโดมิเนียมอื่นๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการประหยัดเวลา และได้ราคาที่ดีเพื่อนำมาพัฒนาต่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เทียบชัดๆ “ภาษีที่ดิน” VS “ภาษีโรงเรือน” อดีตกับปัจจุบัน ต่างกันอย่างไร
เทียบชัดๆ “ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง”ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน กับ “ภาษีโรงเรือน และที่ดิน” ในอดีต มีความแตกต่างกันอย่างไร เหตุใดผู้ว่าฯชัชชาติ สิทธิพันธ์ ร้องให้รัฐบาลใหม่ทบทวน
หลังจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ได้ฝากการบ้านให้รัฐบาลใหม่ทบทวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พร้อมเปรียบเทียบรายได้ของเขตจากการจัดเก็บภาษีจากการใช้ที่ดิน โดยห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท เดิมเสียภาษี 10 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาษีลดลงถึง 10 เท่า
ส่วนห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4 ล้านกว่าบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7 หมื่นกว่าบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายชื่อมาอยู่ในห้องเช่า ทำให้กลายเป็นที่อยู่อาศัย และจะเสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง
ความแตกต่างระหว่างการจัดเก็บ “ภาษีโรงเรือน และที่ดิน” ในอดีต กับ “ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง” ในปัจจุบัน มีอะไรบ้าง ฐานเศรษฐกิจ รวบรวบไว้ให้ที่นี่
“ภาษีโรงเรือน และที่ดิน”
“ภาษีโรงเรือน และที่ดิน” มีการจัดเก็บตาม พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 และได้ยกเลิกไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2562 ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562
“ภาษีโรงเรือน และที่ดิน” คือเงินที่เก็บจากรายได้ หรือรายได้ประเมิน จากอาคารพาณิชย์ โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ กับที่ดินที่ติดกับสิ่งปลูกสร้างนั้น รวมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่ก่อสร้างบนที่ดินนั้นอย่างถาวร เช่น สะพาน ท่าเรือ อ่างเก็บน้ำ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับเจ้าของที่ดินได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น ให้เช่า ,ใช้เป็นที่ค้าขาย ,ใช้เป็นคลังสินค้า ,ใช้ประกอบอุตสาหกรรม หรือใช้ประกอบกิจการอื่นๆ เพื่อหารายได้
“ภาษีโรงเรือน และที่ดิน” เป็นภาษีท้องถิ่นที่ต้องชำระให้กับสำนักงานเขต หรือเทศบาลที่โรงเรือนหรือที่ดินนั้นตั้งอยู่ โดยการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้นเป็นแบบรายปี โดยอัตราภาษีโรงเรือนและที่ดิน อยู่ที่ร้อยละ 12.5 ของค่ารายปี
“ค่ารายปี” ถูกประเมิณโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสามารถยื่นภาษีได้ตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีที่มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นในปีก่อนหน้า ยกเว้นบ้านที่อยู่อาศัยเอง และทรัพย์สินที่ถูกยกเว้นตามกฎหมาย ตามมาตรา 8
วิธีคำนวณอัตราภาษีโรงเรือนและที่ดิน
1. กรณีให้เช่าโรงเรือนหรือที่ดิน
(ค่าเช่าต่อเดือน x จำนวนเดือนที่ประกอบการ) x ร้อยละ 12.5 = ภาษีที่ต้องจ่าย
2. กรณีโรงเรือนหรือที่ดินที่ใช้ประโยชน์อื่นๆ ที่ไม่สามารถประเมินค่ารายปีได้จากค่าเช่า จะคำนวณโดย ((พื้นที่หน่วยตารางเมตร x อัตราทำเล) x จำนวนเดือนที่ประกอบการ) x ร้อยละ 12.5 = ภาษีที่ต้องจ่าย
“ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง”
“ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง” จัดเก็บตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพอันจะเป็นประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจของประเทศ
โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมี เป็นผู้จัดเก็บจากที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตนเอง และให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ผู้ที่ต้องชำระภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง คือผู้ที่เป็นเจ้าของ หรือครอบครองที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในวันที่ 1 มกราคมของปีใด เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับปีนั้น
วิธีคำนวณ “ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง”
ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ มูลค่าทั้งหมดของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง โดยราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุด ให้เป็นไปตามราคาประเมินทุนทรัพย์ของอสังหาริมทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
อัตราการจัดเก็บภาษี
1. ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหลังเดียว
- 0-50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- 50-75 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.03% หรือคิดเป็นล้านละ 300 บาท
- 75-100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.05% หรือคิดเป็นล้านละ 500 บาท
- 100 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.1% หรือคิดเป็นล้านละ 1,000 บาท
2. ผู้เป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้างหลังเดียว
- 0-10 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- 10-50 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.02% หรือคิดเป็นล้านละ 200 บาท
- 50-75 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.03% หรือคิดเป็นล้านละ 300 บาท
- 75-100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.05% หรือคิดเป็นล้านละ 500 บาท
- 100 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.1% หรือคิดเป็นล้านละ 1,000 บาท
3. ผู้เป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างหรือที่ดินตั้งแต่ 2 หลังขึ้นไป
- 0-50 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.02% หรือคิดเป็นล้านละ 200 บาท
- 50-75 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.03% หรือคิดเป็นล้านละ 300 บาท
- 75-100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.05% หรือคิดเป็นล้านละ 500 บาท
- 100 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.1% หรือคิดเป็นล้านละ 1,000 บาท
4. บุคคลธรรมดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินเกษตรกรรม
- 0-50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- 50-125 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.01% หรือคิดเป็นล้านละ 100 บาท
- 125-150 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.03% หรือคิดเป็นล้านละ 300 บาท
- 150-550 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.05% หรือคิดเป็นล้านละ 500 บาท
- 550-1,050 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.07% หรือคิดเป็นล้านละ 700 บาท
- 1,050 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.1% หรือคิดเป็นล้านละ 1,000 บาท
5. นิติบุคคลเป็นเจ้าของที่ดินเกษตรกรรม
- 0-75 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.01% หรือคิดเป็นล้านละ 100 บาท
- 75-100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.03% หรือคิดเป็นล้านละ 300 บาท
- 100-500 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.05% หรือคิดเป็นล้านละ 500 บาท
- 500-1,000 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.07% หรือคิดเป็นล้านละ 700 บาท
- 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.1% หรือคิดเป็นล้านละ 1,000 บาท
6. ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ เช่น ร้านอาหาร ออฟฟิศ โรงแรม สำนักงาน เป็นต้น
- 0-50 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.3% หรือคิดเป็นล้านละ 3,000 บาท
- 50-200 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.4% หรือคิดเป็นล้านละ 4,000 บาท
- 200-1,000 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.5% หรือคิดเป็นล้านละ 5,000 บาท
- 1,000-5,000 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.6% หรือคิดเป็นล้านละ 6,000 บาท
- 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.7% หรือคิดเป็นล้านละ 7,000 บาท
7. ผู้เป็นเจ้าของที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์เกิน 3ปีติดต่อกัน
- 0-50 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.3% หรือคิดเป็นล้านละ 3,000 บาท
- 50-200 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.4% หรือคิดเป็นล้านละ 4,000 บาท
- 200-1,000 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.5% หรือคิดเป็นล้านละ 5,000 บาท
- 1,000-5,000 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.6% หรือคิดเป็นล้านละ 6,000 บาท
- 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 0.7% หรือคิดเป็นล้านละ 7,000 บาท
และจะถูกเก็บเพิ่มอีก 0.30% ในทุกๆ 3ปี หากยังไม่มีการใช้ประโยชน์ เก็บสูงสุดไม่เกิน 3%
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 30พ.ค. ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทเริ่มอ่อนค่าแผ่วลงชัดเจน สะท้อนผ่านการพลิกกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของไทย หากยอดการส่งออกหดตัวแย่กว่าคาด หรือ ดุลการค้าขาดดุลมากกว่าคาด อาจเป็นปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าได้
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 30พ.ค.2566 ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.78 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านแถว 34.80 บาทต่อดอลลาร์บ้าง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
อย่างไรก็ดี เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังว่าสภาคองเกรสสหรัฐฯ อาจมีมติผ่านร่างข้อตกลงเพดานหนี้ได้ภายในสัปดาห์นี้ (รอลุ้นการพิจารณาในวันพุธนี้)
เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มแผ่วลงชัดเจน สะท้อนผ่านการพลิกกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาท หลังมีจังหวะอ่อนค่าลงใกล้โซน 34.90 บาทต่อดอลลาร์ในวันก่อนหน้า และหลังจากนั้นเงินบาทก็ยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้
ซึ่งในเชิงเทคนิคัล เราเริ่มเห็นสัญญาณการเกิด RSI Divergence รวมถึง Shooting star pattern บนกราฟค่าเงินบาทรายวัน ที่อาจชี้ว่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแกว่งตัว sideway หรือ sideway down (มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง)
โดยเรามองว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าว อาจจะอาศัยบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยง หนุนให้แรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติลดลง หรือ นักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยได้ ซึ่งล่าสุดเราเริ่มเห็นแรงขายทั้งหุ้นและบอนด์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงจากช่วงก่อนหน้าพอสมควร
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของไทย เพราะหากยอดการส่งออกหดตัวแย่กว่าคาด หรือ ดุลการค้าขาดดุลมากกว่าคาด ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ อนึ่ง เราประเมินว่า แนวรับของเงินบาทก็อาจยังคงอยู่ในช่วง 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์
ซึ่งเราเห็นผู้เล่นบางส่วน อาทิ ผู้นำเข้าทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ หลังเงินบาทได้อ่อนค่าเร็วในช่วงที่ผ่านมา ส่วนแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในโซน 34.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรสถานะ Short THB ขณะที่โฟลว์ขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออกส่วนใหญ่ได้ทยอยขายเงินดอลลาร์ไปบ้างแล้ว
ทำให้ผู้ส่งออกอาจรอให้เห็นการกลับตัวแข็งค่าที่ชัดเจนของเงินบาทก่อน และช่วงนี้ผู้ส่งออกบางส่วนก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (ทำให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้เร็ว หากทะลุโซนแนวต้าน 34.80 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้)
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.55-34.80 บาท/ดอลลาร์
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Memorial Day แต่ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง โดยดัชนีฟิวเจอร์ส S&P500 ปรับตัวขึ้นต่อราว +0.26% จากข่าวความคืบหน้าการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่เหลือต้องรอลุ้นว่าสภาคองเกรสจะผ่านร่างข้อตกลงเกี่ยวกับเพดานหนี้ได้หรือไม่
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.12% กดดันโดยแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Semiconductor (ASML -0.9%) รวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -0.6%) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเพิ่มความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน เพื่อรอติดตามการพิจารณาร่างข้อตกลงเกี่ยวกับเพดานหนี้สหรัฐฯ ของสภาคองเกรส ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงวันพุธที่จะถึงนี้
สำหรับตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.3 จุด โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเริ่มหาจังหวะขายทำกำไรสถานะ Long USD อีกทั้งผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นการพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยสภาคองเกรสในช่วงวันพุธนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์อาจมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ได้
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะไม่ได้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องชัดเจน แต่ทว่า บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงสู่ระดับ 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเรามองว่า การย่อตัวลงของราคาทองคำอาจยังคงหนุนการทยอยซื้อทองคำในจังหวะปรับฐานของผู้เล่นบางส่วนในตลาด ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์คาดว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 99 จุด สอดคล้องกับความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต รวมถึงผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นการพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยสภาคองเกรส ที่จะมีขึ้นในช่วงวันพุธนี้
ส่วนในฝั่งไทย ตลาดประเมินว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าอาจส่งผลให้ยอดการส่งออก (Exports) เดือนเมษายน หดตัวต่อเนื่อง -2.2%y/y อย่างไรก็ดี ยอดการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฝั่งเอเชีย ทว่าแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลัก อย่าง สหรัฐฯ และยุโรปก็อาจเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกของไทยได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.64-34.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) ขยับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และแรงกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากที่มีสัญญาณบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามผลการประชุมกนง. ของไทยในช่วงกลางสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.60-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ตัวเลขการส่งออกเดือนเม.ย. ของไทย สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ประเด็นเพดานหนี้และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทย VS อิตาลี : วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2023, เทียบสถิติ
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2023 สัปดาห์แรก ที่จะแข่งขันกันที่เมืองอันตาลยา, ประเทศตุรกี รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2566
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ทีมอันดับ 15 ของโลก จะลงสนามเกมแรกพบกับ ทีมชาติอิตาลี ทีมอันดับ 2 ของโลก ดีกรีแชมป์เนชั่นส์ลีก 2022 และทีมอันดับ 3 ในรายการชิงแชมป์โลก 2022
ซึ่งจากสถิติที่พบกันมาทั้งหมด 20 ครั้ง ทีมวอลเลย์บอลสาวไทย เก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น โดยหนสุดท้ายที่เก็บชัยได้คือในรายการ มองเทรอซ์ มาสเตอร์ เมื่อปี 2019 เราลองไปดูสถิติการพบกัน 5 ครั้งหลังสุดของทั้งสองทีมก่อนหน้านี้กัน
เฮดทูเฮด 5 ครั้งหลังสุด : ไทย ชนะ 1, อิตาลี ชนะ 4
3 กรกฎาคม 2565 : ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (เนชั่นส์ลีก)
20 มิถุนายน 2564 : ไทย แพ้ อิตาลี 1-3 เซต (เนชั่นส์ลีก)
22 พฤษภาคม 2562 : ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (เนชั่นส์ลีก)
18 พฤษภาคม 2562 : ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (มองเทรอซ์ฯ)
13 พฤษภาคม 2562 : ไทย ชนะ อิตาลี 3-1 เซต (มองเทรอซ์ฯ)
สำหรับ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย มีโปรแกรมลงสนามพบกับ “แชมป์เก่า” ทีมชาติอิตาลี ในวันอังคารที่ 30 พฤษภาคม นี้ เวลา 21.00 น. แฟนๆ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง ช่อง 7HD
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 อาหารต้านการ “อักเสบ” สาเหตุเริ่มต้นของ “มะเร็ง”
ทราบหรือไม่ว่าอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยมะเร็ง ส่วนมากเกิดจากอาการอักเสบ และเป็นการอักเสบที่ต่อเนื่องยาวนานจนทำให้เซลล์บริเวณนั้นกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด และอาการอักเสบยังเป็นอาการเบื้องต้นของโรคอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคปวดข้อ รวมไปถึงโรคซึมเศร้า และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
อาการอักเสบมีสาเหตุที่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งจากบาดแผลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้รับการรักษาให้หายอย่างถูกวิธี หรืออาจจะเป็นการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ในร่างกายเองที่จู่ๆ ก็อักเสบขึ้นมา
นายแพทย์แฟรงก์ ฮู อาจารย์ด้านโภชนาการ และวิทยาการระบาด ภาควิชาโภชนาการในสาขาสาธารณสุข คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่า “รายงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ส่วนประกอบของอาหาร และเครื่องดื่มหลายชนิดอาจส่งผลต่อการต่อต้านการอักเสบในร่างกายได้” ดังนั้นไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร เราสามารถทานอาหารเหล่านี้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการอักเสบ ที่จะนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งในอนาคตได้ รวมไปถึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เช่น เหงือกอักเสบ แผลอักเสบ ฯลฯ ได้อีกด้วย
อาหารต้านการอักเสบ
- มะเขือเทศ
- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ และส้ม
- ถั่ว เช่น อัลมอนด์ วอลนัท และอื่นๆ
- น้ำมันมะกอก
- ผักใบเขียว เช่น ผักปวยเล้ง คะน้า และอื่นๆ
- ปลาทะเล เช่น แซลมอน แมกเคอเรล ทูน่า และซาร์ดีน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอาหารที่ช่วยต่อต้านการอักเสบที่เราควรทานเพิ่มเติมแล้ว ยังมีอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงอาการอักเสบมากขึ้นด้วย นายแพทย์แฟรงก์ ฮู ระบุเพิ่มเติมว่า “อาหารบางชนิดมีส่วนผสม หรือส่วนประกอบที่ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบมากขึ้นตามจำนวนพลังงานจากอาหารเหล่านี้ที่สูงตามไปด้วย” และอาหารที่มีพลังงานสูงก็อาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ที่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการอักเสบในร่างกายได้เช่นกัน
อาหารเพิ่มความเสี่ยงอาการอักเสบ
- อาหารทอด
- น้ำอัดลม
- แป้งขัดสี
- มันหมู เนยเทียม
- เนื้อแดง เนื้อสัตว์แปรรูป
เคล็ดลับเพื่อลดการอักเสบ
นอกจากจะทานอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ และหลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงของการอักเสบแล้ว การทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่เป็นประจำ เช่น ทานอาหารแบบเมดิเตอเรเนียน ที่เน้นผักผลไม้ เนื้อขาวอย่างปลา และไก่ โฮลเกรน ถั่ว และอาหารไขมันต่ำ ทานอาหารจากธรรมชาติมากกว่าอาหารแปรรูป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ช่วยลดการอักเสบของร่างกายได้ดีเช่นกัน แต่หากพบว่ามีอาการอักเสบส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ควรรีบรักษา และปรึกษาแพทย์ก่อนที่การอักเสบจะลามใหญ่โตจนรักษาได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไมต้องใช้ Passive Voice?
ไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้กระทำ (ประธานของประโยค) เป็นใคร
ในบางกรณี เราไม่รู้จริงๆ ว่าประธานของประโยคนั้นเป็นใครหรือเป็นอะไร จึงต้องใช้ประโยคกรรมวาจกเพื่อละประธานของประโยค (ที่เราไม่รู้) ออกไป และพูดถึงกริยาที่เกิดขึ้นอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น หมาตัวหนึ่งถูกยิงมา เราวิ่งมาเจอมันแล้วต้องการจะบอกเล่าต่อ แน่นอนว่าเราไม่รู้ว่าใครคือคนถือปืนมายิงเจ้าหมาตัวนี้กันแน่ เราจึงต้องพูดว่า
The dog was shot.
(หมาตัวนั้นถูกยิง)
แต่หากเรารู้ว่าผู้กระทำคือใครส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้เป็นกัตตุวาจก (Active voice) มากกว่า อย่างเช่นถ้าเรารู้ว่าไมเคิลคือคนที่ยิงหมาตัวนั้น เราก็จะพูดไปเลยโดยไม่ต้องละประธานว่า
Michael shot the dog.
(ไมเคิลยิงหมาตัวนั้น)
ไม่ต้องการระบุประธานของประโยค
การละประธานนั้นนอกเหนือจากสาเหตุว่าเราไม่รู้ว่าผู้กระทำเป็นใครแล้ว ยังละได้โดยจงใจเพื่อให้เห็นว่าเราต้องการเน้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าจะเน้นว่าใครเป็นผู้กระทำหรือว่าพยายามจะเลี่ยงถึงการพูดถึงประธาน (ที่มีเพศ) เพื่อรักษาความเป็นกลาง
ในส่วนของการละประธานเพื่อที่จะเน้นการกระทำและผลนั้น จะยกตัวอย่างได้ เช่น หากพายุฝนเข้าแล้วทำให้รั้วบ้านเสียหาย แต่ผู้พูดและผู้รับสารเองก็รู้อยู่แล้วว่ามีพายุฝน ก็สามารถพูดว่า
The fence was destroyed
(รั้วถูกทำลาย)
โดยที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรทำให้ให้รั้วพังแต่ต้องการเน้นไปที่รั้วว่ามันพัง
ในส่วนของการใช้ประโยคกรรมวาจกเพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงประธานอย่างจงใจนั้นพบได้ในงานเขียนประเภทวิชาการ เพราะงานประเภทนี้จะไม่นิยมเขียนด้วยการใช้คำสรรพนาม (I หรือ We) ได้ เนื่องจากจะทำให้งานดูไม่เป็นทางการ จึงต้องละประธานของประโยค และส่วนใหญ่ก็จะเขียนด้วยประโยคกรรมวาจกนี่เอง ยกตัวอย่างเช่น
The argument was proofed to be wrong.
(ข้อโต้แย้งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด)
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ไมโครซอฟท์เผยผลวิจัยล่าสุด ชี้ AI เปลี่ยนบทบาทการทำงานในยุคใหม่
หลังจากที่ได้เปิดตัวบริการ Microsoft 365 Copilot ไปเมื่อต้นปีนี้ เพื่อนำความสามารถของ AI อันทรงพลังมาเสริมศักยภาพของแอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้หลายล้านคนในทุกวันอย่าง Microsoft Word, Excel, PowerPoint, Outlook, Microsoft Teams และอื่นๆ อีกมากมาย
ไมโครซอฟท์ได้ประกาศเดินหน้าขยายให้ลูกค้าทั่วโลกได้มีโอกาสทดลองใช้งาน Microsoft 365 Copilot กันมากขึ้น และยังได้ถือโอกาสนี้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากงานวิจัย Work Trend Index ฉบับล่าสุดประจำปี 2023 ที่เจาะลึกถึงมุมมองเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตการทำงานยุค AI ภายใต้หัวข้อ “Will AI Fix Work?”
รายงาน Work Trend Index 2023 นี้ รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจพนักงานและผู้บริหารกว่า 31,000 คนในอุตสาหกรรมต่างๆ ครอบคลุม 31 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยและตลาดอื่นๆ อีก 13 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยังประมวลข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานับล้านล้านรายการจากอีเมล การประชุมออนไลน์ และระบบแชทใน Microsoft 365 รวมทั้งแนวโน้มตลาดแรงงานจาก LinkedIn โดยข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่าการทำงานในปัจจุบันต้องการความรวดเร็วในระดับที่เกินกว่าพนักงานจะตามทัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถของพวกเขาในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับองค์กร ดังนั้น เทคโนโลยี AI รุ่นใหม่ๆ จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ และองค์กรที่ริเริ่มนำ AI มาใช้จะช่วยให้พนักงานหลุดออกจากวงจรการทำงานแบบเดิมๆ มีเวลาไปใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปพร้อมกัน
สุภาณี อนุวงศ์วรเวทย์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “การมาถึงของ AI ส่งผลให้วิธีการทำงานของเราต้องเปลี่ยนไปในทุกด้าน จากเดิมที่มีระบบอัตโนมัติทั่วไปในการทำงาน มาเป็นระบบผู้ช่วยที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาด ทำให้พนักงานหลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า ‘Digital Debt’ หรือภาระงานที่เกิดขึ้นจากการโต้ตอบกันทางอีเมล แชท และประชุม จนไม่สามารถไปคิดค้นนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาได้”
“ในเมื่อการทำงานเปลี่ยนไปเพราะ AI คนทำงานก็ต้องพัฒนาตนเองให้เท่าทันเช่นกัน พนักงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยมองว่า AI เป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา โดยรายงาน Work Trend Index 2023 ระบุว่าพนักงานไทยถึง 86% ยินดีที่จะมอบหมายให้ AI ทำงานแทนให้ได้มากที่สุดเพื่อลดภาระงานลง ดังนั้น ผู้บริหารในยุคนี้จึงมีทั้งโอกาสและแรงผลักดันให้ต้องเร่งทำความเข้าใจวิธีใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อลดความจำเจในการทำงาน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และยกระดับความเชี่ยวชาญด้าน AI ไปพร้อมๆ กัน” คุณสุภาณีกล่าวเสริม
รายงาน Work Trend Index 2023 ชี้ให้ผู้นำธุรกิจเห็นถึงข้อสรุปที่สำคัญ 3 ประการใหญ่ๆ ในการทำความเข้าใจและนำ AI มาใช้ในองค์กรอย่างถูกต้องเหมาะสม
“Digital Debt” ยับยั้งการสร้างนวัตกรรมใหม่: พนักงานทุกคนล้วนมีภาระในโลกดิจิทัลของที่ทำงาน เพราะเรามีข้อมูล อีเมล และแชทปริมาณมหาศาลตลอดวันจนไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจได้ในทุกส่วน ดังนั้น เราจึงเล็งเห็นโอกาสในการทำให้การสื่อสารมีประสิทธิผลมากขึ้น เพราะยิ่งเสียเวลาไปกับภาระ digital debt เหล่านี้มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้พนักงานไม่มีเวลาใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น พนักงานในประเทศไทย 89% รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะทำงานให้เสร็จ และคนกลุ่มนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะเจอกับอุปสรรคเมื่อต้องลงมือสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยตัวเอง ขณะที่ข้อมูลเวลาทำงานใน Microsoft 365 ชี้ว่าโดยเฉลี่ย พนักงานใช้เวลาทำงาน 57% ไปกับการติดต่อประสานงาน และเพียง 43% ในการสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้นมา ส่วนอุปสรรคอันดับหนึ่งที่ขัดขวางประสิทธิผลในการทำงานก็คือการประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพ
AI พร้อมเป็นพันธมิตรคู่ใจคนทำงาน: พนักงานส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับบทบาทของ AI ในการแบ่งเบาภาระงาน มากกว่าที่จะกังวลว่าตนเองจะถูกแทนที่จนตกงาน ส่วนผู้บริหารส่วนใหญ่ก็มีความตั้งใจที่จะนำ AI มาสนับสนุนพนักงานให้ทำงานได้ดีขึ้น แทนที่จะนำมาทำงานแทนมนุษย์ สำหรับในประเทศไทย เราพบว่า 66% ของพนักงานที่เข้าร่วมการสำรวจยังมีความกังวลว่าจะถูก AI แย่งงาน แต่ก็มีถึง 86% ที่พร้อมจะแบ่งงานให้ AI ช่วยให้ได้มากที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระงาน นอกจากนี้ พนักงานไทยราว 9 ใน 10 คนมั่นใจว่าพร้อมแบ่งงานที่ซับซ้อน เช่นการวิเคราะห์ข้อมูลหรือสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ ให้ AI เข้ามาช่วยทำ โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่งานเอกสารหรือธุรการทั่วไป ส่วนในระดับผู้บริหาร พบว่ามีกลุ่มที่สนใจนำ AI มาใช้เสริมประสิทธิภาพในที่ทำงานเป็นจำนวนที่สูงกว่ากลุ่มที่มุ่งลดจำนวนพนักงานด้วย AI ราวหนึ่งในสาม
พนักงานทุกคนต้องเชี่ยวชาญ AI: พนักงานทุกคนจะต้องเรียนรู้ความสามารถในด้านใหม่ๆ เช่น การวางโครงสร้างและเขียนคำสั่งสำหรับ AI (prompt engineering) แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้าน AI เท่านั้น ผู้บริหารในไทยกว่า 90% คาดว่าพนักงานจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ในยุค AI ขณะที่พนักงานไทย 86% ระบุว่าพวกเขา ยังขาดความสามารถที่เหมาะสมในการทำงานให้สำเร็จ ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าทักษะใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญด้าน AI จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน พร้อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง นับตั้งแต่แนวทางการเขียนเรซูเม่ไปจนถึงประกาศรับสมัครงาน
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ได้ประกาศโครงการ Microsoft 365 Copilot Early Access เพื่อให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ 600 รายทั่วโลกได้มีโอกาสใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้เพิ่มความสามารถใหม่ๆ ให้กับ Microsoft 365 Copilot และ Microsoft Viva ดังต่อไปนี้
- Copilot ใน Whiteboard จะช่วยให้การประชุมและระดมความคิดผ่าน Microsoft Teams เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณสามารถถาม Copilot ให้ช่วยเสนอแนวคิด จัดระบบไอเดียต่างๆ ให้เป็นกลุ่มชัดเจน สร้างสรรค์งานออกแบบที่สะท้อนถึงแนวคิดนั้นๆ และสรุปเนื้อหาที่เขียนลงใน Whiteboard ได้
- เพิ่มระบบสร้างรูปภาพ DALL-E ของ OpenAI ใน Copilot ของ PowerPoint เพื่อให้ผู้ใช้สามารถขอให้ Copilot สร้างสรรค์ภาพใหม่ๆ ขึ้นมาประกอบกับเนื้อหาในหน้าสไลด์
- Copilot ใน Outlook มาพร้อมคำแนะนำในการเขียนอีเมลให้มีเนื้อหาชัดเจน พร้อมด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ที่เหมาะสม เพื่อการสื่อสารอย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- Copilot ใน OneNote พร้อมรับคำสั่งมาช่วยร่างแผน เสนอแนวคิด สร้างรายการ และจัดระเบียบข้อมูล เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
Copilot ใน Viva Learning ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างแผนการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ของตนเองมากที่สุด ผ่านการสนทนากับ AI โดยระบบนี้จะรองรับทั้งการวางโครงสร้างหลักสูตรเพื่อเพิ่มพูนทักษะ การค้นหาแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน หรือแม้แต่การจัดตารางเวลาฝึกอบรมตามที่ได้รับมอบหมาย
และเพื่อให้ทุกองค์กรมีความพร้อมในการใช้งาน AI มากยิ่งขึ้น ไมโครซอฟท์ยังได้พัฒนาระบบ Semantic Index for Copilot ที่เริ่มเปิดให้ลูกค้า Microsoft 365 E3 และ E5 ทุกรายได้ใช้งาน โดยระบบนี้สามารถทำความเข้าใจกับระบบข้อมูลและโครงสร้างบุคลากรขององค์กร เพื่อประกอบเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ AI ใน Microsoft 365 Copilot เข้าใจคำสั่งที่ได้รับอย่างชัดเจน และนำเสนอคำตอบหรือผลงานที่ถูกต้อง เหมาะสม พร้อมใช้งานกว่าที่เคย
นอกเหนือจากความสามารถใหม่ๆ ทั้งหมดนี้แล้ว ไมโครซอฟท์ยังได้ประกาศเปิดตัวคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในงาน Build 2023 ดังนี้
- Bing Chat, Microsoft 365 Copilot และบริการ AI copilot อื่นๆ จะรองรับมาตรฐานแบบเปิดสำหรับปลั๊กอินในรูปแบบเดียวกับ ChatGPT ของ OpenAI เช่นในกรณีของ Microsoft 365 Copilot ที่สามารถทำงานร่วมกับปลั๊กอินได้ในสามประเภทหลักๆ ได้แก่ ส่วนขยายสำหรับการใช้งานแบบข้อความทาง Microsoft Teams, ตัวเชื่อมต่อกับ Power Platform และปลั๊กอินอื่นๆ ของ ChatGPT รวมถึงปลั๊กอินจากพันธมิตรของไมโครซอฟท์อย่าง Atlassian, Adobe และอื่นๆ
- Windows Copilot จะทำให้ Windows เป็นแพลตฟอร์มแรกบนพีซีที่พร้อมมอบระบบผู้ช่วย AI แบบรวมศูนย์ ช่วยให้ผู้ใช้ทำงาน ปรับแต่งการตั้งค่า และเชื่อมต่อกับแอปโปรดของคุณได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ทั้งยังรองรับปลั๊กอินเช่นเดียวกับ Bing Chat และ ChatGPT
- Microsoft Fabric เป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจรที่จะช่วยให้องค์กรปลดล็อกศักยภาพของข้อมูลและวางรากฐานสำหรับยุคแห่ง AI ขณะที่ Azure AI Studio ช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำโมเดล AI มาทำงานร่วมกับข้อมูลของตนเองหรือองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างประสบการณ์และความเข้าใจในข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Official Microsoft Blog, Microsoft 365 Blog, รายงานดัชนีแนวโน้มการทำงานปี 2023 หรือ Work Trend Index และศูนย์ข้อมูลข่าวสารจากงาน Build 2023
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/05/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,900.00 | 32,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,066.00 | 31,320.56 | 32,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,859.40 | 28,188.50 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,652.80 | 25,056.45 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 930.00 | 14,098.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 723.00 | 10,960.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,141.00 | 32,457.56 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/05/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.15 | 35.15 | 35.64 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.88 | 34.88 | 35.34 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.84 | 32.84 | 33.24 | 32.84 | 32.84 | – | 32.84 | 32.84 | 32.84 | 32.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.29 | 33.29 | – | – | – | – | – | – | – | 33.29 |
เบนซิน 95 | 42.94 | – | – | – | 43.51 | – | 43.44 | 43.09 | – | 42.94 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.06 | 41.16 | 42.94 | 42.36 | 42.36 | – | – | – | – | 41.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |